รีวิว (Review) OPPO Reno4 Pro 5G
ตัวแรงรุ่นใหม่ ใส่พลังชาร์จ 65W SuperVOOC 2.0 จัดเต็ม RAM 12GB ได้จอโค้ง 90Hz และกล้องโปร 4 ตัว ด้วยจอ 90Hz 3D Curved Screen ใหญ่ 6.5 นิ้ว, กล้อง Triple LDAF Camera 48MP ผสานกล้องหน้า 32MP, ชิปเซ็ต Snapdragon 765G, RAM 12GB+ROM 256GB, แบตเตอรี่ 4000 mAh ชาร์จเร็วเกินใคร และลำโพงคู่ บนบอดี้พรีเมียมบางเบา ในราคา 24,990 บาท
22 ตุลาคม 2020 - กำลังมีกระแสตอบรับที่ดีเลยทีเดียว สำหรับสมาร์ทโฟนระดับกลางใหม่ล่าสุดของ OPPO ปีนี้ในตระกูล Reno4 Series และหลังจากที่ทีมงานได้ทำการรีวิว OPPO Reno4 Z 5G ไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ได้รับความสนใจจากผู้ชมจำนวนมาก ล่าสุดก็ถึงคิวของรุ่นท็อปสุดของตระกูลนี้อย่าง OPPO Reno4 Pro 5G แล้ว ซึ่งถือเป็นสมาร์ทโฟน 5G ที่มีตัวเครื่องบางเบาเป็นพิเศษ ด้วยความหนาเพียง 7.6 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักเพียง 172 กรัม
OPPO Reno4 Pro 5G มีดีไซน์อันโดดเด่นด้วยจอขอบโค้งทั้งสองด้านแบบ 90Hz 3D Curved Screen ขนาด 6.5 นิ้ว (AMOLED) คมชัดระดับ Ful HD+ ที่มีค่า Refresh Rate ระดับสูงสุด 90Hz พร้อมกับค่า Touch Sampling Rate ระดับ 180Hz ที่ช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนองต่อการสัมผัสหน้าจอให้ดียิ่งขึ้น พร้อมเจาะรูกล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซลแบบ In-Display Selfie บนตัวเครื่องรูปลักษณ์พรีเมียมเงางาม สะท้อนเล่นกับแสงในมุมต่างๆ โดยติดตั้งกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัวแบบ Triple LDAF Camera ด้วยหลักแบบ Ultra-Clear ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมกล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และกล้อง Telephoto ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมโหมดการถ่ายภาพมากมาย และมีฟีเจอร์สำหรับการถ่ายวิดีโอแบบจัดเต็มไม่แพ้รุ่นเรือธง
นอกจากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย 5G แบบ Dual-Mode ด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 765G พร้อมเสาอากาศ 2.0 รอบทิศทาง ที่สามารถปรับจูน และเชื่อมต่อเครือข่ายให้เหมาะสมได้ในแต่ละสภาพแวดล้อม แม้ในที่อับสัญญาณ จับคู่กับหน่วยความจำ RAM ขนาด 12GB กับหน่วยความจำ ROM จุใจ 256GB รวมถึงรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ 65W SuperVOOC Flash Charge 2.0 ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh จากระดับ 0-100% ได้ภายในเวลาเพียง 36 นาที บนระบบปฏิบัติการ ColorOS 7.2 เวอร์ชันใหม่ ที่พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของ Android 10 นอกจากนี้ยังมีลำโพงคู่แบบ Dual Stereo Speaker และระบบเสียง Dolby Atmos ที่ช่วยเพิ่มอรรถรสในการใช้งานให้เต็มที่มากยิ่งขึ้น
จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า OPPO Reno4 Pro 5G มีจุดเด่นที่น่าสนใจในหลายด้านเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ตัวเครื่องสุดพรีเมียม การเชื่อมต่อเครือข่าย 5G หรือฟีเจอร์ดีๆ ที่จัดมาให้แบบครบเครื่อง และกล้องถ่ายภาพที่มีฟังก์ชันจัดเต็มไม่แพ้รุ่นเรือธง กับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่ 24,990 บาท ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านรับชมการรีวิว OPPO Reno4 Pro 5G ไปพร้อมกันได้เลยค่ะ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
OPPO Reno4 Pro 5G มาในแพ็กเกจสีเขียวน้ำทะเล พร้อมระบุชื่อรุ่น และความจุ รวมถึงประทับตรา 5G ไว้อย่างชัดเจน โดยกล่องด้านในมีสีขาวสะอาดตา
ภายในกล่องมีอุปกรณ์พื้นฐานมาให้อย่างครบครัน ได้แก่ เคส, อะแดปเตอร์ SuperVOOC (10V/6.5A), หูฟังพอร์ต USB Type-C, สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, คู่มือการใช้งาน และเข็มสำหรับถอดถาดซิมการ์ด
ภาพตัวอย่างการใส่เคสที่แถมมาในแพ็กเกจ
OPPO Reno4 Pro 5G มาพร้อมกับหน้าจอ 90Hz 3D Curved Screen (AMOLED) แบบลงโค้งทั้งสองด้าน ขนาด 6.5 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 (พื้นที่การแสดงผล 93.4%) ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 402 ppi) ครอบทับด้วยกระจก 3D Gorilla Glass 5 บนตัวเครื่องขนาด 159.6x72.5x7.6 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 172 กรัม
OPPO Reno4 Pro 5G มีจุดเด่นที่หน้าจอมีค่า Refresh Rate ระดับสูงสุดที่ 90Hz ซึ่งช่วยให้การแสดงผลลื่นไหลมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมค่า Touch Sampling Rate ระดับ 180Hz ที่ช่วยให้ตอบสนองต่อการสัมผัสได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเล่นเกม
รองรับฟังก์ชัน Always-On Display ในการแสดงเวลา วันที่ รวมถึงแบตเตอรี่ขณะล็อกหน้าจอ
และรองรับฟังก์ชัน Edge Lighting การแจ้งเตือนด้วยไฟ LED วิ่งรอบขอบหน้าจอ เมื่อมีสายเข้า หรือการแจ้งเตือนต่างๆ
ที่ด้านบนมีเพียงลำโพงสำหรับสนทนา และเซ็นเซอร์ Proximity สำหรับปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน กับเซ็นเซอร์ Ambient Light สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอ และแผงปุ่มกดให้เหมาะสม
สำหรับกล้องหน้าเซลฟี่ฝังอยู่บนหน้าจอที่มุมบน ซ้ายแบบ In-Display Selfie ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล (F/2.4) และรองรับเทคโนโลยี AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิเคราะห์โดยปัญญาประดิษฐ์
พร้อมรองรับระบบการสแกนใบหน้า (Facial Unlock) ในการปลดล็อกตัวเครื่อง
และรองรับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ฝังอยู่ใต้ หน้าจอ (Hidden Fingerprint Unlock 3.0)
