พรีวิวฟีเจอร์ใหม่ Samsung Galaxy Note 10 และ Note 10+ สองสมาร์ทโฟนเรือธงระดับพรีเมียมรุ่นล่าสุด ครบจบในที่เดียว!
เปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ Samsung Galaxy Note 10 และ Note 10+ สองสมาร์ทโฟนเรือธงระดับพรีเมียมที่เปิดราคาขายในไทยเริ่มต้นที่ 32,900 บาท ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นที่ได้รับการยกเครื่องใหม่จากรุ่น Galaxy Note 9 ที่เคยเปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้วแบบรอบด้าน แต่เชื่อว่าหลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าแท้จริงแล้ว Galaxy Note 10 และ Note 10+ มีฟีเจอร์อะไรใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นเดิมบ้าง วันนี้ทางทีมงาน Thaimobilecenter จึงยกฟีเจอร์เด่นให้ทุกท่านได้รับชมแบบรวบรัดครับ
พรีวิวฟีเจอร์ใหม่ Samsung Galaxy Note 10 Series ในรูปแแบบวิดีโอ
จอกว้างเต็มตาเต็มอารมณ์
Galaxy Note 10 และ Note 10+ เปลี่ยนดีไซน์ด้านหน้าใหม่ไปใช้หน้าจอที่เรียกว่า Cinematic Infinity-O Display โดยตัวแผงหน้าจอเป็นแบบ Dynamic AMOLED ที่แสดงสีสันได้อย่างเที่ยงตรง คมชัด และสดใส พร้อมค่าความสว่างสูงสุดที่ 1200nits โดยหน้าจอของ Galaxy Note 10+ นั้นทางผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบชั้นนำระดับโลกยกให้เป็นมือถือจอ OLED ที่ดีที่สุด ณ ชั่วโมงนี้ด้วยคะแนนระดับ A+ เลยทีเดียว
อัปเกรดกล้องใหม่ยกชุดระดับ Pro-Grade
Samsung Galaxy Note 10+ อัปเกรดกล้องใหม่ไปใช้ชุดกล้องหลัง 4 ตัว จากเดิมในรุ่น Note 9 ที่ใช้กล้องหลัง 2 ตัว โดยกล้องแต่ละตัวแบ่งออกเป็น กล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, กล้องเลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล องศาในการรับภาพกว้าง 123 องศา, กล้องเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รองรับการซูมภาพ Optical Zoom 2 เท่า ส่วนกล้องตัวที่ 4 คือกล้องเลนส์ DetphVision สำหรับตรวจจับระยะชัดตื้นได้อย่างแม่นยำ และ Real-time ส่งผลให้การตัดขอบในโหมดถ่ายภาพ Portrait เนียนตาตามไปด้วย ส่วนทางด้านรุ่น Galaxy Note 10 รุ่นปกติจะมาพร้อมกับกล้องหลัง 3 ตัว โดยชุดกล้องจะเหมือนกับรุ่น Note 10+ แต่จะไม่มีเลนส์ DepthVision ให้ใช้งานแต่อย่างใด
ถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอได้แล้ว
การติดกล้อง DepthVision ในรุ่น Galaxy Note 10+ ช่วยให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้สามารถถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอเหมือนกับการถ่ายภาพ Portrait หรือที่ Samsung เรียกว่าวิดีโอไลฟ์โฟกัสได้ ซึ่งนอกจากการถ่ายหน้าชัดหลังเบลอแล้ว เรายังสามารถปรับเอฟเฟ็กต์ของการเบลอฉากหลังได้ทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่ เบลอปกติ, เบลอแบบโกเก้, เบลอแบบดูดเฉพาะสีตัวแบบ และการเบลอแบบ Glitch
เปลี่ยนมือถือเป็นคอมพิวเตอร์ด้วยสาย USB-C เส้นเดียว พ่วงฟังก์ชัน Drag & Drop
ฟังก์ชัน DeX ที่อยู่คู่สมาร์ทโฟน Galaxy Note มาตั้งแต่รุ่น Note 8 ปกติแล้วเราจะต้องต่อผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า DeX Station แต่สำหรับรุ่น Galaxy Note 10 Series มีการปรับเปลี่ยนใหม่เพราะคราวนี้เราใช้สาย USB-C เพียงเส้นเดียวก็สามารถใช้งานฟังก์ชัน DeX ได้แล้ว นอกจากนี้ขณะที่อยู่ในโหมด DeX เรายังสามารถใช้งานฟังก์ชันอื่นๆ ของมือถือได้ตามปกติ รวมทั้งหากเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์เราจะสามารถใช้งานคีย์บอร์ดที่เสียบไว้กับ PC ได้เลย
