สรุป 5 จุดเด่นของ Samsung Galaxy Note 10 และ Note 10+ สมาร์ทโฟนเรือธงพรีเมียมรุ่นใหม่ กับปากกา S Pen อัจฉริยะ เริ่มขายแล้ววันนี้ในราคาเริ่ม 32,900 บาท
วางจำหน่ายในบ้านเรามาได้สักระยะแล้วสำหรับ Samsung Galaxy Note 10 และ Note 10+ สองสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นอัปเกรดใหม่ที่มาพร้อมกับสเปกแบบจัดเต็มรอบด้าน รวมถึงปากกา S Pen รุ่นใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานกลุ่ม New Work Tribe หรือกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ในยุคนี้ที่การทำงาน และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตจะสอดคล้องกัน ตั้งแต่เหล่า Vlogger ไปจนถึงนักธุรกิจที่ต้องการอุปกรณ์ที่สามารถทำได้ครบ จบทุกอย่างในเครื่องเดียว
เชื่อว่าหลายท่านที่กำลังตัดสินใจเลือกซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวอยู่ อาจจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่า Galaxy Note 10 และ Note 10+ มีฟีเจอร์เด่นอะไรที่น่าสนใจบ้าง วันนี้ทางทีมงาน Thaimobilecenter จึงขอโอกาสสรุปจุดเด่นหลักๆ ของสมาร์ทโฟนทั้งสองรุ่นเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้แก่ทุกท่านครับ
จอกว้างสุดขอบสองไซส์ สองขนาด การันตีคุณภาพระดับ A+
Samsung Galaxy Note 10 และ Note 10+ ได้รับการออกแบบเพื่อตอบโจทย์ด้านความบันเทิงอย่างแท้จริง ด้วยหน้าจอแสดงผลแบบจอกว้างสุดขอบในชื่อ Cinematic Infinity-O Display ซึ่งเป็นหน้าจอแสดงผลที่ผลิตมาจากแผงหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED มีจุดเด่นด้านการรองรับการแสดงผลแบบ HDR10+, ค่าความสว่างสูงสุดถึง 800nit, ค่าความเที่ยงตรงของสีที่ระดับ 0.4 JNCD (ยิ่งตัวเลขน้อย ค่าสียิ่งมีความคลาดเคลื่อนน้อย) รวมถึงเทคโนโลยีการตัดแสงสีฟ้าที่ได้รับการรับรองจาก TUV Rheinland ซึ่งเป็นสถาบันการทดสอบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลก และด้วยความโดดเด่นของหน้าจอแสดงผลนี้เองทำให้ Galaxy Note 10+ ได้รับการการันตีจาก Display Mate ผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบหน้าจอชั้นนำ ด้วยคะแนนสูงสุดที่ระดับ A+
นอกจากนี้ ครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ Samsung ผลิต Galaxy Note ออกมาสองขนาด ได้แก่ Galaxy Note 10 รุ่นปกติที่มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลขนาด 6.3 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กพอดีมือ เหมาะกับผู้ใช้รายใหม่ที่เพิ่งจะปรับตัวมาใช้สมาร์ทโฟนตระกูล Note และรุ่น Galaxy Note 10+ ที่มาพร้อมกับขนาดหน้าจอใหญ่สุดเท่าที่ Samsung เคยผลิตมาที่ 6.8 นิ้ว ตอบโจทย์แฟนๆ Galaxy Note ตัวจริง
กล้องหลังที่ได้รับคะแนนทดสอบมากสุดในโลกจาก DxOMark!
ด้านการถ่ายภาพก็มีการยกเครื่องใหม่ยกชุด โดยในรุ่น Galaxy Note 10 เลือกใช้ชุดกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบไปด้วย กล้องตัวหลักความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.5 - f/2.4 (รูรับแสงแบบปรับอัตโนมัติ), กล้องเลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 และกล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.1 ขณะที่ Galaxy Note 10+ เลือกใช้ชุดกล้องหลัง 4 ตัว (Quad Camera) โดยกล้อง 3 ตัวแรกจะเหมือนกับ Galaxy Note 10 รุ่นปกติ ต่างกันตรงที่มีการเพิ่มกล้องตัวพิเศษที่เรียกว่า DepthVision สำหรับตรวจจับข้อมูลระยะชัดตื้นได้อย่างแม่นยำ โดยสเปกกล้องที่จัดเต็ม รวมถึงประสิทธิภาพด้านซอฟท์แวร์ประมวลผลภาพที่ได้รับการพัฒนา ส่งผลให้มือถือตัวท็อปอย่าง Galaxy Note 10+ ได้รับคะแนนทดสอบด้านการถ่ายภาพบนมือถือจากสถาบัน DxOMark ที่ 113 คะแนน ซึ่งถือว่าเป็นคะแนนที่สูงที่สุด ณ ชั่วโมงนี้
ทาง Samsung ยังได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้แก่กล้องถ่ายภาพ อย่างเช่น Zoom-in- Mic หรือฟังก์ชันซูมเสียงขณะถ่ายวิดีโอ, ฟังก์ชัน Live Focus Video สำหรับถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ ที่ผู้ใช้สามารถเลือกปรับเอฟเฟ็กต์การเบลอฉากหลังได้เอง, ฟังก์ชันกันสั่นแบบ Super Steady ที่มีการนำเอาปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยวิเคราะห์ และคาดเดาแต่ละเฟรม เพื่อให้วิดีโอมีความนิ่งเหมือนกับใช้ไม้กนสั่น รวมถึงฟีเจอร์ใหม่อย่าง 3D Scanner ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสแกนวัตถุเป็น 3 มิติ เพื่อไปต่อยอดด้านต่างๆ เช่น พิมพ์วัตถุที่สแกนผ่านเครื่อง Print 3 มิติ หรือนำวัตถุดังกล่าวไปเคลื่อนไหวบนแอปพลิเคชันประเภท AR
สเปกเร็วแรงกว่าเดิม ชาร์จไวจุใจ พร้อมทุกการใช้งาน
Samsung Galaxy Note 10 และ Note 10+ มาพร้อมกับขุมพลังตัวใหม่ล่าสุดจาก Samsung ในชื่อรุ่น Exynos 9825 โดยเป็นชิปเซ็ตแบบ 8 แกนประมวลผลที่ผลิตด้วยกระบวนการ 7nm EUV หรือ Extreme Ultra Violet Lithography เป็นครั้งแรกของวงการ ซึ่งผลลัพธ์จะช่วยให้ชิปเซ็ตทรงพลัง และประหยัดพลังงานยิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้ ชิปรุ่นดังกล่าวยังมาพร้อมกับ NPU (Neural Processing Unit) หรือหน่วยประมวลผลโครงข่ายประสาท สำหรับช่วยประมวลผลด้านต่างๆ เกี่ยวกับงานประเภทปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น การประมวลผลภาพถ่าย รวมไปถึงการประมวลผลเกี่ยวกับเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงบนโลกแห่งความเป็นจริง (AR) ซึ่งการมี NPU ภายในตัวจะช่วยลดภาระการประมวลผลของชิปเซ็ต ทำให้ตัวเครื่องมีความเร็วแรงขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง
สำหรับขุมพลัง Exynos 9825 มาพร้อมกับหน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-G76 MP12 ซึ่งเป็น GPU ที่ถูกออกแบบมาสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ โดยจะทำงานควบคู่กับหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4x ขนาดสูงสุด 12GB พร้อมหน่วยความจำภายในตัวใหม่อย่าง UFS 3.0 ที่อ่านเขียนข้อมูลได้เร็วกว่าหน่วยความจำแบบ UFS 2.1 ที่ใช้บนสมาร์ทโฟนเรือธงทั่วๆ ไปบนท้องตลาด
สเปกที่แรงขึ้นแล้ว แบตเตอรี่ก็มีการอัปเกรดใหม่เพื่อรองรับการใช้งานที่ยาวนานขึ้น โดย Galaxy Note 10 มาพร้อมกับความจุแบตเตอรี่ 3500mAh ขณะที่รุ่น Galaxy Note 10+ มาพร้อมกับแบตเตอรี่มากสุดในตระกูล Galaxy Note ที่ความจุ 4300mAh นอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ Super Fast Charging ที่รองรับการจ่ายไฟระดับ 25W (Galaxy Note 10+ รองรับการจ่ายไฟสูงสุดที่ 45W แต่ต้องซื้ออแดปเตอร์แยก) พร้อมการชาร์จไร้สายที่จ่ายไฟได้สูงสุด 15W รวมถึงเทคโนโลยี Wireless powerShare สำหรับปล่อยกระแสไฟจากสมาร์ทโฟนเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับการชาร์จแบบไร้สาย ไม่ว่าจะเป็น Galaxy Watch หรือ Galaxy Buds
S Pen อัจฉริยะ คุมเครื่องง่ายๆ แค่โบกนิดสะบัดหน่อย
ไฮไลท์สำคัญของ Galaxy Note ทุกๆ รุ่นคงหนีไม่พ้นปากกาอัจฉริยะ S Pen อย่างแน่นอน โดยในรุ่น Galaxy Note 10 Series ทาง Samsung ก็ได้เสริมความเก่งขึ้นไปอีกระดับด้วยการติดตั้งเซ็นเซอร์ Gyroscope และ Accelerometer ไว้ในตัวปากกา ทำให้ S Pen สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวขณะที่ผู้ใช้ถืออยู่ได้ ส่งผลให้ทาง Samsung สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Air Actions ซึ่งเป็นการกดค้างที่ปากกา แล้ววาดท่าทางบนอากาศเพื่อสั่งการ Galaxy Note 10 Series ได้อย่างง่าย ไม่ว่าจะเป็น การสลับกล้อง, เปลี่ยนโหมดถ่ายภาพ, เปลี่ยนเพลง หรือการปรับระดับเสียง โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องแตะหน้าจอสมาร์ทโฟน
นอกจากนี้ S Pen บน Galaxy Note 10 Series ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์การจดบันทึกที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันยิ่งกว่าเดิม อย่างเช่น ฟีเจอร์แปลงลายมือเป็นตัวอักษร ซึ่งแต่ก่อนจะสามารถแปลได้แค่บงาคำ แต่ครั้งนี้สามารถแปลลายมือได้ทั้งประโยค อีกทั้ง เรายังสามารถเซฟออกมาเป็นไฟล์ Word เพื่อนำไปพิมพ์ต่อในโปรแกรมอื่นๆ ได้อีกด้วย
ทำงานแบบไร้รอยต่อด้วย Samsung DeX และ Link to Windows
ปิดท้ายด้วยฟังก์ชันที่ถือว่าออกแบบมาสำหรับเหล่านักธุรกิจ รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบการทำงานระหว่างอุปกรณ์อย่าง Samsung DeX หรือฟังก์ชันแปลงร่างมือถือให้ทำงานในโหมด PC โดยครั้งนี้ Samsung DeX สามารถใช้งานได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่ใช้สาย USB Type-C เพียงเส้นเดียวเพื่อเชื่อมต่อมือถือเข้ากับ PC หรือแล็ปท็อป เท่านั้น เราก็จะสามารถเข้าถึงไฟล์ต่างๆ รวมถึงทำงานแบบ PC บนมือถือได้ทันที นอกจากนี้ Samsung DeX บน Galaxy Note 10 Series ยังได้รับการอัปเกรดฟีเจอร์ใหม่ ซึ่งผู้ใช้สามารถลาก หรือโยนไฟล์จาก PC มาบนสมาร์ทโฟน หรือโยนไฟล์จากมือถือมายัง PC ได้แบบ Drag & Drop รวมทั้งครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ Samsung DeX รองรับการทำงานร่วมกับ Mac ด้วย
สำหรับ Galaxy Note 10 Series ทาง Samsung ยังได้มีการไปจับมือกับยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft เพื่อพัฒนาฟีเจอร์ Link to Windows หรือการเชื่อมต่อระหว่าง Galaxy Note 10 กับ PC ได้แบบไร้สายเพียงแค่เชื่อมต่อ Microsoft Account เดียวกัน หรือใช้งานอยู่ในวง Lan เดียวกัน ทำให้เราสามารถเช็คการแจ้งเตือนต่างๆ จาก Galaxy Note 10 ได้บน PC หรือจะทำการ Mirror หน้าจอสมาร์ทโฟนมาแสดงบน PC ก็สามารถทำได้อย่างง่ายๆ เช่นกัน
ฟีเจอร์ที่กล่าวมาด้านต้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของความโดดเด่นบน Samsung Galaxy Note 10 Series เท่านั้น สำหรับใครที่สนใจ Galaxy Note 10 Series ก็สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ในราคาเริ่มต้น 32,900 บาท ส่วนบทความทดสอบ และรีวิวฉบับเต็มแบบเจาะลึกทุกรายละเอียดจากทีมงาน Thaimobilecenter สามารถติดตามได้ในเร็วๆ นี้ครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม
- สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) ของ Samsung Galaxy Note 10
- สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) ของ Samsung Galaxy Note 10+ 256GB
- สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) ของ Samsung Galaxy Note 10+ 512GB
- พรีวิว Samsung Galaxy Note 10 และ Note 10+
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 29/8/2562
