หน้าแรกมือถือ > รวมข่าวมือถือ > หน้าบทความ ข่าวมือถือ
   
Date : 31/12/2564

[TMC Awards 2021] สมาร์ตโฟนยอดเยี่ยมประจำปี 2021 โดย Thaimobilecenter

 

 

ด้วยสถานการณ์โลกที่ไม่เป็นใจ ทำให้หลายสิ่งในปี 2021 นี้ต้องเปลี่ยนไป ใครปรับตัวได้ก็รอด ใครไวกว่าก็ได้เปรียบ เช่นเดียวกับวงการสมาร์ตโฟนซึ่งเดิมทีต่อให้ไม่มีวิกฤติโควิด-19 สมรภูมินี้ก็นับว่าดุเดือดมากอยู่แล้ว ยิ่งพอต้องมาอยู่ในยุคโควิด-19 ทุกค่ายสมาร์ตโฟนต่างก็ต้องอัปเกรดตัวเองเพื่อรับมือกับรูปแบบของการแข่งขันที่เปลี่ยนไป ทั้งในด้านการวิจัย-พัฒนานวัตกรรม, สายการผลิต, การเปิดตัว, ช่องทางการวางจำหน่าย, การบริการหลังการขาย ไปจนถึงการทำตลาด ดังนั้น TMC Awards 2021 ในปีนี้ อีกด้านหนึ่งก็เหมือนกับเป็นรางวัลที่มอบให้กับสมาร์ตโฟนที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งปีของแต่ละหมวดหมู่ด้วยนั่นเอง

สำหรับรางวัลสมาร์ตโฟนยอดเยี่ยมประจำปี 2021 (TMC Awards 2021) ครั้งนี้ เราได้แบ่งออกเป็น 16 ประเภทรางวัล โดยพยายามปรับให้เป็นไปตามยุคสมัย กล่าวคือในช่วงปีที่ผ่านมา หากสมาร์ตโฟนประเภทใดได้รับความสนใจจากผู้ใช้มากเป็นพิเศษ เราก็จะแยกประเภทรางวัลออกมาโดยเฉพาะ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในหลาย ๆ ประเภทรางวัลนั้นตัดสินได้ยากยิ่ง แต่สุดท้ายแล้วทีมงาน Thaimobilecenter ของเราก็ได้ผลสรุปสุดท้ายที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด จากประสบการณ์การใช้งานจริง และการติดตามข้อมูลข่าวสารในวงการสมาร์ตโฟนมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ส่วนจะมีประเภทรางวัลอะไรบ้าง, ผู้ชนะในแต่ละประเภทจะเป็นรุ่นไหน และเพราะเหตุใดจึงยอดเยี่ยมที่สุด ไปติดตามกันได้เลยครับ

 

สมาร์ตโฟนยอดเยี่ยม (Best Smartphone)

การที่สมาร์ตโฟนรุ่นใดจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง สมาร์ตโฟนยอดเยี่ยม ได้นั้น เราจะพิจารณาจากองค์ประกอบโดยรวมว่าสมาร์ตโฟนรุ่นดังกล่าวนั้นมีคุณสมบัติที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานในยุคปัจจุบันได้ดีเยี่ยมหลากหลายในทุกด้าน, มีซอฟต์แวร์-ฮาร์ดแวร์ที่ดี ทุกคนสามารถใช้งานได้ง่าย, ไม่มีรูปลักษณ์ที่แปลกแยกออกไปจนไม่เหมาะกับผู้ใช้ส่วนใหญ่, พกพาง่าย เครื่องเดียวทำได้ครบ, มีระบบนิเวศที่ดี, มีการสนับสนุนที่ต่อเนื่องยาวนานทั้งในด้านซอฟต์แวร์-ฮาร์ดแวร์, มีความพร้อมด้านบริการหลังการขาย และมีอุปกรณ์เสริมรองรับในตลาด

โดยหลังจากที่ทีมงานได้พิจารณาองค์ประกอบทั้งหมดอย่างถี่ถ้วนแล้ว สุดท้ายสมาร์ตโฟนที่ได้รับตำแหน่ง สมาร์ตโฟนยอดเยี่ยม ประจำปี 2021 ก็คือ Samsung Galaxy S21 Ultra 5G ที่สามารถตอบโจทย์ในภาพรวมได้ดีเยี่ยมมากที่สุดในสายตาของเรา

สำหรับ Samsung Galaxy S21 Ultra 5G นั้นเป็นสมาร์ตโฟนเรือธงตัวท็อปที่เปิดตัวในบ้านเรามาตั้งแต่เดือนมกราคม จนมาถึงชั่วโมงนี้แม้จะมีสมาร์ตโฟนเรือธงตัวท็อปจากแบรนด์คู่แข่ง หรือแม้แต่ในค่ายเดียวกันเองเปิดตัวตามมาทีหลังหลายต่อหลายรุ่น แต่ Galaxy S21 Ultra 5G นั้นก็ยังคงเป็นตัวเลือกแรก ๆ ในกลุ่มสมาร์ตโฟนเรือธงอยู่เช่นเดิม

ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงเดือนสิงหาคม แม้จะมีคู่หูเรือธงตัวท็อปใหม่ล่าสุดของค่ายอย่าง Galaxy Z Fold3 5G | Z Flip3 5G เปิดตัวมา ด้วยจุดขายของนวัตกรรมจอพับได้ แต่ด้วยความเป็นสมาร์ตโฟนจอพับที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดังนั้นจึงอาจตอบโจทย์ได้เฉพาะกลุ่มผู้ที่ต้องการใช้งานจอพับเท่านั้น ในขณะที่ Galaxy S21 Ultra 5G เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานส่วนใหญ่ได้ดีกว่า

อีกทั้งคุณสมบัติภายในก็ล้วนไฮเอนด์จัดเต็มไปทุกองค์ประกอบตั้งแต่จอ QHD+ Dynamic AMOLED 2X ขนาดใหญ่ 6.8 นิ้ว ที่ลื่นไหลระดับ 120Hz, ชิปเซ็ต Exynos 2100 หน่วยประมวลผลตัวท็อปล่าสุดของค่าย, หน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR5 สูงสุดถึง 16GB, หน่วยความจำ ROM แบบ UFS 3.1 สูงสุด 512GB, กล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียดสูงสุดถึง 108 ล้านพิกเซล ด้วยเซนเซอร์รับภาพรุ่นที่ 2 (2nd Gen) ที่มากับเทคโนโลยี AI ISP Algorithm พร้อมระบบซูมแบบ Dual Optical Zoom สูงสุด 3 เท่า และ 10 เท่า กับระบบซูมแบบ Super Resolution Zoom สูงสุดถึง 100 เท่า, รองรับการบันทึกภาพแบบ 12-bit RAW, รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงถึงระดับ 8K, กล้องหน้าความละเอียด 40 ล้านพิกเซล กับระบบโฟกัสอัตโนมัติ, ลำโพงเสียงแบบคู่ที่ผ่านการปรับจูนโดย AKG, แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh ที่รองรับการชาร์จเร็วทั้งแบบผ่านสาย-ไร้สาย และสามารถแชร์พลังงานให้กับอุปกรณ์อื่นแบบไร้สายได้อีกต่างหาก

ไม่เพียงเท่านี้ Galaxy S21 Ultra 5G ยังขยายขอบเขตความสามารถของ Galaxy S Series ขึ้นไปอีกขั้นด้วยการรองรับการใช้งานร่วมกับปากกา S Pen เช่นเดียวกับ Galaxy Note Series พร้อมฟีเจอร์ต่าง ๆ สำหรับปากกา S Pen ที่ถอดแบบมาจาก Galaxy Note แทบทั้งหมด หลัก ๆ จะขาดไปก็เพียงแค่ฟังก์ชัน Air Gestures เท่านั้น ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าจบครบทุกอย่างได้ภายในเครื่องเดียวทั้งการใช้งานทั่วไป, การถ่ายภาพ-วิดีโอ, การเล่นเกม, ความบันเทิง ไปจนถึงการใช้งานในเชิงธุรกิจ

โดยสุดยอดฮาร์ดแวร์ทั้งหมดนี้ถูกใส่ไว้ในตัวเครื่องดีไซน์สวยพรีเมียมใหม่ล่าสุดแบบ Contour-Cut Metal Camera ที่ครอบทับด้วยกระจกสุดแกร่งเวอร์ชันล่าสุดอย่าง Corning Gorilla Glass Victus ทั้งด้านหน้า-ด้านหลัง กับกรอบตัวเครื่องที่ผลิตจากอะลูมิเนียม AL7s10 และมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP68 ซึ่งก็น่าติดตามกันต่อว่า Galaxy S22 Ultra ที่กำลังจะเปิดตัวในช่วงต้นปี 2022 จะอัปเกรดขึ้นจาก Galaxy S21 Ultra รุ่นนี้มากขนาดไหน

 

สมาร์ตโฟนเรือธงคุ้มค่ายอดเยี่ยม (Best Value Flagship Smartphone)

แน่นอนว่าถ้าหากเราชี้นิ้วเลือกได้ ทุกคนก็คงจะชี้ไปที่สมาร์ตโฟนเรือธงตัวท็อป แต่ในความเป็นจริงผู้ซื้อจำนวนมากจะติดปัญหาในเรื่องของงบประมาณ เพราะราคาของสมาร์ตโฟนเรือธงตัวท็อปส่วนใหญ่นั้นมักสูงเกินเอื้อม ดังนั้นตัวเลือกที่ดีกว่าคือการมองหาสมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นที่ยังคงมีคุณสมบัติพื้นฐานอยู่ในระดับท็อปในราคาที่คุ้มค่าพอจะเอื้อมถึงได้

ซึ่งรุ่นที่เรายกให้เป็น สมาร์ตโฟนเรือธงคุ้มค่ายอดเยี่ยม แห่งปีก็คือ Xiaomi 11T Pro ที่เปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 16,990 บาท แต่คุณสมบัติหลายอย่างนั้นเทียบเท่ากับสมาร์ตโฟนเรือธงระดับบนที่มีราคาหลายหมื่นเลยทีเดียว ตั้งแต่ชิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง Snapdragon 888 5G, หน่วยความจำ RAM กับ ROM ประสิทธิภาพสูงแบบ LPDDR5 กับ UFS 3.1, พลังชาร์จเร็วแรงเกินมาตรฐานระดับ 120W ด้วยเทคโนโลยี Xiaomi HyperCharge, จอ 120Hz AMOLED Flat DotDisplay ที่แสดงสีสันได้ในระดับ 1.07 พันล้านสี พร้อมรองรับ Dolby Vision กับ HDR10+ แถมยังครอบทับด้วยกระจกสุดแกร่งเวอร์ชันใหม่ล่าสุดอย่าง Corning Gorilla Glass Victus อีกต่างหาก, กล้อง 108 ล้านพิกเซล ที่รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงถึงระดับ 8K ในแบบ HDR10+ ซึ่งรับกับสโลแกน CINEMAGIC ของรุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี และลำโพงเสียงแบบคู่ที่ผ่านการปรับแต่งเสียงโดย Harman Kardon ที่มากับระบบเสียง Dolby Atmos

โดยฟีเจอร์ระดับเรือธงทั้งหมดข้างต้นนี้ถูกใส่ไว้ในตัวเครื่องดีไซน์สวยพรีเมียมที่มีให้เลือก 3 สี 3 สไตล์ด้วยกัน ได้แก่สี Moonlight White กับ Celestial Blue ที่มีพื้นผิวแบบเคลือบกันแสงสะท้อน และสี Meteorite Black ที่มีพื้นผิวแบบโลหะแปรงหยาบ

เรียกได้ว่าแม้จะขาดอะไรบางอย่างไปบ้าง เช่นระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS, เทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย หรือการที่เป็นจอแบบแบน (Flat) ที่อาจดูไม่พรีเมียมเท่าจอขอบโค้งของเรือธงระดับบน แต่ด้วยราคาเท่านี้ กับคุณสมบัติระดับนี้ ก็นับว่าคุ้มค่าน่าจับจองที่สุดแล้ว

 

สมาร์ตโฟนถ่ายภาพยอดเยี่ยม (Best Camera Smartphone)

ความสามารถด้านการถ่ายภาพน่าจะเป็นสิ่งที่สมาร์ตโฟนในยุคนี้แทบทุกรุ่นมักจะหยิบยกมาเป็นจุดขายอันดับต้น ๆ ของตนเอง เพราะฟีเจอร์ที่เจ้าของสมาร์ตโฟนส่วนใหญ่เปิดใช้งานมากที่สุดก็คือการถ่ายรูปนั่นเอง

ซึ่งสมาร์ตโฟนที่ได้ครองตำแหน่ง สมาร์ตโฟนถ่ายภาพยอดเยี่ยม แห่งปีก็คือ HUAWEI P50 Pro ที่ไม่ทำให้เสียชื่อรุ่นพี่สมาร์ตโฟนตระกูล P Series ที่ครองตำแหน่งผู้นำด้านการถ่ายภาพในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และแน่นอนว่ายังคงจับมือร่วมกันพัฒนากับแบรนด์กล้องระดับโลกอย่าง LEICA อยู่เช่นเคย ดังนั้นจึงมั่นใจได้ในคุณภาพ

เทคโนโลยีสำคัญอย่างแรกที่ P50 Pro นำมาใช้ก็คือดีไซน์กล้องแบบ Dual Matrix Camera ซึ่งเป็นการออกแบบให้มีการทำงานร่วมกันของเมตริกที่เป็นกล้อง Super Main Camera กับเมตริกที่เป็นกล้อง SuperZoom เพื่อการถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยมครอบคลุมทุกระยะ อย่างที่สองคือเทคโนโลยี HUAWEI XD Optics ที่เป็นนวัตกรรมล่าสุดของการออกแบบโครงสร้างเลนส์ภายใน เพื่อให้สามารถเก็บรายละเอียดของภาพได้ดีที่สุด และสูญเสียข้อมูลภาพน้อยที่สุด แม้กระทั่งการถ่ายภาพในที่แสงน้อย สุดท้ายคือเทคโนโลยี XD Fusion Pro True-Chroma Image Engine ซึ่งมีการอัปเกรดหน่วยรับแสง หรือ Ambient Light Sensing เพื่อให้รองรับกับช่วงสีกว้างแบบ DCI-P3 พร้อมการปรับเม็ดสีได้มากกว่า 2,000 ระดับ ดังนั้นภาพที่ได้จึงมีสีสันที่สมจริงเหมือนที่ตามองเห็น

รวมทั้งมีช่วงซูมทั้งหมดที่มากถึง 200 เท่า (200x Zoom Range) โดยคิดจากระยะกว้างสุดแบบ Ultra Wide (0.5x) ไปจนถึงระยะไกลสุดแบบ Telephoto (100x) หรือเทียบได้กับทางยาวโฟกัสในช่วง 13 มิลลิเมตร ถึง 2700 มิลลิเมตร เลยทีเดียว

นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีโฟกัสที่รวดเร็วแบบ True-Focus Fast Capture ที่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวได้อย่างคมชัดแม่นยำ กับการถ่ายภาพมาโครได้ในระยะใกล้สุดที่ 2.5 เซนติเมตร

ส่วนกล้องหน้าของ P50 Pro นั้นเป็นกล้องแบบ Ultra Wide True-Chroma ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ซึ่งมีมุมรับภาพกว้าง 100 องศา พร้อมระบบปรับมุมให้กว้างขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อมีคนมาอยู่ในเฟรมหลายคน รวมทั้งระบบโฟกัสอัตโนมัติ ที่มีระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 14 เซนติเมตร เรียกว่าพร้อมรับมือกับการถ่ายเซลฟี่ทุกรูปแบบ

และไม่ใช่แค่เราเท่านั้นที่ยกให้ P50 Pro เป็นที่สุดของสมาร์ตโฟนถ่ายภาพแห่งปี เพราะหากเราอ้างอิงจากสถาบันทดสอบชื่อดังของโลกอย่าง DXOMARK ก็จะพบว่าเจ้าของตำแหน่งอันดับ 1 ของสมาร์ตโฟนที่ถ่ายภาพได้ดีที่สุดในโลกตอนนี้ก็คือ P50 Pro รุ่นนี้เช่นกันนั่นเอง

 

สมาร์ตโฟนถ่ายภาพบุคคลยอดเยี่ยม (Best Portrait Smartphone)

สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนอย่างหนึ่งก็คือ แทบทุกภาพที่เราถ่ายเก็บไว้ในสมาร์ตโฟนนั้น ส่วนใหญ่ก็มักจะมีบุคคล หรือกลุ่มบุคคลอยู่ในภาพเสมอ เพื่อเป็นการเก็บบันทึกความทรงจำว่าใครไปทำอะไรที่ไหน ดังนั้นความสามารถด้านการถ่ายภาพบุคคลนั้นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ สำหรับกล้องบนสมาร์ตโฟน

ซึ่งสมาร์ตโฟนที่โดดเด่นด้านการถ่ายภาพบุคคลมากที่สุดจนได้รับตำแหน่ง สมาร์ตโฟนถ่ายภาพบุคคลยอดเยี่ยม ของเราในปีนี้ก็คือ vivo X70 Pro 5G สมาร์ตโฟนเรือธงกล้อง ZEISS รุ่นอัปเกรดใหม่ ที่นอกจากจะร่วมพัฒนากับบริษัทระดับโลกอย่าง ZEISS แล้ว ก็ได้ใส่ฟีเจอร์ระดับไฮเอนด์สำหรับการถ่ายภาพเอาไว้มากมาย โดยเฉพาะด้านการถ่ายภาพบุคคล (Portrait) นั้นถือว่าน่าประทับใจมากเป็นพิเศษ

