รีวิว Samsung Galaxy S24 FE เรือธง Galaxy AI ใหม่ ภาษาไทยพร้อมใช้ เก่งเหมือนรุ่นใหญ่ ในราคาคุ้มกว่า พร้อมกล้อง 8K ซูม 30 เท่า สเปกแรงกว่าเก่า และอัปเดตยาว 7 ปี
ช่วงนี้หากมีใครเดินมาสะกิดทักถามผมว่า กำลังมองหาสมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นใหม่ดี ๆ สักเครื่อง เอาไว้ถือใช้งานเป็นเครื่องหลักยาว ๆ แต่ขอเป็นรุ่นที่ราคาไม่สูงจนเกินไป เขาควรเลือกรุ่นไหนดี? สำหรับโจทย์ประมาณนี้ หนึ่งในสมาร์ตโฟนรุ่นแรก ๆ ที่ผมจะนึกขึ้นมาได้ในหัวอย่างแน่นอนก็คือ Samsung Galaxy S24 FE รุ่นนี้นั่นเอง
โดยจุดขายหลัก ๆ ของ Galaxy S24 FE เราก็ได้ทำการพรีวิวแบบเน้น ๆ ให้ชมกันไปแล้วก่อนหน้านี้ [พรีวิว Samsung Galaxy S24 FE] จนทำให้หลายคนที่คลิกเข้าไปอ่านได้รู้จักกับรุ่นนี้เป็นอย่างดี ซึ่งสำหรับ Galaxy S24 FE ที่เปิดตัวมาในปีนี้มีความพิเศษมากกว่าตระกูล FE ในอดีต เพราะไม่ได้หมายถึงรุ่น Fan Edition เหมือนที่ผ่าน ๆ มาอีกต่อไป แต่ถูกยกระดับขึ้นมาเป็นสมาร์ตโฟนเรือธง หรือสมาร์ตโฟนแฟลกชิปอย่างเต็มตัวในคอนเซ็ปต์ใหม่คือ Flagship Experience
ดังนั้นประสบการณ์ใช้งาน และฟีเจอร์หลักหลาย ๆ อย่างจึงได้รับการถ่ายทอดมาจาก Galaxy S24 Series ซึ่งเป็นตระกูลแฟลกชิปโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ภายนอกที่แทบจะถอดแบบกันมา, ฟีเจอร์ของ Galaxy AI ใหม่ล่าสุดที่ถูกยกมาใส่ครบทั้งเซ็ตตั้งแต่แกะกล่อง, การบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 8K, กล้องที่ซูมได้ไกลสูงสุด 30 เท่า, หน่วยประมวลผลระดับท็อป, ระบบระบายความร้อนขนาดใหญ่พิเศษ, จอแสดงผลขนาดใหญ่ที่สวยลื่นไหล, แบตเตอรี่อึดทน, ลำโพงคู่เสียงดี และที่ว่าเหมาะกับการถือใช้งานเป็นเครื่องหลักยาว ๆ ก็คือทาง Samsung นั้นการันตีการอัปเดตระบบให้ถึง 7 ปี เรียกว่าซื้อวันนี้คุ้มไปอีกนานหากเราไม่เปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่เสียก่อน
และที่สำคัญ ราคาของ Galaxy S24 FE นั้นประหยัดกว่า Galaxy S24 หรือ Galaxy S24+ เป็นหลักหมื่นเลยทีเดียว ในขณะที่ให้ประสบการณ์แบบ ฟีลตัวท็อป แทบไม่ต่างกัน ซึ่งมาถึงตอนนี้หลายคนก็น่าจะเริ่มอยากรู้รายละเอียดแบบลึก ๆ ของ Galaxy S24 FE กันแล้วว่าจะมีทีเด็ดขนาดไหน เพราะฉะนั้นเราไปติตตามกันต่อได้เลยครับ
ดีไซน์แบบฉบับเรือธง พร้อมโทนสีพาสเทลใหม่ วัสดุพรีเมียมทนทาน และบางเฉียบกว่าเดิม
มาเริ่มกันที่เรื่องของดีไซน์ภายนอกกันก่อน สำหรับ Galaxy S24 FE นั้นเรียกว่ายังคงเอกลักษณ์เดียวกันกับรุ่นพี่อย่าง Galaxy S24 กับ Galaxy S24+ นั่นคือเน้นความมินิมอล มีความโค้งมน มีกรอบด้านข้างแบบเรียบ มีหน้าจอแบบแบน และมีกล้องหน้าแบบเจาะรูวงกลม (Infinity-O)
อย่างไรก็ดี ดีไซน์แบบนี้ก็ดูคล้ายกับ Galaxy A Series รุ่นใหม่ ๆ ในปีนี้หลายรุ่นด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากมองดูผ่าน ๆ ก็คงจะแยกออกได้ยากว่านี่คือ Galaxy S24 FE แต่อย่างน้อยก็มีชุดสีใหม่แบบพาสเทลของตัวเอง 3 สีให้พอสังเกตได้ นั่นคือสี Graphite ที่นำมารีวิวนี้, สี Blue และสีไฮไลต์สี Mint
จุดที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างหนึ่งก็คือขอบของหน้าจอที่บางลงเหลือ 1.99 มิลลิเมตร ซึ่งดูใกล้เคียงกับ Galaxy S24 หรือ Galaxy S24+ แต่ก็น่าเสียดายเล็กน้อยที่ขอบด้านล่างยังคงดูหนาอยู่
ด้านวัสดุที่นำมาใช้ก็สมกับการเป็นรุ่นเรือธง ไม่ว่าจะเป็นการครอบทับด้วยกระจกนิรภัยตัวท็อปใหม่ล่าสุดอย่าง Gorilla Glass Victus+ ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ซึ่งลักษณะของพื้นผิวจะดูเงางามมีความพรีเมียม แต่ในอีกด้านหนึ่งก็อาจจะเกิดรอยนิ้วมือ หรือคราบเปื้อนได้ง่ายเช่นกัน
กรอบด้านข้างเลือกใช้อะลูมิเนียมขัดเงา ซึ่งแม้จะเป็นแบบขอบเรียบ แต่ที่ขอบด้านหลังก็มีการลบคมให้เรียบร้อย จึงช่วยให้จับถือได้ถนัดมือ ให้สัมผัสที่ดี และเกิดคราบเปื้อนได้ยาก
ซึ่งด้วยวัสดุเหล่านี้เราก็มั่นใจได้ว่าตัวเครื่องจะมีความแข็งแกร่งทนทานต่อการใช้งานได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP68 อีกด้วย
ด้านมิติของตัวเครื่อง Galaxy S24 FE เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมอย่าง Galaxy S23 FE นั้นจะบางเฉียบลงเหลือ 8.0 มิลลิเมตร จากเดิม 8.2 มิลลิเมตร
แต่สำหรับมิติด้านสูง กับด้านกว้างนั้นจะใหญ่ขึ้นเล็กน้อยเป็น 162x77.3 มิลลิเมตร จากเดิม 158x76.5 มิลลิเมตร รวมทั้งมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 213 กรัม จากเดิม 209 กรัม ซึ่งปัจจัยสำคัญก็เป็นผลมาจากขนาดของหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้นนั่นเอง
