รีวิว (Review) OPPO Reno4 Z 5G
สมาร์ทโฟน 5G พร้อม 6 กล้องดีไซน์ใหม่ กับชิปตัวแรง ในราคาหมื่นต้นๆ ด้วยจอ 120Hz Silky Display 6.57 นิ้ว, ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 800 5G พลังแรง, กล้องหลัง Quad Camera 48 ล้านพิกเซล ผสานกล้องหน้าคู่, แบตเตอรี่ชาร์จเร็ว 18W จุใจ 4000 mAh, RAM 8GB+ROM 128GB และสแกนนิ้วด้านข้าง บนดีไซน์สวยสดใหม่สะดุดตา ในราคา 12,990 บาท
12 ตุลาคม 2020 - ในช่วงปีนี้สมาร์ทโฟนระดับกลางที่มีราคาจับต้องได้ พร้อมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ได้ครบทุกความต้องการกำลังมาแรง ซึ่งแน่นอนว่าแบรนด์ใหญ่ที่มีประสบการณ์อย่าง OPPO ก็เล็งเห็นในจุดนี้ จึงมีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนระดับกลางดีๆ ออกมาสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เช่นการกลับมาของสมาร์ทโฟนตระกูล Reno อย่าง OPPO Reno4 ที่ทางทีมงานเพิ่งรีวิวให้ได้ชมกันไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และล่าสุดทาง OPPO ประเทศไทย ก็ส่งสมาร์ทโฟน Reno4 รุ่นใหม่อย่าง OPPO Reno4 Z 5G มาให้ได้จับจองเป็นเจ้าของกันเพิ่มเติมแล้ว
OPPO Reno4 Z 5G ชูโรงที่ความสามารถในการเชื่อมต่อเครือข่าย 5G แบบ Dual-Mode (SA/NSA) ด้วยชิปเซ็ตรุ่นใหม่อย่าง MediaTek (MT6873V) Dimensity 800 บนสถาปัตยกรรมระดับ 7nm มีจุดเด่นในการจัดสรรพลังงาน โดยทำงานร่วมกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB กับหน่วยความจำ ROM ขนาด 128GB และมีแบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 18W Fast Charging บนระบบปฏิบัติการ ColorOS 7.1 เวอร์ชันใหม่ ที่พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Android 10
อีกหนึ่งจุดเด่นที่น่าสนใจของ OPPO Reno4 Z 5G ก็คือหน้าจอ 120Hz Silky Display ขนาด 6.57 นิ้ว ที่มีค่า Refresh Rate ระดับสูงสุดที่ 120Hz ที่ช่วยให้ใช้งานได้ลื่นไหลกว่าเดิม โดยเฉพาะการเล่นเกม การชมภาพยนตร์ หรือซีรีส์เรื่องโปรด และมีกล้องหน้าคู่ฝังบนหน้าจอแบบ Dual-Lens Front Camera กับความละเอียด 16+2 ล้านพิกเซล ที่รองรับเทคโนโลยี Face Beautification 2.0 ในการปรับผิวสวย ส่วนที่ด้านหลังมีผิวสัมผัสแบบด้าน พร้อมติดตั้งกล้องทั้งหมด 4 ตัว (Quad Camera) ที่มีดีไซน์แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร โดยมีความละเอียด 48 ล้านพิกเซล และฟังก์ชันการถ่ายภาพแบบครบครัน
จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า OPPO Reno4 Z 5G มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายด้านเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ตัวเครื่องสุดพรีเมียม การเชื่อมต่อ 5G หรือฟีเจอร์ที่จัดมาให้แบบครบครัน และกล้องถ่ายภาพ 6 ตัวในเครื่องเดียว กับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยไม่เกินเอื้อมที่ 12,990 บาท เรียกว่าเป็นสมาร์ทโฟน 5G อีกรุ่นที่มีราคาจับต้องได้ ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบสนองต่อการใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านรับชมการรีวิว OPPO Reno4 Z 5G ไปพร้อมกันได้เลยค่ะ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
OPPO Reno4 Z 5G มาในแพ็กเกจสีเขียวน้ำทะเล พร้อมระบุชื่อรุ่น และความจุ รวมถึงประทับตรา 5G ไว้อย่างชัดเจน โดยกล่องด้านในมีสีขาวสะอาดตา
ภายในกล่องมีอุปกรณ์พื้นฐานมาให้อย่างครบครัน ได้แก่ เคส, อะแดปเตอร์ (9V/2A), หูฟัง, สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, คู่มือการใช้งาน และเข็มสำหรับถอดถาดซิมการ์ด
ภาพตัวอย่างการใส่เคสที่แถมมาในแพ็กเกจ
OPPO Reno4 Z 5G มาพร้อมกับหน้าจอ LTPS LCD 120Hz Silky Display ขนาด 6.57 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 (พื้นที่การแสดงผล 90.4%) ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 401 ppi) ครอบทับด้วยกระจก 2.5D Gorilla Glass 3+ บนตัวเครื่องขนาด 163.8x75.5x8.1 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 184 กรัม
ไฮไลท์ที่สำคัญของหน้าจอ OPPO Reno4 Z 5G คือค่า Refresh Rate ระดับสูงสุดที่ 120Hz ซึ่งช่วยให้การแสดงผลลื่นไหลมากขึ้นกว่าเดิม ที่ช่วยให้ตอบสนองต่อการสัมผัสได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งฟีเจอร์นี้ค่อนข้างหาได้ยากบนสมาร์ทโฟนระดับเดียวกัน
ที่ด้านบนมีเพียงลำโพงสำหรับสนทนา และเซ็นเซอร์ Proximity สำหรับปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน กับเซ็นเซอร์ Ambient Light สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอ และแผงปุ่มกดให้เหมาะสม
สำหรับกล้องหน้าเซลฟี่เป็นแบบคู่ฝังอยู่บนหน้า จอที่มุมบนซ้าย Dual-Lens Front Camera ความละเอียด 16+2 ล้านพิกเซล (F/2.0 + F/2.4) และรองรับเทคโนโลยี Face Beautification 2.0 สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิเคราะห์โดยปัญญาประดิษฐ์
พร้อมรองรับระบบการสแกนใบหน้า (Facial Unlock) ในการปลดล็อกตัวเครื่อง
ด้านหน้าส่วนล่างใช้ปุ่มควบคุมบนหน้าจอแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent App, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ
หรือเลือกใช้งานวิธีควบคุมแบบ Gestures ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ด้วย
ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีไมโครโฟนตัวที่สอง
ที่ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ลำโพงเสียงตัวหลัก, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, ไมโครโฟนตัวหลักสำหรับสนทนา และช่องเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้ว มือ (Side-Mounted Fingerprint) พร้อมเป็นปุ่ม Power สำหรับ เปิด-ปิดเครื่อง และล็อกหน้าจอในตัว
ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มปรับระดับเสียง และถาดใส่ซิมการ์ด nanoSIM แบบ Dual-Slot ซึ่งรองรับการใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ดโดยไม่รองรับ microSD Card
ฝาหลังของ OPPO Reno4 Z 5G ลงโค้งแบบ 2.5D พร้อมผิวสัมผัสแบบกระจกด้าน และมีการไล่เฉด สะท้อนเล่นกับแสงในมุมต่างๆ โดยสีที่ทางทีมงานได้รับมารีวิวนั้นคือสีขาว (Dew White)
ที่ด้านหลังตัวเครื่องของ OPPO Reno4 Z 5G มีการติดตั้งกล้อง 4 ตัว (Quad Camera) ด้วยดีไซน์แบบใหม่ที่ไม่เหมือนใคร โดยแบ่งออกเป็น
- กล้องตัวหลักแบบ Wide ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์
OV48B ขนาด 1/2.0 นิ้ว กับเทคโนโลยี 4-in-1 Pixel Binning, รูรับแสงขนาด f1.7, ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร, ขนาดเม็ดพิกเซล 0.8 ไมครอน และระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ PDAF
- กล้องตัวที่สองแบบ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 119 องศา, เซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว และขนาดเม็ดพิกเซล 1.12 ไมครอน
- กล้องตัวที่สามแบบ B&W Portrait Monochrome ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
- กล้องตัวที่สี่แบบ Vintage Portrait Monochrome ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
ซึ่งรองรับโหมดถ่ายภาพความละเอียดสูง Ultra HD 48MP, โหมดถ่ายภาพกลางคืนแบบ Ultra Dark Mode, โหมด Dazzle Color สำหรับเพิ่มสีสันให้ภาพถ่าย, โหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait), โหมดหน้าสวย (Beauty), ฟังก์ชัน AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสม และรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD พร้อมโหมดป้องกันการสั่นไหวแบบ Ultra Steady Video รวมถึงการถ่ายวิดีโอในมุมกว้างพิเศษ (Video Ultra Wide Angle) และ Video Bokeh แบบ real-time
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ
OPPO Reno4 Z 5G ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย ColorOS 7.1กับดีไซน์หน้า User Interface ที่เรียบหรู และดูสบายตามากขึ้น โดยรองรับหน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB พร้อมความจุภายในตัวเครื่องมาตรฐาน UFS 2.1 ขนาด 128GB โดยไม่รองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD Card
และสามารถใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 5G ได้ทั้งสองซิมการ์ด (Standby บนเครือข่าย 5G ได้ทีละซิมการ์ด)
เมื่อลากจากขอบด้านบนของหน้าจอลงมาจะพบกับ Toggle Switch ปุ่มลัดสำหรับการเปิด-ปิดฟังก์ชันต่างๆ มากมาย เช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ต, Bluetooth หรือการหมุนหน้าจออัตโนมัติ รวมถึง Notification Center แถบการแจ้งเตือนต่างๆ
โดยสามารถปรับตำแหน่งของคีย์ลัดต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ
เมื่อปัดไปทางด้านขวาจากหน้าโฮมสกรีน จะพบกับ Google Discover หน้าที่รวบรวมข่าวสารที่ได้รับความนิยมในโลกออนไลน์ โดยอ้างอิงจากการค้นหาของผู้ใช้
สามารถเข้าสู่เข้าสู่เมนูการปรับแต่งหน้าจอ เพื่อปรับตำแหน่งของไอคอน พร้อมเลือกใช้งาน Widget ที่ต้องการ รวมถึงเอฟเฟ็กเวลาเปลี่ยนหน้าจอ และภาพพื้นหลังได้ เพียงใช้สองนิ้วรูดเข้าหากันในแนวทแยง
และเมื่อกดปุ่ม Recent Apps จะพบกับหน้าแอปพลิเคชันทั้งหมดที่เปิดใช้งานเอาไว้ ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกปิดแอปพลิเคชันที่เปิดค้างเอาไว้ได้ เพียงแค่เลื่อนหน้าต่างแอปนั้นๆ ไปยังด้านบน หรือปิดแอปพลิเคชันทั้งหมดภายในครั้งเดียวด้วยการกดปุ่ม Close all ที่ด้านล่าง
สำหรับบริการต่างๆ จากทาง Google รวมถึงแอปพลิเคชันพื้นฐาน ก็มีการติดตั้งมาไว้ให้ได้ใช้งานอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Contact, Phone Manager, Recorder, Compass, Calcuator, Clone Phone, One-Tap Lockscreen, HeyTap Cloud, Keep Notes และ OPPO Service
สามารถปรับค่าการแสดงผลต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น ความสว่างอัตโนมัติ, อุณหภูมิสี หรือขนาดของตัวอักษร พร้อมรองรับฟังก์ชัน Eye Care สำหรับลดแสงสีฟ้าบนหน้าจอ
รวมถึงรองรับ Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำ และยังเลือกให้แอปพลิเคชันจาก Third-Party แสดงผลพื้นหลังเป็นสีดำได้อีกด้วย โดยในเบื้องต้นยังเป็นแบบ Beta อยู่
ตัวอย่างการใช้งาน Dark Mode
รวมถึงเลือกใช้งานค่า Refresh Rate สูงสุดที่ระดับ 120Hz (ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 60Hz) โดยจะช่วยให้การใช้งานต่างๆ โดยเฉพาะการเล่นเกมลื่นไหลกว่าเดิม ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่ค่อนข้างหาได้ยากบนสมาร์ทโฟนระดับใกล้เคียงกัน
