หน้าแรกมือถือ > รวมข่าวมือถือ > หน้าบทความ ข่าวมือถือ
   
Date : 22/10/2561

เปรียบเทียบเจาะลึก Huawei Mate 20, Mate 20 Pro, Mate 20X และ Mate 20 RS แตกต่างกันอย่างไร รุ่นไหนมีจุดเด่นอะไรบ้าง มาดูกัน!

 

หลายท่านน่าจะได้ทราบถึงข่าวเปิดตัว Huawei Mate 20 Series สมาร์ทโฟนระดับเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดจากค่าย Huawei กันมาบ้างแล้ว ซึ่งในปีนี้มีให้เลือกจุใจถึง 4 รุ่น ไล่ตั้งแต่ Huawei Mate 20, Huawei Mate 20 Pro, Huawei Mate 20 X และ Porsche Design Huawei Mate 20 RS เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานแต่ละกลุ่ม

แต่เชื่อว่าหลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า Huawei Mate 20 Series รุ่นใหม่ทั้ง 4 รุ่นมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ดังนั้นทางทีมงาน Thaimobilecenter จึงขอโอกาสนำ Huawei Mate 20, Huawei Mate 20 Pro, Huawei Mate 20 X และ Porsche Design Huawei Mate 20 RS มาอธิบายถึงความแตกต่างทางด้านดีไซน์ และคุณสมบัติเบื้องต้นให้ทุกท่านเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ซึ่งหากพร้อมแล้ว ไปรับชมกันได้เลยครับ

 

สำหรับ Huawei Mate 20 มาพร้อมกับดีไซน์จอไร้ขอบแบบใหม่ในชื่อ Dewdrop Display ซึ่งเป็นการลดพื้นที่ขอบทั้ง 4 ด้านให้เหลือน้อยลงจนทำให้มีพื้นที่ในการแสดงผลสูงสุดถึง 88.07% พร้อมกับเว้นพื้นที่ขอบจอด้านบนเอาไว้เล็กน้อยคล้ายกับทรงหยดน้ำเพื่อติดตั้งกล้อง และเซ็นเซอร์ต่างๆ โดยหน้าจอของ Huawei Mate 20 มีขนาดกว้างเต็มตาที่ 6.53 นิ้ว ความละเอียดคมชัดระดับ Full HD+ (2244x1080 พิกเซล) ความหนาแน่นพิกเซล 381ppi พร้อมแพนแนลจอแบบ RGBW ซึ่งมีจุดเด่นในด้านการประหยัดพลังงาน และความสว่างของหน้าจอสูงสุดถึง 820nits นอกจากนี้ ยังรองรับการแสดงสีสันตามมาตรฐานขอบเขตของสี (Color Gamut) แบบ DCI-P3

 

ที่ด้านบนของหน้าจอ มาพร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 24 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 ซึ่งหากลองสังเกตจะเห็นว่าที่ด้านบนของขอบหน้าจอมีการซ่อนลำโพงสำหรับสนทนาเอาไว้ด้วย

 

ด้านล่างของตัวเครื่องมาพร้อมกับขอบจอที่มีความบางเฉียบจนแทบไร้ขอบ พร้อมปุ่มควบคุมแบบสัมผัสบนหน้าจอ ประกอบไปด้วย ปุ่ม Back สำหรับย้อนกลับ, ปุ่ม Home สำหรับกลับไปยังหน้าโฮมสกรีน และปุ่ม Recent Apps สำหรับเรียกดูแอปพลิเคชันทั้งหมดที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง

 

ด้านหลังตัวเครื่องของ Huawei Mate 20 มาพร้อมกับบอดี้กระจกเงางามที่สามารถเปลี่ยนสีสันได้ตามมุมแสงที่ตกกระทบ และยังมีคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP53 (สามารถป้องกันละอองน้ำ ในมุมไม่เกิน 60 องศา ไม่สามารถนำไปจุ่มในน้ำได้) ส่วนขอบด้านข้างจะมีความโค้งโอบรับเข้ากับอุ้งมือผู้ใช้งานเป็นอย่างดี โดยในสีใหม่อย่างสี Emerald Green ตามภาพข้างต้นนั้น จะมีการเคลือบผิวสัมผัสแบบ Micro 3D Texture ให้เป็นลวดลายแบบตาราง ซึ่งจะช่วยให้จับถือได้อย่างกระชับมือมากยิ่งขึ้น, ช่วยลดรอยนิ้วมือบนพื้นผิวตัวเครื่อง และยังช่วยให้กระจอด้านหลังมีความแข็งแรงยิ่งขึ้นอีกด้วยครับ