ส่วนจุดสังเกตอีกอย่างก็คือเลนส์กล้องที่ด้านหลังทั้ง 3 เลนส์นั้นจะมีลักษณะนูนขึ้นมาพอสมควร ดังนั้นเวลาที่เราต้องวางเครื่องลงบนโต๊ะ หรือบนพื้นผิวใด ๆ ก็ต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ซึ่งจริง ๆ แล้วอยากแนะนำให้ใส่เคสป้องกันเอาไว้ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
จอใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา พร้อมความลื่นระดับ 120Hz และสว่างขึ้นอีกขั้น
อีกหนึ่งจุดขายสำคัญของ Galaxy S24 FE ก็คือขนาดของหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ตระกูล FE เคยมีมา นั่นคือมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเป็น 6.7 นิ้ว จากเดิม 6.4 นิ้ว หรือเท่ากันกับ Galaxy S24+
โดยเป็นหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED 2X ความละเอียดระดับ FHD+ ซึ่งมีความคมชัด มีไดนามิกภาพที่ดี และมีสีสันที่สดใสสวยงาม
รวมทั้งมีความสว่างสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 1900nits จากเดิม 1450nits พร้อมเทคโนโลยี Vision Booster ที่ช่วยจับคู่โทนสี เพื่อปรับปรุงการมองเห็นท่ามกลางแสงที่สว่างจ้าในพื้นที่กลางแจ้ง จึงสามารถมองเห็นในที่กลางแจ้งได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังแสดงผลได้ลื่นไหลเนียนตาด้วยอัตราการรีเฟรชสูงสุดที่ 120Hz (Adaptive 60/120Hz) เพียงแต่จะไม่ใช่จอแบบ LTPO เหมือนรุ่นพี่ ดังนั้นอัตราการรีเฟรชต่ำสุดจึงอยู่ที่ 60Hz ไม่สามารถลงไปได้ถึงระดับ 1Hz
พร้อมรองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10+ ส่วนพื้นที่แสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องนั้นจะอยู่ที่ 88% และมีอัตราส่วนการแสดงผลแบบ 19.5:9
ส่วนระบบยืนยันตัวตนนั้นจะมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (In-Display Optical Fingerprint Sensor) ติดตั้งมาให้ ซึ่งแม้จะเป็นแบบ Optical ไม่ใช่แบบ Ultrasonic แต่การสแกนก็ถือว่ามีความรวดเร็วแม่นยำในระดับที่น่าพอใจ
กล้องชุดเดิมที่อัปเกรดใหม่ ซูมได้ไกล 30 เท่า และรองรับการบันทึกวิดีโอ 8K
สำหรับชุดกล้องหลัง 3 ตัว ของ Galaxy S24 FE นั้นจะประกอบไปด้วย
- กล้อง Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Samsung ISOCELL S5KGN3 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f1.8, ทางยาวโฟกัส 24 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 84°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2 และมุมรับภาพ 123°
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, ระบบซูมแบบ 3x Optical Zoom, ทางยาวโฟกัส 75 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 32°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
ซึ่งจะเห็นว่าแม้จะยังคงเป็นฮาร์ดแวร์ชุดเดิมเช่นเดียวกับ Galaxy S23 FE แต่ในด้านของประสิทธิภาพนั้นถูกอัปเกรดใหม่ให้ดีขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยี ProVisual Engine มาใส่ไว้ในสมาร์ตโฟนรุ่น FE เป็นครั้งแรก ซึ่งมีความชาญฉลาดของอัลกอริทึม AI กับ ISP (Image Signal Processing) ที่ทำงานร่วมกับเซนเซอร์รับภาพ Adaptive Pixel ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล กับเทคโนโลยี Object-Aware Engine ที่จะคอยช่วยปรับปรุงคุณภาพของรูปภาพ และวิดีโอให้คมชัดสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายในตอนกลางวัน หรือแม้กระทั่งการถ่ายในที่มืด ซึ่งมาในรูปแบบของฟีเจอร์ที่เรียกว่า Intelligence Optimisation
โดยสำหรับฟีเจอร์ Intelligence Optimisation นี้เราสามารถเลือกการทำงานได้ 3 ระดับ คือ Maximum, Medium และ Minimum รวมทั้งสามารถเปิดใช้ฟังก์ชัน Scene Optimizer ควบคู่กันไปได้ด้วย ซึ่งหากเลือกเป็น Maximum หรือเลือกการปรับปรุงคุณภาพในระดับสูงสุด ก็จะอาศัยเวลาในการประมวลผลมากที่สุดด้วยเช่นกัน
ส่วนระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS ก็ยังคงติดตั้งมาให้ทั้งในกล้องหลัก (Wide) กับกล้อง Telephoto เช่นเดิม ซึ่งสามารถช่วยลดการสั่นไหวขณะถ่ายภาพ หรือบันทึกวิดีโอได้มาก
สำหรับระบบซูมนั้นก็เป็นอีกหนึ่งจุดขายสำคัญของ Galaxy S24 FE ด้วยระยะการซูมที่ไกลสูงสุด 30 เท่า โดยตัวเลือกของระยะซูมหลักที่เมนูกล้องจะมีอยู่ 3 ระดับคือ 0.6x, 1x และ 3x แต่หากเราแตะลงไปอีกครั้ง ก็จะมีตัวเลือกมากขึ้นเป็น 7 ระดับคือ 0.6x, 1x, 2x, 3x, 10x, 20x และ 30x ซึ่งช่วยให้เราใช้งานได้ง่ายขึ้น โดยในส่วนของการซูมในระยะ 3 เท่านั้น แน่นอนว่าเป็นการซูมด้วยเลนส์จริง ๆ ในแบบ 3x Optical Zoom แต่ในระยะ 2x เราก็สามารถซูมแบบไม่สูญเสียรายละเอียดได้ด้วยระบบ 2x Optical Quality Zoom ที่อาศัยความสามารถของเทคโนโลยี Adaptive Pixel Sensor ซึ่งอยู่ในเซนเซอร์รับภาพตัวหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ที่ประมวลผลด้วย NPU กับ GPU ขั้นสูง