สำหรับ Refresh Rate เป็นค่าความเร็วในการเปลี่ยนภาพของหน้าจอแสดงผล กล่าวคืออัตราความเร็วในการเปลี่ยนภาพนิ่งที่เรียงต่อกันจนกลายมาเป็นภาพเคลื่อนไหว ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งค่า Refresh Rate มาก ก็จะทำให้การเปลี่ยนภาพของหน้าจอมีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้นไปด้วยนั่นเอง และโดยปกติแล้วหน้าจอสมาร์ทโฟนที่เราใช้งานกันจะมีค่า Refresh Rate อยู่ที่ประมาณ 60 Hz
และยังรองรับเทคโนโลยี OSIE Vision Effect ที่ช่วยให้รับชมภาพ และภาพยนตร์เรื่องโปรดได้คมชัดกว่าเดิม ในระดับ high-frame-rate HDR Masterpieces
สามารถตั้งค่าต่างๆ ในหน้า Home Screen ได้
ตั้งแต่การเลือกใช้งานหน้าจอได้ทั้งในโหมด ปกติ (Standard : ค่าเริ่มต้น), แบบ Drawer หรือแบบ Simple ที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ
และเลือกจำนวนการแสดงผลของไอคอนบนหน้าจอได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ 4x6 (ค่าเริ่มต้น) และ 5x6
สามารถปรับเปลี่ยนธีม (Theme), รูปแบบตัวอักษร (Font) และภาพพื้นหลัง (Wallpaper) ของตัวเครื่องได้อย่างอิสระ
และสำหรับท่านที่ต้องการใช้งานพื้นหลัง, รูปแบบธีม รวมถึงรูปแบบตัวอักษรที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ก็สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้จากแอปพลิเคชัน Theme Store
รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบของไอคอน
สามารถสลับตำแหน่งของปุ่ม Navigation Buttons ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้
หรือเลือกใช้งานการควบคุมแบบ Swipe Gestures From Both Sides ในการปัดหน้าจอจากด้านข้างลักษณะต่างๆ เพื่อสั่งการ
หรือเลือกใช้งานการควบคุมแบบ Swipe-Up Gestures ในการปัดหน้าจอขึ้นลักษณะต่างๆ เพื่อสั่งการ
รวมถึงการเปิดใช้งานฟังก์ชัน Assistive Ball ปุ่มคีย์ลัดที่สามารถเลื่อนเปลี่ยนตำแหน่งได้
และรองรับฟังก์ชัน Smart Slider สำหรับเรียกใช้งานคีย์ลัด และแอปพลิเคชันต่างๆ ผ่านการสไลด์ที่บริเวณขอบสีขาวที่หน้าจอ
โดยรองรับการใช้งานทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน พร้อมเลือกแอปพลิเคชันอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติมในแถบ Smart Slider ได้
OPPO Reno4 Z 5G ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะก็มีให้ใช้งาน ด้วยเช่นกัน ซึ่งประกอบไปด้วย การแคปเจอร์หน้าจอด้วยการลาก 3 นิ้วจากบนลงล่าง, การยกตัวเครื่องขึ้นเพื่อเป็นการปลุกการทำงาน, การรับสายอัตโนมัติ, การสลับจากลำโพงภายนอก มาเป็นลำโพงสำหรับสนทนาเมื่อนำมือถือมาแนบที่ใบหู และการคว่ำตัวเครื่องเพื่อปิดเสียงสายโทรเข้า
รวมถึง Screen-Off Gestures การวาดนิ้วในลักษณะต่างๆ ขณะหน้าจอดับอยู่ เพื่อเปิดใช้งานคีย์ลัด เช่น แตะสองครั้งเพื่อปลุกหน้าจอ, วาดตัวอักษร O เพื่อเปิดแอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ, วาดตัวอักษร V เพื่อเปิดใช้งานไฟฉาย และการวาดตัวอักษร < หรือ > เพื่อเปลี่ยนเพลง นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่ารูปแบบการวาดเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันอื่นๆ ได้
โดยที่สามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาวได้ด้วย
และเมื่อกดค้างที่แอปพลิเคชันต่างๆ จะปรากฎคีย์ลัด เพื่อการใช้งานที่รวดเร็วยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังสามารถเรียกใช้งาน Google Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะจาก Google บน OPPO Reno4 Z 5G ได้ด้วยเช่นกัน โดยกดค้างที่ปุ่ม Power ประมาณ 2 วินาที โดยผู้ใช้สามารถสั่งงานภายในตัวเครื่อง รวมถึงค้นหาสิ่งต่างๆ ที่ต้องการผ่านคำสั่งเสียง รวมถึงบริการ Google Lens บริการค้นหาวัตถุ หรือสถานที่ด้วยการนำกล้องไปถ่ายวัตถุนั้นๆ ได้อย่างง่ายดาย
ตัวอย่างการใช้งานบนบริการ Google Lens
แอปพลิเคชัน Phone Manager เครื่องมือสำหรับจัดการประสิทธิภาพภายในตัวเครื่อง ทั้งการเคลียร์ไฟล์แคช (Cache File), จัดการความเป็นส่วนตัว หรือการสแกนไวรัส ซึ่งจะช่วยให้ตัวเครื่องมีความปลอดภัย และใช้งานได้รวดเร็วอยู่ตลอดเวลา
OPPO Reno4 Z 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน พร้อมเปิดใช้งานในโหมดประหยัดพลังงานอย่าง Smart Power Saver ที่ช่วยจัดการพลังงานให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น โดยเมื่อกดใช้งานแถบแบตเตอรี่บนหน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
รวมถึงโหมด High Performance
เพื่อการประมวลผลในระดับสูงสุด
โดยเมื่อเปิดใช้งานตัวเครื่องจะใช้ทรัพยากรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง
และอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกตินั่นเอง
(เมื่อเปิดใช้งานจะมีสัญลักษณ์แบตเตอรี่สีเขียวที่ด้านซ้าย ถัดจากเวลา)
และรองรับเทคโนโลยีการชาร์จความเร็วสูงแบบ 18W Fast Charging ที่ช่วยประหยัดเวลาในการชาร์จได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังรองรับฟังก์ชัน Reverse Charging สำหรับแปลงเป็น Power Bank ให้กับสมาร์ทโฟนเครื่องอื่น