 

ที่ด้านบนมาพร้อมกับกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ที่พัฒนาร่วมกับ Leica โดยแบ่งออกเป็น กล้องตัวหลักเลนส์มุมกว้าง Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.8, กล้องตัวที่สองเลนส์มุมกว้างพิเศษ Ultra Wide Angle ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 และกล้องตัวที่สามเลนส์ Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 ที่รองรับการซูมภาพแบบไม่สูญเสียรายละเอียด 2 เท่า (Optical Zoom 2x) และยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีโฟกัสภาพแบบ Laser Focus, Phase Focus และ Contrast Focus พร้อมไฟแฟลชแบบ LED ที่บริเวณมุมขวาบน ถัดลงมาเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือสำหรับยืนยันสิทธิเพื่อเข้าใช้งานตัวเครื่อง

 

สำหรับรูปแบบการจัดวางตำแหน่งกล้องถ่ายภาพของ Huawei Mate 20 Series ทั้ง 4 รุ่น ทาง Huawei ระบุว่า ได้รับแรงบันดาลใจมาจากไฟหน้าของรถ Porsche 919 ที่จัดเรียงไฟหน้าอยู่ในรูปแบบสี่เหลี่ยมเช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อนำมาประยุกต์ใช้งานบนสมาร์ทโฟน Huawei Mate 20 Series แล้ว ก็ทำให้ตัวเครื่องดูมีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ไม่ใช่น้อย

 

ขยับมาที่รุ่นพี่อย่าง Huawei Mate 20 Pro กันบ้าง โดยดีไซน์ด้านหน้าของ Mate 20 Pro จะมีความแตกต่างกับ Mate 20 พอสมควร โดยมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลขนาดเล็กกว่าที่ 6.39 นิ้ว แต่แพนแนลจอของ Mate 20 Pro เลือกใช้จอแบบ OLED ขอบโค้งทั้ง 2 ด้าน ทำให้ขอบด้านข้างของหน้าจอมีความบางเฉียบเพียงแค่ 2.1 มม. เท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีความละเอียดของหน้าจอมากกว่าที่ระดับ 2K+ (3120x1440 พิกเซล) ส่วนทางด้านการแสดงสีสัน รองรับการแสดงสีสันตามมาตรฐานขอบเขตสีแบบ DCI-P3 เหมือนกับรุ่น Mate 20

 

ที่ด้านบนมาพร้อมกับรอยบาก (Notch) ที่มีขนาดใหญ่กว่ารุ่น Mate 20 เนื่องจากทาง Huawei ได้ทำการติดตั้งระบบกล้องแบบใหม่ในชื่อ 3D Depth Sensing ซึ่งประกอบไปด้วย กล้องหน้าความละเอียด 24 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสงกว้าง f/2.0, Dot Projector, Flood Iluminator, Proximity Sensor, Ambient Light Sensor และ IR Camera ซึ่งเซ็นเซอร์ และกล้องต่างๆ ที่กล่าวมานั้น จะถูกนำไปประยุกต์ใช้กับระบบสแกนใบหน้าผู้ใช้งานแบบ 3 มิติ (3D Face Unlock) ที่สามารถตรวจสอบใบหน้าผ่านการยิงลำแสงบนใบหน้าผู้ใช้งานกว่า 30,000 จุด ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าตัวเครื่องจะมีความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา

 

3D Depth Sensing ไม่ได้มีประโยชน์แค่ด้านการสแกนใบหน้าผู้ใช้งานแบบ 3 มิติเท่านั้น เพราะผู้ใช้สามารถนำไปสแกนวัตถุต่างๆ สำหรับปั้นโมเดลแบบ 3 มิติ เพื่อนำไปใช้งานกับเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ซึ่งภายในงานเปิดตัวทาง Huawei ได้ทดลองสแกนตุ๊กตาหมีแพนด้า และนำไปเดินเล่นแสดงท่าทางต่างๆ บนเวที ผ่านเทคโนโลยี AR ที่มีอยู่ในกล้องหลังนั่นเอง รวมทั้งเรายังสามารถนำไปสร้างอีโมจิที่เคลื่อนไหวตามใบหน้าผู้ใช้งานแบบ 3D Live Emojis เพื่อแชร์ต่อความรู้สึกให้แก่เพื่อนๆ ได้อีกด้วย

 

