คุ้มหรือไม่ ? หากต้องจ่ายเงินเพิ่มเกือบ 30,000 บาท เพื่อมือถือจอพับได้
เรียกเสียงฮือฮาได้พอสมควรหลังจากที่ Xiaomi ตัดสินใจเปิดตัวสมาร์ทโฟนจอพับได้รุ่นรกของค่ายภายใต้ชื่อ Xiaomi Mi Mix Fold ที่มาพร้อมกับจุดเด่นด้านหน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาดใหญ่ถึง 8.01 นิ้ว ที่มีความคมชัดระดับ 2K+ พร้อมจอนอกขนาดพอ ๆ กับมือถือด้วยขนาด 6.52 นิ้ว ที่มีค่า Refresh Rate สูงถึง 90Hz และยังมีสเปกจัดเต็มทั้งชิป Snapdragon 888, ลำโพงเสียงที่ได้รับการปรับจูนจาก Harman / Kardon ไปจนถึงระบบชาร์จไว 67W โดยทาง Xiaomi เลือกเปิดราคาวางจำหน่ายถูกกว่าคู่แข่งทั้ง Samsung และ Huawei ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 47,800 บาทเท่านั้น
แม้จะฟังดูเป็นราคาที่ค่อนข้างน่าสนใจ แต่ก็มีข้อสงสัยจากหลาย ๆ ท่านว่า คุ้มค่าหรือไม่กับการเพิ่มเงินจำนวนหนึ่งจากมือถือเรือธงสเปกดี เพื่อซื้อมือถือจอพับได้ ? เราลองไปหาคำตอบกันดีกว่าครับ
ต้องจ่ายเงินเพิ่มเท่าไหร่ ถึงจะได้ใช้จอพับ ?
หากเรานำ Mi Mix Fold ไปเปรียบเทียบกับสมาร์ทโฟนเรือธงของแบรนด์ Xiaomi อย่าง Mi 11 รุ่นเริ่มต้น จะเห็นได้ว่า ทั้งสองรุ่นมีสเปกหลายส่วนที่ใกล้เคียงกันหากไม่นับจอแสดงผลแบบพับได้ ไม่ว่าจะเป็น ชิปเซ็ต Snapdragon 888 ตัวท็อป, การใช้หน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR5 และ ROM แบบ UFS 3.1 มาตรฐานใหม่ที่ช่วยให้อ่านเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว, กล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียดสูงสุด 108 ล้านพิกเซล พร้อมกล้องรองแบบ Ultra Wide และ Telemacro ไปจนถึงรองรับการใช้งาน 5G ซึ่งเท่ากับว่า หากผู้ใช้ต้องการนวัตกรรมหน้าจอแบบพับได้ อาจจำเป็นต้องเพิ่มเงินจากมือถือเรือธงรุ่นปกติที่ราว ๆ 26,000 บาทเลยทีเดียว
แต่ในจำนวนเงิน 26,000 บาท ที่เราจ่ายเพิ่มจากรุ่นปกติ ไม่ได้มีแค่นวัตกรรมสุดล้ำอย่างจอพับได้อย่างเดียว เพราะสิ่งที่เราจะได้เพิ่มเติมก็คือ หน่วยความจำ RAM ที่เยอะขึ้น, หน่วยความจำภายในที่เยอะขึ้น, ลำโพงเสียงที่เยอะขึ้น, แบตเตอรี่ที่เยอะขึ้น และระบบชาร์จแบบเสียบสายที่เร็วขึ้นถึง 67W สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-100% ได้ในเวลาเพียง 40 นาที ไปจนถึงกล้อง Telemacro ที่มีเลนส์เหลวแบบ Liquid Lens ที่สามารถปรับรูปร่างตามระยะโฟกัสได้เร็วกว่าเลนส์ปกติ และมีพลังซูม 30 เท่า
อย่างไรก็ตาม หากว่ากันตามจริงแล้ว ถ้าผู้ใช้ต้องการ Xiaomi ที่มีสเปกใกล้เคียงกับ Mi Mix Fold มากขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่น Mi 11 โดยไม่สนใจนวัตกรรมจอพับ การเพิ่มเงินจาก Mi 11 รุ่นขายไทยแค่ราว ๆ 4,000 บาท ก็จะได้ Mi 11 Pro รุ่นท็อปสุด ที่ได้รับการอัปเกรดสเปกในด้าน RAM แบบ LPDDR5 ขนาด 12GB, หน่วยความจำภายในแบบ UFS 3.1 ขนาด 256GB ไปจนถึงแบตเตอรี่ขนาด 5000mAh ที่รองรับชาร์จไว 67W ทั้งแบบเสียบสาย และไร้สาย
คุ้มค่าหรือไม่กับการจ่ายเงินหลักหมื่นเพื่อนวัตกรรมจอพับ ?