ฟังก์ชัน Do Not Disturb สำหรับปิดการแจ้งเตือนทั้งหมดแบบไม่มีการสั่นเตือน ยกเว้นการตั้งปลุกที่ผู้ใช้ตั้งค่าเอาไว้ โดยจะมีสัญลักษณ์รูปพระจันทร์ที่ด้านบนเมื่อเปิดการใช้งาน
สามารถตรวจสอบเวลาที่ใช้ไปในแต่ละแอปพลิเคชัน รวมถึงกำหนดระยะเวลาในการใช้งานในแต่ละแอปพลิเคชันได้
และรองรับฟังก์ชันใหม่ล่าสุดอย่าง Focus Mode สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก โดยระบบจะปิดแอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้แบบชั่วคราว พร้อมเปิดเพลงสบายๆ โดยผู้ใช้สามารถเลือก Theme ของเพลงได้ และเปิดโหมดห้ามรบกวน (Do Not Disturb) เพื่อปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ตอบโจทย์เวลาที่ผู้ใช้ต้องการสมาธิ หรือเข้านอนนั่นเอง
ฟีเจอร์ App Cloner สำหรับโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน ซึ่งในเบื้องต้นนั้นสามารถโคลนนิ่งได้เฉพาะแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook และ Line จึงทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์
รวมถึงรองรับการใช้งานแบบ Multi-user ที่สามารถสลับการใช้งานจากผู้ใช้หลายคนได้ โดยข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน และการรักษาความปลอดภัยต่างๆ จะถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเหมาะสำหรับท่านที่ต้องการแยกการทำงาน และการใช้งานทั่วไปให้ชัดเจน
นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชัน Split Screen ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อมๆ กัน ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ทั้งหมด 4 วิธี
ตัวอย่างการใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ
สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยบน OPPO Reno4 Z 5G มีทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ติดตั้งอยู่ด้านขวาของตัวเครื่อง (Side-Mounted Fingerprint) โดยสามารถตั้งค่าการใช้งานเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือสำหรับปลุกการทำงานของเครื่อง หรือปลดล็อกหน้าจอได้ พร้อมทั้งสามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 ลายนิ้วมือ ซึ่งจากการทดสอบตัวเซ็นเซอร์ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอได้รวดเร็วทันใจ
และการปลดล็อกด้วยใบหน้า (Facial Unlock) ที่สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว
ท่านที่ใช้งาน OPPO Reno4 Z 5G เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่แล้วอยากย้ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเดิม ก็สามารถโอนย้ายข้อมูลด้วยแอปพลิเคชัน Clone Phone ได้ทันที
OPPO Reno4 Z 5G รองรับการเล่นเพลง
และไฟล์เสียงต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Music และสามารถเปิดใช้งานระบบเสียง Dirac
ได้ โดยผู้ใช้สามารถสามารถปรับรูปแบบอีควอไลเซอร์ได้หลากหลาย
(ระบบเสียง Dirac จะต้องใช้งานร่วมกับหูฟังเท่านั้น)
นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งแอปพลิเคชัน SOLOOP มาให้แบบแกะกล่อง กับความสามารถในการตัดต่อวิดีโอ พร้อมกับ Templates, Sticker, Font และ Effect รูปแบบต่างๆ ให้เลือกใช้งาน
โดยสามารถเลือกใส่เอฟเฟกต์ต่างๆ, เลือกตัดเฉพาะส่วนที่ต้องการ, ใส่ฟีลเตอร์, เพิ่มคำบรรยาย และเพิ่มเพลง Background
และ OPPO Reno4 Z 5G มากับแอปพลิเคชัน OPPO Relax ตัวช่วยในการผ่อนคลายอารมณ์ต่างๆ ด้วยการทำสมาธิจากการหายใจ พร้อมเพลง และดนตรีที่ช่วยเพิ่มสมาธิ หรือช่วยให้นอนหลับสบาย
ที่สำคัญ OPPO Reno4 Z 5G ยังรองรับฟังก์ชันเพื่อความเป็นส่วนตัวอย่าง App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่างๆ ภายในตัวเครื่อง, Kid Space การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก รวมถึง Private Safe ที่เปรียบเสมือนตู้นิรภัยประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เสียง, ไฟล์เอกสาร และไฟล์ประเภทอื่นๆ เข้าไปเก็บไว้ได้ ซึ่งจำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งาน นอกจากนี้ก็มีระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อต้องกรอกรหัสผ่าน และการป้องกันการบันทึกหน้าจอที่เปิดเผยข้อมูลสำคัญ
สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง OPPO Reno4 Z 5G นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor และ Magnetic Sensor
สามารถจับสัญญาณดาวเทียม GPS ในที่กลางแจ้งได้ พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย โดยจากภาพตัวอย่างการทดสอบข้างต้นจะเห็นว่าสามารถจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 47 ดวง และมีความแม่นยำในระดับบวกลบ 2 เมตร แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพของสัญญาณดาวเทียม GPS ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ที่กำลังใช้งานอยู่ หรือสภาพอากาศด้วยนั่นเอง
OPPO Reno4 Z 5G มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Dimensity 800 แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.0 GHz โดยมีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G57 MC4, หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 2.1 ขนาด 128GB และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 ซึ่งถูกครอบทับด้วย User Interface แบบ ColorOS 7.1