และแน่นอนว่าหากเป็นการซูมสูงสุดที่ระยะ 30 เท่า จะเป็นการซูมแบบ Digital Zoom โดยมาพร้อมกับฟังก์ชัน Zoom Lock ที่จะคอยล็อกตำแหน่งการซูมระยะไกลให้อยู่ในจุดที่ต้องการ ซึ่งจะเริ่มทำงานที่ระยะซูม 20 เท่า และฟีเจอร์ AI Zoom ที่จะคอยปรับคุณภาพของรูปภาพที่ถ่ายด้วยการซูมระยะไกลให้ดีขึ้น แต่การใช้งานจริง คุณภาพที่ยอมรับได้ หากเป็นในตอนกลางวัน หรือในที่ที่มีแสงสว่างมากเป็นพิเศษ ก็อาจจะใช้งานได้ถึงระยะ 20 เท่า แต่หากเป็นสถานการณ์ทั่ว ๆ ไป หรือในที่แสงน้อย ก็ดูจะใช้งานได้ที่ระยะไม่เกิน 10 เท่า หากเกินกว่านั้นรายละเอียดจะเริ่มไม่คมชัด
ตัวอย่างภาพถ่ายในระยะซูม 0.6x, 1x, 2x, 3x, 5x, 10x, 20x และ 3x
นอกจากนี้ก็ยังมีไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 8K (30fps) เรียกว่าเป็นฟีเจอร์ที่มีให้ใช้เฉพาะในสมาร์ตโฟนรุ่นเรือธงเท่านั้น และเป็นสมาร์ตโฟนเพียงรุ่นเดียวในช่วงราคานี้ที่รองรับการบันทึกวิดีโอ 8K
ซึ่งไฟล์วิดีโอแบบ 8K นั้นจะมีความละเอียดคมชัดกว่าวิดีโอ 4K ถึง 4 เท่า แต่หลายคนก็มักจะตั้งคำถามว่าเราจะบันทึกที่ความละเอียดมากถึงระดับ 8K ไปเพื่ออะไร ซึ่งคำตอบก็คือการบันทึกวิดีโอแบบ 8K นั้นเราไม่ได้สนใจที่เรื่องของความละเอียดคมชัดทั้งหมดแต่เพียงอย่างเดียว แต่เราสามารถนำไฟล์มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในภายหลังได้ยืดหยุ่นมากกว่าด้วย เช่นเราสามารถบันทึกวิดีโอแบบ 8K เก็บไว้ก่อน แล้วค่อยนำมาครอปวิดีโอ หรือแคปรูปภาพเฉพาะส่วนที่ต้องการได้โดยที่รายละเอียดยังคงมีความคมชัดอยู่
ตัวอย่างการ Crop ไฟล์วิดีโอ 8K มาเป็นไฟล์วิดีโอแบบ 4K และแบบ FHD 1080P ซึ่งจะเห็นว่าไม่ว่าเราจะ Crop ภาพในส่วนไหนของวิดีโอ ก็ยังคงมีความคมชัด เหมาะกับสายคอนเทนต์ที่แม้บางสถานการณ์มีเวลาจำกัด อย่างน้อยก็ยังสามารถบันทึกวิดีโอแบบ 8K เอาไว้ก่อน แล้วมาแตกช็อตในตำแหน่งที่ต้องการในภายหลังได้ เพราะแม้จะเป็นการ Crop เพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ แต่เราก็ได้ไฟล์วิดีโอแบบ FHD 1080P ที่มีความคมชัดตามมาตรฐานมาให้ใช้งานหลายไฟล์แล้ว
สำหรับการบันทึกวิดีโอคุณภาพสูงสุดในแบบ 8K 30fps กับ 4K 60fps นั้นจะรองรับเฉพาะกล้องหลัก (Wide) เพียงกล้องเดียว
ส่วนการบันทึกวิดีโอตั้งแต่ระดับ 4K 30fps ลงไป จะรองรับได้ทั้ง 3 กล้อง
นอกจากนี้ก็ยังรองรับการบันทึกวิดีโอแบบ High Bitrate Videos กับ HDR10+ รวมทั้งรองรับการบันทึกด้วยระบบเสียงแบบ 360° Audio Recording, ระบบโฟกัสแบบติดตามวัดถุ (Tracking auto-focus) และการปรับเฟรมเรตอัตโนมัติ (Auto FPS)
ส่วนระบบป้องกันการสั่นแบบ Super Steady นั้นจะอาศัยเทคนิคการ Crop ที่ขอบภาพออกบางส่วนเพื่อชดเชยการสั่นไหวด้วยซอฟต์แวร์ แล้วนำมาใช้งานเฉพาะโซนกลางภาพ ดังนั้นจึงรองรับการใช้งานเฉพาะกล้องมุมกว้างที่ระยะ 0.6x กับ 1x เท่านั้น
สำหรับการบันทึกวิดีโอก็สามารถเลือกระยะซูมในขณะที่บันทึกได้เลย โดยหากเป็นการบันทึกที่คุณภาพไม่เกินระดับ 4K 30fps ก็จะสามารถซูมได้ไกลสูงสุดที่ระยะ 12 เท่า
แต่หากเป็นการบันทึกที่คุณภาพระดับ 4K 60fps จะซูมได้ไกลสูงสุดที่ระยะ 10 เท่า และหากเป็นการบันทึกแบบ 8K ก็จะสามารถซูมได้ไกลสูงสุดที่ระยะ 5 เท่า
ต่อมาในโหมด Portrait หรือโหมดถ่ายภาพบุคคล เราสามารถเลือกได้ 3 ระยะด้วยกัน นั่นคือระยะ 1x, 2x และ 3x ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการถ่ายแบบใด เช่นหากเป็นการถ่ายเจาะแบบครึ่งตัว หรือต้องการดึงฉากหลังให้เข้ามาใกล้มากขึ้น ก็อาจจะเลือกถ่ายที่ระยะ 3x ซึ่งเท่าที่ทดสอบ โหมด Portrait นี้สามารถแยกตัวแบบออกจากฉากหลังได้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะหากมีแสงสว่างที่เพียงพอก็จะยิ่งได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่หากเป็นที่แสงน้อยคุณภาพก็อาจจะลดทอนลงไปบ้าง โดยรวมแล้วมีการตัดขอบที่สวยเนียน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait ในระยะ 1x, 2x และ 3x
นอกจากนี้โหมด Portrait ก็ยังใช้งานได้กับการบันทึกวิดีโอด้วยเช่นกัน ด้วยโหมดที่เรียกว่า Portrait Video ซึ่งรองรับการบันทึกที่ความละเอียดแบบ UHD 30fps กับ FHD 30fps โดยสามารถเลือกบันทึกได้ 3 ระยะคือ 1x, 2x และ 3x รวมทั้งสามารถเลือกเอฟเฟกต์ได้ 4 รูปแบบคือ Blur, Big Circle, Color Point และ Glitch
มีโหมด Pro ให้ใช้งาน ซึ่งสามารถปรับแต่งตัวเลือกต่าง ๆ ได้เองอย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นค่าความไวแสง, ค่าความเร็วชัดเตอร์, ค่าชดเชยแสง, จุดโฟกัส, ค่าอุณหภูมิสี, การวัดแสง และอื่น ๆ โดยรองรับการใช้งานกับกล้องทั้ง 3 ตัว รวมทั้งรองรับการบันทึกไฟล์ภาพแบบ RAW ด้วยเช่นกัน
