รีวิว (Review) OPPO Find X
ความงดงามอันสมบูรณ์แบบ ผสานที่สุดแห่งนวัตกรรม! ด้วยจอโค้งไร้รอยบาก Panoramic Arc Screen 6.4 นิ้ว, กล้อง Stealth 3D ระบบสไลด์สุดอัจฉริยะ กับกล้องหน้า AI 25 ล้านพิกเซล+กล้องหลังคู่ AI, ชิปเซ็ต Snapdragon 845 AIE, RAM 8GB, ROM 256GB, ระบบสแกนใบหน้า 3 มิติ และแบตเตอรี่ VOOC 3730 mAh บนตัวเครื่องดีไซน์ไร้รอยต่อสีไล่เฉด 3 มิติ ที่งามเลอค่าดุจอัญมณี!
4 สิงหาคม 2018 - ย้อนกลับไปเมื่องานอีเวนท์ ณ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ปี 2018 ที่ผ่านมา ทางแบรนด์สมาร์ทโฟนชั้นนำจากประเทศจีนอย่าง OPPO ได้ทำการเปิดตัวสมาร์ทโฟนระดับเรือธงรุ่นใหม่ในชื่อ OPPO Find X ซึ่งนับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของตระกูล Find Series หลังห่างหายไปนานกว่า 4 ปีนับตั้งแต่เปิดตัว OPPO Find 7 เมื่อปี 2014 และที่สำคัญทาง OPPO ยังได้นำ OPPO Find X เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยเพื่อให้ผู้ใช้ในบ้านเราได้จับจองเป็นเจ้าของกันด้วย
แน่นอนว่าการกลับมาของ OPPO Find Series จะต้องมีความพิเศษอย่างแน่นอน ซึ่งใน OPPO Find X ก็ได้มาพร้อมกับนวัตกรรมสุดล้ำจัดเต็มทั้งดีไซน์ และประสิทธิภาพการทำงาน เริ่มตั้งแต่ ดีไซน์หน้าจอไร้ขอบ ไร้รอยบากแบบใหม่ในชื่อ Panoramic Arc Screen ที่มีพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องสูงถึง 93.8% บนบอดี้ที่ครอบทับด้วยกระจกขอบโค้งแบบ 3D Glass ผสานตัวเครื่องแบบไล่เฉด (Gradient) ทำให้ตัวเครื่องสะท้อนเล่นกับแสงได้อย่างเงางามราวกับอัญมณี
นอกเหนือจากความโดดเด่นด้านงานออกแบบที่มีความสวยงามแล้ว OPPO Find X ยังมาพร้อมกับไฮไลท์เด่นอย่างนวัตกรรม Stealth 3D Cameras ซึ่งเป็นกลไกสไลด์เพื่อซ่อนกล้องหน้า-หลัง เอาไว้ภายในของตัวเครื่อง ทำให้บริเวณรอบๆ ตัวเครื่องของ OPPO Find X จะมีความเรียบเนียนเป็นชิ้นเดียวกันราวกับกระจกสองแผ่นมาประกบรวมกัน มากไปกว่านั้น นวัตกรรม Stealth 3D Cameras ยังติดตั้งเทคโนโลยี 3D Structured Light ที่เป็นการฉายแสงลงบนใบหน้าผู้ใช้งานมากกว่า 15,000 จุด
เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับฟังก์ชันต่างๆ เช่น การปลดล็อกด้วยใบหน้าแบบ 3 มิติ, การสร้างอีโมจิ 3 มิติแบบ 3D Omoji ที่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามลักษณะใบหน้าผู้ใช้งาน รวมถึงการนำไปใช้กับฟังก์ชัน 3D AI Beauty สำหรับช่วยปรับแต่งใบหน้าผู้ถ่ายให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
ด้านประสิทธิภาพการทำงานก็ถือว่าจัดเต็มสมกับฐานะสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ ไม่ว่าจะเป็น ขุมพลังตัวท็อป Qualcomm Snapdragon 845 AIE, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) ความจุ 256GB, แบตเตอรี่ความจุ 3730mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ VOOC Flash Charge และการทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ล่าสุด Android OS เวอร์ชัน 8.1
Oreo ซึ่งถูกครอบทับด้วย ColorOS 5.1 ซึ่งเป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุดเช่นเดียวกัน และมีฟังก์ชันต่างๆ ให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย ในวันนี้ทางทีมงาน Thaimobilecenter จึงขอโอกาสนำ OPPO Find X มาทำการรีวิวเพื่อเป็นข้อมูลให้แก่ผู้อ่านทุกๆ ท่าน โดยตัวเครื่องจริงจะมีความงดงามเพียงใด, รวมทั้งประสิทธิภาพระดับไฮเอนด์ที่อยู่ภายในตัวเครื่องจะสามารถทำงานได้รวดเร็วมากน้อยขนาดไหน เราไปติดตามรับชมได้พร้อมกันเลยครับ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
OPPO Find X มาพร้อมกับหน้าแผงหน้าจอแบบ AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2340x1080) พิกเซล อัตราส่วนในการแสดงผล 19.5:9 พร้อมเสริมความแข็งแกร่งด้วยกระจก Gorilla Glass 5 บนดีไซน์แบบ Panoramic Arc Screen ที่หน้าจอแสดงผลบริเวณด้านบน และล่างจะมีความชิดไปกับขอบของตัวเครื่องจนแทบไร้ขอบ ส่วนหน้าจอแสดงผลบริเวณด้านข้างจะมีความโค้งลงไปยังเฟรมของตัวเครื่อง ทำให้ OPPO Find X มีพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่อง (Screen to ) ถึง 93.8% ซึ่งนับว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่มีพื้นที่ในการแสดงผลสูงที่สุด
ณ ชั่วโมงนี้
นอกจากนี้ หน้าจอแบบ Panoramic Arc Screen ที่มีอยู่บน OPPO Find X ยังมาพร้อมกับฟังก์ชัน Curved Panoramic Light Effect สำหรับแสดงแสงไฟแจ้งเตือนบริเวณขอบของตัวเครื่อง เมื่อมีสายเรียกเข้า หรือมีการแจ้งเตือนภายในตัวเครื่อง ซึ่งแสงสวยๆ ที่เห็นนี้จะแสดงก็ต่อเมื่อผู้ใช้ล็อกหน้าจอเท่านั้นครับ
ด้านหน้าส่วนบนของหน้าจอมาพร้อมกับพื้นที่ขอบบางเฉียบเพียง 1.91 มิลลิเมตร ซึ่งประกอบไปด้วย ลำโพงสำหรับฟังขณะสนทนา. ระบบ Accelerometer Sensor สำหรับหมุน หรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอแบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้, ระบบ Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม และระบบ Proximity Sensor สำหรับเปิด-ปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติ เพื่อประหยัดพลังงาน โดยจะสังเกตเห็นได้ว่าบริเวณด้านหน้าส่วนบนของ