ด้านหน้าส่วนล่างใช้ปุ่มควบคุมบนหน้าจอแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent App, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ
หรือเลือกใช้งานวิธีควบคุมแบบ Gestures ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ด้วย
ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีไมโครโฟนตัวที่สอง พร้อมเส้นเสาสัญญาณ 2 เส้น
ที่ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ลำโพงเสียงตัวหลักแบบ Stereo, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, ไมโครโฟนตัวหลักสำหรับสนทนา และถาดใส่ซิมการ์ด nanoSIM แบบ Dual-Slot ซึ่งรองรับการใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ด รวมถึงเส้นเสาสัญญาณ 1 เส้น โดยไม่มีช่องเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่ม Power แต้มสีเขียวให้สังเกตเห็นได้ชัดขึ้น สำหรับ เปิด-ปิดเครื่อง และล็อกหน้าจอ พร้อมเส้นเสาสัญญาณ 2 เส้น
ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มปรับระดับเสียง และเส้นเสาสัญญาณ 1 เส้น
ฝาหลังของ OPPO Reno4 Pro 5G ลงโค้งแบบ 3D พร้อมความเงางาม ไล่เฉดสีรุ้ง สะท้อนเล่นกับแสงในมุมต่างๆ โดยสีที่ทางทีมงานได้รับมารีวิวนั้นคือสีดำ (Space Black) ที่มีลวดลายตัวอักษร O และ P จากชื่อแบรนด์ OPPO แบบ OPPO Monogram ที่เพิ่มความโดดเด่นให้กับตัวเครื่องได้เป็นอย่างดี
ที่ด้านหลังตัวเครื่องของ OPPO Reno4 Pro 5G มีการติดตั้งระบบกล้อง 3 ตัว Triple LDAF Camera แบ่งออกเป็น
-
กล้องตัวหลัก Ultra-clear ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล (F/1.7) เซ็นเซอร์ Sony IMX586 ขนาด 1/2.0 นิ้ว เทคโนโลยี 4-in-1 Pixel พิกเซลขนาด 1.6 ไมครอน และรองรับระบบป้องกันการสั่นไหวแบบ OIS (Optical Image Stabilization)
-
กล้องตัวที่สองแบบ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.2) เซ็นเซอร์ Sony IMX708 ขนาด 1/2.43 นิ้ว เก็บภาพมุมกว้างสุดที่ 120 องศา
-
กล้องตัวที่สามแบบ Telephoto ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล (F/2.4)
ซึ่งรองรับโหมดถ่ายภาพความละเอียดสูง Ultra HD 48MP, โหมดถ่ายภาพกลางคืนแบบ Ultra Dark Mode, โหมด Dazzle Color สำหรับเพิ่มสีสันให้ภาพถ่าย, โหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait), โหมดหน้าสวย (Beauty), ฟังก์ชัน AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสม และรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD พร้อมโหมดป้องกันการสั่นไหวแบบ Ultra Steady Video รวมถึงโหมด Ultra Night Wide-Angle Video สำหรับถ่ายวิดีโอมุมกว้างในเวลากลางคืนโดยเฉพาะ, โหมด Cinemetic และ Video Bokeh แบบ real-time
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ
OPPO Reno4 Pro 5G ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย ColorOS 7.2 เวอร์ชันใหม่ กับดีไซน์หน้า User Interface ที่เรียบหรู และดูสบายตามากขึ้น โดยรองรับหน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 12GB พร้อมความจุภายในตัวเครื่องมาตรฐาน UFS 2.1 ขนาด 256GB โดยไม่รองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD Card
และสามารถใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 5G (Standby บนเครือข่าย 5G ได้แค่ซิมการ์ดช่องที่ 1 เท่านั้น)
เมื่อลากจากขอบด้านบนของหน้าจอลงมาจะพบกับ Toggle Switch ปุ่มลัดสำหรับการเปิด-ปิดฟังก์ชันต่างๆ มากมาย เช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ต, Bluetooth หรือการหมุนหน้าจออัตโนมัติ รวมถึง Notification Center แถบการแจ้งเตือนต่างๆ
โดยสามารถปรับตำแหน่งของคีย์ลัดต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ
เมื่อปัดไปทางด้านขวาจากหน้าโฮมสกรีน จะพบกับ Google Discover หน้าที่รวบรวมข่าวสารที่ได้รับความนิยมในโลกออนไลน์ โดยอ้างอิงจากการค้นหาของผู้ใช้
สามารถเข้าสู่เข้าสู่เมนูการปรับแต่งหน้าจอ เพื่อปรับตำแหน่งของไอคอน พร้อมเลือกใช้งาน Widget ที่ต้องการ รวมถึงเอฟเฟ็กเวลาเปลี่ยนหน้าจอ และภาพพื้นหลังได้ เพียงใช้สองนิ้วรูดเข้าหากันในแนวทแยง
และเมื่อกดปุ่ม Recent Apps จะพบกับหน้าแอปพลิเคชันทั้งหมดที่เปิดใช้งานเอาไว้ ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกปิดแอปพลิเคชันที่เปิดค้างเอาไว้ได้ เพียงแค่เลื่อนหน้าต่างแอปนั้นๆ ไปยังด้านบน หรือปิดแอปพลิเคชันทั้งหมดภายในครั้งเดียวด้วยการกดปุ่ม Close all ที่ด้านล่าง
สำหรับบริการต่างๆ จากทาง Google รวมถึงแอปพลิเคชันพื้นฐาน ก็มีการติดตั้งมาไว้ให้ได้ใช้งานอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Contact, Phone Manager, Recorder, Compass, Calcuator, Clone Phone, One-Tap Lockscreen, HeyTap Cloud, Keep Notes และ OPPO Service
สามารถปรับค่าการแสดงผลต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น ความสว่างอัตโนมัติ, อุณหภูมิสี หรือขนาดของตัวอักษร พร้อมรองรับฟังก์ชัน Eye Care สำหรับลดแสงสีฟ้าบนหน้าจอ
รวมถึงรองรับ Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำ และยังเลือกให้แอปพลิเคชันจาก Third-Party แสดงผลพื้นหลังเป็นสีดำได้อีกด้วย โดยในเบื้องต้นยังเป็นแบบ Beta อยู่
ตัวอย่างการใช้งาน Dark Mode
พร้อมฟังก์ชัน Always-On Display สำหรับแสดงเวลา วันที่ แบตเตอรี่ และการแจ้งเตือนต่างๆ ขณะล็อกหน้าจอ โดยมีรูปแบบของนาฬิกาให้เลือกใช้งานหลากหลาย
สามารถเลือกการแสดงผลของหน้าจอได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ Vivid (ค่าเริ่มต้น) และ Gentle
รวมถึงเลือกใช้งานค่า Refresh Rate สูงสุดที่ระดับ 90Hz (ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 60Hz) โดยจะช่วยให้การใช้งานต่างๆ โดยเฉพาะการเล่นเกมลื่นไหลกว่าเดิม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในคุณสมบัติมาตรฐานของสมาร์ทโฟนปี 2020