ไม่เพียงแค่การถ่ายภาพนิ่งเท่านั้น แต่การบันทึกวิดีโอก็มีแบบ Pro ให้ใช้งานเช่นกัน ด้วยโหมด Pro Video ซึ่งสามารถปรับแต่งค่าต่าง ๆ ได้เองอย่างอิสระคล้ายกับการถ่ายภาพนิ่ง รวมทั้งสามารถปรับแต่งเสียงจากไมโครโฟนได้ และรองรับการใช้งานกับการบันทึกวิดีโอแบบ 8K ได้ด้วย
สำหรับโหมดกลางคืนนั้นรองรับการใช้งานกับทั้ง 3 กล้อง และมีเทคโนโลยี AI ISP เข้ามาช่วยประมวลผลสัญญาณภาพเพื่อให้ได้รายละเอียดของภาพที่ดีขึ้น
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดกลางคืน (Night)
รองรับการบันทึกวิดีโอแบบ Slow Motion ได้สูงสุดที่ 240fps บนความละเอียดระดับ FHD ส่วนความละเอียดระดับ 4K จะได้เฟรมเรตสูงสุดที่ 120fps
มีโหมดถ่ายแบบ Single Take มาให้ใช้งาน ซึ่งช่วยให้เราได้ช็อตสำหรับสร้างคอนเทนต์ที่หลากหลายด้วยการกดถ่ายเพียงแค่ครั้งเดียว ทั้ง Highlight Videos, Slow-mo Clips, Boomerang Clips, Filtered Pictures, Collages และ Cropped Shots
ตัวอย่างภาพถ่ายเพิ่มเติมจากกล้องของ Galaxy S24 FE
ส่วนกล้องด้านหน้าก็ยังคงใช้ฮาร์ดแวร์เดิมเช่นกัน นั่นคือใช้เซนเซอร์รับภาพความละเอียด 10 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
มีมุมรับภาพกว้างสุดที่ 26 มิลลิเมตร หรือ 80° ซึ่งในเมนูกล้องเราสามารถเลือกได้ว่าจะถ่ายมุมกว้าง หรือมุมแคบ
สามารถเลือกโทนสีผิวได้ 2 แบบคือ Natural กับ Warm, สามารถเลือกใส่ฟิลเตอร์แบบต่าง ๆ ได้ และมีโหมดบิวตี้ให้ใช้งาน ซึ่งสามารถปรับแต่งค่าต่าง ๆ ได้เองตามต้องการ
มีโหมด Portrait กับ Portrait Video ให้ใช้งานเช่นเดียวกับกล้องหลัง
รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K 60fps
มีฟังก์ชัน Auto Framing ที่ช่วยปรับเฟรมให้โดยอัตโนมัติขณะบันทึกวิดีโอ ซึ่งรองรับกับการบันทึกวิดีโอคุณภาพสูงสุดแบบ 4K 30fps
นอกจากนี้ก็ยังมีโหมด Dual Rec ให้ใช้งาน ซึ่งจะเป็นการบันทึกวิดีโอแบบ 2 มุมกล้องไปพร้อม ๆ กัน โดยเลือกใช้ได้ทั้ง 4 กล้อง คือกล้องหน้า, กล้อง Ultra Wide, กล้อง Wide และกล้อง Teletphoto แต่สิ่งที่ยังขาดไปสำหรับกล้องหน้าใน Galaxy S24 FE ก็คือระบบโฟกัสอัตโนมัติ
Galaxy AI ใหม่ล่าสุดครบจัดเต็ม พร้อมรองรับภาษาไทยตั้งแต่แกะกล่อง
ฟีเจอร์ AI บนสมาร์ตโฟนนั้นกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในปี 2024 นี้ ซึ่งถ้าถามว่าสมาร์ตโฟนค่ายใดทำได้ดีที่สุดในเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่าค่าย Samsung นั่นเอง โดยเฉพาะกลุ่มรุ่นเรือธงตัวท็อป เช่น Galaxy S24 Series, Galaxy Z Fold6 และ Galaxy Z Flip6 ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ Galaxy AI ที่จัดเต็มที่สุด ซึ่งข่าวดีก็คือ Galaxy S24 FE รุ่นนี้ก็มาพร้อมกับฟีเจอร์ Galaxy AI ที่จัดเต็มไม่ต่างจากรุ่นใหญ่ข้างต้นเลยทีเดียว
โดย Galaxy AI บน Galaxy S24 FE นั้นสามารถรองรับการใช้งานภาษาไทยได้อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมภาษาอื่น ๆ ทั่วโลกรวมกว่า 16 ภาษา และทำได้ตั้งแต่แกะกล่องโดยไม่ต้องรอการอัปเดต ซึ่งเป็นสมาร์ตโฟนแบรนด์เดียวในตลาดที่ทำได้เช่นนี้
หากลองไล่เรียงรายชื่อของฟีเจอร์ Galaxy AI ใน Galaxy S24 FE นั้นก็ต้องบอกว่าเยอะจนจำแทบไม่หมด ไม่ว่าจะเป็น Call Assist, Chat Assist, Interpreter, Note Assist, Transcript Assist, Browsing Assist, Photo Assist, Drawing Assist, Photo Ambient Wallpaper, Generative Wallpaper และ Health Assist
โดยฟีเจอร์ Galaxy AI ใหม่ล่าสุดที่เป็นไฮไลต์ในชั่วโมงนี้ และเพิ่งเปิดตัวออกมาพร้อมกับ Galaxy Z Flip6 กับ Galaxy Z Fold6 ก็เห็นจะเป็นฟีเจอร์ Portrait Studio ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน Photo Assist กับฟีเจอร์ Sketch to Image ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน Drawing Assist นั่นเอง
Portrait Studio เป็นฟีเจอร์ที่ AI สามารถนำภาพพอร์ตเทรตเดิม ๆ ในแกลเลอรีมาสร้างเป็นภาพ 3 มิติ หรือภาพวาดในสไตล์ต่าง ๆ ได้อย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นภาพการ์ตูน, ภาพการ์ตูน 3 มิติ, ภาพสีน้ำ และภาพสเก็ตช์
ตัวอย่างผลลัพธ์จากการสร้างภาพด้วยฟีเจอร์ Portrait Studio
Sketch to Image เป็นฟีเจอร์ที่ AI ช่วยให้เราสามารถใส่อะไรลงไปในรูปภาพเดิม ๆ ได้แทบทุกอย่าง โดยเราแค่ลากลายเส้นให้เป็นรูปภาพแบบง่าย ๆ เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสวย แค่พอให้ AI วิเคราะห์ได้ว่าเรากำลังวาดอะไร เรียกว่าฟีเจอร์นี้แม้กระทั่งเด็กก็ยังใช้ได้ เช่นหากเราต้องการให้มีเรืออยู่ในทะเล, มีหมวกอยู่บนหัว หรือมีนกมาเกาะที่ไหล่ ก็วาดลงไปในรูปได้เลย ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ AI ในการสร้างภาพ 3 มิติสวย ๆ หลายแบบมาให้เลือกเราเลือก