OPPO Find X ไม่มีกล้องหน้าติดตั้งเอาไว้ เนื่องจากทาง OPPO ได้ย้ายไปติดตั้งไว้ในกลไกกล้องแบบใหม่ในชื่อ Stealth 3D Cameras นั่นเอง
สำหรับอุปกรณณ์ภายในด้านหน้าส่วนล่างของหน้าจอ ไม่มีปุ่มควบคุมใดๆ ให้ใช้งาน แต่มีปุ่มสั่งงานบนหน้าจอแบบ Virtual Key Navigation ซึ่งประกอบไปด้วย ปุ่ม Recent Apps, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถปรับเปลี่ยนไปใช้วิธีสั่งการตัวเครื่องแบบ Swipe-up Gesture Navigation ซึ่งเป็นสั่งงานผ่านการลากนิ้วสัมผัสจากบริเวณขอบด้านล่างของหน้าจอ
ด้านบนของตัวเครื่องมีไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวนติดตั้งเอาไว้
ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ลำโพงเสียงภายนอก, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ หรือโอนถ่ายข้อมูล และถาดใส่ซิมการ์ด
สำหรับถาดใส่ซิมการ์ดของ OPPO Find X รองรับซิมการ์ดแบบ nanoSIM ทั้งสองช่อง และไม่สามารถใส่หน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card ได้
ด้านซ้ายของตัวเครื่อง มีปุ่มเพิ่ม-ลด ระดับเสียง
ด้านขวาของตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิด หรือล็อกหน้าจอ
ด้านหลังของตัวเครื่องมาพร้อมกับบอดี้กระจก Gorilla Glass 5 แบบไร้รอยต่อที่มีความเงางามสะท้อนเล่นกับแสง พร้อมสีสันแบบไล่เฉดแวววาวราวกับอัญมณี และยังสามารถสะท้อนเปลี่ยนเฉดสีได้เมื่อมองจากมุมต่างๆ ส่วนบริเวณด้านล่างมีการสลักชื่อรุ่น FIND X พร้อมข้อความ DESIGNED BY OPPO ซึ่งสื่อถึงงานออกแบบของสมาร์ทโฟนที่ทาง OPPO ตั้งใจพัฒนาขึ้นมานั่นเอง ซึ่งสำหรับสีที่ทางทีมงานได้รับมารีวิววันนี้คือสีแดง Bordeaux Red ครับ
เปรียบเทียบตัวเครื่องระหว่างสีแดง Bordeaux Red และสีน้ำเงิน Glacier Blue
หากสังเกตจะพบว่าที่ด้านหลังส่วนบนของ OPPO Find X ไม่มีกล้องติดตั้งไว้เหมือนกับสมาร์ทโฟนทั่วๆ ไป อีกทั้ง ไม่มีปุ่มสแกนลายนิ้วมือติดตั้งไว้บนตัวเครื่องเลย ซึ่ง OPPO มีทางออกด้วยการนำกล้องหลังไปซ่อนไว้รวมกับกลไก Stealth 3D Cameras เหมือนกับกล้องหน้า ส่วนระบบยืนยันตัวตนเข้าใช้งานก็ปรับไปใช้งานระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าแบบ 3 มิติที่มีความปลอดภัยสูงกว่าระบบสแกนลายนิ้วมือแทน โดยทีมงานจะขออธิบายนวัตกรรมซ่อนกล้องของ OPPO Find X ในหัวข้อต่อไปครับ
เจาะลึกนวัตกรรม Stealth 3D Cameras มีอะไรซ่อนเอาไว้บ้าง?
OPPO ได้คิดค้นนวัตกรรมซ่อนกล้องแบบใหม่ในชื่อ Stealth 3D Cameras พร้อมกับนำมาใช้บน OPPO Find X เป็นครั้งแรก ซึ่งตัวกลไกจะเลื่อนออกมาให้ใช้งานแบบอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้เปิดแอปพลิเคชันกล้อง หรือสแกนใบหน้าเข้าสู่ตัวเครื่อง ซึ่งกระบวนการในการเลื่อนกล้องออกจากตัวเครื่องมายังด้านบน ใช้เวลาไม่เกิน 0.6 วินาที และยังสามารถเลื่อนขึ้น-ลงได้ไม่ต่ำกว่า 300,000 ครั้งเลยทีเดียว
สำหรับที่ด้านหน้าของกลไกกล้อง Stealth 3D Cameras มาพร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 25 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX576 และที่สำคัญยังมาพร้อมกับนวัตกรรม 3D Structured Light ซึ่งเป็นนวัตกรรมในการฉายแสง และตรวจจับใบหน้าของผู้ใช้งานแบบ 3 มิติ ผ่านการทำงานร่วมกันของฮาร์ดแวร์ต่างๆ ที่ติดตั้งอยู่บนแผงกลไกส่วนหน้าของระบบ Stealth 3D Cameras ประกอบไปด้วย Flood Illuminator, Infrared Camera, Ranging Sensor, Receiver และ Dot Projector
นวัตกรรม 3D Structured Light ที่กล่าวไปด้านต้นนั้น จะถูกนำไปประยุกต์ใช้กับนระบบสแกนใบหน้าบน OPPO Find X ผ่านการฉายแสง และประมวลจุดต่างๆ บนใบหน้าผู้ใช้งานกว่า 15,000 จุด เพื่อสร้างโมเดลหน้าผู้ใช้งานแบบ 3 มิติขึ้น จากนั้นตัวระบบจะนำไปประมวลผลเพื่อทำการยืนยันตัวตน ซึ่งทาง OPPO ระบุว่า ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าของ OPPO Find X มีโอกาสผิดพลาดเพียงแค่ 1 ใน 1,000,000 เท่านั้น ซึ่งนับว่าปลอดภัยกว่าระบบสแกนลายนิ้วมือที่มีโอกาสผิดพลาดประมาณ 1 ใน 50,000 โดยจากที่ทีมงานได้ลองนำไปทดสอบการปลดล็อกใบหน้าในส
าวะแสงต่างๆ ก็พบว่า ระบบสแกนใบหน้าของ OPPO Find X สามารถตรวจจับใบหน้า และปลดล็อกเข้าสู่ตัวเครื่องได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้ง ยังสามารถปลดล็อกได้แม้ในสภาวะแสงน้อย
ส่วนด้านหลังของกลไก Stealth 3D Cameras มาพร้อมกับระบบกล้องหลังคู่ (Dual Camera) โดยแบ่งออกเป็น กล้องตัวที่หนึ่งแบบ RGB ที่เลือกใช้เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX519 ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล และกล้องตัวที่สองความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ที่เลือกใช้เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX376K นอกจากนี้ กล้องหลัง OPPO Find X ยังมาพร้อมกับระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS (Optical Image Stabilization) เพื่อช่วยลดอาการเบลอของภาพเมื่อมือผู้ใช้ไม่นิ่งนั่นเองครับ
