รีวิว Xiaomi 11T Pro ยอดสมาร์ทโฟนกล้อง 108MP Cinemagic พร้อมชิป Snapdragon 888 5G ตัวท็อป, พลังชาร์จ 120W, จอ 120Hz สวยลื่น และลำโพงคู่ Harman Kardon ในราคาเอื้อมถึง
23 กันยายน 2021 - หากยังจำกันได้เมื่อช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว Mi 10T และ Mi 10T Pro ได้เข้ามาเปิดตัว และวางจำหน่ายในประเทศไทย โดยมาพร้อมกับสเปกที่แรงเต็มพิกัดระดับเรือธง แต่มีค่าตัวเพียงแค่หมื่นต้น ๆ เท่านั้น เรียกว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับตลาดมือถือไทย และกลายเป็นกระแสให้พูดถึงกันต่ออีกพักใหญ่เลยทีเดียว จากวันนั้นถึงวันนี้ ผ่านไป 1 ปีเต็ม ๆ ในที่สุด Xiaomi T Series ก็ได้กลับมาตีตลาดในไทยอีกครั้งด้วยสเปกที่สุดกว่าเดิม ในชื่อ Xiaomi 11T และ Xiaomi 11T Pro และในวันนี้เราก็จะมารีวิวตัวท็อปอย่าง Xiaomi 11T Pro ให้ทุกท่านได้ชมกันครับ
Xiaomi 11T Pro ได้รับการอัปเกรดคุณสมบัติหลายอย่างให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน
เริ่มจากหน้าจอแสดงผลที่เปลี่ยนจากจอ IPS LCD มาเป็นจอ AMOLED ที่แสดงผลได้ดีขึ้นมาก กับขนาดที่
6.67 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ พร้อมอัตราการรีเฟรชที่ 120Hz รวมทั้งรองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ
Dolby Vision และ HDR 10+ เรียกว่าแสดงผลได้อย่างสวยงามจน DisplayMate
ต้องการันตีเกรด A+ ให้เลยทีเดียว อีกทั้งยังมีการครอบทับด้วยกระจกนิรภัย
Gorilla Glass Victus รุ่นใหม่ล่าสุดอีกด้วย
ในด้านของประสิทธิภาพ Xiaomi 11T Pro
ยังคงเลือกใช้ชิปเซ็ตระดับท็อปเช่นเดิม โดยเป็นชิปเซ็ต Qualcomm
Snapdragon 888 ซึ่งมีพลังการประมวลผลอยู่ในระดับแนวหน้าของวงการ ขณะเดียวกัน
ยังมีหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR5 ที่ทำงานรวดเร็วเต็มสปีด กับขนาดสูงสุดที่
8GB จึงสามารถรับมือกับการใช้งานทุกประเภทได้อย่างลื่นไหลไม่ติดขัด
แม้จะเป็นงานหนักอย่างการเล่นเกมระดับ AAA บนกราฟิกระดับสูงสุดก็ตาม พร้อมกับ ROM แบบ UFS 3.1 ที่มีความเร็วในการอ่าน-เขียนข้อมูลในระดับสูง กับขนาดสูงสุดที่ 256GB
นอกจากนี้ยังมีลำโพงแบบคู่ (Dual Speakers) ที่ได้รับการปรับจูนโดย Harman Kardon
มาช่วยเพิ่มอรรถรสด้านความบันเทิงขึ้นไปอีกขั้น
นอกจากประสิทธิภาพด้านการประมวลผลที่เร็วแรงเป็นพิเศษแล้ว
แบตเตอรี่ก็มากพอสำหรับการใช้งานตลอดวันเช่นกัน
โดยคราวนี้ Xiaomi 11T Pro มากับแบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh แต่ที่เด็ดก็คือ
Xiaomi 11T Pro รองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงด้วยกำลังไฟมากถึง 120W ด้วยเทคโนโลยี 120W Xiaomi HyperCharge ซึ่ง Xiaomi
ยืนยันว่าสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 2%-100% ได้ภายในเวลาเพียงแค่ 17 นาทีเท่านั้น
ด้านความสามารถของการถ่ายภาพ และถ่ายวิดีโอ ก็นับว่าเป็นจุดขายสำคัญเช่นกัน โดยทั้ง Xiaomi 11T Pro และ Xiaomi 11T มีชุดกล้องหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย กล้องหลักความละเอียด
108 ล้านพิกเซล, กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และกล้อง
Telemacro ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ซึ่งรองรับโหมดการถ่ายรูป และวิดีโอมากมาย
ไม่ว่าจะเป็น AI Night Mode, Clones, Audio Zoom, AI Cinema
ไปจนถึงการถ่ายวิดีโอบนมาตรฐาน HDR10+ บนความละเอียดสูงสุดถึงระดับ 8K
ส่วนกล้องหน้าเป็นแบบ In-Display Selfie Camera ซึ่งมีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล และสามารถถ่ายเซลฟี่ในที่มืดด้วย
Selfie Night Mode ได้อีกด้วย
สำหรับรุ่นมาตรฐานอย่าง Xiaomi 11T นั้น มีคุณสมบัติ และดีไซน์ที่แทบจะถอดแบบมาจากรุ่น
Pro เพียงแต่มีรายละเอียดที่ต่างกันบางส่วน เพื่อทำราคาให้สามารถจับต้องได้ง่ายกว่า โดย Xiaomi 11T จะใช้ชิปเซ็ต
MediaTek Dimensity 1200, รองรับระบบชาร์จไวแบบ 67W,
ลำโพงเสียงแบบคู่ที่ไม่ได้รับการจูนโดย Harman Kardon
และไม่สามารถถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 8K หรือแบบ HDR10+ ได้ ส่วนคุณสมบัติอื่น
ๆ เหมือนกับรุ่น Pro ทุกประการ
จากความสามารถข้างต้น เรียกได้ว่า Xiaomi 11T Pro กับ Xiaomi 11T
นั้นเป็นสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม ที่โดดเด่นเรื่องกล้อง, พลังการประมวลผล และการใช้งานด้านความบันเทิง ในราคาที่เอื้อมถึงได้ไม่ยากนัก
ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร เราไปติดตามกันต่อใน รีวิว