ตัวอย่างผลลัพธ์จากการสร้างวัตถุด้วยฟีเจอร์ Sketch to Image
ฟีเจอร์ Generative Edit ที่สามารถลบ, ย้าย หรือย่อ-ขยายวัตถุได้เนียนสวยเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ตัวอย่างภาพผลลัพธ์จากการลบวัตถุ (คน) ด้วยฟีเจอร์ Generative Edit
ฟีเจอร์ Instant Slow-mo ที่แค่แตะนิ้วเอาไว้ที่คลิปวิดีโอปกติ AI ก็สามารถสร้างเป็นคลิปวิดีโอแบบ Slow Motion ให้ได้แบบอัตโนมัติ และมีการเคลื่อนไหวที่สวยงามต่อเนื่องลื่นไหล ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความสามารถที่ได้ชิปเซ็ตตัวใหม่มาช่วยประมวลผล
ฟีเจอร์ Generative Wallpaper ที่ช่วยให้เราสามารถสร้างภาพพื้นหลังในสไตล์ของตัวเองได้ด้วย AI
ฟีเจอร์ Photo Ambient Wallpaper ที่ AI จะนำภาพเดิม ๆ ในแกลเลอรีมาสร้างเป็นภาพพื้นหลังในหน้า Lock Screen โดยจะเปลี่ยนสไตล์ของเอฟเฟกต์ไปตามเวลา และสภาพอากาศในขณะนั้น
ฟีเจอร์ Circle to Search ที่เราเพียงแค่แตะปุ่ม Home ค้างเอาไว้ แล้วลากเส้นวงในส่วนที่ต้องการ จากนั้น AI ก็จะช่วยค้นหาข้อมูลของสิ่งนั้นมาให้เราอย่างรวดเร็ว
ฟีเจอร์ Chat Assist ที่ใช้ AI ในการช่วยแปลภาษาระหว่างการแชต และช่วยแต่งประโยคสนทนาให้ถูกต้องเหมาะสมตามหลักภาษา (Note Assist) รวมทั้งยังสามารถช่วยสร้างประโยคได้ทั้งข้อความสั้น ๆ หรือจะเป็นการเขียนอีเมล และเลือกรูปแบบการเขียนได้ว่าจะเป็นแบบเป็นกันเอง, เป็นทางการ, มืออาชีพ (Composer) ซึ่งรองรับการใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันแบบ 3rd Party บางแอปได้ด้วย เช่น Line หรือ Instagram
ฟีเจอร์ Live Translation ที่ช่วยแปลภาษาให้เราในระหว่างการสนทนาโทรศัพท์ ซึ่งไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลส่วนตัวของเราจะรั่วไหล หรือถูกดักฟัง เพราะฟีเจอร์นี้จะทำการประมวลผลภายในเครื่องเท่านั้น และรองรับการใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันแบบ 3rd Party ได้หลายตัวเช่นกัน
ฟีเจอร์ Interpreter ที่ใช้ AI เป็นล่ามช่วยแปลภาษาในขณะที่เราต้องสนทนากับชาวต่างชาติ เช่นเวลาที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินเข้ามาสอบถามข้อมูลต่าง ๆ กับเรา
ฟีเจอร์ Note Assist ที่ใช้ AI ในการช่วยสรุปการจดบันทึกของเราให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอ่านง่าย และถูกหลักภาษา
ฟีเจอร์ Transcript Assist ที่ใช้ AI ในการช่วยสรุปข้อมูลจากเสียงที่บันทึกเอาไว้ เช่นเวลาที่เราเข้าประชุมแล้วต้องทำรายการการประชุม
ฟีเจอร์ Browing Assist ที่ใช้ AI ในการช่วยให้เราสามารถทำความเข้าใจกับเนื้อหาภายในเว็บไซต์ภาษาต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ด้วยการสรุปเนื้อหา และการแปลภาษา
ฟีเจอร์ Health Assist ที่ใช้ AI เป็นโค้ชสุขภาพส่วนตัว ซึ่งจะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพ, การออกกำลังกาย หรือการรับประทานอาหารของเรา แล้วช่วยแนะนำกิจกรรมที่เหมาะสมให้เราได้
หากเรากังวลว่าข้อมูลส่วนตัวของเราจะรั่วไหลออกไปสู่ภายนอก เราก็สามารถเลือกให้ Galaxy AI ประมวลผลเฉพาะภายในตัวเครื่องเท่านั้นได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องทราบก็คือการประมวลผลข้อมูลระดับสูงของ Galaxy AI นั้น ถ้าเราคาดหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็ควรจะต้องเปิดโอกาสให้มีการประมวลผลแบบออนไลน์ร่วมด้วย
ชิปเซ็ตรุ่นพิเศษ แรงขึ้นเท่าตัว บนระบบระบายความร้อนที่ใหญ่กว่าเดิม
สำหรับชิปเซ็ตบน Galaxy S24 FE นั้นถือเป็นชิปเซ็ตรุ่นพิเศษที่ถูกปรับแต่งขึ้นมาใหม่เพื่อใช้งานกับสมาร์ตโฟนรุ่นนี้โดยเฉพาะ นั่นคือชิปเซ็ต Exynos 2400e ที่ถอดแบบสถาปัตยกรรมหน่วยประมวลผลแบบ 10 แกน (Deca-Core) มาจากชิปเซ็ต Exynos 2400 โดยนำมาลดความถี่ของสัญญาณนาฬิกาลงเพียงเล็กน้อย ซึ่งประสิทธิภาพโดยรวมแทบไม่ต่างกัน แต่บริโภคพลังงานน้อยลง โดยรวมเมื่อเทียบกับชิปเซ็ต Exynos 2200 ใน Galaxy S23 FE ก็จะมีประสิทธิภาพดีขึ้นเป็นเท่าตัว นั่นคือมี CPU เร็วขึ้นราว 51% รวมทั้ง GPU (Xclipse 940) ที่เร็วขึ้นราว 99% กับ NPU ที่ฉลาดขึ้นราว 106% รวมทั้งรองรับฟีเจอร์ Ray Tracing ที่ช่วยให้แสงเงาในเกมดูสวยงามสมจริงมากขึ้น
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คือความสามารถของการระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยม ด้วยพื้นที่ของ Vapor Chamber ที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบกับ Galaxy S23 FE จะใหญ่ขึ้นราว 11% (1.1 เท่า) หรือแม้กระทั่งเมื่อเทียบกับ Galaxy S24 Ultra ก็ยังใหญ่กว่าอยู่ราว 5% ดังนั้นเรื่องความร้อนจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับ Galaxy S24 FE ยกเว้นในบางสถานการณ์ที่ต้องอาศัยการประมวลผลหนักเป็นพิเศษ เช่นการบันทึกวิดีโอ 8K แบบต่อเนื่อง เครื่องก็อาจจะร้อนขึ้นบ้างในบริเวณโซนด้านบน แต่เมื่อหยุดบันทึก เครื่องก็จะเย็นตัวลงภายในระยะเวลาอันสั้น
โดยหน่วยความจำ RAM ที่อยู่ภายในนั้นเป็นแบบ LPDDR5X ขนาด 8GB ซึ่งก็ถือว่าไม่มากไม่น้อย หรือหากคิดว่ายังไม่พอ ก็ยังสามารถเพิ่มหน่วยความจำ RAM แบบเสมือน (Virtual RAM) ได้อีกสูงสุดที่ 8GB รวมเป็นทั้งหมด 16GB
ส่วนหน่วยความจำ ROM นั้น หากเป็นรุ่นความจุ 128GB ก็จะเป็นหน่วยความจำ ROM แบบ UFS 3.1 แต่หากเป็นรุ่นความจุ 256GB ก็จะเป็นหน่วยความจำ ROM แบบ UFS 4.0
เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผลด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 6 ก็พบว่าได้คะแนนในส่วนของการประมวลผลแบบ Singel-Core ที่ 1868 คะแนน และได้คะแนนในส่วนของการประมวลผลแบบ Multi-Core ที่ 5816 คะแนน
เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ก็พบว่าได้คะแนนรวมอยู่ที่ 1407015 คะแนน
สำหรับการเล่นเกม ก็สามารถปรับกราฟิกในระดับสูงสุดได้แทบทุกเกม แม้กระทั่งเกมที่มีกราฟิก 3 มิติที่มีรายละเอียดสูง โดยที่ยังคงมีเฟรมเรตที่ดี ยกเว้นบางจังหวะที่มีการต่อสู้กันแบบดุเดือด หรือมีการตะลุมบอนปล่อยพลังกันเยอะเป็นพิเศษ ก็อาจจะมีอาการหน่วงอยู่บ้างเป็นบางจังหวะเท่านั้น
มีฟีเจอร์ Game Booster ติดตั้งมาให้เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเหล่าเกมเมอร์โดยเฉพาะ ทั้งการบล็อกการแจ้งเตือนต่าง ๆ ขณะเล่นเกม, การป้องกันการสัมผัส, การปรับประสิทธิภาพของการเล่นเกม, การตรวจสอบอุณหภูมิ, การตรวจสอบสถานะของแบตเตอรี่, การตรวจสอบสถานะของหน่วยความจำ และอื่น ๆ
แบตเตอรี่ใหญ่อึดกว่าเก่า พร้อมชาร์จไดัทุกรูปแบบ
ในด้านของแบตเตอรี่ก็มีความจุที่มากขึ้นมาอีกเล็กน้อย โดยเพิ่มขึ้นเป็น 4700mAh จากเดิม 4500mAh อย่างไรก็ดีความเร็วของการชาร์จยังคงเท่าเดิม นั่นคือ 25W สำหรับการชาร์จผ่านสาย และ 15W สำหรับการชาร์จแบบไร้สาย ซึ่งโดยรวมก็อาจจะไม่ได้เร็วมากนักเมื่อเทียบกับสมาร์ตโฟนยุคนี้ แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งาน รวมทั้งยังคงรองรับการแชร์พลังงานให้กับอุปกรณ์อื่นแบบไร้สายผ่านทางฟีเจอร์ Wireless PowerShare ได้เช่นเดิม
ลำโพงคู่คุณภาพเสียงประทับใจ ให้มิติรอบทิศด้วย Dolby Atmos
อีกหนึ่งสิ่งที่สร้างความประทับใจใน Galaxy S24 FE ก็คือลำโพงเสียงแบบคู่ ที่ประกอบไปด้วยแถบลำโพงเสียงดีไซน์สวยบางเฉียบที่ช่องหูฟังด้านบน กับลำโพงที่ด้านล่างตัวเครื่อง ซึ่งคราวนี้ถูกเปลี่ยนดีไซน์ของลำโพงตัวหลักที่ด้านล่างมาเป็นแบบขีดยาวทรงแคปซูลเหมือนกับ Galaxy S24 Series รุ่นพี่
โดยลำโพงคู่นี้มีคุณภาพเสียงที่ดีเยี่ยม มีมิติเสียงที่สมจริง มีพลังเสียงที่ดังกังวานโดยไม่แตกพร่า โดยเฉพาะเมื่อเปิดใช้ระบบเสียง Dolby Atmos ก็จะยิ่งสัมผัสได้ถึงประสบการณ์เสียงรอบทิศทาง จึงช่วยเพิ่มอรรถรสของการรับชมคอนเทนต์ หรือเล่นเกมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
และหากต้องการปรับรูปแบบของเสียงด้วยตัวเอง เราก็สามารถเข้าไปเลือกใช้ Equalizer ตามค่าเริ่มต้นมาตรฐานแบบต่าง ๆ ได้ รวมทั้งสามารถปรับระดับของเสียงในย่านความถี่ต่ำ, ความถี่กลาง ไปจนถึงความถี่สูงได้อย่างอิสระ
การเชื่อมต่อครบครันทันยุค รองรับการใช้งานหลากหลาย
ด้วยการที่เป็นสมาร์ตโฟนเรือธง ดังนั้นคุณสมบัติด้านการเชื่อมต่อจึงสามารถรองรับได้ทุกรูปแบบตามยุค ไม่ว่าจะเป็นการรองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual Nano SIM) ที่สามารถใช้งานกับระบบ eSIM ได้ด้วย, การเชื่อมต่อผ่านเครือข่าย 5G, การเชื่อมต่อผ่านเครือข่าย Wi-Fi 6E, การเชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.3 กับ NFC และการเชื่อมต่อข้อมูลผ่านพอร์ต USB Type-C (USB 3.2 Gen 1)
ในด้านของการระบุตำแหน่ง และนำทาง ก็รองรับการทำงานร่วมกับระบบดาวเทียมอย่างครบครัน ทั้ง GPS+A-GPS, Glonass, BeiDou, Galileo, QZSS และ NavIC ดังนั้นไม่ว่าจะไปใช้งานในส่วนใดของโลก ก็สามารถจับสัญญาณได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ แม้กระทั่งขณะอยู่ภายในอาคาร
หรือหากใครต้องการใช้งานจริงจังมากขึ้นในรูปแบบของเครื่องเดสก์ท็อป ก็สามารถใช้งานผ่านระบบ Samsung DeX ได้ ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อกับจอมอนิเตอร์ หรือจอทีวี ทั้งแบบผ่านสาย และแบบไร้สาย
ถือใช้งานได้ยาวนาน ด้วยการอัปเกรดระบบปฏิบัติการ 7 รุ่น และอัปเดตระบบความปลอดภัย 7 ปี