ที่ด้านล่างของหน้าจอมาพร้อมกับขอบบางเฉียบ พร้อมปุ่มควบคุมแบบสัมผัสบนหน้าจอเหมือนกับรุ่น Mate 20 แต่ Mate 20 Pro มีการฝังเซ็นเซอร์สำหรับสแกนลายนิ้วมือเอาไว้บริเวณด้านล่างของหน้าจอ (In-Screen Fingerprint) ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Dynamic Pressure Sensing สามารถตรวจจับแรงกดได้ทั้งหมด 10 ระดับ ทำให้ผู้ใช้สามารถวางนิ้วบนหน้าจอเพื่อปลดล็อกได้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 30% ด้วยกัน

 

ที่ด้านหลังมาพร้อมกับบอดี้กระจกขอบโค้งที่จับได้อย่างถนัดมือเหมือนกับรุ่น Mate 20 แต่คุณสมบัติในการกันน้ำ (IP Rating) สูงกว่าที่ระดับ IP68 โดยสามารถกันน้ำได้ลึก 1.5 เมตร เป็นเวลานานสุด 30 นาที นอกจากนี้ Huawei Mate 20 Pro ยังมาพร้อมกับคุณสมบัติการชาร์จแบบไร้สาย และที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือ ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Wireless Reverse Charging เป็นรุ่นแรกของโลกอีกด้วย ทำให้ผู้ใช้สามารถแปลงร่างเป็นแบตสำรอง เพื่อชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายให้กับอุปกรณ์เสริม และสมาร์ทโฟนเครื่องอื่นๆ ที่รองรับการชาร์จแบบไร้สายได้นั่นเอง

 

ที่ด้านบนมาพร้อมกับระบบกล้อง 3 ตัวที่พัฒนาร่วมกับ Leica เหมือนกับรุ่น Mate 20 แต่จะสังเกตเห็นได้ว่า Mate 20 Pro จะติดตั้งไฟ LED เอาไว้ที่บริเวณมุมซ้ายบน พร้อมข้อความ LEICA-VARIO-SUMMILUX-H 1:1.8-2.4/16-80 ASPH ซึ่งเป็นการสื่อถึงการเลือกใช้เลนส์ SUMMILUX-H ที่ได้การรับรองมาตรฐานจาก Leica, ขนาดของรูรับแสงกว้างที่ f/1.8 ถึง f/2.4 และมีทางยาวโฟกัสอยู่ที่ 16-80 มม. พร้อมชิ้นเลนส์แบบ Aspherical Lens

 

แม้จะเลือกใช้เซ็ตอัพกล้อง 3 ตัวเหมือนกับรุ่น Mate 20 แต่จริงๆ แล้วกล้องทั้ง 3 ตัวของ Mate 20 Pro ถือว่ามีความแตกต่างในเรื่องของความละเอียดพอสมควร โดยมาพร้อมกับกล้องตัวหลักเลนส์ Wide Angle ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.8, กล้องตัวที่สองเลนส์ Ultra Wide ความละเอียด f/2.2 และกล้องตัวที่สามเลนส์ Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 สำหรับซูมภาพถ่ายแบบไม่สูญเสียรายละเอียดได้ 3 เท่า (Optical Zoom 3x) และเมื่อทำงานร่วมกับกล้องตัวอื่นๆ และเทคโนโลยีต่างๆ ของ Huawei เช่น Hybrid Zoom และ Digital Zoom จะช่วยให้ Mate 20 Pro สามารถซูมภาพได้ไกลเทียบเท่าระยะโฟกัส 270 มม. เลยทีเดียว

 

ข้ามมาที่รุ่นจอใหญ่จัดเต็มที่ถูกออกแบบมาเพื่อความบันเทิง และการเล่นเกมอย่าง Huawei Mate 20 X กันบ้าง โดย Huawei Mate 20 X มาพร้อมกับดีไซน์จอหยดน้ำค้างแบบ Dewdrop Display เหมือนกับรุ่น Huawei Mate 20 แต่แพนแนลจอเลือกใช้แบบ OLED ที่มีจุดเด่นด้านการแสดงสีสันที่คมชัดสดใส รวมทั้งยังมาพร้อมกับขนาดของหน้าจอใหญ่ที่สุดในบรรดา Mate 20 Series ที่ขนาด 7.12 นิ้ว บนความละเอียดคมชัดระดับ Full HD+ (2244x1080 พิกเซล) พร้อมรองรับการแสดงสีสันตามมาตรฐานขอบเขตสีแบบ DCI-P3

 

นอกจากนี้ หน้าจอของ Huawei Mate 20 X ยังสามารถใช้งานร่วมกับ Stylus ในชื่อ Huawei M-Pen ซึ่งเป็นปากกาทีรองรับแรงกดได้ทั้งหมด 4096 ระดับ ทำให้สามารถขีดเขียนได้ราวกับปากกาของจริง รวมทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์การจดข้อความได้จากหน้าล็อกสกรีนอีกด้วยครับ