OPPO Reno4 Z 5G มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 323,585 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 5 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single Core) ที่ 537 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 1,831 คะแนน
สำหรับการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ OpenGL ES 3.1 ได้คะแนนการทดสอบที่ 3,247 คะแนน ส่วนการทดสอบแบบ Vulkan ได้คะแนนการทดสอบที่ 3,070 คะแนน
OPPO Reno4 Z 5G รองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด
OPPO Reno4 Z 5G ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์สำหรับเกมเมอร์ตัวจริงอย่าง Game Assistant ที่ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม และ Game Space ที่ผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ ขณะเล่นเกม รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้
ใน Game Space นั้นก็มี Graphics Acceleration สำหรับรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลที่สุด รวมไปถึง Network Protection สำหรับจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตของแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เพื่อช่วยลดอาการแลคขณะเล่นเกมออนไลน์ที่จำเป็นต้องมีการรับ-ส่งข้อมูลอยู่ตลอดเวลา
จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสาม มิติอย่าง Marvel Future Fight, Genshin Impact และ V4 ก็พบว่า OPPO Reno4 Z 5G พร้อมเปิดการแสดงผลระดับสูงสุด ก็พบว่าสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างไหลลื่น และไม่พลาดช่วงเหตุการณ์สำคัญ ด้วยค่า Refresh Rate ระดับสูงสุดที่ 120Hz โดยไม่มีอาการหน่วง หรือกระตุก แต่ก็มีการสะสมความร้อนให้เห็นบ้าง
OPPO Reno4 Z 5G มาพร้อมกับหน้าจอ LTPS LCD 120Hz Silky Display ขนาด 6.57 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 (พื้นที่การแสดงผล 90.4%) ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 401 ppi) จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ ผสานเทคโนโลยี OSIE Vision Effect ที่ช่วยให้รับชมภาพ และภาพยนตร์เรื่องโปรดได้คมชัดกว่าเดิม
การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
OPPO Reno4 Z 5G มาพร้อมระบบกล้องหลัง 4 ตัว (Quad Camera) แบ่งออกเป็น
- กล้องตัวหลักแบบ Wide ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์
OV48B ขนาด 1/2.0 นิ้ว กับเทคโนโลยี 4-in-1 Pixel Binning, รูรับแสงขนาด f1.7, ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร, ขนาดเม็ดพิกเซล 0.8 ไมครอน และระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ PDAF
- กล้องตัวที่สองแบบ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 119 องศา, เซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว และขนาดเม็ดพิกเซล 1.12 ไมครอน
- กล้องตัวที่สามแบบ B&W Portrait Monochrome ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
- กล้องตัวที่สี่แบบ Vintage Portrait Monochrome ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์เรียบหรู สบายตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจน โดยสามารถเลือกถ่ายภาพในมุมปกติ (1x), แบบมุมกว้าง Ultra-Wide (0.6x), ซูมที่ 2 เท่า (2x) และซูมที่ 5 เท่า (5x) โดยสามารถซูมสูงสุดที่ 10 เท่า (10x Digital Zoom)
พร้อมฟังก์ชันเปิด-ปิด ไฟแฟลช, โหมด HDR, ฟังก์ชัน AI Dazzle Color สำหรับเพิ่มสีสัน และการเพิ่มฟีลเตอร์
และเปิดแถบเมนูเพิ่มเติมได้ ประกอบด้วย สัดส่วนภาพถ่าย, การตั้งเวลาถ่ายภาพ, โหมด 48MP สำหรับถ่ายภาพความละเอียดสูง และการตั้งค่าอื่นๆ เพิ่มเติม
พร้อมกับฟังก์ชัน AI Scene Recognition สำหรับในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสม ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)
OPPO Reno4 Z 5G มาพร้อมกับโหมด AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100%
โหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ 0-100%
ที่สามารถใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ ได้
และทำงานร่วมกับเทคโนโลยี AI Beauty ในการปรับผิวเนียน โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100%
OPPO Reno4 Z 5G มีโหมดถ่ายภาพกลางคืนแบบ Ultra Dark Mode ทั้งในมุมปกติ และแบบมุมกว้าง (Ultra Wide-Angle) ด้วยเทคโนโลยี Multi-Frame Noise Reduction กับเทคโนโลยี HDR พร้อม Noise Reduction ที่ช่วยลดการเกิด noise บนภาพ รวมถึง Anti-Shake Effects กับ High-Light Suppression ที่ช่วยเพิ่มไดนามิกให้กับภาพ
รองรับกการถ่ายภาพมุมกว้างในโหมด PANO และโหมด Expert การตั้งค่าต่างๆ ที่ครบครัน และครอบคลุมสำหรับช่างภาพแทบทั้งหมด
รวมถึงเพิ่มสติกเกอร์แบบต่างๆ พร้อมใช้งานร่วมกับ AI Beauty ปรับค่าผิวเนียนได้
การถ่ายวิดีโอบน OPPO Reno4 Z 5G สามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดในโหมดปกติได้ที่ระดับ 4K UHD (30 fps) สามารถเลือกถ่ายภาพในมุมปกติ (1x), แบบมุมกว้าง Ultra-Wide (0.6x), ซูมที่ 2 เท่า (2x) และซูมที่ 5 เท่า (5x) โดยสามารถซูมสูงสุดที่ 10 เท่า (10x Digital Zoom) และรองรับการโหมดป้องกันการสั่นไหวแบบ Ultra Steady Video
พร้อมโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Video Bokeh) ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ตั้งแต่ 0-100% และใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ ได้
รวมถึงโหมด AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100%
รองรับฟังก์ชัน TIME-LAPSE และฟังก์ชัน SLO-MO
ทางด้านกล้องดิจิทัลด้านหน้าของ OPPO Reno4 Z 5G เป็นแบบคู่ฝังบนหน้าจอ (Dual-Lens Front Camera) ความละเอียด 16+2 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสง F/2.0
โดยมีหน้าตา Interface ที่สามารถใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งแสดงไอคอนเอาไว้ให้ใช้งานได้ทันที ได้แก่ เปิดปิดไฟแฟลช, ฟังก์ชัน HDR, การเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่างๆ
และเปิดแถบเมนูเพิ่มเติมได้ ซึ่งประกอบด้วย สัดส่วนภาพถ่าย, การตั้งเวลาถ่ายภาพ และการตั้งค่าอื่นๆ
กล้องหน้าของ OPPO Reno4 Z 5G รองรับเทคโนโลยี Face Beautification 2.0 สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิเคราะห์โดยปัญญาประดิษฐ์ โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งแต่ละส่วนบนใบหน้าได้อย่างอิสระ ซึ่งสามารถเลือกระดับได้ตั้งแต่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 30%)
สำหรับโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ 0-100%
พร้อมเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่างๆ
และรองรับเทคโนโลยี Face Beautification 2.0 ที่สามารถปรับแต่งโครงสร้างบนใบหน้าได้อย่างอิสระ
รวมถึงโหมด PANO
และเพิ่มสีสันให้กับการเซลฟี่ด้วยสติ้กเกอร์แบบ ต่างๆ พร้อมใช้งานร่วมกับเทคโนโลยี Face Beautification 2.0 ที่สามารถปรับโครงสร้างใบหน้าในแต่ละส่วนได้อย่างอิสระ
นอกจากนี้ยังรองรับการถ่ายภาพเซลฟี่ในเวลากลาง คืนด้วยโหมด Night ที่ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Face Beautification 2.0 อีกด้วย
การถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าของ OPPO Reno4 Z 5G รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD 1080p พร้อมโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Video Bokeh) ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ตั้งแต่ 0-100%
และเทคโนโลยี Face Beautification 2.0 ในการปรับค่าผิวให้ดูเนียนสวยขึ้น ตั้งแต่ระดับ 0-100% พร้อมใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 4 ตัว (Quad
Camera) ความละเอียดระดับ 48+8+2+2 ล้านพิกเซล ของ OPPO Reno4 Z 5G
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Dazzle Color
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Dazzle Color
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Dazzle Color
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Dazzle Color
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Ultra-Wide Angle
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Ultra-Wide Angle
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Ultra-Wide Angle
ภาพถ่ายในโหมด Portrait
ภาพถ่ายเวลากลางคืนในโหมด Night
ภาพถ่ายเวลากลางคืนในโหมด Night แบบมุมกว้าง Ultra-Wide Angle
ภาพถ่ายเวลากลางคืนในโหมด Night
ภาพถ่ายเวลากลางคืนในโหมด Night แบบมุมกว้าง Ultra-Wide Angle
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าแบบคู่ฝังบนจอ (Dual-Lens Front Camera) ความละเอียด 16+2 ล้านพิกเซลของ OPPO Reno4 Z 5G
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายในโหมด AI Beauty
ภาพถ่ายในโหมด Portrait
สรุปผลการทดสอบของ OPPO Reno4 Z 5G
จากการทดสอบทั้งหมดในข้างต้นพอจะสรุปได้ว่า OPPO Reno4 Z 5G เป็นสมาร์ทโฟน 5G ที่น่าสนใจในราคาช่วงหมื่นต้นๆ ด้วยจุดขายสำคัญอย่างหน้าจอ 120Hz Silky Display ขนาด 6.57 นิ้ว ที่มีค่า Refresh Rate ระดับสูงสุดที่ 120Hz ซึ่งช่วยให้ใช้งานได้ลื่นไหลกว่าเดิม โดยเฉพาะการเล่นเกม และความคมชัดระดับ Full HD+ จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ ผสานเทคโนโลยี OSIE Vision Effect ที่ช่วยให้รับชมภาพยนตร์เรื่องโปรดได้คมชัดสวยงามกว่าเดิม
พร้อมรองรับการใช้งานเครือข่าย 5G แบบ Dual-Mode (SA/NSA) และรองรับคลื่นความถี่ 5G ในไทยตั้งแต่แกะกล่อง ด้วยชิปเซ็ตรุ่นใหม่อย่าง MediaTek Dimensity 800 ที่ผลิตบนเทคโนโลยีระดับ 7nm ที่มีจุดเด่นในการจัดสรรพลังงาน โดยทำงานร่วมกับ RAM แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB + ROM มาตรฐาน UFS 2.1 ขนาด 128GB แต่น่าเสียดายที่ไม่รองรับการเพิ่ม microSD Card โดยมีแบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน และรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 18W Fast Charging ที่ช่วยย่นระยะเวลาในการชาร์จให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และหากต้องการใช้งานแบบในโหมดประสิทธิภาพสูงสุดของตัวเครื่อง OPPO Reno4 Z 5G ก็มีโหมด High Performance ให้ใช้งานด้วย สำหรับเร่งการประมวลผลด้านต่างๆ ให้เร็ว และแรงกว่าเดิม โดยเมื่อเปิดใช้งานตัวเครื่องจะใช้ทรัพยากรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง และอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกตินั่นเอง สำหรับ Reno4 Z 5G มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ที่ด้านข้างตัวเครื่อง (Side-Mounted Fingerprint) ที่ทำงานร่วมกับระบบสแกนใบหน้า (Facial Unlock) ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่ครอบทับด้วย ColorOS 7.1 เวอร์ชันใหม่ กับ User Interface ดีไซน์เรียบหรูสบายตา โดยผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของไอคอนแอปพลิเคชันได้ตามที่ต้องการ และมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง Dark Mode ในการปรับการแสดงผลพื้นหลังหน้าจอให้เป็นสีดำ และฟังก์ชัน Focus Mode สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก โดยระบบจะปิดแอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้แบบชั่วคราว พร้อมเปิดเพลงสบายๆ โดยผู้ใช้สามารถเลือก Theme ของเพลงได้ และเปิดโหมดห้ามรบกวน (Do Not Disturb) เพื่อปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ตอบโจทย์เวลาที่ผู้ใช้ต้องการสมาธิ หรือเข้านอนนั่นเอง รวมถึงแอปพลิเคชัน OPPO Relax ที่เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการผ่อนคลาย
OPPO Reno4 Z 5G ยังโดดเด่นที่ดีไซน์ด้วยหน้าจอไร้ขอบฝังกล้องหน้าคู่แบบ Dual-Lens Front Camera ความละเอียด 16+2 ล้านพิกเซล ที่มากับเทคโนโลยี Face Beautification 2.0 สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ส่วนที่ด้านหลังมีผิวสัมผัสแบบด้าน ที่ช่วยป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือได้เป็นอย่างดี โดยมีการติดตั้งกล้องหลังทั้งหมด 4 ตัว (Quad Camera) ด้วยกล้องตัวหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมด้วยกล้อง Ultra-Wide เก็บภาพมุมกว้างสุด 119 องศา, กล้อง B&W Portrait Monochrome และกล้อง Vintage Portrait Monochrome ที่ช่วยให้ถ่ายภาพ Portrait ได้โดดเด่นยิ่งขึ้น ซึ่งในโหมดนี้เราสามารถปรับระดับความเบลอได้ตามต้องการอีกด้วย และยังรองรับฟีเจอร์ Ultra Dark Mode สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืนโดยเฉพาะ ทั้งในมุมปกติ และมุมกว้างแบบ Ultra-Wide สำหรับการบันทึกวิดีโอ ได้สูงสุดที่ระดับ 4K UHD พร้อมโหมดป้องกันการสั่นไหวแบบ Ultra Steady Video รวมถึงการถ่ายวิดีโอในมุมกว้างพิเศษ (Video Ultra Wide Angle) และ Video Bokeh แบบ Real-time
นอกจากนี้ OPPO Reno4 Z 5G ยังตอบโจทย์การใช้งานด้านความบันเทิงโดยเฉพาะการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี ด้วยฟังก์ชันสำหรับเกมเมอร์ตัวจริงอย่าง Game Assistant ที่ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม และ Game Space ที่ผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือนต่างๆ รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้ขณะเล่นเกม พร้อมกับฟีเจอร์ Graphics Acceleration ในการรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลอีกด้วย เรียกได้ว่าสามารถเล่นเกมตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงเกมที่มีกราฟิกสวยๆ ได้แบบไม่มีสะดุด
และจากการทดสอบทั้งหมดพอจะสรุปได้ว่า OPPO Reno4 Z 5G เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการสมาร์ทโฟน 5G ในราคาเอื้อมถึง พร้อมกับฟีเจอร์ที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานทั่วไป หรือเพื่อความบันเทิง และมีดีไซน์สวยพรีเมียมสะดุดตา นอกจากนี้ยังมีหน้าจอที่ลื่นกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นทั่วไปในท้องตลาด และรองรับการใช้งานอย่างยาวนานด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ รวมไปถึงตอบโจทย์ด้านการถ่ายภาพด้วยกล้องทั้งหมด 6 ตัวในเครื่องเดียว
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง OPPO ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง OPPO Reno4 Z 5G มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน และขอขอบคุณร้าน Second Crack Cafe สำหรับสถานที่สวยๆ ส่วนวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ
จุดเด่นของ OPPO Reno4 Z 5G
- ด้านหลังตัวเครื่องดีไซน์ลงโค้ง 2.5D พร้อมกล้องหลังดีไซน์ใหม่ กับผิวสัมผัสแบบด้าน ป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือ
และมีการไล่เฉดสี สะท้อนเล่นกับแสงในมุมต่างๆ
- ตัวเครื่องขนาด 163.8x75.5x8.1 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 184 กรัม
- หน้าจอแสดงผล LTPS LCD 120Hz Silky Display ขนาด 6.57 นิ้ว
ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 401 ppi)
ในอัตราส่วนในการแสดงผลแบบ 20:9 โดยมีสัดส่วนจอแสดงผลกับตัวเครื่องที่ 90.4%, มีค่า Refresh Rate ระดับสูงสุดที่ 120Hz และครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass
3+
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core MediaTek MT6873V Dimensity 800 5G ความเร็ว 2.0 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Mali-G57 MC4
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.1 ขนาด 128GB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 พร้อมครอบทับด้วย ColorOS 7.1
กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว (Quad Camera)
ประกอบด้วย
- กล้องตัวหลักแบบ Wide ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์
OV48B ขนาด 1/2.0 นิ้ว กับเทคโนโลยี 4-in-1 Pixel Binning, รูรับแสงขนาด f1.7, ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร, ขนาดเม็ดพิกเซล 0.8 ไมครอน และระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ PDAF
- กล้องตัวที่สองแบบ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 119 องศา, เซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว และขนาดเม็ดพิกเซล 1.12 ไมครอน
- กล้องตัวที่สามแบบ B&W Portrait Monochrome ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
- กล้องตัวที่สี่แบบ Vintage Portrait Monochrome ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
ซึ่งรองรับโหมดถ่ายภาพความละเอียดสูง Ultra HD 48MP, โหมดถ่ายภาพกลางคืนแบบ
Ultra Dark Mode, โหมด Dazzle Color สำหรับเพิ่มสีสันให้ภาพถ่าย,
โหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait), โหมดหน้าสวย (Beauty), ฟังก์ชัน AI Scene
Recognition ในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสม
และรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD
พร้อมโหมดป้องกันการสั่นไหวแบบ Ultra Steady Video
รวมถึงการถ่ายวิดีโอในมุมกว้างพิเศษ (Video Ultra Wide Angle) และ Video
Bokeh แบบ real-time
กล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบคู่ฝังบนจอ (Dual-Lens Front Camera)
ประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.0, ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร, เทคโนโลยี AI Beautification
ที่สามารถปรับโครงหน้าได้อย่างอิสระ และ Selfie Night Mode
- กล้องตัวที่สองแบบ Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
- แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh พร้อมเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ
18W Fast Charging (9V/2A)
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านข้างของตัวเครื่อง (Side-Mounted
Fingerprint)
- ฟีเจอร์ปลดล็อกด้วยใบหน้า (Facial Unlock)
- ฟังก์ชัน App Lick และ Private Safe เพื่อความเป็นส่วนตัว รวมถึง Kid Space
การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก
- ฟังก์ชัน Full Screen Multitasking สำหรับเปิดแอปพลิเคชันอื่นๆ
ขณะใช้งานในโหมดการแสดงผลเต็มหน้าจอ เช่น การเล่นเกม หรือการชมวิดีโอต่างๆ
- เทคโนโลยี OSIE Vision Effect พร้อมระบบเสียง Dirac 2.0 และรองรับไฟล์เสียงความละเอียดสูง (Hi-Res)
- การใช้งาน Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังแอปพลิเคชันต่างๆ ให้เป็นสีดำ
- โหมด Focus สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก
- Multi-user สามารถสลับการใช้งานจากผู้ใช้หลายคนได้
โดยข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน และการรักษาความปลอดภัยต่างๆ
จะถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
- ฟังก์ชัน Game Assistant ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง
พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม
- ฟังก์ชัน Game Space ที่สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ
รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอขณะเล่นเกมได้
- ฟังก์ชัน App Cloner สำหรับใช้งานแอปพลิเคชัน Facebook ได้พร้อมกัน 2
แอคเคานท์
- ฟังก์ชัน Split Screen สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ
- ฟีเจอร์ Multi-Screen Interaction
สำหรับแชร์หน้าจอจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลที่หน้าจอทีวี หรือจอมอนิเตอร์อื่นๆ
โดยไม่ต้องใช้สาย
- แอปพลิเคชัน Soloop สำหรับช่วยตัดต่อวิดีโอแบบอัตโนมัติ
- รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 5G NR แบบ Dual-Mode (SA/NSA),
4G LTE, 3G, EDGE และ GPRS
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.1 และ NFC
- รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual nanoSIM)
- รองรับการสแตนด์บายแบบ Dual 4G LTE และ 5G+4G
- รองรับการระบุตำแหน่งด้วยระบบดาวเทียม GPS, A-GPS, Glonass, BeiDou, Galileo และ QZSS
- พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C (USB 2.0) พร้อมรองรับการใช้งาน OTG
- พอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
- ราคา 12,990 บาท ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO
Reno4 Z 5G
- ลำโพงเสียงเป็นแบบเดี่ยว
- ไม่รองรับการใส่การ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD Card หรือแบบอื่นๆ
- ตัวเครื่องมีการสะสมความร้อนเมื่อใช้งานติดต่อกันเป็นเวลานาน
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
วันที่ : 12/10/2020