พรีวิว Samsung Galaxy S24 FE แฟลกชิปใหม่ คัดสเปกให้ในราคาคุ้มค่า ด้วย Galaxy AI กล้องวิดีโอ 8K ซูม 30 เท่า และอัปเดตนาน 7 ปี
เป็นสมาร์ตโฟนเรือธงอีกรุ่นที่รอคอยกันมานาน สำหรับ Samsung Galaxy S24 FE ที่คราวนี้เปิดตัวมาในนามของหนึ่งในรุ่นเรือธงของตระกูล Galaxy S24 Series อย่างเต็มตัว ซึ่งให้ประสบการณ์ของการใช้งานในแบบรุ่นแฟลกชิป (Flagship Experience) เรียกว่าถูกยกระดับจาก Fan Edition อย่างเป็นทางการ ด้วยความสามารถหลายอย่างที่มีให้เฉพาะเรือธงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกวิดีโอในระดับ 8K, รองรับการซูมไกล 30 เท่า, รองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของ Galaxy AI อย่างครบถ้วนตั้งแต่แกะกล่อง, ดีไซน์ตัวเครื่องในแบบฉบับของ Galaxy S24 Series, หน่วยประมวลผลประสิทธิภาพสูง, ระบบระบายความร้อนขนาดใหญ่ และการันตีการอัปเดตยาวนานถึง 7 ปี ซึ่งทั้งหมดนี้เราสามารถเป็นเจ้าของได้ในราคาที่คุ้มค่าสบายกระเป่ามากกว่า ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ จะเป็นอย่างไร ในวันนี้เราก็ได้นำเอาตัวจริงเสียงจริงของ Galaxy S24 FE มาพรีวิวให้ชมกันในเบื้องต้นแล้ว
ดีไซน์สไตล์แฟลกชิป จอใหญ่ขึ้น ขอบจอบางลง พร้อมโทนสีพาสเทล
ดีไซน์ภายนอกของ Galaxy S24 FE นั้นยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามสไตล์ของรุ่นพี่ในตระกูล Galaxy S24 Series ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูมินิมอลเรียบง่าย มีความโค้งมน พร้อมโทนสีใหม่ที่ดูสดใสในแบบพาสเทล โดยเครื่องที่วางจำหน่ายในประเทศไทยจะมีให้เลือก 3 สี ได้แก่สีฟ้า (Blue) ซึ่งเป็นสีไฮไลต์, สีมินต์ (Mint) และสุดท้ายคือสีกราไฟต์ (Graphite) ที่เราได้มาลองใช้ในวันนี้
ความเปลี่ยนแปลงอย่างแรกที่สังเกตได้ก็คือขอบจอที่บางลงค่อนข้างชัดเจน ดูแล้วใกล้เคียงกับ Galaxy S24 หรือ Galaxy S24+ รุ่นพี่ จึงช่วยให้การแสดงผลดูเต็มตาได้อรรถรสมากขึ้น พร้อมครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus+
สำหรับหน้าจอแสดงผลนั้นเป็นแบบแบน และมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 6.7 นิ้ว (เดิม 6.4 นิ้ว) เท่ากับ Galaxy S24+ เรียกว่าเป็นหน้าจอที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในตระกูล FE โดยเป็นหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED 2X ความละเอียดระดับ FHD+ ที่มีอัตราการรีเฟรชสูงสุดที่ 120Hz เพียงแต่จะไม่ใช่จอแบบ LTPO เหมือนรุ่นพี่ ดังนั้นอัตราการรีเฟรชต่ำสุดจึงอยู่ที่ 60Hz แต่ก็มีความสว่างสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 1900nits (จากเดิม 1450nits) จึงสามารถมองเห็นในที่กลางแจ้งได้ดีขึ้น
ตัวเครื่องด้านหลังก็ถูกครอบทับด้วยกระจกนิรภัยอย่าง Gorilla Glass Victus+ เช่นกัน ลักษณะของพื้นผิวจึงมีความมันวาว ซึ่งก็ช่วยให้ดูมีความพรีเมียม แต่ก็อาจจะเกิดรอยนิ้วมือ หรือคราบเปื้อนได้ง่าย