 

ที่ด้านบนมาพร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 24 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 และมีการซ่อนลำโพงสำหรับสนทนาเหมือนกับรุ่น Mate 20

 

ด้านล่างของหน้าจอมาพร้อมกับปุ่มควบคุมแบบสัมผัสเหมือนกับ Mate 20 และ Mate 20 Pro แต่จะไม่มีการฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (In-Screen Fingerprint) เหมือนกับรุ่น Mate 20 Pro แต่อย่างใด

 

ด้านหลังมาพร้อมกับตัวเครื่องกระจกขอบโค้งที่สามารถหยิบจับได้อย่างถนัดมือ พร้อมกระบวนการเคลือบผิวสัมผัสเป็นลาย Texture ช่วยป้องกันตัวเครื่องลื่นหลุดจากมือ รวมทั้งยังช่วยเพิ่มความสวยงามให้แก่ตัวเครื่อง

 

ที่ด้านบนมาพร้อมกับระบบกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ที่พัฒนาร่วมกับ Leica แบบ VARIO-SUMMILUX-H 1:1.8-2.4/16-80 ASPH โดยเลือกใช้เซ็ตอัพกล้องแบบเดียวกันกับ Huawei Mate 20 Pro ซึ่งประกอบไปด้วย กล้องตัวหลักเลนส์ Wide Angle ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.8, กล้องตัวที่สองเลนส์ Ultra Wide ความละเอียด f/2.2 และกล้องตัวที่สามเลนส์ Telephoto สำหรับซูมภาพถ่ายแบบไม่สูญเสียรายละเอียดได้ 3 เท่า (Optical Zoom 3x)

 

ความพิเศษของ Huawei Mate 20 X อยู่ตรงที่ ภายในตัวเครื่องมีการติดตั้งระบบระบายความร้อนแบบ HUAWEI Supercool พร้อม Vapor Chamber และแผ่นแกรฟรีน เพื่อช่วยระบายความร้อนออกจากสมาร์ทโฟนได้อย่างรวดเร็ว เพื่อตอบโจทย์การประมวลผล หรือการเล่นเกมแบบหนักๆ นั่นเองครับ

 

ปิดท้ายด้วยรุ่นระดับ Luxury อย่าง Porsche Design Huawei Mate 20 RS ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนที่ทาง Huawei ได้จับมือพัฒนา และออกแบบร่วมกับแบรนด์หรูอย่าง Porsche Design โดยเป็นงานออกแบบที่ผสมผสานมาจากเอกลักษณ์ของ Porsche และประสิทธิภาพอันทรงพลัง โดยมาพร้อมกับหน้าจอขอบโค้งขนาด 6.39 นิ้ว ความละเอียดระดับ 2K+ เทียบเท่ากับรุ่น Huawei Mate 20 Pro

 

ที่ด้านบนของหน้าจอมาพร้อมกับ Notch ซึ่งภายในมีการติดตั้งระบบ 3D Depth Sensing สำหรับทำงานร่วมกับระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า 3 มิติเหมือนกับรุ่น Mate 20 Pro โดยภายในประกอบไปด้วยกล้อง และเซ็นเซอร์สำคัญต่างๆ มากมาย ได้แก่ กล้องหน้าความละเอียด 24 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสงกว้าง f/2.0, Dot Projector, Flood Iluminator, Proximity Sensor, Ambient Light Sensor และ IR Camera

 

ด้นาหลังตัวเครื่องของ Porsche Design Huawei Mate 20 RS ถือว่ามีโดดเด่นแตกต่างจาก Mate 20 Series รุ่นอื่นๆ มากเลยทีเดียว เพราะเลือกใช้การผสมผสานระหว่างบอดี้กระจก และฝาหลังที่ทำมาจากหนังแท้คล้ายกับเบาะรถสปอร์ต ช่วยเสริมความพรีเมียมเรียบหรูให้แก่ตัวเครื่องเป็นอย่างมาก โดยฝาหลังที่เป็นลายหนังสวยๆ แบบนี้จะมีให้เลือกทั้งหมด 2 สี 2 สไตล์ ได้แก่ สีดำ และสีแดงครับ

 