Xiaomi 11T Pro ได้เลยครับ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
Xiaomi 11T Pro เป็นสมาร์ทโฟนที่มีดีไซน์ภายนอกที่ดูดี แต่มีความหนาอยู่บ้าง และมีขนาดค่อนข้างใหญ่ โดยตัวเครื่องด้านหน้าเป็นหน้าจอแสดงผล AMOLED Flat DotDisplay ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ พร้อมรองรับอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz และรองรับมาตรฐานการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10+ โดยมีกระจกนิรภัย Corning Gorilla Victus ครอบทับเพื่อป้องกันรอยขีดข่วน บริเวณขอบบนของหน้าจอมีการเจาะรูฝังกลองหน้าแบบ DotDisplay (In-Display Selfie Camera) ซึ่งมีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.45
สำหรับเครื่อง Xiaomi 11T Pro ที่เรานำมารีวิวในครั้งนี้เป็นสีเทา Meteorite Gray ซึ่งมีการขัดผิวฝาหลังให้มีลวดลายคล้ายโลหะ และครอบทับด้วยกระจกมันวาว พร้อมติดตั้งโมดูลกล้องขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยไฟแฟลช LED, ไมโครโฟน, เซนเซอร์ Autofocus และชุดกล้อง 3 ตัว (AI Triple Camera) ดังนี้ :
- กล้อง Wide Angle (Main) ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.52 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.7 ไมครอน หรือขนาด 2.1 ไมครอน (แบบ 9-in-1 Super Pixel), รูรับแสงขนาด f1.75, ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร, เทคโนโลยี Dual Native ISO และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF
- กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2 และมุมรับภาพ 120 องศา
- กล้อง Telemacro ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/5.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.4, ทางยาวโฟกัส 50 มิลลิเมตร และระบบโฟกัสอัตโนมัติ (ระยะ 3-7 เซนติเมตร)
ปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่ม Power จะอยู่ที่ตัวเครื่องด้านขวา โดยปุ่ม Power จะทำหน้าที่เป็นเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้วย ส่วนด้านซ้ายไม่มีปุ่มใด ๆ
ลำโพงเสียงของ Xiaomi 11T Pro เป็นลำโพงคู่แบบบน-ล่าง ที่ปรับจูนโดยแบรนด์เครื่องเสียงชื่อดังอย่าง Harman Kardon โดยมีพอร์ต USB Type-C กับถาดใส่ซิมการ์ดอยู่ด้านล่าง และยังมี IR Blaster ที่ด้านบนอีกด้วย
ถาดใส่ซิมการ์ดของ Xiaomi 11T Pro เป็นแบบ Dual Slot (หน้า-หลัง) ซึ่งไม่รองรับการใส่การ์ดหน่วยความจำแบบ microSD หรือแบบอื่น ๆ
สำหรับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ให้มาในกล่อง ประกอบด้วย เคสซิลิโคนแบบใส, เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด, คู่มือการใช้งาน, ใบรับประกัน, สายชาร์จ USB และอะแดปเตอร์ชาร์จไว 120W Wired Charger ที่มีขนาดใหญ่ และหนักกว่าอแดปเตอร์ชาร์จทั่วไป
เปิดเครื่อง พร้อมทดสอบการใช้งานด้านซอฟต์แวร์
Xiaomi 11T Pro มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย MIUI 12.5 สำหรับรุ่นที่นำมารีวิวในครั้งนี้เป็นรุ่นความจุ 256GB
หน้าเริ่มต้นมีดีไซน์เรียบง่าย เว้นระยะห่างระหว่างไอคอนต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว ไม่อึดอัด ตามไสตล์ของ MIUI
เมื่อปัดจากด้านบนลงมาจะพบกับ แผงแจ้งเตือน ที่รวมการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่าง ๆ และ แถบเมนูลัด ที่รวมฟังก์ชันใช้บ่อยเอาไว้ด้วยกันเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน
Xiaomi 11T Pro มาพร้อมกับชุดแอปพลิเคชันเครื่องมือพื้นฐาน และแอปพลิเคชันของ Google ครบครัน
สำหรับฟังก์ชันพื้นฐานอย่างการโทรศัพท์นั้นมีการออกแบบอินเทอร์เฟซให้ดู สะอาด และใช้งานง่าย แต่ไม่มีอะไรพิเศษ
เมื่อกดปุ่ม แอปล่าสุด บนแถบนำทาง จะแสดงแอปพลิเคชันที่เปิดทิ้งไว้ทั้งหมด สามารถเลือกสลับแอปขึ้นมาใช้งาน หรือปัดหน้าต่างไปด้านข้างเพื่อปิดแอปก็ได้
เมื่อกดค้างบนที่ว่างของหน้าจอหลัก จะเข้าสู่ โหมดการปรับแต่ง หน้าจอ ซึ่งผู้ใช้สามารถย้าย หรือลบแอปพลิเคชันหลายตัวพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังสามารถจัดเรียงแถวของแอปพลิเคชัน, เปลี่ยนแอนิเมชันการสลับหน้า, เปลี่ยนหน้าเริ่มต้น และอื่น ๆ
MIUI 12.5 ยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เปลี่ยนแถบนำทางด้านล่างเป็นแบบปุ่ม หรือแบบท่าทางได้ตามถนัด
รวมไปถึงการปรับขนาดของไอคอนแอป และวิดเจ็ตต่าง ๆ
Xiaomi ก็เหมือนกับสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่น ๆ ที่มีสโตร์ขายวอลเปเปอร์และธีมเป็นของตัวเอง ทุกรายการสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี แม้จะเป็นรายการพรีเมียมก็ตาม
มีโหมดกลางคืนให้ใช้งาน ซึ่งจะเปลี่ยนธีมเป็นสีดำเพื่อให้ใช้งานในที่มืดได้โดยไม่ปวดตา โดยสามารถตั้งเวลาเปิด/ปิดอัตโนมัติได้ด้วย
สำหรับ จอแสดงผลแบบเปิดตลอด หรือ Always-On-Display เป็นการแสดงภาพ, เวลา และรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ขณะปิดหน้าจอ ช่วยให้ดูเวลา, แบตเตอรีที่เหลืออยู่ และแจ้งเตือนบางอย่างได้โดยไม่ต้องเปิดหน้าจอ ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลของ Always-On-Display ได้หลายแบบตามต้องการ
ผู้ใช้สามารถปรับแต่งโทนสีของหน้าจอได้อย่างอิสระ แต่โทนสีดั้งเดิมที่มาจากโรงงานนั้นเป็นกลาง และสมจริงอยู่แล้ว จึงอาจมองข้ามการตั้งค่าในส่วนนี้ไปก็ได้
สามารถเปิดใช้อัตราการรีเฟรช 120Hz ได้ แต่ก็จะกินแบตเตอรีมากขึ้นด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ Xiaomi 11T Pro ยังมีฟังก์ชันเพิ่มคุณภาพของรูปถ่าย และวิดีโอโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเฟรมเรตให้ภาพดูลื่นไหลมากขึ้น หรือการแสดงผลแบบ HDR
สำหรับระบบรักษาความปลอดภัย Xiaomi 11T Pro รองรับทั้งการสแกนลายนิ้วมือ และการสแกนใบหน้า โดยตำแหน่งของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือจะอยู่บนหน้าจอ
ในเมนู คุณลักษณะพิเศษ จะรวมฟีเจอร์อื่น ๆ นอกเหนือจากการตั้งค่าทั่วไป Game Turbo ซึ่งเป็นฟีเจอร์ช่วยเหลือในการเล่นเกมก็อยู่ในนี้เช่นกัน
เมนู พื้นที่ทับซ้อน เป็นฟีเจอร์สำหรับสร้างพื้นที่ในการใช้งานใหม่ที่แยกจากพื้นที่เดิม ไฟล์ และแอปพลิเคชันของแต่ละพื้นที่จะแยกกันต่างหาก เสมือนว่าเรามีโทรศัพท์ 2 เครื่องในเครื่องเดียวนั่นเอง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแยกพื้นที่การใช้งานส่วนตัว และการทำงานออกจากกันโดยไม่ต้องซื้อมือถือใหม่อีกเครื่อง
แอปพลิเคชัน ความปลอดภัย เป็นแอปพลิเคชันของ MIUI 12 ที่ช่วยจัดการปัญหาจิปาถะต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ เช่น ล้างไฟล์ขยะ, เคลียร์ RAM, ค้นหาและปิดแอปที่ใช้พลังงานมาก เป็นต้น
เมนู แอปโคลน เป็นฟีเจอร์ที่สามารถโคลนแอปพลิเคชันเพื่อให้ผู้ใช้เล่นได้ 2 บัญชีในเครื่องเดียว โดยสามารถโคลนได้ทั้งโซเชียลมีเดีย และเกม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแยกบัญชีการทำงานกับบัญชีส่วนตัวออกจากกัน โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเผลอโพสต์ผิดบัญชี
เมนู ล็อกแอป เป็นฟีเจอร์สำหรับล็อกแอปพลิเคชันด้วยรหัสผ่าน, ลายนิ้วมือ หรือใบหน้า ช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ได้อีกชั้น
และเมนู การทดสอบเครือข่าย เป็นเมนูสำหรับตรวจสอบสถานะการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตว่ายังมีการส่งข้อมูลตามปกติ หรือไม่ (ไม่ใช่การวัดความเร็วแต่อย่างใด)
รูปถ่าย และวิดีโอ จะถูกเก็บไว้ใน คลังภาพ ซึ่งจะแสดงผลแยกเป็นรายวัน หรือจะเลือกให้แสดงเป็นอัลบั้มก็ได้เช่นกัน
นอกจากจะดูรูปแล้ว ยังสามารถแต่งรูปได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการตัดภาพ, แต่งสี, ปรับความสว่าง, ใส่ฟิลเตอร์ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนท้องฟ้าในภาพ
สำหรับการฟังเพลง Xiaomi 11T Pro มีแอปพลิเคชันพื้นฐานของตัวเองอยู่แล้ว ตัวแอปพลิเคชันไม่ได้แตกต่างจากแอปเล่นเพลงทั่วไป แต่ที่น่าสนใจคือสามารถตัดเพลงได้ด้วย ซึ่งช่วยให้เราตัดเฉพาะท่อนฮุคเพื่อใช้เป็นริงโทนได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องนำไฟล์เข้าคอมพิวเตอร์ แล้วตัดต่อเองให้วุ่นวาย
ส่วนการเล่นวิดีโอ Xiaomi 11T Pro ก็มีแอปพลิเคชันพื้นฐานอยู่แล้วเช่นกัน พร้อมเครื่องมือเสริมอย่างการล็อกการสัมผัสหน้าจอ, บันทึกสกรีนช็อต และแคสต์ภาพขึ้นอุปกรณ์อื่น เป็นต้น
สามารถเลือกขนาด และสีสันของซับไตเติ้ลได้ (ถ้ามี)
และสามารถปรับความเร็วในการเล่น รวมถึงการเล่นซ้ำได้ด้วย (ไม่ซ้ำ, ซ้ำทั้งเพลย์ลิสต์, ซ้ำเพลงเดียว)
หลังจากที่ดูการตั้งค่า และการใช้งานทั่วไปกันแล้ว คราวนี้เราก็มาดูในส่วนของการเล่นเกมกันบ้างครับ
Xiaomi 11T Pro มีฟีเจอร์ช่วยเหลือขณะเล่นเกมที่เรียกว่า Game Turbo ขณะที่อยู่ในเกม ผู้ใช้สามารถเรียกเมนูลัดของ Game Turbo ขึ้นมาได้จากมุมซ้ายบนของหน้าจอ ซึ่งจะมีเมนูสำหรับบันทึกภาพสกรีนช็อต, บันทึกวิดีโอการเล่น, เคลียร์ RAM ด่วน, เปิด/ปิดการแสดงแจ้งเตือน รวมถึงสามารถเปิดแอปอื่น ๆ ขึ้นมาเป็นหน้าต่างลอยได้ และยังมีลูกเล่นน่าสนใจอย่างตัวแปลงเสียงเมื่อคุยผ่านไมค์ในเกม นอกจากนี้ยังบอกสถานะการทำงานของ CPU, GPU และค่าเฟรมเรตด้วย
สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพการเล่นเกมของ Xiaomi 11T Pro เราได้พยายามเลือกเกมที่ได้รับความนิยม และมีกราฟิกระดับสูง ๆ เพื่อให้สมกับสเปกของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ โดยเราได้คัดเลือกมา 3 เกมด้วยกัน ได้แก่ Genshin Imapct, PUBG Mobile และ MIR 4 โดยตั้งค่ากราฟิกไว้ที่ระดับสูงสุดทุกเกม ดังนี้ :
การตั้งค่ากราฟิกเกม Genshin Impact
การตั้งค่ากราฟิกเกม PUBG Mobile
การตั้งค่ากราฟิกเกม MIR 4
หลังจากที่เราได้ลองเล่นทั้ง 4 เกมอย่างต่อเนื่องราว ๆ 2 ชั่วโมง พบว่า Xiaomi 11T Pro สามารถรันเกมทุกเกมได้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งเป็นผลจากขุมพลังของชิปเซ็ต Snapdragon 888 ที่ทำงานประสานกับหน่วยความจำ RAM LPDDR5 และ ROM UFS 3.1 ที่มีความเร็วสูง จึงสามารถขับเน้นความสวยงามของกราฟิกออกมาได้ อย่างน่าประทับใจ และตอบสนองต่อการควบคุมได้อย่างฉับไว และแม่นยำ โดยเฉพาะเกมแนว Shooting FPS ที่ต้องเคลื่อนที่ และเล็งเป้าอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ดี การตั้งค่ากราฟิกระดับสูงสุดในเกมบางเกมจะทำให้ตัวเครื่องร้อนมาก จึงแนะนำว่าควรปรับกราฟิกไว้ที่ระดับกลาง ๆ จะดีกว่าเพื่อไม่ให้ตัวเครื่องร้อนเกินไป โดยรวมถือว่า Xiaomi 11T Pro เป็นสมาร์ทโฟนที่เล่นเกมได้ดี สามารถปรับกราฟิกสูงสุดได้ทุกเกมในปัจจุบัน แต่ยังมีปัญหาเรื่องความร้อนอยู่ครับ
Xiaomi 11T Pro ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 888 แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.8 GHz มีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 660, หน่วยความจำแรม RAM ขนาด 8 GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 256 GB
สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง Xiaomi 11T Pro นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor, Magnetic Sensor และ Pressure Sensor ส่วนหน้าจอแสดงผลรองรับการสัมผัสได้พร้อมกันอย่างน้อย 10 จุด
ระบบ GPS สามารถจับสัญญาณดาวเทียมในที่กลางแจ้งได้ดี โดยจากภาพตัวอย่างจะเห็นว่าจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 75 ดวง และมีความแม่นยำในระดับบวกลบ 3 เมตร แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพของสัญญาณดาวเทียม GPS ขึ้นอยู่กับพื้นที่และสภาพอากาศด้วย ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่และช่วงเวลา
Xiaomi 11T Pro รองรับมาตรฐาน Widevine DRM L1 สามารถรับชมคอนเทนต์สตรีมมิ่งแบบ HD ได้
Xiaomi 11T Pro วัดค่า benchmark จากแอปพลิเคชัน AnTuTu V9 ได้ 653583 คะแนน และจากแอปพลิเคชัน Geekbench 5 สามารถทำคะแนนในส่วน Single-Core ได้ 818 คะแนน และในส่วน Multi-Core ได้ 3351 คะแนน
การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
ในโหมดรูปถ่าย หรือโหมดอัตโนมัติ มี AI วิเคราะห์ภาพถ่ายที่จะระบุประเภทของวัตถุในเฟรม และตกแต่งรูปถ่ายให้เหมาะสม และมีปุ่มลัดสำหรับการซูมให้เรียกใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ผู้ใช้สามารถเปิด โหมด Ultra Wide ได้ด้วยการเลือกซูมที่ระยะ 0.6 เท่า นอกจากนี้ ยังสามารถเปิดใช้เอฟเฟกต์บิวตี้ และใส่ฟิลเตอร์ได้เหมือนกับโหมดบุคคล หรือโหมด Portrait และสามารถใช้เอฟเฟกต์เบลอได้ด้วย แต่จะไม่เหมือนกับการเบลอฉาก หลังในโหมด Portrait เป็นเพียงการเบลอบริเวณขอบภาพเท่านั้น
สำหรับฟังก์ชันอื่น ๆ สามารถเรียกดูได้โดยกดที่ไอคอน 3 ขีดบริเวณมุมขวาบน ซึ่งได้แก่ ปรับสัดส่วนของรูปถ่าย, ตั้งเวลาถ่าย, แสดงตารางจุดตัด 9 ช่อง, แสดงเส้นปรับระดับ เป็นต้น โดยโหมดซูเปอร์มาโครจะอยู่ในส่วนนี้
ในโหมดภาพบุคคล หรือ Portrait สามารถปรับความเบลอของฉากหลัง, เปิดบิวตี้ และใส่ฟิลเตอร์ได้ แต่ที่พิเศษกว่าการถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติคือมีลูกเล่นเอฟเฟกต์ ภาพยนตร์ให้ใช้ด้วย
สำหรับ โหมดกลางคืน เป็นโหมดที่จะทำให้ภาพถ่ายกลางคืนสว่างขึ้น และมีรายละเอียดมากขึ้น โดยสามารถเลือกถ่ายด้วยเลนส์ Ultra Wide ได้
อีกลูกเล่นหนึ่งที่น่าสนใจคือ โหมดการเปิดรับแสงนาน ที่ช่วยให้เราถ่ายรูปเส้นแสงได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องช่วย