กรอบด้านข้างนั้นเป็นโลหะอะลูมิเนียมผิวด้านแบบแบนเรียบ แต่ก็มีการลบคมที่ขอบด้านหลังตัวเครื่อง ช่วยให้การจับถือสบายมือมากขึ้น อีกทั้งตัวเครื่อง Galaxy S24 FE นั้นจะบางลงเล็กน้อยเหลือ 8.0 มิลลิเมตร จากเดิมใน Galaxy S23 FE ที่หนา 8.2 มิลลิเมตร
แต่ในอีกด้านหนึ่งก็จะมีมิติด้านสูง กับด้านกว้างที่ใหญ่ขึ้นเล็กน้อยเป็น 162x77.3 มิลลิเมตร (เดิม 158x76.5 มิลลิเมตร) รวมทั้งมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 213 กรัม (เดิม 209 กรัม) ซึ่งก็เป็นผลมาจากขนาดของหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้นนั่นเอง
นอกจากนี้คุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นก็อยู่ในระดับเดียวกับรุ่นพี่ นั่นคือ IP68 จึงช่วยให้ใช้งานได้อย่างมั่นใจในทุกสถานการณ์
ชิปประมวลผลใหม่ พร้อมพื้นที่ระบายความร้อนที่ใหญ่ขึ้น
ด้วยชิปเซ็ตตัวใหม่อย่าง Exynos 2400e ที่ถอดแบบสถาปัตยกรรมมาจากชิปเซ็ต Exynos 2400 โดยนำมาลดความถี่ของสัญญาณนาฬิกาลงเพียงเล็กน้อย โดยรวมเมื่อเทียบกับชิปเซ็ต Exynos 2200 ใน Galaxy S23 FE ก็จะมีประสิทธิภาพดีขึ้นเป็นเท่าตัว นั่นคือมี CPU เร็วขึ้นราว 70% รวมทั้ง GPU ที่เร็วขึ้นราว 99% กับ NPU ที่ฉลาดขึ้นราว 139% รวมทั้งรองรับฟีเจอร์ Ray Tracing ที่ช่วยให้แสงเงาในเกมดูสวยงามสมจริงมากขึ้น
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คือความสามารถของการระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยม ด้วยพื้นที่ของ Vapor Chamber ที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบกับ Galaxy S23 FE จะใหญ่ขึ้นราว 11% (1.1 เท่า) หรือแม้กระทั่งเมื่อเทียบกับ Galaxy S24 Ultra ก็ยังใหญ่กว่าอยู่ราว 5% ดังนั้นเรื่องความร้อนจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับ Galaxy S24 FE
มาพร้อม Galaxy AI ครบทุกฟีเจอร์ พร้อมรองรับภาษาไทยตั้งแต่แกะกล่อง
จุดขายสำคัญอย่างหนึ่งของ Galaxy S24 FE ก็คือการมาพร้อมฟีเจอร์ Galaxy AI หลัก ๆ เหมือนกับ Galaxy S24 Series, Galaxy Z Fold6 และ Galaxy Z Flip6 รวมทั้งเป็นสมาร์ตโฟนเจ้าเดียวในตลาดที่รองรับการใช้งานกับภาษาไทยได้อย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่แรกโดยไม่ต้องรอการอัปเดตเพิ่มเติม ซึ่งโดยรวมแล้วรองรับการใช้งานได้ถึง 16 ภาษา
ฟีเจอร์ Galaxy AI กลุ่มแรกที่มากับ Galaxy S23 FE ก็คือฟีเจอร์เกี่ยวกับรูปภาพ เรียกว่ามาครบครันทั้ง Photo Assist (Generative Edit), Sketch to Image, Instant Slow-mo, Portrait Studio, Edit Suggestions, Photo Ambient Wallpaper และ Generative Wallpaper
ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็เห็นจะเป็นฟีเจอร์ Sketch to Image กับ Portrait Studio ที่เพิ่งเปิดตัวมาพร้อมกับ Galaxy Z Fold6 กับ Galaxy Z Flip6