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ฟังก์ชัน DeX เวอร์ชันใหม่ที่อยู่ใน Galaxy Note 10 Series คือฟังก์ชัน Drag & Drop ที่ช่วยให้เราโอนถ่ายไฟล์ระหว่างมือถือกับ PC ได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่ลาก แล้วโยนไฟล์ไปในที่ที่เราต้องการเหมือนกับการโยนไฟล์จากคอมเข้า Flash Drive และที่สำคัญ DeX เวอร์ชันใหม่ รวมถึงฟังก์ชัน Drag & Drop สามารถใช้งานกับเครื่อง Mac ได้ด้วย
AR Doodle สร้างศิลปะบนโลกเสมือนจริง
อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ด้านต้นว่า กล้อง DepthVision ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในรุ่น Galaxy Note 10+ สามารถตรวจจับระยะชัดตื้นได้อย่างแม่นยำ และ Real-time ทำให้นำไปประยุกต์ใช้กับฟังก์ชันใหม่ที่เรียกว่า AR Doodle ในการแทร็คใบหน้าได้ด้วย โดยฟีเจอร์นี้เราสามารถใช้ปากกา S Pen วาดสิ่งที่เราต้องการบนใบหน้าของตัวแบบที่เราใช้กล้องส่องอยู่ ซึ่งสิ่งที่เราวาดจะขยับตามการเคลื่อนไหวบนใบหน้า ทำให้เราสามารถบันทึกวิดีโอไปอวดเพื่อนๆ ในโลกออนไลน์ได้ และที่สำคัญ AR Doodle ยังมี AI สำหรับแยกแยะใบหน้าของแต่ละบุคคลได้ ทำให้เมื่อเรานำกล้องไปส่องคนอื่นที่เราไม่ได้ใช้ S Pen วาดไว้ ฟังก์ชัน AR Doodle ก็จะไม่ทำงาน
อีกขั้นของการอัดวิดีโอด้วยฟังก์ชันซูมเสียง
โดยปกติแล้วเราจะคุ้นชินกับการซูมภาพไปให้ใกล้สิ่งที่เราต้องการจะถ่าย แต่คราวนี้ Samsung ล้ำกว่านั้นเพราะคิดฟังก์ชันใหม่ที่เรียกว่า Zoom-in Mic โดยเมื่อเราซูมวิดีโอเข้าไปใกล้ Object ที่อยู่ไกลๆ ระบบก็จะทำการขยายเสียงที่กล้องเรากำลังโฟกัสอยู่ให้ดังยิ่งขึ้นเหมือนเราไปยืนอยู่ใกล้ๆ โดยฟังก์ชันนี้จะทำงานร่วมกับไมโครโฟนทั้งหมด 3 ตัวที่ติดตั้งอยู่รอบตัวเครื่อง โดยเมื่อเราซูมเข้าไปหา Object ไมโครโฟนจะทำการวิเคราะห์ว่าเสียงมาจากฝั่งใด และจะตัดเสียงรบกวนที่ไม่ได้อยู่ในระยะโฟกัสของกล้องออกไป
Air Actions คุม Note 10 เพียงใช้ S Pen โบกนิดสะบัดหน่อย
S Pen บน Galaxy Note 10 Series มีการติดตั้งเซ็นเซอร์ Gyroscope และ Accelerometer เอาไว้สำหรับตรวจจับการเคลื่อนไหวของตัวปากกาโดยเฉพาะ ส่งผลให้เราสามารถสั่งการตัวเครื่องได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องแตะหน้าจอ ยกตัวอย่างเช่น ในแอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ เราสามารถกดค้างที่ปากกา S Pen และตวัดขึ้นเพื่อสลับหน้าเป็นกล้องหลัง หรือสลับจากกล้องหลังเป็นกล้องหน้าได้อย่างง่ายๆ, กดค้างที่ปากกา S Pen แล้ววาดเป็นเส้นโค้งตามเข็มนาฬิกาเพื่อทำการซูมภาพ หรือกดค้างที่ปากกา S Pen แล้วปัดไปทางด้านซ้าย-ขวา เพือเปลี่ยนโหมดถ่ายภาพ ส่วนแอปพลิเคชันอื่นๆ ผู้ใช้ก็สามารถเข้าไปตั้งค่าคำสั่งของ Air Actions เพื่อสั่งการได้ด้วยตนเอง
แบตเยอะขึ้น และชาร์จเร็วขึ้น
Galaxy Note 10 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 3500mAh ขณะที่ Galaxy Note 10+ มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 4300mAh ซึ่งถือว่ามากกว่า Galaxy Note 9 ที่มีแบตเตอรี่ราว 4000mAh นอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังรองรับระบบชาร์จเร็ว 25W แต่ในรุ่น Galaxy Note 10+ จะชาร์จได้เร็วสูงสุดถึง 45W เมื่อใช้งานร่วมกับอแดปเตอร์ที่รองรับ
นี่เป็นเพียงของใหม่บางส่วนที่มีอยู่ใน Samsung Galaxy Note 10 และ Note 10+ เท่านั้น สำหรับบทความทดสอบ และรีวิวฉบับเต็ม สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ Thaimobilecenter เร็วๆ นี้ครับ
วันที่ : 14/8/2562