หลายท่านอาจจะเกิดความสงสัยว่า หากมีสิ่งใดมารบกวนกล้อง Stealth 3D Cameras ขณะเปิดใช้งานจะเกิดอะไรขึ้น? คำตอบก็คือ ตัวกล้องจะถูกเลื่อนปิดลงเองแบบอัตโนมัติเพื่อป้องกันความเสียหาย อีกทั้ง ทาง OPPO ยังได้ติดตั้งนวัตกรรมตรวจจับแรงโน้มถ่วงเอาไว้ภายใน OPPO Find X ด้วย ทำให้เมื่อสมาร์ทโฟนกำลังร่วงหล่นจากมือผู้ใช้งาน กล้อง Stealth 3D Cameras ก็จะทำซ่อนตัวให้แบบอัตโนมัติเช่นเดียวกัน
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ
OPPO Find X ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชันใหม่ 8.1 Oreo ครอบทับด้วย ColorOS เวอร์ชัน 5.1 ซึ่งเป็น UI ที่ทาง OPPO ได้ทำการพัฒนาขึ้นมา โดยเน้นไปที่ความฉลาดของฟังก์ชัน และการใช้งานที่ง่าย
รองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ 4G LTE กับ 3G ได้ทั้ง 2 ซิมการ์ดเช่นเดียวกัน รวมทั้งยังรองรับเทคโนโลยีการสื่อสารทางเสียงผ่านโครงข่าย 4G (Voice over LTE : VoLTE) ได้ทั้ง 2 ซิมการ์ด มากไปกว่านั้น ยังรองรับการสื่อสารทางเสียงผ่านระบบ Wi-Fi (Wi-Fi Calling) อีกด้วย
เมื่อลากนิ้วจากด้านบนลงมาด้านล่าง จะพบกับ Toggle Switch ซึ่งเป็นศูนย์รวมคีย์ลัดสำหรับเปิด-ปิด ฟังก์ชันการทำงานของตัวเครื่อง ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนคีย์ลัดได้เองผ่านการแตะไอคอนรูปลูกศรบริเวณด้านขวาบน ถัดลงมาเป็น Notification Center หรือศูนย์รวมสำหรับแสดงการแจ้งเตือนต่างๆ ภายในตัวเครื่อง
เมื่อผู้ใช้ปัดนิ้วบริเวณการแจ้งเตือของ Notification Center จากด้านขวาไปยังด้านซ้าย จะพบกับไอคอนรูปฟันเฟือง ซึ่งเป็นคีย์ลัดเข้าสู่เมนูจัดการข้อความแจ้งเตือน และไอคอนรูปถังขยะ ซึ่งเป็นการลบการแจ้งเตือนออกจากหน้า Notification Center
จากหน้าโฮมสกรีน เมื่อปัดนิ้วจากซ้ายไปขวา จะพบกับ Smart Assistant ซึ่งเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่ทำหน้าที่วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งาน พร้อมกับแนะนำฟีเจอร์ต่างๆ รวมไปถึงข้อมูลการออกกำลังกายให้แก่ผู้ใช้แต่ละบุคคลได้ โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งรูปแบบของแอปพลิเคชันที่ต้องการแสดงในหน้า Smart Assistant ได้ผ่านการแตะที่ไอคอนแก้ไข (Edit) บริเวณด้านล่าง
มาพร้อมกับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาดใหญ่ถึง 8GB และหน่วยความจภายใน (ROM) ไซส์ใหญ่ที่ 256GB
สามารถดาวน์โหลด และปรับเปลี่ยนธีมของตัวเครื่องได้ผ่านแอปพลิเคชัน Theme Store
สำหรับฟังก์ชันการโทรออกของ OPPO Find X ถูกดีไซน์ออกมาให้ดูสะอาดตา และแป้นตัวเลขขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้ง่าย พร้อมทั้งสามารถค้นหารายชื่อผู้ติดต่อที่ถูกจัดเรียงไว้เป็นหมวดหมู่ได้อย่างสะดวก
เมื่อกดที่ปุ่ม Recent Apps จะพบกับหน้าแอปพลิเคชันที่เปิดทำงานอยู่เบื้องหลัง โดยผู้ใช้สามารถปัดขึ้นเพื่อปิดการทำงานของแอปพลิคเชันที่ต้องการ หรือแตะที่ไอคอนรูปกากบาทที่อยู่บริเวณด้านล่างของตัวเครื่อง เพื่อปิดการทำงานของแอปพลิคเชันที่เปิดค้างไว้ทั้งหมดได้
สำหรับแอปพลิเคชันที่ติดตั้งมาให้ภายในตัวเครื่องก็ถือว่าครบครันทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น แอปพลิเคชันจาก Google อย่างเช่น Chrome, Gmail, Maps, Youtube, Google Drive หรือ Google Photos และมาพร้อมกับแอปพลิเคชันพื้นฐาน เช่น Keep สำหรับจดบันทึกโน๊ต, เครื่องคิดเลข, เครื่องบันทึกเสียง และเข็มทิศ
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับแอปพลิเคชัน Phone Manager ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับจัดการประสิทธิภาพภายในตัวเครื่องเพื่อให้ทำงานได้อย่างลื่นไหล เช่น การเคลียร์ไฟล์ Cache, การจำกัดความเป็นส่วนตัว, และการสแกนไวรัสเพื่อตรวจสอบหาไฟล์ และแอปพลิเคชันที่เป็นอันตราย
ด้านเว็บเบราว์เซอร์พื้นฐานที่ติดตั้งมาให้ภายในตัวเครื่อง ก็สามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล และด้วยการที่ OPPO Find X มาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่ 6.4 นิ้ว และสัดส่วนในการแสดงผลจอกว้างถึง 19.5:9 ทำให้สามารถแสดงคอนเทนต์ต่างๆ บนเว็บไซต์ได้ครบถ้วน
และยังรองรับฟังก์ชัน Split-Screen สำหรับเปิดใช้งาน 2 แอปพลิเคชันพร้อมกัน ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน โดยวิธีเปิดใช้สามารถทำได้อย่างง่ายๆ โดยการกดที่ปุ่ม Recent Apps ค้างไว้ และเลือกแอปพลิเคชันที่ต้องการแบ่งหน้าจอ
รวมทั้งยังมาพร้อมกับบริการพิเศษสำหรับสมาร์ทโฟน OPPO โดยเฉพาะอย่าง OPPO Cloud ที่ผู้ใช้สามารถเก็บรูปภาพ, รายชื่อผู้ติดต่อ, ข้อความ SMS และบุ๊กมาร์กของเบราว์เซอร์ไปเก็บเอาบนระบบคลาว์อินเทอร์เน็ตของ OPPO ได้ และสามารถดาวน์โหลดกลับมาใช้งานได้ทุกเมื่อแม้ว่าจะเปลี่ยนเครื่องไปแล้วก็ตาม
สำหรับแอปพลิเคชันอัลบั้มถ่ายภาพ สามารถแสดงภาพถ่ายในตัวเครื่องได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ การแสดงภาพถ่ายโดยรวมทั้งหมดที่มีอยู่ภายในตัวเครื่อง, Memories แสดงภาพถ่ายตามช่วงเวลา และอัลบั้ม สำหรับแสดงภาพถ่ายเป็นหมวดหมู่ เช่น เซลฟี่, วิดีโอ หรือภาพถ่ายบุคคล เป็นต้น