สำหรับจุดขายที่สำคัญอีกอย่างของ Galaxy S24 FE ก็คือเหมาะที่จะนำมาเป็นสมาร์ตโฟนเครื่องหลักที่สามารถถือใช้งานยาว ๆ ได้นานหลายปี โดยในช่วงแรกเมื่อเปิดตัวนั้นจะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 14 ที่ถูกครอบทับด้วย One UI 6.1.1 ใหม่ล่าสุดตั้งแต่แกะกล่อง และต่อไปในอนาคตก็มั่นใจได้ว่าซอฟต์แวร์จะยังคงสดใหม่ทันสมัยอยู่เสมอแม้จะผ่านการใช้งานไปหลายปี เนื่องจากทาง Samsung นั้นการันตีการอัปเกรดระบบปฏิบัติการให้มากถึง 7 รุ่น รวมทั้งจะมีการอัปเดตระบบความปลอดภัยให้นานถึง 7 ปี
และด้วยการที่ Galaxy S24 FE นั้นมาพร้อมกับ One UI 6.1.1 จึงมีฟีเจอร์ป้องกันการโจรกรรมข้อมูลอย่าง Auto Blocker (ตัวบล็อกอัตโนมัติ) ติดตั้งมาให้ใช้งานด้วย ซึ่งสามารถป้องกันภัยในโลกไซเบอร์ได้แทบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น
- ลิงก์จากข้อความ SMS หรือการดาวน์โหลดจากเว็บไซต์
- รูปภาพ หรือข้อความภาพที่อาจมีมัลแวร์ หรือการโจมตีแบบ Zero Click
- คำสั่งจากการเชื่อมต่อผ่านสาย USB
- การอัปเดตซอฟต์แวร์ผ่านสาย USB
- กิจกรรมที่น่าสงสัย
- การติดตั้งแอปพลิเคชันแบบ Sideloading หรือไฟล์นามสกุล.apk จากแหล่งที่มาที่ไม่ได้รับอนุญาต (Unknown Source)
- Factory Code (เช่นการเช็ก IMEI หรือ Serial Number ด้วยการกด *#06#)
- การสั่งล้างเครื่องด้วย Factory Reset
- ฟีเจอร์ Message Guard ที่ช่วยป้องกันการโจมตีจากข้อความภาพที่มีการซ่อนโค้ดอันตรายอยู่ ซึ่งรองรับทั้งแอปพลิเคชันข้อความของ Samsung และแอปพลิเคชันข้อความของ Google รวมทั้งแอปพลิเคชันข้อความยอดนิยมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Messenger, Telegram, KakaoTalk และ WhatsApp
ราคา และโปรโมชัน ของ Samsung Galaxy S24 FE
Samsung Galaxy S24 FE เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยแล้ววันนี้ โดยมี 2 รุ่น 2 ราคาให้เลือกได้แก่
- Samsung Galaxy S24 FE รุ่น RAM 8GB+ROM 128GB ราคา 22,900 บาท
- Samsung Galaxy S24 FE รุ่น RAM 8GB+ROM 256GB ราคา 25,900 บาท
รวมทั้งมี 3 สีให้เลือกคือ สี Blue, Mint และ Graphite
โปรโมชันพิเศษระหว่างวันที่ 21 ตุลาคม 2567 - 1 ธันวาคม 2567
1. นำเครื่องเก่ามาแลกใหม่ รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท
2. สิทธิส่วนลด 30% จากราคาเต็ม สำหรับแลกซื้อ Galaxy Watch | Galaxy Buds เมื่อซื้อพร้อม Galaxy S24 FE
3. สิทธิส่วนลด 30% จากราคาเต็ม สำหรับซื้อบริการซัมซุงแคร์พลัส
- ซัมซุงแคร์พลัส 1 ปี ราคาพิเศษ 1,183 บาท จากราคาปกติ 1,690 บาท
- ซัมซุงแคร์พลัส 2 ปี ราคาพิเศษ 2,093 บาท จากราคาปกติ 2,990 บาท
ท่านใดสนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Samsung Experience Store และร้านค้าที่ร่วมรายการ
สรุปประสบการณ์หลังใช้งาน Samsung Galaxy S24 FE
ในภาพรวมหลังจากที่ผมเองได้มีโอกาสนำเอา Samsung Galaxy S24 FE ไปใช้งานในชีวิตประจำวันมาพักใหญ่ ก็พอจะสรุปได้ว่าสำหรับ Galaxy S24 FE นั้นจริงอยู่ว่าแม้จะไม่ได้จัดเต็มแม็กซ์ในทุกด้าน ด้วยราคาค่าตัวที่ถูกปรับลงมาให้ผู้ซื้อจับต้องได้ง่ายขึ้น แต่ก็มั่นใจได้เลยว่าเราจะได้ประสบการณ์ในการใช้งานหลัก ๆ ที่แทบไม่ต่างไปจากเรือธงรุ่นที่แพงขึ้นไปอีกเป็นหมื่น ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์เก่ง ๆ ของ Galaxy AI ที่ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานทันทีโดยไม่ต้องรออัปเดต, วัสดุระดับพรีเมียม, กล้องระดับไฮเอนด์, หน่วยประมวลผลประสิทธิภาพสูง, ระบบระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยม, จอขนาดใหญ่ที่แสดงผลได้ไหลลื่นสวยงาม, ลำโพงคู่เสียงน่าประทับใจ, แบตเตอรี่ที่อึดพอตัว และที่สำคัญคือมั่นใจได้ว่าจะได้รับการสนับสนุนด้านซอฟต์แวร์ไปอีกยาว ๆ อย่างน้อย 7 ปี ให้ตัวระบบมีความทันสมัยอยู่ตลอด ดังนั้นใครที่กำลังมองหาสมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นใหม่ราคาคุ้มค่าจับต้องได้ ไม่เกิน 2 หมื่นกลาง ๆ เพื่อนำมาใช้งานเป็นเครื่องหลักนาน ๆ หลายปี โดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่บ่อย ๆ Galaxy S24 FE รุ่นนี้ตอบโจทย์ท่านได้ตรงใจอย่างแน่นอนครับ
สรุปคุณสมบัติเด่นของ Samsung Galaxy S24 FE
- กรอบตัวเครื่องแบบแบน ซึ่งผลิตจากโลหะอะลูมิเนียม
- ด้านหลังตัวเครื่องครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus+
- ระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber ที่ใหญ่ขึ้น 1.1 เท่า (เทียบกับ Galaxy S23 FE)
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการทนน้ำ และทนฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68 (ทนน้ำได้ลึกสูงสุด 1.5 เมตร นานต่อเนื่องสูงสุด 30 นาที)
- มี 3 สีมาตรฐานให้เลือก (Blue, Mint และ Graphite)