ส่วนที่ด้านบนมาพร้อมกับกล้องหลัง 3 ตัวที่พัฒนาร่วมกับ Leica โดยเลือกใช้เป็นเซ็ตอัพแบบเดียวกันกับที่ใช้บน Huawei Mate 20 Pro และ Huawei Mate 20X ประกอบไปด้วย กล้องตัวหลักเลนส์ Wide Angle ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.8, กล้องตัวที่สองเลนส์ Ultra Wide ความละเอียด f/2.2 และกล้องตัวที่สามเลนส์ Telephoto สำหรับซูมภาพถ่ายแบบไม่สูญเสียรายละเอียดได้ 3 เท่า (Optical Zoom 3x)

 

ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติ


สามารถกดที่ภาพเพื่อดูขนาดเต็มได้

สำหรับทางด้านประสิทธิภาพการทำงาน เรียกได้ว่า Huawei Mate 20 Series ทั้ง 4 รุ่น จัดเต็มเหมือนกันทั้งคู่ ด้วยการมาพร้อมกับชิปเซ็ตประมวลผล Kirin 980 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตแบบ 8 แกนประมวลผล (Octa-Core Processor) ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมการผลิตระดับ 7 นาโนเมตรเป็นรุ่นแรกของโลก รวมทั้งยังมาพร้อมกับความเป็นที่ 1 ในโลกอีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การรองรับเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G LTE Cat.21 ที่ช่วยทำให้สามารถทำความเร็วดาวน์โหลดได้สูงถึง 1.4Gbps, การมาพร้อมกับหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Mali-G76 เป็นรุ่นแรกของโลก, การมาพร้อมกับ Dual NPU ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลแยกแบบคู่สำหรับช่วยประมวลผลงาน AI โดยเฉพาะเป็นรุ่นแรกของโลก

แต่ทั้ง 4 รุ่นจะมีความแตกต่างเล็กน้อยในเรื่องของหน่วยความจำแรม (RAM) และหน่วยความจำภายใน (ROM) โดย Huawei Mate 20 มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อยได้แก่ รุ่น RAM 4GB+ROM 128GB และรุ่น RAM 6GB + ROM 256GB ส่วนทางด้าน Huawei Mate 20 Pro มีให้เลือก 2 รุ่นเช่นกัน ได้แก่ รุ่น RAM 6GB + ROM 128GB และรุ่น RAM 8GB + ROM 256GB ขณะที่รุ่น Huawei Mate 20 X มีให้เลือกเพียงรุ่นความจุเดียว ได้แก่ รุ่น RAM 6GB + ROM 128GB ส่วน Porsche Design Huawei Mate 20 RS มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น RAM 8GB + ROM 256GB และรุ่น RAM 8GB + ROM 512GB โดยทั้ง 4 รุ่นสามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบใหม่ในชื่อ Nano Memory Card ความจุสูงสุด 256GB ได้

นอกจากนี้ ทั้ง 4 รุ่นยังมีความแตกต่างในเรื่องของปริมาณแบตเตอรี่ และเทคโนโลยีชาร์จเร็ว โดย Huawei Mate 20 X มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุมากสุดที่ 5000mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ Huawei SuperCharge สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-58% ได้ในเวลา 30 นาที รองลงมาเป็นรุ่น Huawei Mate 20 Pro และ Porsche Design Huawei Mate 20 RS ที่มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 4200mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบใหม่ Huawei SuperCharge 40W สามารถจ่ายกระแสไฟได้สูงสุดถึง 40W ช่วยให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-70% ได้ภายในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น ส่วนทางด้าน Huawei Mate 20 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 4000mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ Huawei SuperCharge เหมือนกับรุ่น Mate 20 X

จะเห็นได้ว่า Huawei Mate 20, Mate 20 Pro, Mate 20 X และ Porsche Design Huawei Mate 20 RS ต่างก็มีจุดเด่น และจุดที่แตกต่างกันออกไปเพื่อตอบโจทย์การใช้ของผู้ใช้งานแต่ละกลุ่ม ซึ่งมือถือรุ่นใดจะดีกว่ากันนั้น ทางทีมงานคงไม่ตัดสินได้ เพราะส่วนหนึ่งคงต้องขึ้นอยู่กับความชื่นชอบส่วนบุคคลด้วย หากทดลองใช้งานเบื้องต้นแล้วถูกใจ ก็ถือว่ามือถือเครื่องนั้นน่าจับจองเป็นเจ้าของแล้วครับ ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า Huawei Mate 20 Series จะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยในช่วงเวลาใด และจะมีโปรโมชันที่น่าสนใจอย่างไรบ้าง หากทีมงานมีข้อมูลเพิ่มเติม จะรีบนำมาอัปเดตให้แก่ทุกท่านโดยทันที

 

นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com


วันที่ : 22/10/2561

Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy