ทำไมมือถือระดับกลางน่าซื้อกว่ารุ่นเรือธง ?
เรียกได้ว่าในช่วงปีที่ผ่านมามีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนระดับกลางหลากหลายรุ่นจากทุกแบรนด์ เพื่อแข่งขันกันในตลาดราคาช่วงหลักพัน ถึงหมื่นต้น และดูเหมือนว่าการแข่งขันนี้จะยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งผู้ใช้บางส่วนก็เริ่มให้ความสนใจกับสมาร์ทโฟนระดับกลางมากกว่าเรือธง ซึ่งในวันนี้ทางทีมงานจะมาวิเคราะห์ถึงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้สมาร์ทโฟนระดับกลางน่าซื้อกว่ารุ่นเรือธง หากพร้อมแล้วไปชมกันเลยค่ะ
ก่อนจะเข้าสู่หัวข้อปัจจัยต่างๆ ทางทีมงานจะขออธิบายถึงสมาร์ทโฟนระดับต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจดังนี้ค่ะ
เรือธง : สมาร์ทโฟนท็อปที่สุดของค่ายในปีนั้นๆ โดยจะมาพร้อมกับชิปเซ็ตรุ่นล่าสุด พร้อมกับเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าสุดของค่าย
ระดับกลาง : สมาร์ทโฟนที่มีคุณสมบัติรองมาจากเรือธง ทั้งด้านสเปก และวัสดุตัวเครื่อง ซึ่งจะมีตัวเลือกมากที่สุดในตลาด
ระดับเริ่มต้น : สมาร์ทโฟนที่มีราคาถูกช่วงพันต้นๆ พร้อมกับคุณสมบัติที่รองรับการใช้งานในระดับพื้นฐาน
สามารถอ่านข้อมูลการอ่านสเปกในเบื้องต้นได้ที่นี่ค่ะ : วิธีอ่านสเปกมือถือฉบับมือใหม่!
ทำไมสมาร์ทโฟนระดับกลางถึงน่าสนใจกว่าเรือธง?
ราคาถูกกว่า
แน่นอนว่าเมื่อเปิดตัวมาพร้อมกับคุณสมบัติที่เป็นรอง ราคาก็จะถูกลงด้วยเช่นกัน หากสังเกตแบรนด์ใหญ่จะเห็นได้ว่าช่วงราคาของรุ่นเรือธง กับรุ่นระดับกลางห่างกันเป็นหลักหมื่นบาท ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์การใช้งานในทุกด้านได้ในราคาสบายกระเป๋ามากขึ้น
ประสิทธิภาพทัดเทียมเรือธง
สมาร์ทโฟนระดับกลางในบางครั้งจะได้รับการถ่ายทอดฟีเจอร์บางอย่างมาจากเรือธง ซึ่งอาจจะเป็นเทคโนโลยีหน้าจอ หรือกล้องถ่ายภาพ ซึ่งถือเป็นจุดที่น่าสนใจ ที่เราสามารถสัมผัสการใช้งานในระดับไฮเอนด์ได้โดยไม่ต้องซื้อรุ่นเรือธง และถึงแม้ว่าฟีเจอร์บางส่วนจะถูกตัดออกไป แต่ก็ยังถือว่าสามารถใช้งานได้ไม่แพ้รุ่นใหญ่ (เช่น การใช้งานกล้องถ่ายภาพตัวเดียวกันกับรุ่นเรือธง แต่อาจไม่รองรับบางฟีเจอร์ เป็นต้น)
นอกจากนี้ชิปเซ็ตที่เป็นหัวใจสำคัญสำหรับสมาร์ทโฟนในระดับกลางก็มีการพัฒนาขึ้นจากเดิมอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าชิประดับกลางรุ่นใหม่ๆ รองรับการเล่นเกมเน้นกราฟิกแบบ 3 มิติ รองรับ 5G และรองรับเทคโนโลยีถ่ายภาพได้ทัดเทียมกับชิปเรือธงอีกด้วย
ฟีเจอร์บางอย่างดีกว่ารุ่นเรือธง
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลาง แต่บางรุ่นก็มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ดีกว่าเรือธง อย่างเช่น แบตเตอรี่ในรุ่น Samsung Galaxy A53 5G ราคา 14,499 บาท มีแบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh ขณะที่เรือธงอย่าง Samsung Galaxy S22 กับราคา 29,900 บาท มีแบตเตอรี่ความจุ 3700 mAh (อัปเดตราคา ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2565)
กล้องถ่ายเองในรุ่นระดับกลางบางครั้งก็มีความละเอียดสูงกว่า เช่นในรุ่น realme 9 ราคาไทย 7,999 บาท ที่มากับกล้องตัวหลักคมชัดสูงถึง 108MP ส่วนเรือธงอย่าง realme GT 2 Pro ราคา 24,990 บาท มากับกล้องตัวหลัก 50MP
และเทคโนโลยีชาร์จเร็วเองในรุ่นระดับกลางบางครั้งก็ได้เทคโนโลยีเท่ากับเรือธง ยกตัวอย่าง OPPO Reno8 Series 5G กับเรือธงอย่าง OPPO Find X5 Pro ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 80W SUPERVOOC หมือนกัน
นอกจากนี้สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ๆ เริ่มมีการตัดฟีเจอร์บางอย่างออกไป อย่างช่องเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร หรือมีถาดใส่ซิมแบบ Dual nanoSIM ต่างจากในรุ่นระดับกลางที่ยังคงมีช่องเชื่อมต่อหูฟัง รวมถึงรองรับถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid-Slot หรือ Triple-Slot ที่รองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD Card
ตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องได้ง่ายกว่า
เนื่องมาจากปัจจัยในข้อแรกที่สมาร์ทโฟนระดับกลางมีราคาถูกกว่าหลักหมื่นบาท การตัดสินใจในการเปลี่ยนเครื่องใหม่จึงเป็นไปได้ง่ายกว่า ซึ่งเหมาะสำหรับท่านที่ชอบใช้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ อยู่เสมอ การใช้งาน 1 - 2 ปี แล้วเปลี่ยนเครื่องก็ดูจะคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปแล้ว ผิดกับรุ่นเรือธงที่มีราคาสูง การจะเปลี่ยนเครื่องใหม่ในระยะเวลาสั้นๆ อาจต้องร่ววมกับโปรโมชั่นแลกรับส่วนลดจึงจะน่าสนใจ
ตัวเลือกหลากหลาย
ในปีหนึ่งแบรนด์ต่างๆ เปิดตัวสมาร์ทโฟนระดับกลางตลอดแทบทั้งปี และแต่ละแบรนด์จะมีการแบ่งเป็นซีรีส์ย่อย ซึ่งในแต่ละซีรีส์ก็มีด้วยกันหลายรุ่น จึงทำให้มีตัวเลือกหลากหลาย และผู้ใช้สามารถหาซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นที่ตรงใจได้ง่ายขึ้น ยกตัวอย่างแบรนด์ Samsung จะมีสมาร์ทโฟนระดับกลางทั้งหมด 2 ซีรีส์ ได้แก่ Galaxy A ที่เป็นซีรีส์รองจากเรือธง มีจุดเด่นเป็นการดีไซน์ พร้อมสเปกที่ทัดเทียมรุ่นใหญ่ และ Galaxy M ที่มีจุดเด่นเป็นแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ เน้นการใช้งานเพื่อความบันเทิงโดยเฉพาะ
หรือทาง OPPO ที่แบ่งออกเป็น 2 ซีรีส์ ได้แก่ Reno Series ที่มีจุดเด่นเป็นการดีไซน์พรีเมียม พร้อมสเปกตอบโจทย์การใช้งานทุกด้าน เน้นการถ่ายรูปด้วยฟังก์ชันที่ครบครัน และ A Series ที่มีตั้งแต่ระดับเริ่มต้น จนถึงระดับกลาง เน้นการใช้งานทั่วไป พร้อมการดีไซน์ที่มีความพรีเมียมเกินราคา
ด้าน vivo เองก็มีซีรีส์ V และ Y ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานในราคาเอื้อมถึงได้ และมีตัวเลือกหลากหลาย ตั้งแต่ช่วง 3 พันบาท จนถึงหมื่นต้น
ค่าซ่อมถูกกว่าเรือธง
ค่าซ่อมบำรุงก็ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่หลายคนให้ความสำคัญ โดยในรุ่นเรือธงนั้นค่าซ่อม หรือการเปลี่ยนอะไหล่ต่างๆ จะมีราคาแพงเนื่องจากชิ้นส่วนต่างๆ มีราคาสูงตามความล้ำหน้าของเทคโนโลยีนั่นเอง ส่วนในรุ่นระดับกลางนั้นจะมีราคาถูกกว่า ยกตัวอย่าง Samsung Galaxy Z Fold3 5G รุ่นเรือธงหน้าจอแตก จะต้องเสียค่าหน้าจอใหม่ถึง 14,760 บาท ทางด้าน Samsung Galaxy S22 Ultra ราคา 6,867 บาท (ยังไม่รวมค่าบริการอื่นๆ และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ในขณะที่รุ่น Samsung Galaxy A53 5G มีราคาอะไหล่หน้าจอใหม่อยู่ที่ 2,700 บาทเท่านั้น
แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอาการที่เสียด้วยนะคะ สมาร์ทโฟนระดับกลางบางรุ่นมีค่าอะไหล่ถูกกว่าเรือธงมากก็จริง แต่หากเทียบกับราคาตัวเครื่องแล้วก็อาจจะรู้สึกแพงได้เช่นกัน
อ้างอิง : Samsung
จากปัจจัยข้างต้นก็พอจะกล่าวได้ว่าสมาร์ทโฟนระดับกลางในปัจจุบันหลายรุ่นมีความน่าสนใจกว่าเรือธงในหลายด้าน แต่ก็ยังมีอีกหลายด้านที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม อย่างเช่น มีโอกาสสูงที่จะไม่ได้รับการอัปเดตเวอร์ชัน Android หรือที่เรียกกันว่าลอยแพ และค่อนข้างตกรุ่นได้เร็ว เนื่องจากมีการเปิดตัวมากกว่า 1 ครั้งใน 1 ปี นอกจากนี้หากไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟนจากแบรนด์ใหญ่ ก็อาจหาอะไหล่บางส่วนได้ยากเมื่อใช้งานไปสักระยะ
ทั้งนี้ทางทีมงานก็ขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาความต้องการใช้งาน และไลฟ์สไตล์ในการใช้งานของท่าน รวมถึงงบประมาณ และบริการหลังการขายของแต่ละแบรนด์ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อค่ะ เพื่อให้ได้ซึ่งสมาร์ทโฟนที่เหมาะกับการใช้งาน และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปนั่นเองค่ะ สำหรับวันนี้ทางทีมงานต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีค่ะ
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 27/05/2565