โดยฟีเจอร์ Sketch to Image นั้นช่วยให้เราสามารถใส่อะไรลงไปในรูปภาพเดิม ๆ ได้แทบทุกอย่าง โดยเราแค่ลากเส้นวาดรูปแบบง่าย ๆ เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสวย แค่พอให้ AI วิเคราะห์ได้ว่าเรากำลังวาดอะไร เรียกว่าฟีเจอร์นี้แม้กระทั่งเด็กก็ยังใช้ได้ เช่นหากเราต้องการให้มีหมวกอยู่บนหัว หรือมีนกมาเกาะที่ไหล่ ก็วาดลงไปในรูปได้เลย ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ AI ในการสร้างภาพ 3 มิติสวย ๆ หลายแบบมาให้เลือกเราเลือก
อีกฟีเจอร์สนุก ๆ ก็คือ Portrait Studio ที่ AI สามารถนำภาพพอร์ตเทรตเดิม ๆ ในแกลเลอรีมาสร้างเป็นภาพ 3 มิติ หรือภาพวาดในสไตล์ต่าง ๆ ได้อย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นภาพการ์ตูน, ภาพการ์ตูน 3 มิติ, ภาพสีน้ำ และภาพสเก็ตช์
ฟีเจอร์ Galaxy AI กลุ่มที่สองก็คือฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ Circle to Search with Google, Composer, Live Translate, Interpreter, Browsing Assist, Call Assist, Chat Assist, Note Assist, Transcript Assist และ Health Assist
กล้องชุดเดิมที่ประสิทธิภาพดีขึ้น พร้อมการบันทึกวิดีโอ 8K และซูมไกล 30 เท่า
สำหรับชุดกล้องหลัง 3 ตัว รวมทั้งกล้องหน้าของ Galaxy S24 FE แม้จะยังคงใช้ฮาร์ดแวร์ชุดเดิมเช่นเดียวกับ Galaxy S23 FE แต่ประสิทธิภาพนั้นถูกอัปเกรดให้ดีขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยี ProVisual Engine มาใส่ไว้ในสมาร์ตโฟนรุ่น FE เป็นครั้งแรก ซึ่งมีความชาญฉลาดของอัลกอริทึม AI กับ ISP (Image Signal Processing) ที่ทำงานร่วมกับเซนเซอร์รับภาพ Adaptive Pixel 50MP อยู่เบื้องหลัง ที่จะคอยช่วยปรับปรุงคุณภาพของรูปภาพ และวิดีโอให้คมชัดสวยงามแม้ถ่ายในที่มืด โดยชุดกล้องหลัง 3 ตัวจะประกอบไปด้วย
- กล้อง Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.8, ทางยาวโฟกัส 24 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 84°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2 และมุมรับภาพ 123°
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, ระบบซูมแบบ 3x Optical Zoom, ทางยาวโฟกัส 75 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 32°), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
ตัวอย่างภาพถ่ายที่ระยะ 0.6x, 1x, 3x, 5x, 10x, 20x และ 30x ตามลำดับ
สำหรับระบบซูม ในส่วนของกล้อง Teletphoto จะรองรับการซูมแบบ 3x Optical Zoom รวมทั้งในระยะ 2x เราก็สามารถซูมแบบไม่สูญเสียรายละเอียดได้ด้วยระบบ 2x Optical Quality Zoom ที่อาศัยความสามารถของเทคโนโลยี Adaptive Pixel Sensor ที่ประมวลผลด้วย NPU กับ GPU ขั้นสูง และสุดท้ายหากเป็นการซูมแบบดิจิทัล จะสามารถซูมได้สูงสุด 30 เท่า พร้อมฟังก์ชัน Zoom Lock ที่จะคอยล็อกตำแหน่งการซูมระยะไกลให้อยู่ในจุดที่ต้องการ และฟีเจอร์ AI Zoom ที่จะคอยปรับคุณภาพของรูปภาพที่ถ่ายด้วยการซูมระยะไกลให้ดีขึ้น แต่การใช้งานจริง คุณภาพที่ยอมรับได้ น่าจะอยู่ที่ระยะไม่เกิน 10 เท่า หากเกินกว่านั้นรายละเอียดจะเริ่มไม่คมชัด