สำหรับการบันทึกวิดีโอ สามารถบันทึกได้ที่ความละเอียดสูงสุด 8K 30fps หรือ 4K 60fps สามารถเปิดใช้ฟิลเตอร์, บิวตี้ และเอฟเฟกต์โบเก้ได้ อีกทั้งยังถ่ายวิดีโอแบบซูเปอร์มาโครได้ด้วย
อีกลูกเล่นหนึ่งที่น่าสนใจคือ เอฟเฟกต์ภาพยนตร์ ที่ช่วยให้เราถ่ายวิดีโอด้วยเอฟเฟกต์เท่ ๆ แบบในหนังได้ โดยระบบจะแนะนำขั้นตอนให้โดยอัตโนมัติ
สำหรับ โหมดโปร เราสามารถตั้งค่ากล้องได้ด้วยตนเอง และถ่ายรูปด้วยฟอร์แมต RAW ได้ ซึ่งนำไปแต่งต่อได้มากกว่าไฟล์ JPG แต่ก็มีขนาดไฟล์ใหญ่ด้วยเช่นกัน , เลือกใช้เลนส์ Ultra Wide หรือ Macro และใส่ฟิลเตอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีทักษะการถ่ายรูปอยู่แล้ว
และยังเปิดโหมดโปรสำหรับถ่ายถ่ายวิดีโอได้ด้วย เหมาะสำหรับการถ่ายงานเพื่อนำไปตัดต่อภายหลัง เช่นการถ่ายทำหนังสั้น หรือโฆษณา เป็นต้น
ในส่วนของกล้องหน้า มีฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้ใช้งานเหมือนกับกล้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นเอฟเฟกต์บิวตี้, ฟิลเตอร์ หรือเอฟเฟกต์ภาพยนตร์
และยังสามารถเปิดใช้โหมดกลางคืนเพื่อเซลฟี่ในที่แสงน้อยได้
นอกจากนี้ ยังมีโหมดการถ่ายภาพและวิดีโอที่น่าสนใจอีกหลายโหมด ไม่ว่าจะเป็นโหมดโคลน, สโลว์โมชัน, วิดีโอคู่ หรือ VLOG เป็นต้น
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 3
ตัว (AI Triple Camera) ความละเอียด 108+8+5 ล้านพิกเซล
ฃ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดอัตโนมัติ
ตัวอย่างภาพถ่ายแบบมุมกว้างพิเศษ (Ultra Wide)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Supermacro
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดกลางคืน
ตัวอย่างวิดีโอจากโหมดวิดีโอคู่
ตัวอย่างวิดีโอจากโหมด Supermacro
ตัวอย่างวิดีโอจากโหมด VLOG
ตัวอย่างวิดีโอที่ใช้เอฟเฟกต์ภาพยนต์ (โลกคู่ขนาน)
ตัวอย่างวิดีโอที่ใช้เอฟเฟกต์ภาพยนต์ (ชัตเตอร์ช้า)
ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่จากกล้องหน้าแบบ In-Display Selfie Camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
สรุปผลการทดสอบของ Xiaomi 11T Pro
จากที่มีโอกาสได้ใช้งาน Xiaomi 11T Pro มาระยะหนึ่ง ก็พบว่าสมาร์ทโฟนไฮเอนด์รุ่นนี้ไม่ได้อัปเกรดสเปกให้แรงขึ้นอย่างเดียว แต่ยังมีการปรับปรุง และแก้ไขจุดอ่อนที่มีในรุ่นก่อนด้วย อย่างแรกคือหน้าจอแสดงผลที่ในรุ่นก่อนนั้นเป็นแบบ IPS LCD ทำให้การแสดงผลอาจยังไม่สวยงามมากนัก พอมาในรุ่นนี้จึงได้เปลี่ยนเป็นจอแบบ AMOLED ตามคำเรียกร้อง ส่งผลให้คอนเทนต์ต่าง ๆ บนจอดูสวยงาม และมีคุณภาพมากขึ้นตามไปด้วย ส่วนอัตราการรีเฟรชที่ลดลงจาก 144Hz ในรุ่นก่อน มาเป็น 120Hz ในรุ่นนี้ ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อประสบการณ์การใช้งานแต่อย่างใด เพราะเป็นความแตกต่างที่เล็กน้อยมากสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
ในเชิงประสิทธิภาพนั้น Xiaomi 11T Pro มีพลังอยู่ในระดับเรือธงตัวหลักของค่ายอย่าง Mi 11 หรือ Mi 11 Ultra เลยทีเดียว เพราะใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Snapdragon 888 เหมือนกัน
อีกทั้งยังมีหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR5 กับ ROM แบบ UFS 3.1 เหมือนกันด้วย
จึงทำงานได้อย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ และสามารถเล่นเกมบนกราฟิกระดับสูงสุดได้สบาย
ขณะเดียวกันยังมีหน้าจอแสดงผลคุณภาพสูง ที่ได้รับคะแนนจาก DisplayMate
ในระดับ A+ จึงสามารถแสดงผลคอนเทนต์ได้อย่างสวยงาม และลื่นไหลด้วยอัตราการรีเฟรชระดับ
120Hz นอกจากนี้ยังมีลำโพงเสียงแบบคู่ที่ได้รับการปรับจูนโดย Harman Kardon
ทำให้เราสนุกกับคอนเทนต์ความบันเทิงต่าง ๆ ได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี Xiaomi 11T Pro ยังมีปัญหาด้านความร้อนเวลาที่เล่นเกมหนัก ๆ
หรือใช้งานกล้องเป็นเวลานาน ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนของชิปเซ็ต Snapdragon 888
มาแต่เดิม แม้ภายในตัวเครื่องจะมีการติดตั้งระบบระบายความร้อนเอาไว้ด้วย
แต่ก็ยังช่วยได้ไม่มากนัก อย่างไรก็ดี แม้จะมีความร้อน แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นทำให้การทำงานของเครื่องต้องหยุดลงกลางคันแต่อย่างใด
จุดเด่นอีกอย่างที่น่าสนใจของ Xiaomi 11T Pro คือระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงด้วยกำลังไฟที่มากถึง 120W ซึ่งนับเป็นรุ่นแรก ๆ ในตลาดประเทศไทย ซึ่งจากการทดสอบพบว่าสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 5% จนเต็ม 100% ได้ในเวลาเพียง 23 นาทีเท่านั้น ใกล้เคียงกับที่ทาง Xiaomi ได้โปรโมตไว้ แต่ทั้งนี้ระหว่างชาร์จตัวเครื่องจะมีความร้อนมากพอสมควร จึงแนะนำว่าไม่ควรชาร์จไปเล่นไป