นอกจาก Smart Assistant แล้ว OPPO Find X ยังมาพร้อมกับผู้ช่วยอัจฉริยะคนใหม่ล่าสุดจาก Google อย่าง Google Assistant โดยสามารถเปิดใช้งานได้ผ่านการกดปุ่มโฮมค้างไว้ ก็สามารถสั่งงานสมาร์ทโฟนด้วยเสียงได้เลยทันที นอกจากนี้ ยังสามารถสั่งงาน Google Assistant ให้ค้นหาข้อมูลต่างๆ ได้อีกด้วย
อีกหนึ่งลูกเล่นที่น่าสนใจของ OPPO Find X คือ App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น แอปพลิเคชันโซเชียล หรืออีเมล เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว ทำให้มีเพียงผู้ใช้ที่รู้รหัส หรือลงทะเบียนใบหน้าเอาไว้ จะสามารถเข้าใช้ได้เพียงแค่ผู้เดียวเท่านั้น
OPPO Find X รองรับการเล่นไฟล์เสียง และเพลงผ่านแอปพลิเคชัน Music พร้อมทั้งยังมีเทคโนโลยี Real Origin Sound ที่ทาง OPPO ได้พัฒนาร่วมกับ Dirac Research AB ผู้นำด้านเทคโนโลยีเสียงระดับโลก เพื่อช่วยให้สมาร์ทโฟนถ่ายทอดเสียงได้อย่างเที่ยงตรงผ่านหูฟัง
นอกจากฟังก์ชันการใช้งานด้านต้นแล้ว OPPO Find X ยังมาพร้อมกับลูกเล่นที่น่าสนใจอย่างฟังก์ชัน Curved Panoramic Light Effect สำหรับปรับแต่งสีสันของการแจ้งเตือนบริเวณขอบหน้าจอ โดยสามารถปรับแต่งได้ทั้งหมด 3 เฉด ได้แก่ สีม่วง, สีฟ้า และสีส้ม
รวมถึงฟังก์ชัน Curved Screen Gesture ซึ่งเป็นการสไลด์บริเวณขอบหน้าจอของตัวเครื่องเพื่อสั่งการ เช่น การสไลด์จากบนลงล่าง หรือสไลด์จากซ้ายไปขวา เพื่อย้อนกลับไปยังหน้าแอปพลิเคชันที่เปิดล่าสุด และกาสไลด์ขอบหน้าจอด้วยสองนิ้วไปในทิศทางตรงข้าม เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชันแบ่งแอปพลิเคชันหน้าจอ (Split-Screen)
นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชัน Night Shield ซึ่งเป็นการปรับโทนสีของหน้าจอในรูปแบบต่างๆ โดยมีให้เลือกทั้งหมด 3 รูปแบบ ประกอบด้วย Display in Color แสดงสีสันตามปกติ พร้อมปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอให้อยู่ในโทนอุ่น เพื่อช่วยลดอาการล้าของสายตา, Display in Black and White แสดงสีสันทั้งหมดในรูปแบบขาว-ดำ เพื่อช่วยลดอาการล้าของสายตา และช่วยให้อ่านคอนเทนต์ได้อย่างสบายตามากยิ่งขึ้น และ Comfortable Nighttime Reading เปลี่ยนพื้นหลังของแอปพลิเคชันเป็นโทนสีดำ และปรับสีตัวหนังสือเป็นสีขาว
ทำให้อ่านคอนเทนต์ในเวลากลางคืนได้สบายตา
มาพร้อมกับฟังก์ชัน Full Screen Multitasking ซึ่งเป็นการเปิดใช้แอปพลิเคชันอื่นๆ ขณะใช้งานสมาร์ทโฟนเต็มหน้าจอในแนวนอน ซึ่งจะแสดงผลในรูปแบบของหน้าต่างขนาดเล็ก ทำให้เล่นสองแอปพลิเคชันพร้อมกันได้ โดยวิธีการใช้งานก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่สไลด์จากบริเวณขอบด้านบนของหน้าจอ ก็จะพบกับรายชื่อแอปพลิเคชัน รวมถึงคีย์ลัดต่างๆ เช่น การบันทึกวิดีโอหน้าจอ หรือการบันทึกภาพหน้าจอ เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับแต่งการจัดเรียงของแอปพลิเคชัน และคีย์ลัดได้ด้วยตนเอง
ที่สำคัญยังมาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะ เช่น การปรับเปลี่ยนรูปแบบการควบคุม จากปุ่มแบบสัมผัส เป็นการควบคุมด้วยท่าทาง (Gesture), การเปิดใช้งาน Assistive Ball หรือปุ่มคีย์ลัดในรูปแบบไอคอนทรงกลมที่แสดงอยู่เหนือแอปพลิเคชัน รวมไปถึงฟีเจอร์ Smart Driving ที่เมื่อผู้ใช้เชื่อมต่อกับบลูทูธของรถยนต์ ก็จะเปลี่ยนเข้าสู่โหมดห้ามรบกวน (Do not Disturb) ให้แบบอัตโนมัติ เพื่อความปลอดภัยในขณะขับขี่ โดยผู้ใช้สามารถรับสายผ่านคำสั่งเสียงได้
รวมถึงฟังก์ชันการวาดนิ้วขณะหน้าจอดับ (Screen-off Gestures) เพื่อเปิดสั่งการภายในตัวเครื่อง เช่น แตะสองครั้งเพื่อปลุกหน้าจอ, วาดตัวอักษร O เพื่อเข้าสู่แอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ, วาดตัวอักษร V เพื่อเปิดใช้งานไฟฉาย, วาดสัญลักษณ์ ll เพื่อเล่นหรือหยุดเพลง และการวาดสัญลักษณ์ < หรือ > เพื่อเปลี่ยงเพลงที่กำลังเล่นอยู่
และมีฟังก์ชัน Raise to Turn On Screen ซึ่งเป็นฟีเจอร์ยกขึ้นเพื่อปลุก ทำให้ผู้ใช้สามารถดูการแจ้งเตือนบนหน้า Lock Screen ได้โดยไม่ต้องกดปุ่มพาวเวอร์
มาพร้อมกับฟังก์ชัน Clone Apps ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเล่นแอปพลิเคชันได้ 2 แอคเคานท์ โดยแอปพลิเคชันที่ถูกโคลนออกมาจะมีคำว่า (Clone) ต่อท้ายชื่อแอปพลิเคชัน
สามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD ได้อย่างลื่นไหล ซึ่งเมื่อประกอบกับหน้าจอไร้ขอบไร้รอยบากขนาดใหญ่ถึง 6.4 นิ้ว ยิ่งช่วยทำให้การรับชมคอนเทนต์เป็นไปอย่างคมชัดเต็มตา และที่สำคัญยังรองรับการเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD ได้อีกด้วย
อย่างที่กล่าวไปด้านต้นว่า OPPO Find X มาพร้อมกับระบบยืนยันตัวตนแบบใหม่ด้วยการสแกนใบหน้าแบบ 3 มิติโดยอาศัยการทำงานของนวัตกรรม 3D Structured Light ที่มีอยู่ในกลไกกล้อง Stealth 3D Cameras โดยผู้ใช้จะต้องเข้าไปลงทะเบียนหน้าเสียก่อน ซึ่งสามารถลงทะเบียนได้เพียงแค่ 1 ใบหน้าเท่านั้น
ในส่วนของระบบสแกนใบหน้านั้น ผู้ใช้สามารถตั้งค่าวิธีการปลดล็อกจากหน้าจอได้ทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ การเลื่อนสไลด์นิ้วขึ้นจากหน้าล็อกสกรีน หรือการกดปุ่ม Power เพื่อเรียกใช้กลไก Stealth 3D Cameras และทำการสแกนใบหน้า