ด้านการบันทึกวิดีโอก็สมกับการเป็นเรือธง ด้วยการรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 8K (30fps) ซึ่งละเอียดคมชัดกว่าวิดีโอ 4K ถึง 4 เท่า เรียกว่าเป็นสมาร์ตโฟนเพียงรุ่นเดียวในช่วงราคานี้ที่รองรับการบันทึกวิดีโอ 8K ดังนั้นจึงเหมาะกับการนำมาสร้างวิดีโอคอนเทนต์เป็นพิเศษ เช่นเราสามารถบันทึกวิดีโอแบบ 8K เก็บไว้ก่อน แล้วค่อยนำมาครอปวิดีโอ หรือแคปรูปภาพเฉพาะส่วนที่ต้องการได้โดยที่รายละเอียดยังคงมีความคมชัดอยู่
ส่วนกล้องด้านหน้าก็ยังคงใช้ฮาร์ดแวร์เดิม นั่นคือเซนเซอร์รับภาพความละเอียด 10 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และที่น่าสนใจคือรองรับการบันทึกวิดีโอแบบ 4K (60fps) ได้ด้วย
สำหรับโทนภาพโดยรวมจะออกไปทางกลาง ๆ นั่นคือยังคงมีความสดใสตามสไตล์กล้อง Samsung แต่ก็ไม่ได้จัดจ้านจนเกินไป และยังคงมีความเป็นธรรมชาติสมจริงอยู่ด้วย
ส่วนภาพในตอนกลางคืนก็ถือว่ามีคุณภาพที่ดีขึ้นทั้งระยะ 0.6x/1x/2x/3x ด้วยการที่มี AI ISP มาช่วยประมวลผลสัญญาณภาพ
ส่วนโหมด Portrait นั้นสามารถใช้งานได้ทั้งระยะ 1x, 2x และ 3x ตามต้องการ โดยสามารถแยกตัวแบบออกจากฉากหลังได้อย่างสวยงาม ซึ่งหากมีแสงเพียงพอก็จะยิ่งได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่หากเป็นที่แสงน้อยคุณภาพก็อาจจะลดทอนลงไปบ้าง โดยรวมมีการตัดขอบที่สวยเนียน ยกเว้นในบางจังหวะที่อาจจะมีการตัดขอบที่ดูแปลกไปบ้าง เช่นบริเวณที่มีไรผมเส้นเล็ก ๆ หรือบริเวณที่ฉากหลังมีรายละเอียดรายละเอียดเยอะเป็นพิเศษ
อีกอย่างที่น่าสนใจคือ รองรับการเปิดใช้งานโหมด Super HDR บนแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียยอดนิยมหลาย ๆ ตัวโดยไม่ต้องถ่ายผ่านแอปพลิเคชันกล้องของ Samsung เอง เช่น Instagram, TikTok, WhatsApp, Snapchat และอื่น ๆ ดังนั้นภาพที่ได้จึงมีไดนามิกที่ดี เก็บรายละเอียดได้สวยงามทั้งส่วนสว่าง และส่วนมืด
แบตเตอรี่ใหญ่ขึ้น พร้อมรองรับการชาร์จทุกรูปแบบ
นอกจากจะมีหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้นแล้ว แบตเตอรี่ก็มีความจุที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นเป็น 4700mAh (จากเดิม 4500mAh) เพียงแต่ความเร็วของการชาร์จยังคงเท่าเดิม นั่นคือ 25W สำหรับการชาร์จผ่านสาย และ 15W สำหรับการชาร์จแบบไร้สาย ซึ่งโดยรวมก็อาจจะไม่ได้เร็วมากนักเมื่อเทียบกับสมาร์ตโฟนยุคนี้ แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งาน รวมทั้งยังคงรองรับการแชร์พลังงานให้กับอุปกรณ์อื่นแบบไร้สายผ่านทางฟีเจอร์ Wireless PowerShare ได้เช่นเดิม