เริ่มที่ฮาร์ดแวร์พื้นฐานที่ยอดเยี่ยมอย่างเลนส์กล้อง ZEISS ของ X70 Pro 5G ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการเคลือบที่เรียกว่า ZEISS T* ซึ่งช่วยลดการเกิดแสง Stray Light และแสง Ghosting ทำให้ได้สีสันที่สมจริงทั้งกลางวัน และกลางคืน, สุดยอดระบบป้องกันการสั่นแบบ Ultra-Sensing Gimbal หรือ Gimbal Stabilization 3.0, เซนเซอร์รับภาพ Sony IMX766V ขนาดใหญ่ 1/1.56 นิ้ว ของกล้องหลัก (Wide) กับระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF+Laser AF ผสานกับกล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่มีมุมรับภาพกว้าง 116 องศา และกล้อง Periscope Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ที่ซูมแบบ Optical Zoom ได้สูงสุดถึง 5 เท่า

ด้านกล้อง Portrait นั้นถูกแยกออกมาโดยเฉพาะ โดยเลือกใช้เซนเซอร์รับภาพ Sony IMX663 ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่มีทางยาวโฟกัส 50 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นระยะที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพบุคคล กับระบบซูมแบบ Optical สูงสุด 2 เท่า และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF โดยมาพร้อมกับฟีเจอร์ถ่ายภาพบุคคลอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเลนส์ ZEISS หรือ ZEISS Style Portrait รวม 4 สไตล์ด้วยกัน ได้แก่ Distagon, Planar, Sonnar และ Biostar ซึ่งแต่ละแบบล้วนเสริมให้บุคคลในภาพดูสวยหล่อโดดเด่นไม่เหมือนใคร

สำหรับฟีเจอร์เด่นสำหรับการถ่ายภาพบุคคลก็คือ Portrait Bokeh ที่รองรับการถ่ายในเวลากลางคืนด้วยฟังก์ชัน HDR Super Night Portrait พร้อมรองรับการปรับขนาดของรูรับแสงได้ตั้งแต่ f0.95-f16 รวมทั้งการเลือกสไตล์ของโบเก้ได้ 5 รูปแบบ ทั้งแบบปกติ, Heart, Star, Butterfly และ Cherry Blossom

นอกจากนี้ในส่วนของใบหน้านั้นสามารถเสกให้สวยหล่อได้ดั่งใจนึกแน่นอน เพราะมีฟังก์ชัน Face Beauty ระดับโปรมาให้ใช้งาน ที่ช่วยปรับผิวให้เนียนสวยเป็นธรรมชาติ และสามารถปรับองค์ประกอบในส่วนต่าง ๆ ของใบหน้าได้อย่างอิสระ รวมทั้งมีโทนสีสำหรับการถ่ายภาพบุคคลให้เลือกมากมายตามใจชอบ, การถ่ายวิดีโอพร้อมฟังก์ชัน Face Beauty พร้อมโบเก้แบบ Real-Time และโหมด Super Night Video สำหรับใช้ถ่ายวิดีโอตัวเองด้วยกล้องหน้าในเวลากลางคืน เรียกได้ว่า vivo X70 Pro 5G รุ่นนี้โดนใจสายพอร์ตเทรตแบบไม่ต้องสงสัย

 

สมาร์ตโฟนถ่ายวิดีโอยอดเยี่ยม (Best Camcorder Smartphone)

ในอดีต การผลิตคอนเทนต์วิดีโอคุณภาพหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพึ่งพากล้องดิจิทัลแท้ ๆ แต่ในระยะหลัง ๆ ความสามารถด้านการบันทึกวิดีโอของสมาร์ตโฟนนั้นพัฒนาขึ้นมาก จนในบางครั้งเราอาจจะไม่จำเป็นต้องพกกล้องดิจิทัลตัวใหญ่ ๆ ให้ลำบาก และใช้กล้องสมาร์ตโฟนทดแทนได้อย่างมั่นใจ

โดยในปีนี้สมาร์ตโฟนรุ่นที่พัฒนาความสามารถด้านการบันทึกวิดีโอได้อย่างน่าประทับใจที่สุด จนได้รับตำแหน่ง สมาร์ตโฟนถ่ายวิดีโอยอดเยี่ยม ก็คือ iPhone 13 Pro Max ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก เพราะเดิมที iPhone หลายรุ่นที่ผ่านมา ก็โดดเด่นในเรื่องนี้อยู่แล้วนั่นเอง

สิ่งใหม่ที่ถูกใส่มาเป็นครั้งแรกใน iPhone 13 Pro Max และชวนให้หลายคนรู้สึกทึ่งที่สุดก็คือ Cinematic Mode ซึ่งสามารถการถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอได้คล้ายกับกล้องภาพยนตร์ พร้อมระบบวิเคราะห์จุดโฟกัสอัตโนมัติที่อาศัยความชาญฉลาดของ Advanced Machine Learning Algorithms ในชิปเซ็ต A15 Bionic, การเลือกจุดโฟกัสได้ทั้งขณะถ่าย-หลังถ่าย, การเคลื่อนจุดโฟกัสที่นุ่มนวล, มีโบเก้ที่สวยงาม, สามารถปรับค่ารูรับแสงได้อย่างอิสระ และที่น่าสนใจอีกอย่างคือ Cinematic Mode สามารถบันทึกในรูปแบบของ Dolby Vision HDR ได้อีกด้วย แต่ก็ยังมีจุดที่น่าเสียดายอยู่คือการบันทึกวิดีโอด้วย Cinematic Mode นั้นทำได้ที่ความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 1080P เท่านั้น

ไม่เพียงเท่านี้ นอกจาก Cinematic Mode แล้ว กล้องของ iPhone 13 Pro Max ก็ยังรองรับการบันทึกวิดีโอแบบ ProRes ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K ทั้งกล้องหลัง-กล้องหน้า ซึ่งวิดีโอแบบ ProRes นั้นถูกบีบอัดน้อยกว่า จึงมีความเที่ยงตรงของสีมากกว่า และเก็บรายละเอียดได้ดีกว่า โดยการทำสิ่งนี้ได้นั้นต้องอาศัยฮาร์ดแวร์กล้องใหม่ พร้อม Advanced Video Encoders/Decoders ของชิปเซ็ต A15 Bionic ผสานการถ่ายโอนข้อมูลที่รวดเร็วของ Flash Storage

ซึ่งจะเห็นได้ว่ากล้องหน้า TrueDepth Camera นั้นมีความสามารถด้านการบันทึกวิดีโอที่ใกล้เคียงกับกล้องหลัง เช่นการบันทึกวิดีโอแบบ Dolby Vision HDR ได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K (60 fps), การบันทึกวิดีโอด้วย Cinematic Mode หรือการบันทึกวิดีโอแบบ ProRes ที่กล่าวถึงไปในข้างต้น

นอกจากนี้ยังมีระบบป้องการสั่นที่ยอดเยี่ยมซึ่งพัฒนามาเพื่อการบันทึกวิดีโอโดยเฉพาะนั่นคือ Dual Optical Image Stabilization กับ Sensor-Shift Optical Image Stabilization ที่ช่วยให้ฟุตเทจของเราดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น รวมทั้งมีช่วงซูมวิดีโอแบบ Optical Zoom สูงสุด 6 เท่าเช่นเดียวกับการถ่ายภาพนิ่ง และมีช่วงซูมวิดีโอแบบ Digital Zoom สูงสุด 9 เท่า

ส่วนการทำงานนั้นสามารถจบได้ภายในเครื่องเดียวแบบ End-to-End ตั้งแต่ถ่าย-ตัดต่อ-แชร์ แม้กระทั่งในรูปแบบของ Dolby Vision หรือ ProRes สรุปแล้วเรียกได้ว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่เราเชื่อใจในเรื่องงานวิดีโอได้มากที่สุดในชั่วโมงนี้

 

สมาร์ตโฟนดีไซน์ยอดเยี่ยม (Best Design Smartphone)

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งแรกของสมาร์ตโฟนที่จะสะดุดสายตาคนรอบข้างมากที่สุดก็คือดีไซน์ภายนอก ดังนั้นเรื่องของรูปลักษณ์จึงเป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรก ๆ ที่ไม่มีผู้ซื้อคนไหนมองข้ามไปได้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทุกครั้งที่เปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ บรรดาแบรนด์ต่าง ๆ ก็จะพยายามชูจุดขายเรื่องดีไซน์ไว้เป็นไฮไลท์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของเอกลักษณ์เฉพาะตัว, วัสดุที่ใช้, ความแข็งแรงทนทาน, อุปกรณ์เสริมที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ รวมทั้งที่มาที่ไปอันชวนให้หลงไหล

ซึ่งสมาร์ตโฟนที่มีครบทุกปัจจัย และได้ครองตำแหน่ง สมาร์ตโฟนดีไซน์ยอดเยี่ยม ประจำปีนี้ก็คือ Samsung Galaxy Z Flip3 5G สมาร์ตโฟนจอพับได้ในสไตล์ตลับแป้ง หรือฝาหอย (Clamshell) สุดเท่เก๋ไก๋ ที่มีการปรับดีไซน์ให้สวยลงตัวขึ้นจาก Galaxy Z Flip รุ่นแรก ทั้งขอบจอที่บางเฉียบลงกว่าเดิม, การเล่นสีแบบทูโทน, จอด้านนอกที่ใหญ่ขึ้น รองรับการใช้งานได้ดีขึ้น, ตัวเลือกสีที่มากขึ้น, ความหนาของแกนบานพับที่ลดลง, ความหนาขณะกางจอที่ลดลง, ความกว้างของตัวเครื่องที่ลดลง, ความสูงขณะพับจอที่ลดลง และความสูงขณะกางจอที่ลดลง เรียกว่ามีมิติโดยรวมที่ดีขึ้น และมีเอกลักษณ์สวยสะดุดตาผู้ที่ได้พบเห็น

นอกจากนี้ แม้จะเป็นสมาร์ตโฟนจอพับ ก็ยังสามารถพกพา หรือใช้งานได้คล่องตัวไม่แพ้สมาร์ตโฟนทั่วไป เช่นขณะพับจอก็จะมีขนาดลดลงเหลือเพียง 4.2 นิ้ว และเมื่อกางออกก็จะกลายเป็นสมาร์ตโฟนหน้าจอ 6.7 นิ้วระดับท็อปเครื่องหนึ่ง ที่บางเฉียบเพียง 6.9 มิลลิเมตรเท่านั้น

ด้านความแข็งแรงทนทานก็ดีเยี่ยมด้วยการอัปเกรดมาใช้โลหะ Armor Aluminium ที่ส่วนของบานพับ กับกรอบตัวเครื่อง, กระจก Samsung Ultra Thin Glass ที่พัฒนามาเพื่อจอพับโดยเฉพาะ ซึ่งทนทานกว่าเดิมถึง 80%, กระจกนิรภัย Corning Gorilla Glass Victus สุดแกร่งที่ครอบทับทั้งด้านหน้า-ด้านหลัง, เลนส์กล้องหลักที่ครอบทับด้วยกระจก Super Clear Glass กับ Corning Gorilla Glass with DX รวมทั้งยังเป็นสมาร์ตโฟนจอพับรุ่นแรกของโลกที่มีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP68 อีกต่างหาก

สุดท้ายก็ยังมีเคสสวย ๆ หลากหลายรูปแบบ ที่ผลิตมาเพื่อ Galaxy Z Flip3 5G โดยเฉพาะทั้ง Silicone Cover with Ring, Silicone Cover with Strap, Clear Cover with Ring, Leather Cover และ Aramid Cover ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นรุ่นพิเศษอย่าง Galaxy Z Flip3 Thom Browne Edition หรือที่จับคู่สีเองได้อย่าง Bespoke ก็จะยิ่งสวยพรีเมียมสะดุดตาไม่ซ้ำใครขึ้นไปอีกขั้น

 

สมาร์ตโฟนนวัตกรรมยอดเยี่ยม (Best Innovation Smartphone)

ปีนี้ก็นับเป็นอีกปีที่มีนวัตกรรมของวงการสมาร์ตโฟนเผยโฉมออกมามากมาย รวมทั้งนวัตกรรมเกี่ยวกับหน้าจอแสดงผล ซึ่งหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ที่ถูกนำมาทำตลาดอย่างจริงจังบนสมาร์ตโฟนในปีนี้ก็คือนวัตกรรมจอพับได้ (Foldable Display) ที่มาเริ่มเข้าที่เข้าทางในช่วง 2-3 ปีหลังนี้ แต่ล่าสุดนวัตกรรมที่ทำให้เราประทับใจยิ่งกว่าก็คือนวัตกรรมจอม้วนได้ (Rollable OLED Display) บน OPPO X 2021

สำหรับ OPPO X 2021 นั้นได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการ ด้วยนวัตกรรมจอม้วนได้ (Rollable OLED Display) ซึ่งเป็นการพลิกโฉม พร้อมแก้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับเทคนิคการขยายหน้าจอแบบเดิม ๆ เช่นหากเป็นนวัตกรรมจอพับ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดรอยพับที่บริเวณกึ่งกลางหน้าจอ ที่ทำให้การแสดงผลในบริเวณดังกล่าวมีเงาสะท้อนในบางสถานการณ์ รวมถึงเกิดส่วนนูนส่วนเว้าที่ทำให้การสัมผัสไม่ราบเรียบเสมอกัน แต่จอม้วนได้บน OPPO X 2021 นั้นได้ลบจุดอ่อนเหล่านี้ไปจนหมดสิ้น

โดยนวัตกรรมจอม้วนได้บน OPPO X 2021 เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้สามารถยืดขยายหน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ให้กลายเป็นหน้าจอขนาด 7.4 นิ้ว ได้อย่างแนบเนียนจนแทบไม่ทันสังเกต ด้วยกลไกระบบส่งกำลังที่เรียกว่า Roll Motor Powertrain ที่ใช้มอเตอร์ 2 ตัวในการขับเคลื่อนด้วยแรงคงที่สม่ำเสมอ พร้อมการออกแบบลูกปืนสำหรับขับเคลื่อนมาเป็นอย่างดี ด้วยการซ่อนแกนกลางไว้ที่ด้านข้างของจอแสดงผล โดยหน้าจอแสดงผลจะเคลื่อนที่แบบไร้ร่องรอยไปตามแกนกลางนี้ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 6.8 มิลลิเมตร

นอกจากนี้ยังทำงานผสานกับนวัตกรรม 2-in-1 Plate ที่ช่วยให้หน้าจอไม่มีช่องว่างระหว่างส่วนต่างๆ เพื่อรองรับหน้าจอไม่ให้ยุบเข้าไปด้านใน ด้วยชั้นวาง 2 แผ่นด้านซ้าย-ด้านขวา ที่มีลักษณะโครงสร้างที่คล้ายหวี ประกอบกับ Dynamic Frame แบบใหม่ที่มีกรอบคงที่ กับกรอบเคลื่อนที่ เพื่อรองรับการเลื่อนของตัวเครื่องขณะยืดหดหน้าจอ เช่นฝาปิดแบตเตอรี่ที่ด้านหลัง

รวมทั้งนวัตกรรมหน้าจอลามิเนตที่เรียกว่า Warp Track ที่ช่วยให้จอสามารถม้วนได้อย่างอิสระโดยปราศจากรอยพับ (Zero Crease) ด้วยคุณสมบัติของความยืดหยุ่นเมื่อมีการโค้งงอ โดยทาง OPPO เลือกใช้เหล็กความแข็งแรงสูงมาเป็นวัสดุหลัก กับลามิเนตที่บางเฉียบที่สุดเพียง 0.1 มิลลิเมตร

เรียกว่ากว่าจะออกมาเป็นคอนเซ็ปต์สมาร์ตโฟนจอม้วนได้อย่าง OPPO X 2021 เครื่องนี้ ทาง OPPO ก็ต้องยื่นขอสิทธิบัตรรวมกว่า 122 รายการ และในนี้ก็มีอยู่ถึง 12 รายการที่เกี่ยวข้องกับกลไกการม้วนหน้าจอโดยเฉพาะ

 

สมาร์ตโฟนประสิทธิภาพยอดเยี่ยม (Best Performance Smartphone)

สิ่งที่สร้างประสบการณ์ที่ดีของการใช้งานสมาร์ตโฟนโดยรวมก็คือประสิทธิภาพของการประมวลผลที่เร็วแรงลื่นไหลไม่มีสะดุด รวมถึงซอฟต์แวร์ที่มีความเสถียรมั่นใจได้ ที่สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นต่อเนื่องไม่หยุดค้างกลางคันในทุกการใช้งาน หรือทุกแอปพลิเคชัน

ซึ่งสมาร์ตโฟนที่ทำได้ดีที่สุดในเรื่องนี้จนได้รับตำแหน่ง สมาร์ตโฟนประสิทธิภาพยอดเยี่ยม แห่งปีก็คือ iPhone 13 Pro Max ที่มาพร้อมกับชิปเซ็ตตัวใหม่ที่เร็วแรงที่สุดในวงการอย่าง A15 Bionic ซึ่งทาง Apple เคลมว่าเร็วกว่าคู่แข่งอยู่ถึง 50% (คาดว่า Apple น่าจะหมายถึง Snapdragon 888 หรือ Snapdragon 888+) โดยชิปเซ็ต A15 Bionic นี้เป็นการยกระดับการทำงานทั้งในส่วนของการแสดงผล, กล้องถ่ายภาพ, กล้องวิดีโอ, เกม และอื่น ๆ