สำหรับด้านประสิทธิภาพการทำงาน OPPO Find X มาพร้อมกับขุมพลังระดับไฮเอนด์อย่าง Qualcomm Snapdragon 845 AIE พร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Adreno 630, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) ความจุ 256GB และขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 8.1 Oreo ครอบทับด้วย ColorOS เวอร์ชัน 5.1
เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ก็พบว่าได้ผลทดสอบอยู่ที่ 288,188 คะแนน ซึ่งถือว่าเป็นคะแนนที่สูงอยู่ในอันดับต้นๆ ของสมาร์ทโฟนทั้งหมดในเวลานี้
เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการประมวลผลด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench ก็พบว่าได้คะแนนในส่วนของ Single-Core อยู่ที่ 2316 คะแนน และได้คะแนนในส่วนของ Multi-Core อยู่ที่ 8403 คะแนน
เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยเก็บบันทึกข้อมูลภายใน (Internal Storage หรือ ROM) ก็พบว่าได้ผลทดสอบในส่วนของ Sequential Read ที่ 781.33 MB/s และในส่วนของ Sequential Write ที่ 254.5 MB/s ซึ่งคะแนนระดับนี้ก็สามารถบ่งบอกได้ว่าเป็นหน่วยความจำแบบ UFS 2.1 นั่นเอง
ซึ่งแน่นอนว่า การที่ OPPO Find X มาพร้อมกับคุณสมบัติระดับไฮเอนด์จัดเต็มรอบด้าน ทำให้สามารถเล่นเกมยอดนิยมที่มีกราฟิก 3 มิติหนักๆ ได้อย่างลื่นไหล ไม่ว่าจะเป็น PUBG Mobile, Identity V หรือ RoV และไม่มีอาการสะสมความร้อนภายในตัวเครื่องให้พบเจอ
ที่สำคัญยังมาพร้อมกับฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การเล่นเกมอย่าง Game Space ซึ่งจะช่วยรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของฮาร์ดแวร์ขณะเล่นเกม รวมถึงจำกัดการดาวน์โหลดข้อมูลเบื้องหลังที่ไม่จำเป็น ทำให้ช่วยเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลไม่สะดุดอารมณ์
และยังมาพร้อมกับฟังก์ชันการแสดงเบอร์โทรสายเรียกเข้าในรูปแบบป็อบอับ ทำให้เกมไม่ถูกสลับไปยังหน้ารับสายสนทนา
ส่วนทางด้านระบบสัมผัสแบบ Multi-Touch รองรับการสัมผัสพร้อมกันสูงสุด 10 จุด
ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน หรือเกมได้เพิ่มเติมผ่าน OPPO AppStore และ Google Play Store
กล้องดิจิทัล การถ่ายภาพนิ่ง และภาพวิดีโอ
อีกหนึ่งไฮไลท์เด่นของ OPPO Find X นอกเหนือจากดีไซน์ที่มีความสวยล้ำ รวมถึงสเปกจัดเต็มระดับไฮเอนด์แล้ว ยังมาพร้อมกับความโดดเด่นด้วยกล้องถ่ายภาพ ด้วยกล้อหน้าความละเอียด 25 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 ที่เลือกใช้เซ็นเซอร์รับภาพตัวท็อป Sony IMX576 ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์แบบ HDR 2.0 ทำให้ช่วยถ่ายภาพเซลฟี่ในสภาวะแสงน้อยได้ยอดเยี่ยมมากยิ่งขึ้น ส่วนกล้องหลังมาพร้อมกับระบบกล้องคู่ (Dual Camera) โดยแบ่งออกเป็น กล้องตัวที่หนึ่งความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ที่เลือกใช้เซ็นเซอร์รับ
าพ Sony IMX519 และกล้องตัวที่สองความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ที่เลือกใช้เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX376K พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS (Optical Image Stabilization) ในตัว
นอกจากนี้ ทาง OPPO ยังได้มีการนำเทคโนโลยี AI Beauty ที่มีจุดเด่นด้านการถ่ายภาพเซลฟี่ได้อย่างสวยเป็นธรรมชาติ และเคยนำไปใช้งานกับสมาร์ทโฟน OPPO หลายต่อหลายรุ่น มาทำการพัฒนาต่อยอด พร้อมกับนำมาใช้งานใน OPPO Find X เป็นครั้งแรกภายใต้ชื่อ 3D AI Beauty โดยรูปแบบการทำงานจะเป็นการวิเคราะห์โครงสร้างใบหน้าผู้ใช้งานผ่านการตรวจจับใบหน้ากว่า 296 จุด เพื่อสร้างโมเดลหน้าผู้ใช้แบบ 3 มิติขึ้น ทำให้สามารถปรับแต่งใบหน้าได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เค้าโครงหน้า, ทรงจมูก, ดวงตา,
คาง และโหนกแก้ม
ส่วนทางด้านกล้องหลังก็มีเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่าง AI Scene Recognition 2.0 ซึ่งเป็นการนำเอา AI มาช่วยวิเคราะห์ซีน และวัตถุที่อยู่ในเฟรมได้มากกว่า 800 ซีน จากทั้งหมด 21 หมวดหมู่ เพื่อนำไปปรับแต่งภาพถ่ายให้มีความสวยงามแบบอัตโนมัติโดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องตั้งค่ากล้องแต่อย่างใด โดยรูปถ่ายที่ AI ปรับแต่งให้นั้นจะขึ้นไอคอนสัญลักษณ์บริเวณด้านล่างของเฟรม
สำหรับอินเทอร์เฟสของกล้องถ่ายภาพด้านหลังบน OPPO Find X ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย ด้วยปุ่มไอคอนคีย์ลัดขนาดใหญ่ที่ถูกจัดวางไว้เป็นระเบียบ และสามารถแตะเพื่อใช้งานได้ทันที ประกอบไปด้วย ฟังก์ชันไฟแฟลช, ฟังก์ชัน HDR, ฟังก์ชันการตั้งเวลาถ่ายภาพ, ฟังก์ชันการตั้งค่าสัดส่วนของรูปภาพ และฟังก์ชันถ่ายภาพหน้าสวยแบบ AI Beauty
สำหรับฟังก์ชันถ่ายภาพหน้าสวยแบบ AI Beauty สามารถปรับระดับความเรียบเนียนได้ทั้งหมด 6 ระดับ หรือจะเลือกปรับโดยใช้ AI วิเคราะห์ก็ทำได้เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชันซูมภาพแบบ 2 เท่า สำหรับช่วยเก็บภาพที่อยู่ไกลจากกล้องได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่แตะที่ไอคอน 2x บริเวณด้านล่าง
รวมทั้งยังมาพร้อมกับฟังก์ชัน Google Lens ซึ่งเป็นบริการค้นหาสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่ยกกล้องขึ้นส่องเท่านั้น ซึ่งสามารถค้นหาได้ทั้งอาคารสถานที่, อาหาร รวมไปถึงข้อความต่างๆ