สำหรับ Refresh Rate เป็นค่าความเร็วในการเปลี่ยนภาพของหน้าจอแสดงผล กล่าวคืออัตราความเร็วในการเปลี่ยนภาพนิ่งที่เรียงต่อกันจนกลายมาเป็นภาพเคลื่อนไหว ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งค่า Refresh Rate มาก ก็จะทำให้การเปลี่ยนภาพของหน้าจอมีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้นไปด้วยนั่นเอง และโดยปกติแล้วหน้าจอสมาร์ทโฟนที่เราใช้งานกันจะมีค่า Refresh Rate อยู่ที่ประมาณ 60Hz
และมีฟังก์ชัน Edge Lighting การแจ้งเตือนด้วยไฟ LED วิ่งรอบขอบหน้าจอ เมื่อมีสายเข้า หรือการแจ้งเตือนต่างๆ
โดยสามารถเปลี่ยนสีได้ทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Neon Purple, Ocean Blue และ Amber Orange
สามารถตั้งค่าต่างๆ ในหน้า Home Screen ได้
ตั้งแต่การเลือกใช้งานหน้าจอได้ทั้งในโหมด ปกติ (Standard : ค่าเริ่มต้น), แบบ Drawer หรือแบบ Simple ที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ
และเลือกจำนวนการแสดงผลของไอคอนบนหน้าจอได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ 4x6 (ค่าเริ่มต้น) และ 5x6
สามารถปรับเปลี่ยนธีม (Theme), รูปแบบตัวอักษร (Font) และภาพพื้นหลัง (Wallpaper) ของตัวเครื่องได้อย่างอิสระ
และสำหรับท่านที่ต้องการใช้งานพื้นหลัง, รูปแบบธีม รวมถึงรูปแบบตัวอักษรที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ก็สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้จากแอปพลิเคชัน Theme Store
รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบของไอคอน
OPPO Reno4 Pro 5G มาพร้อมฟังก์ชัน Dual Wi-Fi Acceleration ในการเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi ในคลื่นความถี่ 2.4GHz และ 5GHz ได้พร้อมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการใช้งานที่จำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อย่างเช่น การรับชมภาพยนตร์สตรีมมิ่ง หรือการท่องโลกโซเชียล โดยเมื่อเปิดใช้งานสัญลักษณ์ Wi-Fi จะซ้อนกัน 2 คลื่น
รองรับบริการชำระเงินผ่านระบบ NFC
และฟังก์ชัน Android Beam สำหรับส่งข้อมูลระหว่างสมาร์ทโฟนที่รองรับ NFC โดยการนำตัวเครื่องทั้ง 2 มาแตะกัน
สามารถสลับตำแหน่งของปุ่ม Navigation Buttons ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้
หรือเลือกใช้งานการควบคุมแบบ Swipe Gestures From Both Sides ในการปัดหน้าจอจากด้านข้างลักษณะต่างๆ เพื่อสั่งการ
หรือเลือกใช้งานการควบคุมแบบ Swipe-Up Gestures ในการปัดหน้าจอขึ้นลักษณะต่างๆ เพื่อสั่งการ
รวมถึงการเปิดใช้งานฟังก์ชัน Assistive Ball ปุ่มคีย์ลัดที่สามารถเลื่อนเปลี่ยนตำแหน่งได้
ฟังก์ชัน Quick Return Bubble สำหรับสร้างปุ่มทางลัดเพื่อเข้าสู่เกมที่ตั้งค่าไว้
และรองรับฟังก์ชัน Smart Slider สำหรับเรียกใช้งานคีย์ลัด และแอปพลิเคชันต่างๆ ผ่านการสไลด์ที่บริเวณขอบสีขาวที่หน้าจอ
โดยรองรับการใช้งานทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน พร้อมเลือกแอปพลิเคชันอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติมในแถบ Smart Slider ได้
OPPO Reno4 Pro 5G ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะก็มีให้ใช้งาน ด้วยเช่นกัน ซึ่งประกอบไปด้วย การแคปเจอร์หน้าจอด้วยการลาก 3 นิ้วจากบนลงล่าง, การยกตัวเครื่องขึ้นเพื่อเป็นการปลุกการทำงาน, การรับสายอัตโนมัติ, การสลับจากลำโพงภายนอก มาเป็นลำโพงสำหรับสนทนาเมื่อนำมือถือมาแนบที่ใบหู และการคว่ำตัวเครื่องเพื่อปิดเสียงสายโทรเข้า
รวมถึง Screen-Off Gestures การวาดนิ้วในลักษณะต่างๆ ขณะหน้าจอดับอยู่ เพื่อเปิดใช้งานคีย์ลัด เช่น แตะสองครั้งเพื่อปลุกหน้าจอ, วาดตัวอักษร O เพื่อเปิดแอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ, วาดตัวอักษร V เพื่อเปิดใช้งานไฟฉาย และการวาดตัวอักษร < หรือ > เพื่อเปลี่ยนเพลง นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่ารูปแบบการวาดเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันอื่นๆ ได้
โดยที่สามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาวได้ด้วย
และเมื่อกดค้างที่แอปพลิเคชันต่างๆ จะปรากฎคีย์ลัด เพื่อการใช้งานที่รวดเร็วยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังสามารถเรียกใช้งาน Google Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะจาก Google บน OPPO Reno4 Pro 5G ได้ด้วยเช่นกัน โดยกดค้างที่ปุ่ม Power ประมาณ 2 วินาที โดยผู้ใช้สามารถสั่งงานภายในตัวเครื่อง รวมถึงค้นหาสิ่งต่างๆ ที่ต้องการผ่านคำสั่งเสียง รวมถึงบริการ Google Lens บริการค้นหาวัตถุ หรือสถานที่ด้วยการนำกล้องไปถ่ายวัตถุนั้นๆ ได้อย่างง่ายดาย
ตัวอย่างการใช้งานบนบริการ Google Lens
แอปพลิเคชัน Phone Manager เครื่องมือสำหรับจัดการประสิทธิภาพภายในตัวเครื่อง ทั้งการเคลียร์ไฟล์แคช (Cache File), จัดการความเป็นส่วนตัว หรือการสแกนไวรัส ซึ่งจะช่วยให้ตัวเครื่องมีความปลอดภัย และใช้งานได้รวดเร็วอยู่ตลอดเวลา
OPPO Reno4 Pro 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh แบบ Dual-Cell ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน พร้อมเปิดใช้งานในโหมดประหยัดพลังงานอย่าง Smart Power Saver ที่ช่วยจัดการพลังงานให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น โดยเมื่อกดใช้งานแถบแบตเตอรี่บนหน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
และรองรับโหมดประหยัดพลังงานขั้นสุดอย่าง Super Power Saving เพื่อยืดระยะเวลาในการใช้งานให้นานยิ่งขึ้น แต่แลกมากับฟังก์ชันการใช้งานระดับพื้นฐานเท่านั้น