เบื้องหลังของความแรงนี้คือจำนวนทรานซิสเตอร์ที่เพิ่มขึ้นเป็น 15 พันล้านตัว (เดิมใน A14 Bionic มี 11.8 พันล้านตัว), หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ที่เพิ่มขึ้นเป็น 5-Core (เดิม 4-Core) ซึ่งส่งผลให้ประมวลผลกราฟิกได้เร็วกว่าคู่แข่ง 30%, หน่วยประมวลผล 16-Core Neural Engine ที่เร็วกว่าเดิม จนสามารถประมวลผลได้มากถึง 15.8 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที ส่งผลให้ระบบ Machine Learning ทำงานได้เร็วขึ้น, มี System Cache ที่เร็วขึ้น 2 เท่า, ตัวเข้ารหัส/ถอดรหัสวิดีโอเวอร์ชันใหม่, หน่วยประมวลผลภาพ (ISP) ตัวใหม่ ที่เพิ่มประสิทธิภาพของ Noise Reduction กับ Tone Mapping, หน่วยประมวลผล Display Engine ตัวใหม่ และการรองรับการบีบอัดแบบ Wider Lossy Compression

ดังนั้นด้วยฮาร์ดแวร์ด้านการประมวลผลชั้นยอดข้างต้นนี้ เมื่อทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการชั้นดีใหม่ล่าสุดอย่าง iOS 15 กับแอปพลิเคชันคุณภาพสูงมากมายใน App Store จึงช่วยให้ iPhone 13 Pro Max นั้นสามารถปลดปล่อยประสิทธิภาพด้านการประมวลผลอันทรงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่

 

สมาร์ตโฟนเพื่อการทำงานยอดเยี่ยม (Best Business Smartphone 2021)

ต้องยอมรับว่าในยุคนี้สมาร์ตโฟนได้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของใครหลาย ๆ คนไปแล้ว เพราะไม่ว่าเราจะไปไหน หรือทำอะไร ก็มักจะต้องพกสมาร์ตโฟนติดตัวไว้อยู่เสมอ ซึ่งในด้านหนึ่งก็อาจจะทำให้เราละเลยกับสิ่งสำคัญอื่น ๆ ในชีวิต แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีข้อดีคือช่วยให้เรามีอุปกรณ์ที่สามารถใช้ทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา เรียกว่าบางคนใช้สมาร์ตโฟนทำงานแบบจริงจังกันเลยทีเดียว

โดยสมาร์ตโฟนที่สามารถตอบโจทย์คนรักงานได้ดีที่สุดแห่งปีจนได้รับตำแหน่ง สมาร์ตโฟนเพื่อการทำงานยอดเยี่ยม ก็คือ Samsung Galaxy Z Fold3 5G ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก เพราะสมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นใหญ่นี้มีองค์ประกอบครบจบทุกด้านที่คนทำงานต้องการอยู่ภายในเครื่องเดียว

เริ่มที่สไตล์พื้นฐานของตัวเครื่องเองที่มาในรูปแบบของสมาร์ตโฟนจอพับ (Foldable) ดังนั้นจึงสามารถเป็นได้ทั้งสมาร์ตโฟนหน้าจอขนาด 6.2 นิ้ว สำหรับการใช้งานทั่วไปที่ต้องอาศัยความคล่องตัว และแท็บเล็ตที่มีหน้าจอขนาด 7.6 นิ้ว สำหรับการใช้งานที่จริงจังมากขึ้น ดังนั้นเราจึงสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการทำงานในแต่ละสถานที่ได้ตลอดเวลา

อีกอย่างก็คือ เดิมทีรางวัลนี้อาจต้องตกเป็นของสมาร์ตโฟนตระกูล Galaxy Note ไปแบบเอกฉันท์ แต่ด้วยการที่ Galaxy Z Fold3 นั้นพัฒนาจนกลายเป็นสมาร์ตโฟนจอพับรุ่นแรกของโลกที่สามารถรองรับการใช้งานร่วมกับปากกา S Pen (S Pen Fold Edition หรือ S Pen Pro) ได้ รวมทั้งปีนี้ไม่มี Galaxy Note รุ่นใหม่เปิดตัว ดังนั้นการผนวกรวมระหว่างจอพับได้ขนาดใหญ่ กับปากกา S Pen ที่มาพร้อมฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ถอดแบบมาจาก Galaxy Note แทบทุกอย่าง ซึ่งฟีเจอร์เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อการทำงานแบบจริงจังอยู่แล้ว จึงทำให้ Galaxy Z Fold3 นั้นกลายเป็นที่สุดในด้านนี้ไปโดยปริยาย

รวมทั้งคุณสมบัติในด้านอื่น ๆ ก็คอยสนับสนุนให้การทำงานทุกรูปแบบเป็นไปได้อย่างราบรื่น ทั้งการประมวลผลที่มีประสิทธิภาพ, หน้าจอแสดงผลที่ยอดเยี่ยมทั้งจอหลัก-จอด้านนอก, วัสดุที่แข็งแรงทนทาน, การเชื่อมต่อที่ครบถ้วน, พื้นที่เก็บบันทึกข้อมูลขนาดใหญ่, แบตเตอรี่ความจุสูงที่ชาร์จได้ไวทั้งแบบใช้สาย-ไร้สาย, กล้องถ่ายภาพระดับโปร และที่ช่วยยกระดับการทำงานให้สมบูรณ์แบบขึ้นไปอีกขั้นก็คือการเชื่อมต่อใช้งานในรูปแบบของเครื่องเดสก์ท็อปผ่านฟีเจอร์ Samsung DeX นั่นเอง

 

สมาร์ตโฟนเล่นเกมยอดเยี่ยม (Best Gaming Smartphone)

หนึ่งในกิจกรรมที่ผู้ใช้งานสมาร์ตโฟนหลายคนติดกันงอมแงมไม่แพ้เล่นโซเชียลก็คือการเล่นเกม ซึ่งแน่นอนว่าสมาร์ตโฟนแทบทุกรุ่นนั้นสามารถเล่นเกมยอดนิยมทั่วไปได้แบบสบาย ๆ แต่สำหรับเกมเมอร์ที่เอาจริงเอาจังในด้านนี้ และให้ความสำคัญกับผลแพ้ชนะ หรือสถิติที่เหนือกว่าคู่แข่ง การลงทุนเลือกสมาร์ตโฟนเกมมิ่งแท้ ๆ ก็จะช่วยสร้างความได้เปรียบ และอรรถรสในการเล่นมากขึ้น

ซึ่งรุ่นที่สามารถตอบโจทย์เหล่าเกมมิ่งตัวจริงได้ดีที่สุดในปีนี้จนได้รับรางวัล สมาร์ตโฟนเล่นเกมยอดเยี่ยม ก็คือ ASUS ROG Phone 5s Pro ที่ถึงแม้จะมีราคาที่สูงเอาการถึง 39,990 บาท แต่ความแรง และฟีเจอร์ต่าง ๆ ก็คือว่าเป็นที่สุดสำหรับสายเกมมิ่งเช่นเดียวกัน เรียกว่าสมราคาค่าตัว

จุดขายพื้นฐานอย่างแรกที่อยู่เบื้องหลังความแรงก็คือชิปเซ็ต Snapdragon 888+ 5G หน่วยประมวลผลตัวท็อปล่าสุดจากค่าย Qualcomm ที่ทำงานผสานกับหน่วยประมวลกราฟิก Adreno 660, หน่วยความจำ RAM ความเร็วสูงแบบ LPDDR5 ที่มีขนาดใหญ่จุใจกว่าใครถึง 18GB และหน่วยความจำ ROM ความเร็วสูงแบบ UFS 3.1 ขนาดใหญ่ถึง 512GB เรียกว่าด้านความเร็วแรงนั้นเหนือกว่าสมาร์ตโฟนแอนดรอยด์เรือธงตัวท็อปทั่ว ๆ ไปอยู่ระดับหนึ่ง

ด้านฮาร์ดแวร์ในส่วนอื่น ๆ นั้นก็ล้วนอยู่ในระดับท็อป ทั้งหน้าจอ Samsung E4 AMOLED ที่มีค่า Refresh Rate สูงเกินมาตรฐานที่ 144Hz ซึ่งมากับชิป PixelWorks i6 สำหรับการประมวลผลภาพโดยเฉพาะ ผสานกับจอ ROG Vision Matrix ที่ด้านหลังตัวเครื่อง, แบตเตอรี่ความจุ 6000 mAh แบบ Dual MMT กับพลังชาร์จ 65W, ระบบระบายความร้อนแบบ GameCool 5, ลำโพงเสียงแบบคู่ที่ใช้แม่เหล็ก 7 ตัวต่อข้าง แบบ 7-Magnet 12x16 Super Linear Speakers, กล้องหลังแบบ 3 ตัว ความละเอียดสูงสุดของกล้องหลักที่ 64 ล้านพิกเซล ด้วยเซนเซอร์ Sony IMX686 ขนาดใหญ่ 1/1.7 นิ้ว ที่รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงถึงระดับ 8K

ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือความสามารถที่พัฒนามาเพื่อเกมเมอร์โดยเฉพาะอย่างปุ่มควบคุมพิเศษแบบ Air Trigger 5 ที่ช่วยให้การควบคุมเหนือกว่าสมาร์ตโฟนทั่วไป พร้อมปรับแต่งได้เองอย่างอิสระ, ระบบเสียง GameFX ที่สร้างเอกเฟกต์เสียงอันทรงพลังผ่านทางลำโพงคู่คุณภาพระดับ AudioPhile ที่มากับแอมพลิฟายเออร์ Cirrus Logic CS35L45, พัดลมระบายความร้อน Aero Active Cooler 5 ที่ช่วยลดอุณหภูมิลงได้อีก 10 องศาเซลเซียส พร้อมปุ่มควบคุมเสริม 2 ปุ่มเพื่อมอบประสบการณ์ในแบบเครื่องเกมคอนโซล ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 11 ที่่ครอบทับด้วย ROG UI ซึ่งพัฒนามาเพื่อเหล่าเกมเมอร์โดยเฉพาะ

 

สมาร์ตโฟนจอพับยอดเยี่ยม (Best Foldable Smartphone)

เมื่อจอแสดงผลรูปแบบเดิม ๆ บนสมาร์ตโฟนพัฒนามาจนถึงจุดอิ่มตัว ก็เหมือนเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมของจอแสดงผล และทำตลาดอย่างจริงจัง ซึ่งนวัตกรรมที่เป็นคำตอบของช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาก็คือนวัตกรรมจอพับได้ ที่ช่วยสร้างความคึกคักให้กับวงการสมาร์ตโฟนอีกครั้ง และบรรดาแบรนด์ชั้นนำของโลกต่างก็ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้

ซึ่งรุ่นที่เรายกตำแหน่ง สมาร์ตโฟนจอพับยอดเยี่ยม ประจำปีนี้ให้ก็คือ Samsung Galaxy Z Fold3 5G ที่ดูจะทำได้ดี และใช้งานได้ลงตัวที่สุด รวมทั้งได้รวมเอานวัตกรรมล่าสุดของสมาร์ตโฟนจอพับเอาไว้ในเครื่องเดียว อีกทั้งยังมีการพัฒนาต่อยอดให้ดีขึ้นจาก Galaxy Z Fold2 หลายจุดด้วยกัน ทั้งดีไซน์ที่สวยลงตัวมากขึ้น, ความแข็งแกร่งทนทานที่มากขึ้น, มิติตัวเครื่อง กับน้ำหนักที่ดีขึ้น, การทนน้ำ, กล้องซ่อนใต้หน้าจอ, การรองรับปากกา S Pen, ประสิทธิภาพด้านการประมวลผล และอีกมากมาย ในราคาที่จับต้องได้ง่ายกว่าเดิม

โดยเฉพาะเรื่องความแข็งแกร่งซึ่งเป็นเรื่องสำคัญของสมาร์ตโฟนจอพับก็มั่นใจได้มากขึ้น ด้วยการอัปเกรดมาใช้โลหะ Armor Aluminum ที่ส่วนของบานพับ กับกรอบตัวเครื่อง จึงทนทานมากขึ้น 10% ผสานกับกระจก Samsung Ultra Thin Glass ที่ทนทานมากกว่าเดิมถึง 80% รวมแล้วจึงทนต่อการกางตัวเครื่องได้มากกว่า 200,000 ครั้ง หรือคิดง่าย ๆ คือหากเราพับวันละ 100 ครั้ง ก็จะใช้งานได้นานราว 5 ปีครึ่งเลยทีเดียว, การครอบทับด้วยกระจกสุดแกร่งใหม่ล่าสุดจากค่าย Corning อย่าง Gorilla Glass Victus ทั้งด้านหน้า-ด้านหลัง และเลนส์กล้องหลังที่ครอบทับด้วยกระจก Super Clear Glass กับ Corning Gorilla Glass with DX

ด้านการใช้งานก็นับว่าออกแบบมาได้อย่างลงตัวกับการที่เป็นสมาร์ตโฟนจอพับ ทั้งการปรับองศาของการพับหน้าจอได้หลายระดับ เช่นการใช้งานใน Flex Mode ที่เมื่อเราพับจอในระดับ 75-155 องศา เครื่องก็จะแบ่งหน้าจอออกเป็น 2 ส่วน, การเปิดใช้งานพร้อมกัน 3 หน้าต่างด้วย Multi Window หรือพร้อมกัน 4 หน้าต่างด้วย Pop-up Window บนหน้าจอที่ใหญ่ถึง 7.6 นิ้ว, หน้าจอ Cover Screen ที่แสดงผลได้ดีขึ้น ลื่นขึ้น พร้อมรองรับการใช้งาน Multi Window และที่สำคัญคือเป็นสมาร์ตโฟนจอพับรุ่นแรกของโลกที่สามารถใช้งานร่วมกับปากกา S Pen ได้ พร้อมฟีเจอร์เด่นต่าง ๆ ที่ถอดแบบมาจาก Galaxy Note เลยทีเดียว

 

สมาร์ตโฟนจอแสดงผลยอดเยี่ยม (Best Display Smartphone)

สิ่งที่เราต้องใช้สายตาจับจ้องมากที่สุดในตัวของสมาร์ตโฟนก็คือหน้าจอแสดงผล ดังนั้นจะว่าไปแล้วหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของสมาร์ตโฟนที่เราควรต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก ๆ ก็คือหน้าจอแสดงผลนั่นเอง เพราะนอกจากเรื่องของความละเอียดคมชัด, การแสดงผลที่สวยงาม, ความลื่นไหล หรือการตอบสนองแล้ว เรื่องของการถนอมสุขภาพสายตาก็นับว่ามองข้ามไม่ได้เช่นกัน

ซึ่งสมาร์ตโฟนที่มีหน้าจอแสดงผลอันยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบในทุกด้านที่เราเลือกก็คือ OPPO Find X3 Pro ที่มากับหน้าจอ 1 พันล้านสี (1.07 พันล้านสี : 10-bit) ที่ใส่นวัตกรรมด้านการแสดงผลมาให้แบบจัดเต็ม ตั้งแต่ระบบประมวลผลภาพสีแบบ 10-bit Full-Path Colour Engine ที่ช่วยให้การไล่สีมีรายละเอียดที่สวยเนียนสมจริง, เทคโนโลยี Colour Vision Enhancement ที่ช่วยชดเชยค่าสี เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพด้านการมองเห็นสีของผู้ที่มีอาการ Color Vision Deficiency (CVD) ให้มองเห็นเฉดสีได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งทาง OPPO นั้นเอาจริงจังกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ โดยได้ก่อตั้งศูนย์วิจัย Colour Research Lab สำหรับศึกษาเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการมองเห็นของมนุษย์โดยเฉพาะ

นอกจากนี้หน้าจอของ OPPO Find X3 Pro ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี 120Hz Dynamic Refresh Rate ที่สามารถปรับเปลี่ยนอัตราการรีเฟรชหน้าจอตามการใช้งานได้ตั้งแต่ 1Hz-120Hz เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน, เทคโนโลยี O1 Ultra Vision Engine ที่ช่วยแปลงคอนเทนต์วิดีโอมาตรฐานแบบ SDR ให้กลายเป็นแบบ HDR ที่มี Dynamic Range มากกว่า ทั้งรายละเอียดในที่มืด-สว่าง กับสีสันที่ดีขึ้น, เทคโนโลยี O-Sync Display Hyper Response Engine ที่ช่วยเชื่อมหน้าจอกับ CPU เข้าด้วยกัน โดยเมื่อเราสัมผัส หน้าจอจะตอบสนองทันที นั่นคือหน้าจอ กับระบบประมวลผลจะเร็วขึ้นถึง 3 เท่า ทำให้การเล่นเกมตอบสนองได้รวดเร็วทันใจไร้การสะดุด และเทคโนโลยี 8192-Level Natural Brightness ที่สามารถรับรู้สภาพแวดล้อมของเรา แล้วช่วยปรับความสว่าง กับอุณหภูมิสีให้เหมาะสมอย่างนุ่มนวลโดยอัตโนมัติได้ถึง 8192 ระดับ เพื่อปกป้องดวงตาของเรา

โดยหน้าจอแสดงผลของ OPPO Find X3 Pro นั้นเป็นหน้าจอขอบโค้งแบบ LTPO AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ QHD+ (3216x1440 พิกเซล : 525 PPI) พร้อมพื้นที่แสดงผล 92.7%, ค่า Touch Sampling Rate สูงสุด 240Hz, แสดงผลช่วงสีแบบ NTSC ได้ 104%, แสดงผลช่วงสีแบบ DCI-P3 ได้ 100%, แสดงผลช่วงสีแบบ sRGB ได้ 100%, ค่า Contrast Ratio สูงสุดที่ 12,000,000:1 (Dynamic), ค่าความสว่างสูงสุดที่ 1300 nits (Peak), รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10+ และจากการทดสอบของสถาบันทดสอบหน้าจอระดับโลกอย่าง DisplayMate ก็พบว่าหน้าจอของ OPPO Find X3 Pro นั้นมีความแม่นยำของสีสูงมาก ด้วยคะแนนความแม่นยำของสี (JNCD) ที่ 0.4 ซึ่งค่า JNCD นี้ยิ่งเข้าใกล้เลข 0 มากเท่าใด สีสันก็จะยิ่งสมจริงเหมือนกับที่ตาเห็นมากเท่านั้น