ลำโพงคู่คุณภาพสูง พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos
อีกหนึ่งสิ่งที่ลองแล้วชอบใน Galaxy S24 FE ก็คือลำโพงเสียงแบบคู่ ซึ่งคราวนี้เปลี่ยนดีไซน์ของลำโพงตัวหลักที่ด้านล่างมาเป็นแบบขีดยาวทรงแคปซูลเหมือนกับ Galaxy S24 Series รุ่นพี่ โดยมีคุณภาพเสียงน่าประทับใจ มีมิติเสียงที่ดี มีพลังเสียงที่ดังกังวานโดยไม่แตกพร่า โดยเฉพาะเมื่อเปิดใช้ระบบเสียง Dolby Atmos ก็จะยิ่งสัมผัสได้ถึงประสบการณ์เสียงรอบทิศทาง ช่วยเพิ่มอรรถรสของการรับชมคอนเทนต์ หรือเล่นเกมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
การันตีการอัปเกรดระบบปฏิบัติการ 7 รุ่น และระบบความปลอดภัย 7 ปี
สำหรับ Galaxy S24 FE นั้นมากับระบบปฏิบัติการ Android 14 พร้อมครอบทับด้วย One UI 6.1.1 ใหม่ล่าสุดตั้งแต่แกะกล่อง ซึ่งหนึ่งในจุดขายสำคัญของรุ่นเรือธงใหม่อย่าง Galaxy S24 FE ก็คือรองรับการถือใช้งานแบบยาว ๆ หลายปี โดยที่ซอฟต์แวร์ยังคงสดใหม่อยู่ตลอด เนื่องจากทาง Samsung นั้นการันตีการอัปเกรดระบบปฏิบัติการให้มากถึง 7 รุ่น รวมทั้งจะมีการอัปเดตระบบความปลอดภัยให้นานถึง 7 ปี
สรุปประสบการณ์สัมผัสแรกกับ Galaxy S24 FE
และทั้งหมดนี้ก็คือสรุปประสบการณ์ในเบื้องต้นหลังจากที่มีโอกาสได้ลองใช้ Galaxy S24 FE เป็นครั้งแรก ซึ่งโดยรวมสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ถือว่าเป็นเรือธงรุ่นเริ่มต้นที่มีฟีเจอร์หลัก ๆ แทบไม่ต่างจากเรือธงรุ่นใหญ่ ตั้งแต่ดีไซน์ภายนอก, ความสามารถของ Galaxy AI, การบันทึกวิดีโอแบบ 8K, กล้องซูมไกลสูงสุด 30 เท่า, ประสิทธิภาพด้านการประมวลผลระดับสูง, ระบบระบายความร้อนที่ดีเยี่ยม และการการันตีการอัปเดตระบบซอฟต์แวร์ยาวนานหลายปี ในราคาที่คุ้มค่าสบายกระเป๋ากว่า ส่วนรีวิวฉบับเต็มรอติดตามได้ในเร็ว ๆ นี้ครับ
ราคา และโปรโมชันของ Galaxy S24 FE
Samsung Galaxy S24 FE เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยแล้ววันนี้ (3 ตุลาคม 2567) โดยมี 2 รุ่น 2 ราคาให้เลือกได้แก่
- Samsung Galaxy S24 FE รุ่น RAM 8GB+ROM 128GB ราคา 22,900 บาท
- Samsung Galaxy S24 FE รุ่น RAM 8GB+ROM 256GB ราคา 25,900 บาท
รวมทั้งมี 3 สีให้เลือกคือ สีฟ้า (Blue), สีมินต์ (Mint) และสีกราไฟต์ (Graphite)
โปรโมชันพิเศษฉลองเปิดตัวระหว่างวันที่ 3-20 ตุลาคม 2567
- รับฟรีอัปเกรดความจุเป็น 2 เท่า มูลค่า 3,000 บาท (ได้รุ่นความจุ 256GB ในราคา 22,900 บาท)
- รับฟรีส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท เมื่อนำเครื่องเก่ามาแลกใหม่
- ดาวน์เริ่มต้น 0 บาท กับบริการ Samsung Finance+ เฉพาะ Samsung Experience Store และร้านค้าที่ร่วมรายการ
สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) และราคา ของ Samsung Galaxy S24 FE
วันที่ : 2/10/2567