รองรับเทคโนโลยีการชาร์จความเร็วสูงแบบ 65W SuperVOOC Flash Charge 2.0 (10V/6.5A) โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่ระดับ 0-60% ในเวลา 15 นาที และจากระดับ 0-100% ภายในเวลา 36 นาทีเท่านั้น ซึ่งช่วยประหยัดเวลาในการชาร์จได้เป็นอย่างดี
รวมถึงโหมด High Performance
เพื่อการประมวลผลในระดับสูงสุด
โดยเมื่อเปิดใช้งานตัวเครื่องจะใช้ทรัพยากรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง
และอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกตินั่นเอง
(เมื่อเปิดใช้งานจะมีสัญลักษณ์แบตเตอรี่สีเขียวที่ด้านซ้าย ถัดจากเวลา)
ฟังก์ชัน Do Not Disturb สำหรับปิดการแจ้งเตือนทั้งหมดแบบไม่มีการสั่นเตือน ยกเว้นการตั้งปลุกที่ผู้ใช้ตั้งค่าเอาไว้ โดยจะมีสัญลักษณ์รูปพระจันทร์ที่ด้านบนเมื่อเปิดการใช้งาน
สามารถตรวจสอบเวลาที่ใช้ไปในแต่ละแอปพลิเคชัน รวมถึงกำหนดระยะเวลาในการใช้งานในแต่ละแอปพลิเคชันได้
และรองรับฟังก์ชันใหม่ล่าสุดอย่าง Focus Mode สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก โดยระบบจะปิดแอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้แบบชั่วคราว พร้อมเปิดเพลงสบายๆ โดยผู้ใช้สามารถเลือก Theme ของเพลงได้ และเปิดโหมดห้ามรบกวน (Do Not Disturb) เพื่อปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ตอบโจทย์เวลาที่ผู้ใช้ต้องการสมาธิ หรือเข้านอนนั่นเอง
ฟีเจอร์ App Cloner สำหรับโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน ซึ่งในเบื้องต้นนั้นสามารถโคลนนิ่งได้เฉพาะแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook และ Line จึงทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์
รวมถึงรองรับการใช้งานแบบ Multi-user ที่สามารถสลับการใช้งานจากผู้ใช้หลายคนได้ โดยข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน และการรักษาความปลอดภัยต่างๆ จะถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเหมาะสำหรับท่านที่ต้องการแยกการทำงาน และการใช้งานทั่วไปให้ชัดเจน
นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชัน Split Screen ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อมๆ กัน ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ทั้งหมด 4 วิธี
ตัวอย่างการใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ
สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยบน OPPO Reno4 Pro 5G มีทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ติดตั้งอยู่ใต้หน้าจอ (Hidden Fingerprint Unlock 3.0) โดยสามารถตั้งค่าการใช้งานเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือสำหรับปลุกการทำงานของเครื่อง หรือปลดล็อกหน้าจอได้ พร้อมทั้งสามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 ลายนิ้วมือ ซึ่งจากการทดสอบตัวเซ็นเซอร์ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอได้รวดเร็วทันใจ
และการปลดล็อกด้วยใบหน้า (Facial Unlock) ที่สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว
ท่านที่ใช้งาน OPPO Reno4 Pro 5G เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่แล้วอยากย้ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเดิม ก็สามารถโอนย้ายข้อมูลด้วยแอปพลิเคชัน Clone Phone ได้ทันที
OPPO Reno4 Pro 5G รองรับการเล่นเพลง และไฟล์เสียงต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Music และสามารถเปิดใช้งานระบบเสียง Dolby Atmos ได้ โดยผู้ใช้สามารถสามารถปรับรูปแบบอีควอไลเซอร์ได้หลากหลาย (ซึ่งจะต้องใช้งานร่วมกับหูฟังเท่านั้น)
นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งแอปพลิเคชัน SOLOOP มาให้แบบแกะกล่อง กับความสามารถในการตัดต่อวิดีโอ
โดยสามารถเลือกใส่สติ้กเกอร์, เอฟเฟกต์ต่างๆ, เลือกตัดเฉพาะส่วนที่ต้องการ, ใส่ฟีลเตอร์, เพิ่มคำบรรยาย, เพิ่มเพลง Background, Animation, เลือกความเร็วในการเล่น และการเล่นแบบย้อนกลับ
และ OPPO Reno4 Pro 5G มาพร้อมกับแอปพลิเคชันใหม่อย่าง OPPO Relax ตัวช่วยในการผ่อนคลายอารมณ์ต่างๆ ด้วยการทำสมธิจากการหายใจ พร้อมเพลง และดนตรีที่ช่วยเพิ่มสมาธิ หรือช่วยให้นอนหลับสบาย
ที่สำคัญ OPPO Reno4 Pro 5G ยังรองรับฟังก์ชันเพื่อความเป็นส่วนตัวอย่าง App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่างๆ ภายในตัวเครื่อง, Kid Space การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก รวมถึง Private Safe ที่เปรียบเสมือนตู้นิรภัยประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เสียง, ไฟล์เอกสาร และไฟล์ประเภทอื่นๆ เข้าไปเก็บไว้ได้ ซึ่งจำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งาน นอกจากนี้ก็มีระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อต้องกรอกรหัสผ่าน และการป้องกันการบันทึกหน้าจอที่เปิดเผยข้อมูลสำคัญ
สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง OPPO Reno4 Pro 5G นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor และ Magnetic Sensor
สามารถจับสัญญาณดาวเทียม GPS ในที่กลางแจ้งได้ พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย โดยจากภาพตัวอย่างการทดสอบข้างต้นจะเห็นว่าสามารถจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 50 ดวง และมีความแม่นยำในระดับบวกลบ 3 เมตร แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพของสัญญาณดาวเทียม GPS ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ที่กำลังใช้งานอยู่ หรือสภาพอากาศด้วยนั่นเอง
OPPO Reno4 Pro 5G มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 765G แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.4 GHz โดยมีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 620, หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 12GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 2.1 ขนาด 256GB และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 ซึ่งถูกครอบทับด้วย User Interface แบบ ColorOS 7.2
OPPO Reno4 Pro 5G มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 333,420 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 5 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 607 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 1,805 คะแนน
สำหรับการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ OpenGL ES 3.1 ได้คะแนนการทดสอบที่ 3,265 คะแนน ส่วนการทดสอบแบบ Vulkan ได้คะแนนการทดสอบที่ 3,060 คะแนน
OPPO Reno4 Pro 5G รองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด
OPPO Reno4 Pro 5G ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์สำหรับเกมเมอร์ตัวจริงอย่าง Game Assistant ที่ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม และ Game Space ที่ผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ ขณะเล่นเกม รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้
ใน Game Space นั้นก็มี Graphics Acceleration สำหรับรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลที่สุด รวมไปถึง Network Protection สำหรับจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตของแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เพื่อช่วยลดอาการแลคขณะเล่นเกมออนไลน์ที่จำเป็นต้องมีการรับ-ส่งข้อมูลอยู่ตลอดเวลา
จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสาม มิติอย่าง PUBG Mobile, Marvel Future Fight และ V4 พร้อมกับเปิดการแสดงผลกราฟิกในระดับสูงสุด ก็พบว่า OPPO Reno4 Pro 5G ก็พบว่าสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างไหลลื่น และไม่พลาดช่วงเหตุการณ์สำคัญ ด้วยค่า Refresh Rate ระดับสูงสุดที่ 90Hz โดยไม่มีอาการหน่วง หรือกระตุก
อีกทั้งยังมีแบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 65W SuperVOOC Flash Charge 2.0 (10V/6.5A) และระบบ CABC (Content Adaptive Backlist Control) ที่ช่วยจัดการพลังงานให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น จึงทำให้เล่นเกมได้ยาวนานต่อเนื่อง รวมถึงมีระบบความปลอดภัยถึง 5 ชั้น จึงมั่นใจได้ว่าสามารถชาร์จไป ใช้งานไปได้อย่างปลอดภัย และไม่ทำให้ตัวเครื่องร้อนมากเกิน
OPPO Reno4 Pro 5G มาพร้อมกับหน้าจอ 90Hz 3D Curved Screen (AMOLED) ขนาด 6.5 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 (พื้นที่การแสดงผล 93.4%) ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 402 ppi) จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ
การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
OPPO Reno4 Pro 5G มาพร้อมระบบกล้องหลัง 3 ตัวแบบ Triple LDAF Camera แบ่งออกเป็น
-
กล้องตัวหลัก Ultra-clear ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล (F/1.7) เซ็นเซอร์ Sony IMX586 ขนาด 1/2.0 นิ้ว เทคโนโลยี 4-in-1 Pixel พิกเซลขนาด 1.6 ไมครอน และรองรับระบบป้องกันการสั่นไหวแบบ OIS (Optical Image Stabilization)
-
กล้องตัวที่สองแบบ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.2) เซ็นเซอร์ Sony IMX708 ขนาด 1/2.43 นิ้ว เก็บภาพมุมกว้างสุดที่ 120 องศา
-
กล้องตัวที่สามแบบ Telephoto ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล (F/2.4)
โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์เรียบหรู สบายตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจน โดยสามารถเลือกถ่ายภาพในมุมปกติ (1x), แบบมุมกว้าง Ultra-Wide (0.6x), ซูมที่ 2 เท่า (2x) และซูมที่ 5 เท่า (5x) โดยสามารถซูมสูงสุดที่ 10 เท่า (10x Digital Zoom)
พร้อมฟังก์ชันเปิด-ปิด ไฟแฟลช, โหมด HDR, ฟังก์ชัน AI Dazzle Color สำหรับเพิ่มสีสัน และการเพิ่มฟีลเตอร์
และเปิดแถบเมนูเพิ่มเติมได้ ประกอบด้วย สัดส่วนภาพถ่าย, การตั้งเวลาถ่ายภาพ, โหมด 48MP สำหรับถ่ายภาพความละเอียดสูง และการตั้งค่าอื่นๆ เพิ่มเติม
พร้อมกับฟังก์ชัน AI Scene Recognition สำหรับในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสม ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)
OPPO Reno4 Pro 5G มาพร้อมกับโหมด AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100%
โหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ 0-100%
ที่สามารถใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ ได้ และทำงานร่วมกับเทคโนโลยี AI Beauty ในการปรับผิวเนียน โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100%
OPPO Reno4 Pro 5G มีโหมดถ่ายภาพกลางคืนแบบ Ultra Dark Mode ทั้งในมุมปกติ และแบบมุมกว้าง (Ultra Wide-Angle) ด้วยเทคโนโลยี Multi-Frame Noise Reduction กับเทคโนโลยี HDR พร้อม Noise Reduction ที่ช่วยลดการเกิด noise บนภาพ รวมถึง Anti-Shake Effects กับ High-Light Suppression ที่ช่วยเพิ่มไดนามิกให้กับภาพ
รองรับโหมดถ่ายภาพความละเอียดสูงอย่าง Ultra HD (9024x12032 พิกเซล)
รองรับการถ่ายภาพมุมกว้างในโหมด PANO
และโหมด Expert การตั้งค่าต่างๆ ที่ครบครัน และครอบคลุมสำหรับช่างภาพแทบทั้งหมด
รวมถึงเพิ่มสติกเกอร์แบบต่างๆ พร้อมใช้งานร่วมกับ AI Beauty ปรับค่าผิวเนียนได้ 0-100%
การถ่ายวิดีโอบน OPPO Reno4 Pro 5G สามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดในโหมดปกติได้ที่ระดับ 4K UHD (30 fps) สามารถเลือกถ่ายภาพในมุมปกติ (1x), แบบมุมกว้าง Ultra-Wide (0.6x), ซูมที่ 2 เท่า (2x) และซูมที่ 5 เท่า (5x) โดยสามารถซูมสูงสุดที่ 10 เท่า (10x Digital Zoom) และรองรับการโหมดป้องกันการสั่นไหวแบบ Ultra Steady Video 3.0 เวอร์ชันใหม่