--------------------------------
- จอแสดงผลแบบ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2340x1080 พิกเซล)
- อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz (Adaptive Refresh Rate : 60/120Hz)
- เทคโนโลยี Vision Booster
- ความสว่างสูงสุด 1900 nits (Peak)
- รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10+
- ขอบหน้าจอหนา 1.99 มิลลิเมตร
- อัตราส่วนพื้นที่แสดงผลต่อตัวเครื่อง 88%
- อัตราส่วนการแสดงผลแบบ 19.5:9
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (In-Display Optical Fingerprint Sensor)
- ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus+
--------------------------------
- ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Exynos 2400e
- ซีพียู Deca-Core (1-Core Cortex-X4 ความเร็ว 3.1 GHz + 2-Core Cortex-A720 ความเร็ว 2.9 GHz + 3-Core Cortex-A720 ความเร็ว 2.6 GHz + 4-Core Cortex-A520 ความเร็ว 1.95)
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Xclipse 940
- รองรับฟีเจอร์ Ray Tracing
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5X ขนาด 8GB
- ฟีเจอร์ RAM Plus สำหรับช่วยเพิ่มขนาดหน่วยความจำ RAM เสมือน (Virtual RAM) ได้สูงสุด 8 GB
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) ขนาด 128GB (UFS 3.1) หรือ 256GB (UFS 4.0)
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 14 พร้อมครอบทับด้วย One UI 6.1.1
- การันตีการอัปเกรดระบบปฏิบัติการ 7 รุ่น
- การรันตีการอัปเดตระบบความปลอดภัย 7 ปี (ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2031)
-------------------------------
- แบตเตอรี่ความจุ 4700 mAh
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 25W Super Fast Charging
- ชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-50% ได้ภายในเวลา 30 นาที
- รองรับมาตรฐาน QC2.0 และ PD
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายความเร็วสูงแบบ 15W Fast Wireless Charging
- ฟังก์ชัน Wireless PowerShare สำหรับแชร์พลังงานให้กับอุปกรณ์อื่นแบบไร้สาย
กล้องหลักที่ด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย
- กล้อง Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Samsung ISOCELL S5KGN3 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f1.8, ทางยาวโฟกัส 24 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 84°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2 และมุมรับภาพ 123°
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, ระบบซูมแบบ 3x Optical Zoom, ทางยาวโฟกัส 75 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 32°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
พร้อมเทคโนโลยี AI ProVisual Engine, Nightography, AI Image Signal Processing (ISP), Adaptive Pixel Sensor, AI Zoom, Object-Aware Engine, Super High Dynamic Range (HDR), รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 8K UHD (30fps) และรองรับการบันทึกวิดีโอแบบ Slow Motion (UHD 120fps, FHD 120/240fps และ HD 960fps)
กล้องด้านหน้าความละเอียด 10 ล้านพิกเซล
พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 80°), รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD (30/60 fps)
- ฟีเจอร์ Galaxy AI (Call Assist, Chat Assist, Interpreter, Note Assist, Transcript Assist, Browsing Assist, Photo Assist, Drawing Assist, Photo Ambient Wallpaper, Generative Wallpaper และ Health Assist)
- ฟีเจอร์ความปลอดภัย (Auto Blocker, Samsung Knox, Samsung Knox Vault, Samsung Knox Matrix และ Passkey)
-----------------------------
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6/6E, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.3 และ NFC
- ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านทางระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, BeiDou, Galileo, QZSS และ NavIC
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C (USB 3.2 Gen 1)
- รองรับการใช้งาน Samsung DeX และ SmartThings
-----------------------------
- ลำโพงเสียงแบบคู่ (Stereo Speakers)
- ระบบเสียง Dolby Atmos
- ปรับแต่งรูปแบบของเสียงด้วย Equalizer
- ฟีเจอร์ Adapt Sound (เมื่อใส่หูฟัง)
- ฟีเจอร์ UHQ Upscaler (เมื่อใส่หูฟัง)
สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) และราคา ของ Samsung Galaxy S24 FE
วันที่ : 25/10/2024