 

สมาร์ตโฟนแบตเตอรี่ยอดเยี่ยม (Best Battery Smartphone)

กิจวัตรประจำวันที่ผู้ใช้งานสมาร์ตโฟนทุกคนต้องทำก็คือการชาร์จแบตเตอรี่ ซึ่งชีวิตคงจะดีขึ้นมากหากแบตเตอรี่บนสมาร์ตโฟนของเรามีความอึดไม่ต้องชาร์จบ่อย ๆ รวมทั้งหากต้องชาร์จก็สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็วไม่ต้องเสียเวลาคอยนาน ยิ่งถ้าเกิดลืมชาร์จขึ้นมาในชั่วโมงเร่งด่วนด้วยแล้ว สถานการณ์ก็คงจะดูไม่สวยนัก

ซึ่งสมาร์ตโฟนที่สามารถตอบโจทย์ได้ดีเยี่ยมที่สุดครบทั้ง 2 มิติ จนได้รับตำแหน่ง สมาร์ตโฟนแบตเตอรี่ยอดเยี่ยม ในปีนี้ไปครองก็คือ Xiaomi 11T Pro ที่มาพร้อมกับแบตเตอรี่ใหญ่จุใจที่ขนาด 5000 mAh ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดวันแบบสบาย ๆ อย่างไรก็ดีไฮไลท์จริง ๆ นั้นไม่ได้อยู่ที่ความจุของแบตเตอรี่ เพราะจะว่าไปแล้วแบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh นั้น เราก็สามารถหาได้จากสมาร์ตโฟนอีกหลาย ๆ รุ่นเช่นกัน แต่อาวุธหนักที่แท้จริงของ Xiaomi 11T Pro ก็คือพลังชาร์จที่เร็วแรงที่สุดในโลกถึงระดับ 120W ด้วยเทคโนโลยี Xiaomi HyperCharge ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ภายในเวลาเพียง 17 นาทีเท่านั้น นั่นหมายความว่าตอนเช้าพอเราลุกจากที่นอนมาเสียบสายชาร์จ ยังไม่ทันที่จะเริ่มอาบน้ำ แบตเตอรี่ก็อาจเต็มก่อนแล้ว

นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Dual Charg-Pump ที่ช่วยเพิ่มกระแสไฟขาเข้า พร้อมกับลดความร้อน, เทคโนโลยี Mi-FC ที่ช่วยขยายระยะเวลาที่ใช้กระแสไฟสูง พร้อมลดความหน่วงของการชาร์จ, เทคโนโลยี MTW ที่มีแถบชาร์จมากกว่า เพื่อลดความต้านทานภายใน และเทคโนโลยีแบตเตอรี่แบบ Dual-Cell พร้อมกราฟีน ที่นำไฟฟ้าได้ดีกว่า, ระบบระบายความร้อนแบบ LiquidCool และรองรับการชาร์จที่อุณหภูมิ -10°C

ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยพลังชาร์จระดับ 120W นี้ เรื่องความปลอดภัยก็ต้องมาเต็มด้วยเช่นกัน ด้วยฟีเจอร์ความปลอดภัยกว่า 34 อย่าง, ระบบตรวจสอบอุณหภูมิแบบ Real-Time ด้วยเซนเซอร์ 9 ตัว, ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยของระบบชาร์จเร็วจากสถาบัน TUV Rheinland และมีวงรอบการชาร์จ (Charge Cycles) มากถึง 800 รอบ

 

สมาร์ตโฟนกะทัดรัดยอดเยี่ยม (Best Compact Smartphone)

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สมาร์ตโฟนส่วนมากมักชูจุดขายเรื่องจอแสดงผลขนาดใหญ่ เพื่อการรับชมคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้อย่างเต็มอรรถรส แต่ก็ต้องแลกมาด้วยขนาดตัวเครื่องที่ตุงกระเป๋า กับน้ำหนักที่ทะลุหลัก 200 กรัม ซึ่งหลายคนก็ไม่ได้ต้องการหน้าจอที่ใหญ่ขนาดนั้น แต่กลับต้องการสมาร์ตโฟนที่มีความคล่องตัว ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา พร้อมทั้งมีประสิทธิภาพที่ดี และมีคุณสมบัติที่ครบเครื่องรองรับได้ทุกการใช้งาน

โดยสมาร์ตโฟนที่ตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ดีที่สุด และได้รับตำแหน่ง สมาร์ตโฟนกะทัดรัดยอดเยี่ยม แห่งปีก็คือ iPhone 13 mini ซึ่งมีมิติตัวเครื่องที่เล็กบางเบาที่สุดในตระกูล iPhone 13 Series ด้วยหน้าจอที่มีขนาดเพียง 5.4 นิ้ว ที่หาได้ยากจากสมาร์ตโฟนยุคนี้ที่มักจะมีหน้าจอใหญ่ระดับ 6 นิ้วขึ้นไป โดยหากเทียบกับรุ่นใหญ่อย่าง iPhone 13 Pro Max ก็จะพบว่ามีมิติตัวเครื่องที่ต่างกันมากเลยทีเดียว เริ่มด้วยหน้าจอที่เล็กกว่า 1.3 นิ้ว, ความสูงที่น้อยกว่า 29.3 มิลลิเมตร, ความกว้างที่น้อยกว่า 13.9 มิลลิเมตร และน้ำหนักที่น้อยกว่า 97 กรัม ดังนั้นแน่นอนว่าการพกพา หรือการจับถือขึ้นมาใช้งานจึงสะดวกคล่องตัวกว่าอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งเมื่อเทียบกับสมาร์ตโฟนส่วนใหญ่ในท้องตลาดด้วยเช่นกัน

แต่เห็นตัวเล็ก ๆ แบบนี้ก็ใช่ว่าประสิทธิภาพจะเล็กตาม เพราะ iPhone 13 mini นั้นใช้ชิปเซ็ตที่เร็วแรงที่สุดในชั่วโมงนี้อย่าง A15 Bionic เช่นเดียวกับรุ่นใหญ่ ดังนั้นประสบการณ์ในการใช้งานโดยรวมจึงยอดเยี่ยมไม่ต่างกัน เรียกว่าหากนับกันเฉพาะประสิทธิภาพด้านการประมวลผลก็ไม่แพ้สมาร์ตโฟนเรือธงตัวท็อปจากค่ายคู่แข่งอย่างแน่นอน

รวมทั้งคุณสมบัติในด้านอื่น ๆ ก็นับว่าอยู่ในระดับไฮเอนด์ ทั้งหน้าจอแบบ OLED Super Retina XDR ที่รองรับคอนเทนต์แบบ HDR กับช่วงสีกว้างแบบ DCI-P3, การทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP68, กล้องคู่ระดับโปรที่มีระบบซูมแบบ 2x Optical Zoom กับระบบป้องกันการสั่นแบบ Sensor-Shift Optical Image Stabilization รวมทั้งเทคโนโลยี Deep Fusion กับ Smart HDR 4, รองรับการบันทึกวิดีโอแบบ Cinematic Mode กับ Dolby Vision HDR ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K, กล้องหน้า TrueDepth กับคุณสมบัติพื้นฐานในด้านอื่น ๆ ที่แทบไม่ต่างจากรุ่นใหญ่ และที่สำคัญคือสามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ง่ายกว่า ด้วยราคาที่ย่อมเยากว่าด้วยนั่นเอง

 

สมาร์ตโฟนทนทานยอดเยี่ยม (Best Rugged Smartphone 2021)

นับว่าหาได้ยากที่ค่ายใดจะจริงจังกับการทำตลาดสมาร์ตโฟนที่เน้นความแข็งแกร่งทนทานเพื่อการใช้งานที่สมบุกสมบันเป็นหลัก ด้วยเหตุที่ตลาดกลุ่มนี้ไม่ใช่ตลาดกลุ่มใหญ่ และมักใช้งานกันเฉพาะในองค์กร แต่ในปีนี้ก็มีสมาร์ตโฟนอยู่รุ่นหนึ่งที่เรานึกถึงเป็นอันดับแรกเมื่อมองหาสมาร์ตโฟนที่แข็งแกร่งทนทานเป็นพิเศษ, มีการออกแบบเพื่อรองรับการใช้งานที่สมบุกสมบัน และรองรับทุกการใช้งานพื้นฐานได้ดี