พร้อมโหมดใหม่อย่าง Ultra Night Wide-Angle Video สำหรับถ่ายวิดีโอมุมกว้างในเวลากลางคืนโดยเฉพาะ
และโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Video Bokeh) ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ตั้งแต่ 0-100% และใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ ได้
รวมถึงโหมด AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100%
และโหมด Movie สำหรับการบันทึกวิดีโอแบบ Cinematic ที่สามารถตั้งค่าการถ่ายได้หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อัตราส่วนที่ 21:9, การเปิดรับแสง (EV), White Balance, ความเร็วชัตเตอร์, ISO และการซูม
รองรับฟังก์ชัน TIME-LAPSE และฟังก์ชัน SLO-MO
ทางด้านกล้องดิจิทัลด้านหน้าของ OPPO Reno4 Pro 5G ฝังบนหน้าจอแบบ In-Display Selfie ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสง F/2.4
โดยมีหน้าตา Interface ที่สามารถใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งแสดงไอคอนเอาไว้ให้ใช้งานได้ทันที ได้แก่ เปิดปิดไฟแฟลช, ฟังก์ชัน HDR, การเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่างๆ
และเปิดแถบเมนูเพิ่มเติมได้ ซึ่งประกอบด้วย ประกอบด้วย สัดส่วนภาพถ่าย, การตั้งเวลาถ่ายภาพ และการตั้งค่าอื่นๆ
กล้องหน้าของ OPPO Reno4 Pro 5G รองรับเทคโนโลยี AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิเคราะห์โดยปัญญาประดิษฐ์ โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งแต่ละส่วนบนใบหน้าได้อย่างอิสระ ซึ่งสามารถเลือกระดับได้ตั้งแต่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 30%)
สำหรับโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ 0-100%
พร้อมเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่างๆ
และรองรับการทำงานร่วมกับเทคโนโลยี AI Beauty ที่สามารถปรับแต่งโครงสร้างบนใบหน้าได้อย่างอิสระ
รวมถึงการถ่ายเซลฟี่แบบมุมกว้างในโหมด PANO
และยังรองรับการถ่ายภาพเซลฟี่ในเวลากลางคืนด้วย โหมด Night ที่ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี AI Beauty อีกด้วย
สามารถเพิ่มสีสันให้กับการเซลฟี่ด้วยสติ้กเกอร์ แบบต่างๆ พร้อมใช้งานร่วมกับเทคโนโลยี AI Beauty ที่สามารถปรับโครงสร้างใบหน้าในแต่ละส่วนได้อย่างอิสระ
การถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าของ OPPO Reno4 Pro 5G รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD 1080p พร้อมโหมดป้องกันการสั่นไหวแบบ Ultra Steady Video เหมือนกล้องหลัง
รองรับโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Video Bokeh) ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ตั้งแต่ 0-100%
และเทคโนโลยี AI Beauty ในการปรับค่าผิวให้ดูเนียนสวยขึ้น ตั้งแต่ระดับ 0-100%
พร้อมใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ
รวมถึงรองรับฟังก์ชัน TIME-LAPSE
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 3 ตัว
(Triple LDAF Camera) ความละเอียด 48+12+13 ล้านพิกเซล ของ OPPO
Reno4 Pro 5G
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Dazzle Color
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Dazzle Color
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Dazzle Color
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายในมุมกว้างแบบ Ultra-Wide
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายในมุมกว้างแบบ Ultra-Wide
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายในมุมกว้างแบบ Ultra-Wide
ภาพถ่ายระยะใกล้แบบ Macro
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait
ภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Ultra Dark Mode
ภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Ultra Dark Mode ในมุมกว้างแบบ Ultra-Wide
ภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Ultra Dark Mode
ภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Ultra Dark Mode ในมุมกว้างแบบ Ultra-Wide
ภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Ultra Dark Mode
ภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Ultra Dark Mode ในมุมกว้างแบบ Ultra-Wide
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าฝังบนจอ (In-Display Selfie) ความละเอียด 32
ล้านพิกเซลของ OPPO Reno4 Pro 5G
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายในโหมด AI Beauty
ภาพถ่ายในโหมด Portrait
สรุปผลการทดสอบของ OPPO Reno4 Pro 5G
จากการทดสอบทั้งหมดในข้างต้นพอจะสรุปได้ว่า OPPO Reno4 Pro 5G เป็นอีกหนึ่งมือถือ 5G ระดับกลางที่น่าสนใจ บนการดีไซน์ระดับพรีเมียม ด้วยตัวเครื่องบางเฉียบเพียง 7.6 มิลลิเมตร และเบาเพียง 172 กรัม จึงถือเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟน 5G ที่บางเบาเป็นพิเศษ และมีหน้าจอขอบโค้งทั้งสองด้านแบบ 90Hz 3D Curved Screen (AMOLED) โดยมีค่า Refresh Rate ระดับสูงสุด 90Hz พร้อมกับค่า Touch Sampling Rate ระดับ 180Hz ที่ช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนองต่อการสัมผัสหน้าจอให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่วไป, ท่องโซเชียล, เล่นเกม หรือชมภาพยนตร์/ซีรีส์เรื่องโปรด ผสานขนาดหน้าจอใหญ่ 6.5 นิ้ว และความคมชัดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 402 ppi) จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดสูงได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ รวมถึงมีลำโพงเสียงแบบคู่ พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos ที่ช่วยเพิ่มอรรถรสในการใช้งานให้เต็มอิ่มมากยิ่งขึ้น