มีโหมดการถ่ายภาพให้เลือกใช้งานอย่างหลสกหลาย เริ่มตั้งแต่ โหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait), โหมดถ่ายภาพแบบ Stickers, โหมดถ่ายภาพแนวกว้างแบบ Panorama และโหมดถ่ายภาพแบบมืออาชีพ หรือโหมดโปร ที่สามารถปรับแต่งการตั้งค่าต่างๆ ของกล้องถ่ายภาพได้เอง
ในโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) ยังมาพร้อมกับเอฟเฟ็กต์การจัดแสง 3 มิติโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) แบบ 3D Lighting ซึ่งให้ผลลัพธ์คล้ายกับการจัดแสงไฟในสตูดิโอ โดยสามารถเลือกรูปแบบการจัดแสงได้ทั้งหมด 6 รูปแบบ ได้แก่ Natural Light, Film Light, Mono-Tone Light, Bi-Color Light, Canvas Light, Shake Light
สำหรับโหมดถ่ายภาพแบบ Stickers ก็มีสติ๊กเกอร์สุดน่ารักในรูปแบบต่างๆ ให้เลือกใช้มากมาย เพื่อช่วยเพิ่มสีสัน และลูกเล่นในการถ่ายภาพให้ดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าเดิม
นอกจากนี้ ยังมีโหมดการถ่ายวิดีโอในรูปแบบต่างๆ ประกอบด้วย โหมด Time-Lapse และโหมด Slow-mo
ส่วนการถ่ายวิดีโอ รองรับการบันทึกภาพวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K Ultra HD
ด้านอินเทอร์เฟสของกล้องหน้า OPPO Find X ก็ถูกดีไซน์ออกมาให้ใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกัน พร้อมฟังก์ชันการปรับแต่งที่มีให้เลือกแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น ฟังก์ชันแฟลชหน้าจอ, ฟังก์ชัน HDR 2.0, ฟังก์ชันการตั้งเวลาถ่ายภาพ และฟังก์ชันการตั้งค่าสัดส่วนของรูปภาพ
สำหรับโหมดถ่ายภาพหน้าสวย สามารถปรับแต่งความเรียบเนียนได้ทั้งหมด 6 ระดับ หรือจะเลือกให้ AI ปรับให้ ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกันเหมือนกับกล้องหลัง
แต่ฟีเจอร์พิเศษที่เพิ่มเข้ามาในกล้องหน้านั่นก็คือ 3D AI Beauty ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ และสร้างโมเดลใบหน้าผู้ใช้งานแบบ 3 มิติ เพื่อช่วยให้การปรับแต่งทำได้อย่างอิสระ ซึ่งเริ่มแรกผู้ใช้จะต้องทำการสแกนหน้าเสียก่อน โดยแตะที่ไอคอนรูปใบหน้าบริเวณทางซ้าย และกดปุ่ม Scan Now ซึ่งขั้นตอนนี้แนะนำให้ผู้ใช้ทำการถอดแว่นตา และค่อยๆ หันหน้าไปยังทิศทางที่ระบบแนะนำเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
เมื่อทำการสแกนเสร็จสิ้น จะพบกับโมเดลใบหน้าแบบ 3 มิติ และผลวิเคราะห์ลักษณะโครงหน้าผู้ใช้งานจาก AI
ผู้ใช้สามารถปรับแต่งส่วนต่างๆ ของใบหน้าได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็น โหนกแก้ม, จมูก, ตา หรือโครงหน้า ผ่านการแตะปุ่ม Custom Beautifying หรือจะเลือกปรับตาม Preset ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน โดยมีให้เลือกทั้งหมด 4 รูปแบบ ประกอบไปด้วย Natural, Delicacy, Loli และ Model ซึ่งเมื่อปรับแต่งเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในการถ่ายภาพครั้งต่อไป ระบบจะทำการปรับแต่งโครงหน้าตามการตั้งค่าที่ผู้ใช้งานได้ทำการเลือกไว้
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย ประกอบด้วย โหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait), โหมดถ่ายภาพ Stickers และโหมด Panorama สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่กลุ่ม
ในโหมด Portrait ของกล้องหน้านั้น มีเอฟเฟ็กต์การจัดแสงให้เลือกใช้งานเช่นเดียวกัน โดยมีให้เลือกทั้งหมด 6 รูปแบบ ได้แก่ Natural Light, Rim Light, Face Light, Bi-Color Light, Canvas Light และ Local Light
โหมดถ่ายภาพ Stickers มีสติ๊กเกอร์ให้ผู้ใช้เลือกอย่างหลากหลายไม่แพ้กับกล้องหลัง
และที่สำคัญในโหมด Stickers ยังมีลูกเล่นใหม่ที่นำมาใช้บน OPPO Find X เป็นครั้งแรกด้วยนั่นก็คือ 3D Omoji ซึ่งเป็นการสร้างอีโมจิแบบ 3 มิติ ที่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใบหน้าของผู้ใช้งาน โดยผู้ใช้สามารถบันทึกเป็นภาพนิ่ง หรือคลิปวิดีโอ เพื่อนำไปแชร์ต่อให้แก่เพื่อนๆ ในโซเชียลได้ทันที
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับลูกเล่นการสร้างตัวการ์ตูนเหมือนผู้ใช้งานได้ รวมทั้งยังสามารถปรับแต่งทรงผม และการแต่งกายได้ตามใจชอบ
ส่วนการถ่ายภาพวิดีโอผ่านกล้องดิจิทัลด้านหน้า รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD 1080p
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลตัวหลักที่ด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียดระดับ 16+20 ล้านพิกเซล ของ OPPO Find X
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมเลือกรูปแบบการจัดแสงแบบ Natural
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมเลือกรูปแบบการจัดแสงแบบ Film Light
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมเลือกรูปแบบการจัดแสงแบบ Monotone Light
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมเลือกรูปแบบการจัดแสงแบบ Bi-Color Light
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าของตัวเครื่อง ความละเอียด 25 ล้านพิกเซลของ OPPO Find X
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวย AI Beauty
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวยแบบ 3D AI Beauty
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมเลือกรูปแบบการจัดแสงแบบ Natural
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) พร้อมเลือกรูปแบบการจัดแสงแบบ Local Light
สรุปผลการทดสอบของ OPPO Find X
จบลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ สำหรับการรีวิวสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์รุ่นใหม่ล่าสุดของค่าย OPPO อย่าง OPPO Find X ซึ่งเรียกได้ว่าสมกับการกลับมาของสมาร์ทโฟนตระกูล Find Series อีกครั้ง หลังจากห่างหายจากวงการไปเป็นเวลากว่า 4 ปี เนื่องจากทาง OPPO ได้คิดค้น และนำพานวัตกรรมในด้านต่างๆ มาจัดวางไว้ในสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวไว้แบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น ดีไซน์หน้าจอแบบ Panoramic Arc Screen ขนาดใหญ่ ที่ช่วยให้รับชมคอนเทนต์ได้อย่างเต็มตา ผสานนวัตกรรมการซ่อนกล้องแบบ Stealth
3D Cameras บนบอดี้กระจกเงางาม 3D Glass แบบไร้รอยต่อที่โค้งกระชับเข้ามือ ช่วยเสริมความพรีเมียมขณะจับถือ ส่วนคุณสมบัติต่างๆ ก็สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้แบบรอบด้าน
สำหรับไฮไลท์สำคัญของ OPPO Find X คงหนีไม่พ้นนวัตกรรม Stealth 3D Cameras ที่เป็นการซ่อนกล้องหน้า และกล้องหลังคู่ รวมไปถึงเทคโนโลยี 3D Structured Light ไว้ภายในตัวเครื่อง ทำให้ด้านหน้าของหน้าจอไม่มีรอยบาก หรือ Notch มาบดบังการแสดงผลของหน้าจอ
ส่วนทางด้านดีไซน์ และการแสดงผล ก็ถือว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะ OPPO Find X มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลไร้ขอบแบบ Panoramic Arcs Screen ขนาดใหญ่ถึง 6.4 นิ้ว พร้อมอัตราส่วนในการแสดงผลจอกว้างแบบ 19.5:9 และพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องสูงถึง 93.8% ทำให้สามารถรับชมคอนเทนต์ได้อย่างเต็มตาเต็มอารมณ์ ส่วนดีไซน์ตัวเครื่องมาพร้อมกับหน้าจอ และกระจกแบบ 3D Glass ที่มีความโค้งโอบรับเข้ากับอุ้งมือได้เป็นอย่างีด
พร้อมตัวเครื่องไล่เฉดสี (Gradient) ที่สามารถสะท้อน และเปลี่ยนสีเมื่อแสงตกกระทบในมุมต่างๆ
ด้านกล้องถ่ายภาพด้านหน้าของ OPPO Find X ก็สามารถถ่ายภาพเซลฟี่ของผู้ใช้ได้อย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ ด้วยการเลือกใช้เซ็นเซอร์รับภาพตัวท็อป Sony IMX576 ที่มีความละเอียดสูงถึง 25 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.0 และที่สำคัญยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี 3D AI Beauty ที่สามารถปรับแต่งใบหน้าผู้ใช้งานให้มีความเรียบเนียนได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิเคราะห์โครงหน้าของผู้ใช้งานแบบ 3 มิติด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
ซึ่งผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพเซลฟี่จะต้องถูกอกถูกใจอย่างแน่นอน อีกทั้ง ยังมาพร้อมกับลูกเล่น 3D Omoji เพื่อสร้างอีโมจิแบบน่ารักๆ ที่เคลื่อนไหวตามใบหน้าของผู้ใช้งานได้ และยังสามารถนำไปแชร์ต่อให้แก่เพื่อนๆ ในโซเชียลมีเดียได้อย่างง่ายดาย
สำหรับด้านประสิทธภาพการทำงาน ก็สามารถตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้แบบรอบด้าน ด้วยการมาพร้อมกับขุมพลังระดับท็อป Qualcomm Snapdragon 845 AIE, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) ความจุ 256GB และขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 8.1 Oreo ครอบทับด้วย ColorOS 5.1 ที่มีหน้าตาที่ใช้งานง่าย และมีลูกเล่นให้เลือกใช้อย่างหลากหลาย
ซึ่งเมื่อลองนำไปทดสอบประสิทธิภาพ และการเล่นเกม ก็พบว่าสามารถทำงานได้อย่างลื่นไหล ไม่ปรากฏอาการสะสมความร้อนให้พบเจอ
สำหรับคุณสมบัติด้านอื่นๆ ก็มีมาใช้งานได้อย่างครบครันสมกับสมาร์ทโฟนระดับเรือธง ไม่ว่าจะเป็น ฟังก์ชัน App Clone สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันแบบ 2 แอคเคานท์, ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าแบบ 3D Structured Light Facial Recognition ที่มีความปลอดภัยสูง, ฟังก์ชัน Split-Screen สำหรับแบ่งแอปพลิเคชันทำงานพร้อมกัน 2 หน้าจอ, ฟังก์ชัน Game Space ที่ช่วยเร่งประสิทธิภาพการประมวลผลขณะเล่นเกม พร้อมฟังก์ชันการแสดงสายเรียกเข้าในรูปแบบป็อบอับ
ทำให้ไม่บดบังสายตา และที่สำคัญยังมาพร้อมกับระบบชาร์จเร็วแบบ VOOC Flash Charge ที่ชาร์จแบตเตอรี่เพียง 5 นาที ก็สามารถใช้งานสนทนาได้ยาวนานถึง 2 ชั่วโมง
และจากการที่ทดสอบมาทั้งหมดก็พอจะสรุปได้ว่า OPPO Find X เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนระดับท็อปที่มาพร้อมกับนวัตกรรมที่ก้าวล้ำ พร้อมคุณสมบัติภายในที่พร้อมตอบโจทย์ทั้งการทำงาน และการเล่นเกมกราฟิกระดับสูง รวมถึงกล้องถ่ายภาพทั้งด้านหน้า และด้านหลังที่สามารถเก็บรายละเอียดได้อย่างคมชัด พร้อมดีไซน์ตัวเครื่องที่มีความสวยงามพรีเมียม ซึ่ง OPPO Find X ถือว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย
สำหรับ OPPO Find X เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยเอาไว้ที่ 29,990 บาท มีให้เลือกทั้งหมด 2 เฉดสี ได้แก่สีแดง Bordeaux Red และสีน้ำเงิน Glacier Blue เปิดให้สั่งจองล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม - 4 สิงหาคม ปี 2561 ซึ่งผู้ที่สั่งจองในช่วงเวลาดังกล่าวจะได้รับของแถมพิเศษมูลค่ารวมกว่า 28,000 บาท ประกอบด้วย หูฟัง Marshall Major Bluetooth มูลค่า 5,130 บาท, บัตร
VIP Card สำหรับรับสิทธิประกันหน้าจอแตกไม่จำกัดครั้งนาน 1 ปี มูลค่า 19,990 บาท, ชุดขาตั้งกล้อง (Tripod) มูลค่า 1,700 บาท และที่ชาร์จไวสำหรับรถยนต์ มูลค่า 1,500 บาท
ส่วนวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการจริงๆ ก็คือวันที่ 5 ธันวาคม 2561 ซึ่งลูกค้าจะได้รับของแถม 2 รายการ ได้แก่ขาตั้งกล้อง (Tripod) มูลค่า 1,700 บาท กับที่ชาร์จไวสำหรับรถยนต์ มูลค่า 1,500 บาท หากท่านใดที่สนใจ ก็สามารถแวะเวียนเข้าไปทดลองใช้งานเบื้องต้น พร้อมสั่งจอง หรือสั่งซื้อได้ที่ OPPO Brand Shop และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง OPPO ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง OPPO Find X มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ
จุดเด่นของ OPPO Find X
- ดีไซน์แบบไร้รอยต่อ ด้วยตัวเครื่องที่ผลิตมาจากวัสดุประเภทกระจกแบบ 3D Glass ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง
-
ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าแบบ 3 มิติ (3D Structured Light Facial Recognition) สำหรับตรวจสอบสิทธิ์ของการใช้งานเครื่อง และการเข้าถึงข้อมูลภายใน
- จอแสดงผลแบบไร้ขอบ Panoramic Arc Screen ความละเอียดระดับ FHD+ (2340x1080 พิกเซล) ขนาด 6.4 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 พร้อมฟังก์ชัน Curved Panoramic Light Effect สำหรับแสดงการแจ้งเตือนขณะที่ดับหน้าจอ
- นวัตกรรมการซ่อนกล้อง และเซ็นเซอร์แบบ Stealth 3D Cameras
- หน่วยประมวลผลภาพกราฟิกโดยเฉพาะ (GPU : Graphics Processing Unit) แบบ Adreno 630
- รองรับการใช้งานสองแอปพลิเคชันพร้อมกันผ่านฟังก์ชัน Split-Screen
- ฟังก์ชัน App Clone สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันได้แบบ 2 แอคเคานท์
- ประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต Octa-Core Qualcomm SDM845 Snapdragon 845 AIE
- ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo ครอบทับด้วย ColorOS 5.1 เวอร์ชันล่าสุด
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 256GB
- หน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 25 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์รับภาพแบ Sony IMX576, รูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.0 พร้อมเทคโนโลยี AI Beauty, 3D AI Beauty และ 3D Omoji รองรับการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอผ่านโหมด Portrait และรองรับการถ่ายจัดแสง 6 รูปแบบ
- กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบ Dual Camera ความละเอียด 16+20 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพแบบ Sony IMX519 และ Sony IMX376K, รูรับแสงกว้างสูงสุด f/2.0, ไฟแฟลช LED พร้อมเทคโนโลยี AI Scence Recognition 2.0 และรองรับการถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K Ultra HD
- รองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual SIM)
- รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, WiFi, EDGE และ GPRS
- รองรับเทคโนโลยีการสื่อสารทางเสียงผ่านโครงข่าย 4G (Voice over LTE : VoLTE) ได้ทั้ง 2 ซิมการ์ด
- ระบบ GPS+A-GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง)
- ฟังก์ชัน Gamce Space สำหรับช่วยเร่งประสิทธิภาพการประมวลผลขณะเล่นเกม พร้อมตัวเลือกในการแสดงสายเรียกเข้าในรูปแบบป็อบอับ
- ชนิดแบตเตอรี่แบบ Lithium Polymer ขนาด 3730 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge
- ราคา 29,990 บาท พร้อมแถมฟรีชุดของขวัญพรีเมียมรวมมูลค่ากว่า 28,000 บาท (เฉพาะผู้ที่สั่งจองล่วงหน้า)
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO Find X
- การแสดงผลแบบเต็มหน้าจอ FullView ในอัตราส่วนแบบ 19.5:9 ยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ 100% เช่นการเปิดดู YouTube, การเปิดดูคลิปวิดีโอ, การเล่นเกม หรืออื่นๆ
- พื้นผิวที่ด้านหลังของตัวเครื่องเป็นกระจก จึงอาจทำให้เกิดคราบเปื้อน หรือรอยนิ้วมือได้ง่าย
- ไม่รองรับการเพิ่มหน่วยความจำด้วยการ์ด microSD หรือแบบอื่นๆ
- จอแสดงผลยังใช้ความละเอียดที่ระดับ FHD+
- ตัวเครื่องหนากว่าสมาร์ทโฟนเรือธงคู่หลายๆ รุ่นเล็กน้อย
- มีลำโพงเสียงเพียงแค่ตัวเดียว
- ไม่มีช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
- ราคาค่อนข้างสูง (29,990 บาท)
สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ OPPO Find X
สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) และราคา ของ OPPO Find X
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
:: ไปหน้าแรกเว็บไซต์ Thaimobilecenter | ไปหน้าแรก
Mobile Focus ::
|