ซึ่งสมาร์ตโฟนรุ่นดังกล่าวก็คือ Samsung Galaxy XCover 5 Enterprise Edition ที่มาพร้อมกับปุ่ม XCover สำหรับเรียกใช้งานฟังก์ชัน หรือเปิดแอปพลิเคชันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว, มาตรฐานความแข็งแกร่ง MIL-STD 810H ที่ออกแบบโดยกองทัพสหรัฐ ซึ่งผ่านการทดสอบสุดโหดหลาย ๆ อย่าง รวมทั้งการปล่อยโทรศัพท์จากที่สูง 1.5 เมตร ให้ตกลงบนพื้นผิวเหล็กกล้า, มาตรฐาน IP68 ที่กันน้ำได้ลึกสูงสุด 1.5 เมตร เป็นเวลาสูงสุด 30 นาที รวมทั้งกันฝุ่น-ดิน-ทราย ได้อย่างมั่นใจ

ด้านหน้าจอแสดงผลแม้จะมีขนาดเพียง 5.3 นิ้ว และมีความละเอียดเพียงแค่ระดับ HD+ แต่จุดขายจริง ๆ นั้นอยู่ที่ความไวของระบบสัมผัส ที่รองรับกับการใช้งานได้ทุกสถานการณ์ ทั้งขณะสวมถุงมือ ขณะมือเปียกน้ำ หรือขณะที่มือเต็มไปด้วยหิมะ เรียกว่าเป็นรุ่นขวัญใจประจำไซต์งานได้ไม่ยาก

อีกอย่างที่ออกแบบมาได้ดีก็คือ แบตเตอรี่ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ จึงสามารถสลับเอาพลังงานสำรองมาใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านพอร์ตชาร์จเฉพาะแบบ POCO Pin 2 จุด ที่รองรับการชาร์จหลายเครื่องพร้อมกัน รวมทั้งพอร์ตมาตรฐานแบบ USB Type-C

เรื่องความปลอดภัยก็นับว่ายอดเยี่ยมด้วย Samsung Knox ระบบรักษาความปลอดภัยแบบหลายชั้น ที่ติดตั้งอยู่ในฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ตั้งแต่แกะกล่อง ที่ทำงานร่วมกับระบบสแกนใบหน้า (Face Recognition) อีกทั้งยังมีการอัปเดตระบบความปลอดภัยให้ต่อเนื่องนานถึง 5 ปี ด้วย Knox Suit

นอกจากนี้ก็ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานในองค์กรโดยเฉพาะ ทั้งฟีเจอร์ Knox Capture ที่ทำงานได้เหมือนเครื่องสแกนบาร์โค้ดคุณภาพสูงด้วยการกดเพียงปุ่มเดียว และฟังก์ชัน Push-to-Talk หรือกดเพื่อพูด ที่ทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มของ Microsoft Teams ซึ่งจะช่วยเปลี่ยน Galaxy XCover 5 เครื่องนี้ให้กลายเป็นวิทยุสื่อสารที่ปลอดภัยได้ทันที

 

สมาร์ตโฟนเครื่องนอกยอดเยี่ยม (Best Import Smartphone)

จริงอยู่ว่าสมาร์ตโฟนที่มีวางจำหน่ายในบ้านเรานั้นก็มีให้เลือกซื้อเลือกหาทุกรุ่นแทบไม่ต่างไปจากเมืองนอก โดยเฉพาะรุ่น หรือแบรนด์ที่ตลาดโลกนิยมกัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีอยู่หลายรุ่นที่มีฟีเจอร์อันน่าตื่นตาตื่นใจ แต่กลับไม่มีการนำเข้ามาวางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการ ดังนั้นทางเลือกที่เหลืออยู่หากต้องการเป็นเจ้าของก็คือการซื้อเครื่องนอกที่ร้านค้าดำเนินการหิ้ว หรือสั่งเข้ามาเอง

โดยสมาร์ตโฟนเครื่องนอกที่เราคิดว่าน่าสนใจที่สุดในปีนี้ก็คือ Google Pixel 6 Pro เรือธงตัวท็อปสายตรงจากค่าย Google ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ทาง Google ยังไม่พร้อมจะนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพราะ Pixel 6 Pro นั้นมาพร้อมกับความสามารถระดับไฮเอนด์ที่โดดเด่นมากมาย จนหลายคนอดไม่ได้ที่จะยอมจ่ายแพงกว่าราคาปกติ เพื่อให้ได้เป็นเจ้าของสุดยอดสมาร์ตโฟนรุ่นนี้

จุดขายพื้นฐานอย่างแรกของ Pixel 6 Pro ก็คือตัวระบบปฏิบัติการแอนดรอย Android 12 ที่ปรับแต่งโดย Google เอง ดังนั้นบรรดา Google Services ต่าง ๆ จึงมาเต็ม และใช้งานได้ดีเยี่ยมอย่างแน่นอน รวมทั้งการันตีการอัปเดตระบบปฏิบัติการ Android อย่างน้อย 3 ปี กับการอัปเดตระบบความปลอดภัยอย่างน้อย 5 ปี ดังนั้นซื้อครั้งเดียวก็สามารถใช้งานได้ยาวหลายปี แบบไม่ต้องกังวลเรื่องซอฟต์แวร์

เรื่องของหน่วยประมวลผลก็นับว่าไม่ธรรมดา เพราะมาพร้อมกับชิปเซ็ตรุ่นแรกของ Google เองอย่าง Google Tensor ที่พัฒนาปรับแต่งเพื่อนำมาใส่ไว้ใน Pixel 6 Pro โดยเฉพาะ ซึ่งเร็วแรงขึ้นกว่าเดิม 80% และชาญฉลาดกว่าเดิม รวมทั้งมีนวัตกรรมที่ล้ำหน้าอยู่ภายในหลายอย่าง ทั้งเทคโนโลยี Advanced On-Device AI, หน่วยประมวลผลสำหรับการถ่ายภาพ-วิดีโอ (ISP) ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่, ชิป Titan M2 สำหรับระบบความปลอดภัย และระบบประหยัดพลังงาน

อีกจุดขายที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือกล้องถ่ายภาพ ซึ่งมีคุณภาพอยู่ในระดับหัวแถวของวงการ ด้วยเซนเซอร์รับภาพของกล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซลที่ใหญ่ถึง 1/1.3 นิ้ว ผสานกับกล้อง Telephoto ความละเอียด 48 ล้านพิกเซลที่มีระบบซูมแบบ 4x Optical Zoom และกล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลที่มีมุมรับภาพกว้าง 114 องศา ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผลภาพ กับระบบ AI อัจฉริยะ ทุกครั้งที่ผู้ใช้งานกดชัตเตอร์ก็จะมั่นใจได้ว่าจะได้ภาพที่สวยงามในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะการถ่ายภาพในที่แสงน้อยซึ่งดูจะโดดเด่นเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ยังมีหน้าจอแสดงผลใหม่ล่าสุดแบบ LTPO AMOLED ที่รองรับ Refresh Rate ได้ยืดหยุ่นกว่าตั้งแต่ 10-120Hz ซึ่งได้เปรียบด้านการประหยัดพลังงาน ด้านดีไซน์ก็นับว่าเรียบหรูดูดีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยแถบนูนสีดำที่คาดผ่านด้านหลังตัวเครื่องจนกลายเป็นสีแบบทูโทน ทั้งสี Cloudy White, Sorta Sunny และ Stormy Black บวกกับการครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass Victus ทั้งด้านหน้า-ด้านหลัง และกรอบตัวเครื่องที่ผลิตจากอะลูมิเนียมขัดเงา กับคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 ซึ่งทั้งหมดทำให้ Pixel 6 Pro กลายเป็นเรือธงที่ดีที่สุดเท่าที่ Google เคยมีมา

 

สรุปส่งท้าย

และทั้งหมดในข้างต้นก็คือผลสรุปของรางวัลสมาร์ตโฟนยอดเยี่ยมประจำปี 2021 โดย Thaimobilecenter หรือ TMC Awards 2021 รวมทั้งหมด 16 ประเภทรางวัล ซึ่งผู้ชนะในแต่ละประเภทรางวัลถือเป็นที่สุดในด้านของตัวเองจากทรรศนะของทีมงาน Thaimobilecenter อย่างไรก็ดีแน่นอนว่าอาจมีหลายท่านที่ให้ผู้ชนะต่างออกไปในบางประเภทรางวัล ดังนั้นจึงน่าจะเป็นการดีที่ท่านจะมาแชร์มุมมอง หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันต่อ ส่วนในปีหน้า หรือปี ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565) ตลาดสมาร์ตโฟนโลก และบ้านเรา ก็คงจะร้อนแรงไม่แพ้กัน และน่าสนใจว่าแต่ละค่ายจะมีทีเด็ดอะไรมาแข่งขันกันอีก ซึ่งแน่นอนว่าทีมงานของเราก็จะคอยนำข้อมูลข่าวสารมาอัปเดตให้ทุกท่านได้ติดตามกันอีกเช่นเคย ส่วนในวันนี้ก็คงต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันในปีหน้า สวัสดีปีใหม่ 2022 ขอให้ทุกท่านมีความสุขโดยทั่วกันครับ

 

นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com

 


วันที่ : 31/12/2564

Tags :
  

Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy