แนะนำอดีตเรือธงที่ยังน่าสนใจในปี 2020 กับราคาใหม่ คุ้มค่าน่าเป็นเจ้าของ แบรนด์ไหนดี รุ่นไหนเด่น เราคัดมาให้ท่านแล้ว
สำหรับท่านที่หมั่นติดตามข่าวสารในวงการสมาร์ทโฟนอยู่เป็นประจำก็จะทราบดีว่าตลอดระยะเวลาในปีที่ผ่านมา แบรนด์ใหญ่ๆ ต่างก็ส่งสมาร์ทโฟนระดับเรือธงรุ่นเด่นประจำปีออกมาประชันกันอย่างดุเดือด และก็เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อเรือธงรุ่นใหม่เปิดตัว อดีตเรือธงในปีก่อนหน้าก็จะมีการปรับลดราคาลงในทันที ซึ่งก็ถือเป็นโอกาสที่ดีของผู้ที่ต้องการจับจองเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนระดับท็อปในราคาที่ไม่แพงมากจนเกินไป
ในวันนี้ทางทีมงาน Thaimobilecenter จึงได้รวบรวมสมาร์ทโฟนอดีตเรือธงในปีก่อนที่ยังน่าสนใจในปี 2020 พร้อมราคาวางจำหน่ายที่ย่อมเยา เป็นเจ้าของได้ง่ายกว่าเดิม ซึ่งจะมีสมาร์ทโฟนจากแบรนด์ใดบ้างนั้น เชิญติดตามชมไปพร้อมกันได้เลยค่ะ
Samsung Galaxy Note 9 (128GB) : 12,200 บาท
อดีตเรือธงในปี 2018 ที่มาพร้อมสเปกครบครัน และยังคงน่าสนใจในปี 2020 ทั้งการดีไซน์ระดับพรีเมียมด้วยจอไร้ขอบแบบ Infinity Display ขนาดใหญ่ 6.4 นิ้ว คมชัดระดับ 2K+ บนบอดี้กระจกผสานโลหะ (Metal-Glass) พร้อมรองรับคุณสมบัติการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 และรองรับปากกา S-Pen ที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อ Bluetooth และรองรับคำสั่งต่างๆ ที่ช่วยให้คุณใช้ชีวิตง่ายขึ้น รวมถึงกล้องคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่รองรับระบบป้องกันการสั่นไหวแบบ Dual OIS มีฟีเจอร์ Dual Aperture ในการปรับค่ารูรับแสงตามสภาพแวดล้อมระหว่าง F/1.5 กับ F/2.4 พร้อม Live Focus สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ, Flaw Detection สำหรับตรวจสอบคุณภาพของภาพที่ได้, ฟังก์ชัน Scene Optimization ที่สามารถแยกประเภทซีนได้กว่า 20 แบบ และการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสูงที่ระดับ 4K UHD พร้อมฟังก์ชัน Super Slow-mo
ด้านสเปกภายในรันด้วยชิปเซ็ต Exynos 9 Octa 9810 พร้อมโหมดเร่งประสิทธิภาพแบบเต็มขั้นอย่าง Performance Mode และระบบระบายความร้อนแบบ Water Carbon Cooling System จับคู่กับ RAM ขนาด 6GB โดยมีแบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh ที่รองรับเทคโนโลยี Quick Charge 2.0
Samsung Galaxy Note 10 (256GB) : 15,990 บาท
หากใครที่มีงบเพิ่มเข้ามาอีกหน่อย และอยากได้มือถือตระกูล Galaxy Note ก็อาจลองเก็บ Samsung Galaxy Note10 ไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับพิจารณา เพราะในปัจจุบันราคาของ Galaxy Note10 ถือว่ามีการลดลงจากราคาเปิดตัวค่อนข้างมาก ส่วนสเปกต่างๆ ก็ยังถือว่าน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอ Dynamic AMOLED ที่รองรับ HDR10+, ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ, กล้องหลัง 3 ตัวที่มีเลนส์ถ่ายภาพครอบคลุมทุกระยะ, ลำโพงคู่ หรือระบบชาร์จไร้สาย เป็นต้น
Samsung Galaxy S10 : 13,500 บาท
อดีตเรือธงของทาง Samsung ในปี 2019 ที่ผ่านมา ที่มากับการปรับโฉมดีไซน์ครั้งใหญ่ ด้วยหน้าจอไร้ขอบแบบ Infinity-O Display ครั้งแรกของค่าย กับขนาด 6.1 นิ้ว คมชัดระดับ 2K+ ที่มีการฝังกล้องหน้าบนจอความละเอียด 10 ล้านพิกเซล และรองรับการถ่ายวิดีโอคมชัดระดับ 4K ได้เป็นรุ่นแรกของโลก พร้อมติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้หน้าจอแบบ Ultrasonic บนตัวเครื่องกระจกไล่เฉดสีในชื่อ Prism ที่รองรับคุณสมบัติการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นมาตรฐาน IP68 และอัปเกรดมาเป็นกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ที่มีการเพิ่มเลนส์ Ultra-Wide สำหรับเก็บภาพมุมกว้างสุดถึง 123 องศา
Samsung Galaxy S10 ใช้งานชิปเซ็ต Exynos 9 Octa 9820 จับคู่กับ RAM ขนาด 8GB ที่รองรับการใช้งานได้อย่างลื่นไหล พร้อมความจุภายใน 128GB ที่สามารถเพิ่ม microSD ได้สูงสุด 512GB โดยรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 15W Fast Charge และการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายที่ 15W เท่ากัน ซึ่งมากับ User Interface ใหม่ล่าสุดของทาง Samsung อย่าง One UI เป็นรุ่นแรกอีกด้วย
Samsung Galaxy S10+ (8GB/128GB) : 16,500 บาท
อดีตเรือธงตัวท็อปของตระกูล Galaxy S Series ในปี 2019 ด้วยการปรับโฉดีไซน์ใหม่กับหน้าจอ Infinity-O Display ครั้งแรกของค่าย ที่มีการฝังกล้องหน้าคู่บนจอ (Dual Camera) ความละเอียด 10 + 8 ล้านพิกเซล รองรับการถ่ายวิดีโอคมชัดระดับ 4K ได้เป็นรุ่นแรกของโลก พร้อมติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้หน้าจอแบบ Ultrasonic บนตัวเครื่องกระจกไล่เฉดสีในชื่อ Prism ที่รองรับคุณสมบัติการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นมาตรฐาน IP68 และอัปเกรดมาเป็นกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ที่มีการเพิ่มเลนส์ Ultra-Wide สำหรับเก็บภาพมุมกว้างสุดถึง 123 องศา
ด้านสเปกใช้งานชิปเซ็ต Exynos 9 Octa 9820 จับคู่กับ RAM ขนาด 8GB ที่รองรับการใช้งานได้อย่างลื่นไหล พร้อมความจุภายในมากสุด 512GB ที่สามารถเพิ่ม microSD ได้สูงสุด 512GB โดยมีแบตเตอรี่ความจุ 4100 mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 15W Fast Charge และการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายที่ 15W เท่ากัน และมากับ User Interface ใหม่ล่าสุดของทาง Samsung อย่าง One UI เป็นรุ่นแรกด้วยเช่นกัน
HUAWEI P30 : 9,500 บาท
อดีตเรือธงในปี 2019 ที่มาดีไซน์ระดับพรีเมียม ด้วยหน้าจอหยดน้ำ Dewdrop Display ขนาด 6.1 นิ้ว คมชัดระดับ Full HD+ พร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังใต้หน้าจอ (In-Screen Fingerprint) บนตัวเครื่องกระจก ผสานกรอบโลหะ ที่มีการไล่เฉดสีแบบ Gradient ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ โดยมีการติดตั้งระบบกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ที่พัฒนาร่วมกับทาง Leica โดยมีกล้องตัวหลักความละเอียด 40 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์ Ultra Wide Angle เก็บภาพมุมกว้างสุด 120 องศา และเลนส์ซูม Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ที่รองรับการซูมสูงสุดที่ 30 เท่า
ด้านสเปกก็เรียกว่าจัดเต็มด้วยชิปเซ็ต Kirin 980 จับคู่กับ RAM ขนาด 8GB + ROM ขนาด 128GB พร้อมรองรับหน่วยความจำภายนอกแบบใหม่ในชื่อ nano Memory Card ที่มีขนาดเท่ากับซิมการ์ด ขนาดสูงสุด 256GB และรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 22.5W Huawei SuperCharge รวมถึงยังใช้งาน GMS ได้
HUAWEI P30 Pro : 14,490 บาท
อดีตเรือธงตัวท็อปในปี 2019 ของทาง Huawei ที่มากับหน้าจอขอบโค้งทั้ง 2 ด้านแบบ Curved OLED Dewdrop Display ขนาด 6.47 นิ้ว คมชัดระดับ Full HD+ พร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังใต้หน้าจอ (In-Screen Fingerprint) บนตัวเครื่องกระจก ผสานกรอบโลหะ ที่มีการไล่เฉดสีแบบ Gradient ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ และรองรับมาตรฐานการกันน้ำ IP68 โดยมีการติดตั้งระบบกล้องหลัง 4 ตัว (Quad Camera) ที่พัฒนาร่วมกับทาง Leica โดยมีกล้องตัวหลักความละเอียด 40 ล้านพิกเซล แบบ Super Spectrum เซ็นเซอร์รับภาพแบบ Quad Bayer ตัวใหมของทาง Sony ณ ตอนนั้น อย่าง IMX650 พร้อมเลนส์ Ultra Wide Angle เก็บภาพมุมกว้างสุด 120 องศา, เลนส์ซูม Telephoto แบบ Periscope ที่สามารถซูมภาพด้วยชิ้นเลนส์ (Optical Zoom) ได้ 5 เท่า, ซูมภาพแบบ Hybrid Zoom ได้ 10 เท่า และซูมภาพแบบ Digital Zoom ได้ไกลสุดถึง 50 เท่า ส่วนกล้องตัวที่สี่เป็นแบบ ToF สำหรับช่วยตรวจจับระยะชัดตื้นได้อย่างแม่นยำ ช่วยถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอที่มีความเนียนตามากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเรือธงที่จัดเต็มด้านการถ่ายภาพเลยก็ว่าได้
สเปกภายในมากับชิปเซ็ต Kirin 980 จับคู่กับ RAM ขนาด 8GB + ROM ขนาด 256GB พร้อมรองรับหน่วยความจำภายนอกแบบใหม่ในชื่อ nano Memory Card ที่มีขนาดเท่ากับซิมการ์ด ขนาดสูงสุด 512GB และมีแบตเตอรี่ความจุ 4200 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 40W Huawei SuperCharge พร้อมชาร์จแบบไร้สายที่ 15W รวมถึงยังใช้งาน GMS ได้
HUAWEI Mate 20 Pro : 11,990 บาท
อดีตเรือธงจากตระกูล Mate Series ในปี 2018 ที่มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลที่มีรอยบากด้านบนหน้าจอแบบ OLED FullView Display ขอบโค้งทั้ง 2 ด้าน (Dual-Curved) ขนาด 6.39 นิ้ว ความละเอียดระดับ Quad HD+ (1440x3120 พิกเซล) พร้อมติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือภายใต้หน้าจอแบบ In-Screen Fingerprint และครอบทับด้วยกระจกขอบโค้งแบบ 3D Glass เช่นเดียวกับที่ด้านหลัง พร้อมกรอบโลหะ ที่ติดตั้งกล้องตัวหลักทั้งหมด 3 ตัว (Triple Camera) จากทาง Leica ความละเอียด 40 + 20 + 8 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช Dual-Tone LED ที่เรียงกันในลักษณะของสี่เหลี่ยมจตุรัส โดยรองรับการถ่ายภาพมุมกว้างแบบ Ultra Wide และระยะใกล้สุดแบบ Macro ที่ 2.5 เซนติเมตร รวมถึงระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ AIS
สำหรับสเปกของ HUAWEI Mate 20 Pro ที่น่าสนใจคือใช้ชิปเซ็ต Kirin 980 โดยมี RAM 6GB และหน่วยความจำภายใน 128GB ที่สามารถเพิ่ม NM Card ได้อีก 256GB พร้อมกับแบตความจุ 4200 mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Huawei SuperCharge 40W และการชาร์จแบบไร้สายที่ 15W รวมถึงยังใช้งาน GMS ได้
OnePlus 7 Pro (6GB/128GB)
อดีตมือถือระดับ Super Flagship ของค่าย OnePlus ที่มากับการดีไซน์จอไร้ขอบอย่างแท้จริง ไร้รอยบากกวนใจ พร้อมความโค้งทั้ง 2 ด้านแบบ Fluid AMOLED คมชัดระดับ QHD+ โดยมีค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz เป็นรุ่นแรกของโลก จึงช่วยในเรื่องความลื่นไหลขณะใช้งาน ไม่ว่าจะชมภาพยนตร์เรื่องโปรด หรือเล่นเกม อีกทั้งยังฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้หน้าจอ (In-display Fingerprint Sensor) ที่ใช้เวลาปลดล็อกเพียง 0.21 วินาที และมีกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) เป็นรุ่นแรกของค่าย ที่กล้องตัวหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX586 พร้อมกล้องเลนส์มุมกว้างพิเศษแบบ Ultra Wide Angle สามารถเก็บภาพมุมกว้างสุดที่ 117 องศา สำหรับกล้องหน้าได้ปรับมาเป็นแบบ Pop-Up เลื่อนได้อัตโนมัติ ที่ซ่อนอยู่ในตัวเครื่อง
OnePlus 7 Pro ใช้งานชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 855 จับคู่กับ RAM ขนาดสูงสุด 12GB พร้อมความจำภายในตัวเครื่องมาตรฐาน UFS 3.0 ขนาดสูงสุด 256GB และมีแบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ 30W Warp Charge
OPPO Find X (8GB/256GB) ราคา 11,500 บาท
OPPO Find X สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับนวัตกรรมกล้องเด้งได้แบบ Stealth Camera บนดีไซน์จอไร้ขอบไร้รอยบากแบบ Panoramic Arc Screen รวมทั้งยังมาพร้อมกับชิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง Snapdragon 845 ประกบคู่กับหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB และหน่วยความจำภายในความจุ 256GB พร้อมกล้องหลังคู่ 16 + 20 ล้านพิกเซล ที่รองรับการถ่ายวิดีโอบนความละเอียดระดับ 4K
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับอดีตสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงในปีที่ผ่านมาจากแต่ละค่าย จะเห็นได้ว่าแต่ละรุ่นยังคงมีฟีเจอร์ระดับไฮเอนด์อย่างครบครัน และมีการดีไซน์ที่ทันสมัย อีกทั้งยังมีราคาที่ย่อมเยาลง สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายมากขึ้น
ทั้งนี้จึงขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้เอง ว่ามีความชื่นชอบสมาร์ทโฟนรุ่นใดมากที่สุด ทั้งในด้านการดีไซน์ว่าสวยถูกใจขนาดไหน และฟีเจอร์ด้านในสามารถพร้อมตอบโจทย์การใช้งานของตนเองได้ครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งหากว่าได้ทดลองใช้งานในเบื้องต้น แล้วเกิดความพึงพอใจ ก็ถือได้ว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนั้นคุ้มค่าแก่การจับจองเป็นเจ้าของแล้วค่ะ สำหรับวันนี้ทางทีมงานต้องขอลาไปก่อน พบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีค่ะ
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 18/11/2563