ด้านการถ่ายภาพนิ่ง Xiaomi 11T Pro มีโหมดให้ใช้งานมากมายครอบคลุมทุกการใช้งาน และยังสามารถถ่ายภาพแบบ RAW ได้ด้วย คุณภาพของรูปถ่ายโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี แต่บางครั้งก็อาจให้สีสันที่อิ่มเกินไปสักนิด ส่วนภาพถ่ายในมุมมอง Ultra Wide จะค่อนข้างมืดกว่าเลนส์ปกติ และให้ภาพที่ไม่คมเท่า อย่างไรก็ดี โหมด Telemacro ให้รูปที่มีคุณภาพสูงกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป และระบบ Autofocus ยังช่วยให้ภาพคมชัดขึ้นด้วย
สำหรับความสามารถด้านการการถ่ายวิดีโอ Xiaomi 11T Pro ก็นับว่าเป็นจุดแข็งของรุ่นเลยทีเดียว โดยสามารถถ่ายวิดีโอคุณภาพสูงได้ บนมาตรฐาน HDR10+ ที่ความละเอียดสูงสุดถึงระดับ 8K อีกทั้งยังมีฟีเจอร์เสริมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการตัดเสียงรบกวนขณะบันทึก, ระบบกันสั่น, การถ่ายวิดีโอมาโคร หรือการซูมเสียง นับว่าครบครันในระดับเดียวกับเรือธงพรีเมียม แต่จุดเด่นของการถ่ายวิดีโอบน Xiaomi 11T Pro ที่แท้จริงคือความง่าย ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์งานวิดีโอสวย ๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการถ่ายทำ หรือการตัดต่อใด ๆ เพราะเอฟเฟกต์ต่าง ๆ มาในรูปแบบสำเร็จรูปพร้อมใช้งานอยู่แล้ว เพียงแค่เลือกเอฟเฟกต์ที่เราต้องการ ระบบก็จะจัดการให้โดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้สนุกกับการทำคอนเทนต์ได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้การใช้งาน หรือเทคนิคขั้นสูง ส่วนผลลัพธ์ที่ออกมาก็ดูดี เรียกได้ว่าจะถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงเพื่อเอาไปตัดต่อเป็นหนังสั้น หรือจะทำคอนเทนต์ Vlog ลงโซเชียลก็เหมาะทั้งคู่
จากทั้งหมดที่กล่าวมา ก็กล่าวได้ว่า Xiaomi 11T Pro เป็นสมาร์ทโฟนที่สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานได้ใกล้เคียงรุ่นเรือธง หรือรุ่นท็อป ในราคาที่จับต้องได้ง่ายกว่า เหมาะกับการใช้งานทุกประเภท ไม่ว่าจะเล่นเกม, ถ่ายรูป หรือถ่ายวิดีโอ โดยเฉพาะการถ่ายวิดีโอที่ใช้งานง่ายแต่ได้ผลลัพธ์น่าประทับใจ และมีคุณภาพสูงพอจะนำไปต่อยอดได้ เหมาะกับผู้ใช้งานทุกกลุ่มที่ต้องการสมาร์ทโฟนประสิทธิภาพสูงครับ
เปรียบเทียบตัวเครื่องของ Xiaomi 11T Pro ที่ด้านซ้าย กับ Xiaomi 11T ที่ด้านขวา
นอกจากรุ่นโปรอย่าง Xiaomi 11T Pro แล้ว ก็ยังมี Xiaomi 11T รุ่นมาตรฐานเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยดีไซน์ และคุณสมบัติที่แทบจะถอดแบบมาจากรุ่น Pro เพียงแต่จะมีคุณสมบัติบางอย่างที่ต่างกันดังนี้
- Xiaomi 11T ใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 1200
- Xiaomi 11T ใช้หน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4X
- Xiaomi 11T มีระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 67W (มีอะแดปเตอร์มาให้ในกล่องเช่นกัน)
- Xiaomi 11T มีลำโพงเสียงแบบคู่เช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้รับการปรับจูนโดย Harman Kardon (แต่รองรับไฟล์เสียง Hi-Res และมีระบบเสียง Dolby Atmos เหมือนกัน)
- Xiaomi 11T รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K (30 fps)
จากการทดสอบของทีมงานพบว่า ความแตกต่างดังกล่าวแทบไม่ส่งผลต่อประสบการณ์การใช้งานโดยทั่วไป เพราะชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 1200 ถ็ถือว่าเป็นชิปเซ็ตระดับไฮเอนด์ และมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Snapdragon 888 ส่วน RAM แบบ LPDDR4x นั้น ถึงแม้จะมีความเร็วในการส่งข้อมูลต่ำกว่า RAM LPDDR5 ในรุ่น Pro แต่ในการใช้งานจริงเราแทบจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง สำหรับลำโพงเสียงแบบคู่ถึงจะไม่ได้จูนโดย Harman Kardon แต่ก็ยังให้เสียงคุณภาพสูง และมีระบบเสียง Dolby Atmos เพื่อช่วยให้เสียงมีมิติ ส่วนการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 8K จริง ๆ แล้วคงยังมีน้อยคนที่เลือกใช้งานที่ความละเอียดระดับนี้อยู่บ่อย ๆ ดังนั้นการถ่ายที่ความละเอียดระดับ 4K บน Xiaomi 11T ก็ถือว่าเหลือเฟือแล้ว
ส่วนจุดที่ดูจะแตกต่างกันมากที่สุด คือระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง ที่ Xiaomi 11T รองรับที่กำลังไฟ 67W แม้จะชาร์จเต็มภายใน 20 นาทีไม่ได้ แต่ก็นับว่าเร็วมากแล้วเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ในท้องตลาด
ดังนั้นโดยรวมแล้ว Xiaomi 11T จึงสามารถมอบประสบการณ์การใช้งานโดยรวมที่ใกล้เคียงกับ Xiaomi 11T Pro มาก ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีไม่แพ้กันสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดงบลงมาอีกนิดครับ
สรุปราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยของ Xiaomi 11T Pro และ Xiaomi 11T จะแบ่งออกเป็น 3 รุ่นย่อย และ 2 รุ่นย่อย ตามลำดับดังนี้
Xiaomi 11T Pro
- Xiaomi 11T Pro รุ่น RAM 8GB+ROM 128GB ราคา 16,990 บาท
- Xiaomi 11T Pro รุ่น RAM 8GB+ROM 256GB ราคา 18,990 บาท
- Xiaomi 11T Pro รุ่น RAM 12GB+ROM 256GB ราคา 20,990 บาท
Xiaomi 11T
- Xiaomi 11T รุ่น RAM 8GB+ROM 128GB ราคา 13,990 บาท
- Xiaomi 11T รุ่น RAM 8GB+ROM 256GB ราคา 14,990 บาท
พร้อมรับสิทธิ์ประกัน 24 เดือน และสำหรับลูกค้าที่ซื้อภายในวันที่ 9 ตุลาคม - 7 พฤศจิกายน 2564 รับเพิ่มประกันจอแตก 6 เดือน
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีโปรโมชั่น Pre-Order ระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม - 8 ตุลาคม 2564 รับฟรีนาฬิกา Mi Watch มูลค่า 3,490 บาท หรือเลือกรับอัปเกรดเป็นรุ่น RAM 12GB+ROM 256GB
และพิเศษที่สุดก็เห็นจะเป็นโปรโมชั่นสั่งจอง Xiaomi 11T Series จำนวน 460 สิทธิ์ ผ่านระบบ Online ผ่านตัวแทนจำหน่าย รับฟรี Mi TV P1 55" มูลค่า 15,990 บาท โดยจะเริ่มเวลา 0.00 น. ของวันที่ 24 กันยายน 2564 หรือในคืนนี้นั่นเอง
ส่วนโปรโมชั่นจากผู้ให้บริการเครือข่าย ซื้อได้ในราคาเริ่มต้นที่ 4,990 บาท สำหรับ Xiaomi 11T รุ่น RAM 8GB+ROM 256GB และ 8,990 บาท สำหรับ Xiaomi 11T Pro รุ่น RAM 8GB+ROM 256GB
นอกจากนี้ทาง Xiaomi ยังการันตีการอัปเดตระบบปฏิบัติการ Android ต่อเนื่อง 3 รุ่น และ Patch ความปลอดภัยต่อเนื่อง 4 ปี เรียกว่าซื้อไปแล้วก็สามารถใช้งานกันได้แบบยาว ๆ ส่วนการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป
และในการเปิดตัวครั้งนี้ ก็ยังมีผลิตภัณฑ์ Xiaomi ที่น่าสนใจอีกหลายตัวมาเผยโฉมด้วย ทั้ง Xiaomi 11 Lite 5G NE, Xiaomi Pad 5, Mi Smart Standing Fan 2, Mi Smart Projector 2, Xiaomi FlipBuds Pro และอีกมากมาย เรียกว่าขนทัพกันมาเลยทีเดียว ซึ่งก็ได้ประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้วด้วยเช่นกัน
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Xiaomi ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง Xiaomi 11T Pro มาให้ทางทีมงานได้รีวิวให้ทุกท่านได้รับชมกัน สำหรับในวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันในใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ
ช่องทางจัดจำหน่าย และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
- https://getcrm.co/mi-preorder
- Shopee : https://bit.ly/2XQgzpZ
- Lazada : https://bit.ly/2ZdnlGG
- JD Central : https://bit.ly/2W1A4Lp
จุดเด่นของ Xiaomi 11T Pro
- ดีไซน์มีความโค้งมนพรีเมียมทันสมัยน่าใช้งาน ด้วยกรอบตัวเครื่องผลิตจากโลหะอะลูมิเนียม พร้อมฝาหลังที่ครอบทับด้วยกระจกขอบโค้ง
- ระบบระบายความร้อนแบบ LiquidCool
- จอแสดงผลแบบ 120Hz AMOLED Flat DotDisplay ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ พร้อมอัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz, อัตราการตอบสนองของระบบสัมผัส (Touch Sampling Rate) สูงสุดที่ 480Hz, ค่าความสว่างสูงสุด 1000 nits, ค่า Contrast Ratio 5,000,000:1, รองรับการแสดงผลสีได้ในระดับ 1 พันล้านสี, รองรับช่วงสีแบบ DCI-P3, รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ Dolby Vision กับ HDR10+ และครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus
- ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 888 5G (SM8350) ความเร็ว 2.84 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 660
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ขนาด 8 GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 3.1 ขนาด 256 GB
- แบตเตอรี่ Li-Ion ความจุ 5000 mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 120W Xiaomi HyperCharge ที่ชาร์จแบตเตอรี่ได้ 100% ภายในเวลา 17 นาที
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 11 พร้อมครอบทับด้วย MIUI 12.5
กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) ประกอบด้วย :
- กล้อง Wide Angle (Main) ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.52 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.7 ไมครอน หรือขนาด 2.1 ไมครอน (แบบ 9-in-1 Super Pixel), รูรับแสงขนาด f1.75, ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร, เทคโนโลยี Dual Native ISO และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF
- กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2 และมุมรับภาพ 120 องศา
- กล้อง Telemacro ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/5.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.4, ทางยาวโฟกัส 50 มิลลิเมตร และระบบโฟกัสอัตโนมัติ (ระยะ 3-7 เซนติเมตร)
พร้อมฟีเจอร์เด่นของกล้องหลังดังนี้
- ไฟแฟลชในตัว (Dual LED Flash : Dual Tone)
- โหมดถ่ายภาพแบบ Night, AI Night, AI Erase 2.0, Long Exposure, Photo Clones, 108MP, Document Mode 2.0
- รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 8K UHD (7680x4320 พิกเซล : 30 fps)
- รองรับการถ่ายภาพวิดีโอแบบ Slow Motion (Full HD 1080P ที่ 120 fps, 240 fps และ 960 fps)
- มีโหมดการถ่ายรูป และวิดีโอให้ใช้งานหลากหลาย
และมีเอฟเฟกต์สำหรับวิดีโอที่ใช้งานง่าย
กล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบ In-Display Selfie Camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.06 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.45, โหมดถ่ายภาพแบบ Selfie Night Mode และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 1080P FHD (1920x1080 พิกเซล : 60 fps)
- ลำโพงเสียงแบบคู่ (Dual Speakers) ที่ผ่านการปรับแต่งเสียงโดย Harman Kardon
- ระบบเสียงแบบ Dolby Atmos และรองรับไฟล์เสียงความละเอียดสูงแบบ Hi-Res Audio
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านข้างตัวเครื่อง (Arc Side Fingerprint Sensor) พร้อมระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock)
- รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 6, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA, EDGE และ GPRS
- รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual SIM : Nano SIM + Nano SIM)
- รองรับการระบุตำแหน่ง และนำทางด้วยระบบดาวเทียม GPS : L1+L5 | Galileo : E1+E5a | GLONASS:
G1 และ Beidou
- รองรับการเชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.2 และ NFC
- พอร์ต USB Type-C (USB 2.0)
- มอเตอร์ระบบสั่นแบบ X-Axis Linear Vibration Motor
- มี 3 สีมาตรฐานให้เลือก ได้แก่ Moonlight White, Meteorite Gray และ Celestial Blue
- มีอะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่แบบ 120W Wired Charger มาให้พร้อมชุดจำหน่ายมาตรฐาน
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Xiaomi 11T Pro
-
ตัวเครื่องยังจัดการความร้อนได้ไม่ดีนัก
- ตัวเครื่องมีความร้อนระหว่างชาร์จแบตเตอรี่ โดยเฉพาะเมื่อชาร์จด้วยระบบชาร์จความเร็วสูง 120W
- ไม่รองรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย
- กล้องถ่ายภาพตัวหลักที่ด้านหลังไม่มีระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- ไม่รองรับการเพิ่มพื้นที่เก็บบันทึกข้อมูลด้วยการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD หรือแบบอื่น ๆ
- ไม่มีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
สรุปคุณสมบัติเครื่อง
ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Xiaomi 11T Pro และ Xiaomi 11T ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้
- สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Xiaomi 11T Pro 8GB+128GB
- สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Xiaomi 11T Pro 8GB+256GB
- สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Xiaomi 11T Pro 12GB+256GB
- สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Xiaomi 11T 8GB+128GB
- สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Xiaomi 11T 8GB+256GB
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจถูกแก้ไขให้ดีขึ้นแล้วในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบ หรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่งเพื่อความมั่นใจ *
วันที่ : 23/09/2021