แม้ว่ามือถือจอพับอาจมีสเปกที่ดูไม่แตกต่างจากมือถือเรือธงรุ่นปกติมากเท่าไหร่นัก และผู้ใช้บางท่านอาจนำเงินส่วนต่างตรงนี้ไปใช้ในส่วนอื่นแทน แต่ก็ต้องไม่ลืมว่ามือถือจอพับในตอนนี้ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ และมีตัวเลือกในท้องตลาดค่อนข้างน้อย จึงทำให้ราคาวางจำหน่ายอาจดูสูงกว่ามือถือเรือธงอยู่พอสมควร ซึ่งเป็นปกติของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มักจะมีราคาในช่วงแรกค่อนข้างสูงอยู่แล้ว คล้ายกับกรณีของมือถือ 5G ในยุคแรกที่มีราคาสูงกว่ามือถือ 4G และจำกัดฟีเจอร์เฉพาะแค่รุ่นเรือธงราคาแพงเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมือถือราคาครึ่งหมื่น ก็สามารถใช้งาน 5G ได้แล้ว
หากมองอีกมุมหนึ่ง มือถือจอพับก็เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน จึงทำให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่ม Innovators และ Early Adopter เลือกที่จะจ่ายเงินซื้อมือถือที่ฟีเจอร์ล้ำยุคอย่างมือถือจอพับได้ เพื่อได้สัมผัสนวัตกรรมใหม่ ๆ ก่อนใคร และมองหาข้อได้เปรียบจากเทคโนโลยีใหม่แห่งโลกอนาคต
อีกหนึ่งสิ่งที่ถือว่าเป็นจุดแข็งของมือถือจอพับในตอนนี้ คือ การรวมร่างของสองอุปกรณ์ให้อยู่ในเครื่องเดียว เพราะมือถือจอพับส่วนใหญ่จะถูกดีไซน์ให้มีสองหน้าจอแสดงผล โดยหน้าจอแสดงผลหนึ่งจะมีขนาดใกล้เคียงกับมือถือทั่ว ๆ ไปบนท้องตลาด ส่วนหน้าจอด้านในที่สามารถพับได้ จะมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับแท็ปเล็ตไซส์ Mini ซึ่งน่าจะเหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการพกอุปกรณ์หลาย ๆ ชิ้นติดตัวมากพอสมควร
สุดท้ายแล้ว ความคุ้มค่าของแต่ละคนก็คงอยู่ที่มุมมอง และไลฟ์สไตล์ ซึ่งเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว มือถือจอพับอาจเป็นตัวจุดประกายของมือถือยุคใหม่แห่งโลกอนาคต ซึ่งก็ไม่แน่ว่าหากมีผู้เล่นรายใหญ่เข้ามาแข่งขันในมือถือจอพับได้มากขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้มือถือจอพับได้รับความนิยมจากผู้ใช้ส่วนใหญ่ ก็อาจส่งผลให้มือถือจอพับมีราคาเข้าถึงง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งในตอนนี้ Xiaomi ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในคีย์แมนที่ช่วยลดระดับเพดานราคาของมือถือจอพับได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 31/3/2564