OPPO Reno4 Pro 5G รองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย 5G แบบ Dual-Mode ด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 765G พร้อมเสาอากาศ 2.0 รอบทิศทาง ที่สามารถปรับจูน และเชื่อมต่อเครือข่ายให้เหมาะสมได้ในแต่ละสภาพแวดล้อม แม้ในที่อับสัญญาณ รวมถึงฟังก์ชัน Dual Wi-Fi Acceleration ในการเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi ในคลื่นความถี่ 2.4GHz และ 5GHz ได้พร้อมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยจับคู่กับหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4X ขนาด 12GB ที่รองรับการใช้งานแบบหนักๆ ได้อย่างเต็มที่ รวมถึงหน่วยความจำ ROM แบบ UFS 2.1 ขนาดจุใจ 256GB ที่แม้ไม่สามารถเพิ่ม microSD Card ได้ แต่ก็สามารถเก็บข้อมูลต่างๆ ทั้งภาพถ่าย, วิดีโอ, แอปพลิเคชัน หรือเกมได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังใช้งานได้ยาวนานด้วยแบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh พร้อมโหมดประหยัดพลังงาน และที่สำคัญคือรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 65W SuperVOOC Flash Charge ที่สามารถชาร์จจากระดับ 0-100% ได้ภายใน 36 นาที ที่ช่วยย่นระยะเวลาในการชาร์จได้เป็นอย่างดี และหากต้องการใช้งานแบบในโหมดประสิทธิภาพสูงสุดของตัวเครื่อง OPPO Reno4 Pro 5G ก็มีโหมด High Performance ให้ใช้งานด้วย สำหรับเร่งการประมวลผลด้านต่างๆ ให้เร็ว และแรงกว่าเดิม โดยเมื่อเปิดใช้งานตัวเครื่องจะใช้ทรัพยากรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง และอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกตินั่นเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่ครอบทับด้วย ColorOS 7.2 เวอร์ชันใหม่ กับ User Interface ดีไซน์เรียบหรูสบายตา โดยผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของไอคอนแอปพลิเคชันได้ตามที่ต้องการ และมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง Dark Mode ในการปรับการแสดงผลพื้นหลังหน้าจอให้เป็นสีดำ สำหรับใช้งานในที่มือ หรือใช้งานในตอนกลางคืน และฟังก์ชัน Focus Mode สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก โดยระบบจะปิดแอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้แบบชั่วคราว พร้อมเปิดเพลงสบายๆ โดยผู้ใช้สามารถเลือก Theme ของเพลงได้ และเปิดโหมดห้ามรบกวน (Do Not Disturb) เพื่อปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ตอบโจทย์เวลาที่ผู้ใช้ต้องการสมาธิ หรือเข้านอนนั่นเอง รวมถึงแอปพลิเคชัน OPPO Relax ที่เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการผ่อนคลาย และช่วยทำสมาธิ
ด้านการถ่ายภาพ OPPO Reno4 Pro มากับชุดกล้องหลัง 3 ตัวแบบ Triple LDAF Camera ด้วยกล้องหลักแบบ Ultra-Clear ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมกล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และกล้อง Telephoto ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมโหมดการถ่ายภาพ และถ่ายวิดีโอแบบจัดเต็มไม่แพ้รุ่นใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Ultra Night Wide-angle Video การถ่ายวิดีโอเวลากลางคืนแบบมุมกว้าง, ระบบป้องกันการสั่น Ultra Steady Video 3.0 เวอร์ชันใหม่สำหรับการถ่ายวิดีโอ, การถ่ายวิดีโอโหมด Cinematic สำหรับการถ่ายในสไตล์ของภาพยนตร์ที่สามารถปรับตั้งค่าต่างๆ ได้ และมีแอพลิเคชัน SOLOOP สำหรับตัดต่อติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานทันทีอีกด้วย ส่วนกล้องหน้าฝังอยู่บนจอแบบ In-Display Selfie มีความละเอียดถึง 32 ล้านพิกเซล ที่มากับเทคโนโลยี AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติตามสไตล์ของ OPPO
และจากการทดสอบทั้งหมดพอจะสรุปได้ว่า OPPO Reno4 Pro 5G เหมาะสำหรับท่านที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟน 5G ในระดับท็อป ที่โดดเด่นทั้งการดีไซน์ และฟีเจอร์ภายในครบครันทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะทำงาน หรือเพื่อความบันเทิง และมีงบประมาณในการซื้อค่อนข้างสูง
สำหรับ OPPO Reno4 Pro 5G เปิดราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่ 24,990 บาท พร้อมรับฟรี หูฟังไร้สาย OPPO Enco M31 และ E-VIP Card มูลค่ารวม 10,699 บาท จนถึงวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้เท่านั้น กับตัวเลือก 2 สี 2 สไตล์อย่าง Galactic Blue และ Space Black หากท่านใดที่สนใจ ก็สามารถแวะเวียนเข้าไปทดลองใช้งานเบื้องต้น ได้ที่ OPPO Brand Shop และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง OPPO ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง OPPO Reno4 Pro 5G มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน และขอขอบคุณร้าน HARIO CAFE สำหรับสถานที่สวยๆ ส่วนวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ
จุดเด่นของ OPPO Reno4 Pro 5G
- มีฝาหลังลงโค้ง 3D โดยตัวเลือกสีดำ (Space Black) จะมีความเงางาม
และไล่เฉดสี สะท้อนเล่นกับแสงในมุมต่างๆ เป็นสีรุ้ง พร้อมลวดลายตัวอักษร O
และ P จากชื่อแบรนด์ OPPO แบบ OPPO Monogram
ที่เพิ่มความโดดเด่นให้กับตัวเครื่องได้เป็นอย่างดี สำหรับตัวเลือกสีฟ้า
Galactic Blue ออกแบบด้วยเทคนิคชื่อ Reno Glow เป็นครั้งแรกของค่าย
ด้วยเทคโนโลยีเคลือบสีแบบด้าน พร้อมให้ประกายเงางาม
- ตัวเครื่องมีขนาด 159.6x72.5x7.6 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักเพียง 172 กรัม จึงถือเป็นสมาร์ทโฟน 5G ที่มีความบางเบาเป็นพิเศษ
- หน้าจอแสดงผล 90Hz 3D Curved Screen (AMOLED) ขอบโค้งแบบ 3D ทั้งสองด้าน ขนาดใหญ่ 6.5
นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 402 ppi)
ในอัตราส่วนในการแสดงผลแบบ 20:9 โดยมีสัดส่วนจอแสดงผลกับตัวเครื่องที่ 93.4%
และมีค่า Refresh Rate ระดับสูงสุดที่ 90Hz พร้อมค่า Touch Sampling Rate
ระดับ 180Hz และครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ (Hidden Fingerprint Unlock 3.0)
- ฟีเจอร์ปลดล็อกด้วยใบหน้า (Facial Unlock)
- ฟังก์ชัน App Lick และ Private Safe เพื่อความเป็นส่วนตัว รวมถึง Kid Space
การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก
- ฟังก์ชัน Full Screen Multitasking สำหรับเปิดแอปพลิเคชันอื่นๆ
ขณะใช้งานในโหมดการแสดงผลเต็มหน้าจอ เช่น การเล่นเกม หรือการชมวิดีโอต่างๆ
- การใช้งาน Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังแอปพลิเคชันต่างๆ ให้เป็นสีดำ
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 765G ความเร็ว 2.4 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 620
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 12GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.1 ขนาด 256GB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 พร้อมครอบทับด้วย ColorOS 7.2
กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (Triple LDAF Camera)
ประกอบด้วย
- กล้องตัวหลักแบบ Ultra-Clear ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/1.7, เซนเซอร์รับภาพ Sony IMX586 ขนาด 1/2.0 นิ้ว, เทคโนโลยี 4-in-1 Pixel พิกเซลขนาด 1.6 ไมครอน และมีระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS (Optical Image Stabilization)
- กล้องตัวที่สองแบบ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.2, เซนเซอร์รับภาพ Sony IMX708 ขนาด 1/2.43 นิ้ว และมุมรับภาพ 120 องศา
- กล้องตัวที่สามแบบ Telephoto ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.4
ซึ่งรองรับโหมดถ่ายภาพความละเอียดสูง Ultra HD 48MP, โหมดถ่ายภาพกลางคืนแบบ
Ultra Dark Mode, โหมด Dazzle Color สำหรับเพิ่มสีสันให้ภาพถ่าย,
โหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait), โหมดหน้าสวย (Beauty), ฟังก์ชัน AI Scene
Recognition ในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสม
และรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD
พร้อมโหมดป้องกันการสั่นไหวแบบ Ultra Steady Video รวมถึงโหมด Ultra Night
Wide-Angle Video สำหรับถ่ายวิดีโอมุมกว้างในเวลากลางคืนโดยเฉพาะ, โหมด
Cinematic และ Video Bokeh แบบ real-time
กล้องดิจิทัลด้านหน้าคู่ฝังบนจอแบบ In-Display Selfie ความละเอียด
32 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.4 และเทคโนโลยี AI Beauty
ที่สามารถปรับโครงหน้าได้อย่างอิสระ
- แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh (Dual-Cell)
พร้อมเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 65W SuperVOOC Flash Charge
2.0 (10V/6.5A) ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-60% ได้ในเวลา 15 นาที
และชาร์จจากระดับ 0-100% ได้ภายในเวลา 36 นาที
- ลำโพงเสียงแบบคู่ พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos
- รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่าย 5G, 4G LTE, 3G, EDGE และ
GPRS
- รองรับเทคโนโลยี 5G แบบ Dual-Mode
ดังนั้นจึงสามารถนำไปใช้งานบนระบบเครือข่าย 5G ได้ทั้งแบบ SA (Standalone
Access : 4.1 Gbps 5G) และ NSA (Non-Standalone Access : 5.9 Gbps 5G+Wi-Fi)
- รองรับการเชื่อมต่อ MU-MIMO Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, Bluetooth 5.1 และ
NFC
- ฟังก์ชัน Dual Wi-Fi Acceleration ในการเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi
ในคลื่นความถี่ 2.4GHz และ 5GHz ได้พร้อมกัน
- รองรับการระบุตำแหน่งด้วยระบบดาวเทียม GPS, A-GPS, Glonass, BeiDou, Galileo และ QZSS
- รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual nanoSIM)
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C (USB 2.0) และรองรับการใช้งาน OTG (USB On-the-Go)
- โหมด Focus สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก
- Multi-user สามารถสลับการใช้งานจากผู้ใช้หลายคนได้
โดยข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน และการรักษาความปลอดภัยต่างๆ
จะถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
- ฟังก์ชัน Game Assistant ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง
พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม
- ฟังก์ชัน Game Space ที่สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ
รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอขณะเล่นเกมได้
- ฟังก์ชัน App Cloner สำหรับใช้งานแอปพลิเคชัน Facebook ได้พร้อมกัน 2
แอคเคานท์
- ฟังก์ชัน Split Screen สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ
- ฟีเจอร์ Multi-screen Interaction
สำหรับแชร์หน้าจอจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลที่หน้าจอทีวี หรือจอมอนิเตอร์อื่นๆ
โดยไม่ต้องใช้สาย
- แอปพลิเคชัน Soloop สำหรับช่วยตัดต่อวิดีโอแบบอัตโนมัติ
- ราคา 24,990 บาท
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO
Reno4 Pro 5G
- ไม่รองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD หรือแบบอื่นๆ
- ไม่มีเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร แต่มีหูฟังพอร์ต USB Type-C
แถมมาให้ในแพ็กเกจ
- ตัวเครื่องมีการสะสมความร้อนเมื่อใช้งานติดต่อกันเป็นเวลานาน
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
วันที่ : 22/10/2020