รีวิว Xiaomi 13 | 13 Pro เรือธงกล้อง Leica ระดับ Masterpiece พร้อมชิปแรงจัด พลังชาร์จ 120W และสเปกไฮเอนด์ไม่แพ้ใคร บนดีไซน์ใหม่พรีเมียมกว่า
เพิ่งเปิดตัวแบบ Global ไปสด ๆ ร้อน ๆ ในที่สุดวันนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2566) Xiaomi (ประเทศไทย) ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro อย่างเป็นทางการในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนับว่าเป็นสมาร์ตโฟนเรือธงอีกรุ่นหนึ่งที่น่าจับตามองในช่วงต้นปีนี้ สำหรับใครที่รอคอยการมาถึงของเรือธงรุ่นนี้อยู่ ในวันนี้ทีมงาน Thaimobilecenter ก็ได้นำมารีวิวให้ชมกันแล้วครับ
Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro คือสองพี่น้องทายาทเรือธงรุ่นล่าสุดที่สืบทอดความสามารถจากรุ่นก่อนหน้ามาอย่างครบถ้วน ทั้งในเชิงประสิทธิภาพที่แรงเต็มขั้น และกล้องถ่ายรูปที่พัฒนาร่วมกับแบรนด์ระดับตำนานอย่าง Leica
Xiaomi 13 รุ่นมาตรฐานมาในดีไซน์จอขอบแบน และบอดี้กรอบเหลี่ยมในขนาดกะทัดรัดพอดีมือ ด้านหน้าเป็นจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.36 นิ้ว ที่มีอัตราการรีเฟรช 120Hz พร้อมรองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ Dolby Vision กับ HDR10+ โดยภายในขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 2 ตัวท็อปรุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR5X ขนาดใหญ่ 12GB และหน่วยความจำ ROM แบบ UFS 4.0 ขนาด 256GB ที่มีความเร็วสูง ดังนั้นประสิทธิภาพโดยรวมจึงเรียกได้ว่าแรงสมศักดิ์ศรีเรือธง นอกจากนี้ยังมีแบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh พร้อมรองรับระบบชาร์จไวด้วยกำลังไฟ 67W และชาร์จไวไร้สายด้วยกำลังไฟ 50W
ส่วนเรื่องกล้องนั้น Xiaomi 13 รุ่นมาตรฐานมีกล้องหลัง 3 ตัวที่ใช้เลนส์ Leica นำโดยกล้องหลักความละเอียด 50MP, กล้อง Telephoto ความละเอียด 10MP และกล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12MP พร้อมฟีเจอร์ Leica Authentic/Vibrant Look ที่ช่วยให้ภาพถ่ายทุกภาพดูดีราวกับถ่ายด้วยกล้อง Leica จริง ๆ และสามารถจำลองเอฟเฟกต์ของเลนส์ต่าง ๆ ได้ถึง 4 แบบ ตั้งแต่ 35 มิลลิเมตร ถึง 90 มิลลิเมตร และอื่น ๆ อีกมากมาย ส่วนกล้องหน้าก็ดูดีไม่แพ้กันโดยให้ความละเอียดมาถึง 32MP
สำหรับรุ่นใหญ่อย่าง Xiaomi 13 Pro จะมีคุณสมบัติส่วนใหญ่ที่คล้ายกับรุ่นมาตรฐาน
แต่อัปเกรดขึ้นในหลาย ๆ ด้าน เริ่มจากดีไซน์ภายนอกที่กลายเป็นขอบโค้ง กับการใช้วัสดุของฝาหลังเป็นแบบเซรามิก
พร้อมครอบทับด้วยกระจกหน้าจอแบบ Gorilla Glass Victus โดยขยายจอใหญ่ขึ้นเป็น 6.73 นิ้ว ที่มีความละเอียดระดับ WQHD+ พร้อมอัปเกรดเป็นจอแบบ LTPO AMOLED
ที่รองรับการแสดงผลพันล้านสี, หน่วยความจำ ROM ที่ใหญ่ขึ้นเป็นขนาด 512GB, อัปเกรดแบตเตอรี่ให้มีความจุมากขึ้นเป็น 4820 mAh กับระบบชาร์จไวด้วยกำลังไฟที่มากถึง
120W และที่สำคัญยังมีการอัปเกรดชุดกล้องหลังทั้ง 3 ตัว
โดยใช้เซนเซอร์กล้องหลักขนาด 1 นิ้ว ความละเอียด 50MP, กล้อง
Telephoto ความละเอียด 50MP และกล้อง Ultra Wide ความละเอียด 50MP เรียกว่าความละเอียดจัดเต็ม 50MP ทั้ง 2 กล้อง เพื่อประสบการณ์การถ่ายภาพที่จัดเต็มในทุกมิติ
มาถึงตรงนี้ทุกท่านคงอยากจะดูรีวิวเต็ม ๆ กันแล้ว เพราะฉะนั้นเราไปชม รีวิว Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro โดยทีมงาน Thaimobilecenter กันได้เลยครับ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
Xiaomi 13 กับ Xiaomi 13 Pro จะมีดีไซน์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย โดยรุ่นมาตรฐานจะมีขนาดเล็กกว่า และมีกรอบตัวเครื่องแบบสันแบน ส่วนรุ่น Pro จะเป็นจอขอบโค้ง และมีกรอบเครื่องโค้งมนเพื่อให้รับกับหน้าจอ โดยทั้งคู่รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
Xiaomi 13 (ขวา) มากับหน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.36 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (1080x2400 พิกเซล) พร้อมรองรับอัตราการรีเฟรช 120Hz, รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ Dolby Vision กับ HDR10+ และกระจกนิรภัย Corning Gorilla Glass 5
Xiaomi 13 Pro (ซ้าย) จะเป็นจอ LTPO AMOLED ขอบโค้งขนาด 6.73 นิ้ว ความละเอียดระดับ WQHD+ (1440x3200 พิกเซล) พร้อมรองรับการแสดงผลระดับพันล้านสี, อัตราการรีเฟรช 120Hz แบบ AdaptiveSync Pro, รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ Dolby Atmos กับ HDR10+ และกระจกนิรภัย Corning Gorilla Glass Victus
สำหรับกล้องหน้าของ Xiaomi 13 กับ Xiaomi 13 Pro นั้นจะเป็นแบบเจาะรูฝังใต้จอ โดยเป็นกล้องความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสงขนาด f2.0
Xiaomi 13 รุ่นธรรมดาจะมีฝาหลังที่เงาคล้ายกระจก มีความสะท้อนแสงสูง ส่วน Xiaomi 13 Pro จะมีฝาหลังเซรามิกที่สะท้อนแสงน้อยกว่ารุ่นธรรมดา และยังมีพื้นผิวมันเรียบ สำหรับเครื่องที่นำมารีวิวในครั้งนี้จะเป็น Xiaomi 13 สีดำ Black และ Xiaomi 13 Pro สีขาว Ceramic White
สำหรับการถ่ายรูป และวิดีโอ Xiaomi 13 กับ Xiaomi 13 Pro ต่างก็ใช้ชุดกล้องหลัง 3 ตัว (Leica Triple Camera) แต่จะมีคุณสมบัติที่ต่างกันดังนี้
----------------------------------
Xiaomi 13 : ใช้กล้อง Leica Professional Optical Lens : LEICA VARIO-SUMMICRON 1:1.8-2.2/15-75 ASPH ซึ่งประกอบด้วย
- กล้อง Leica Main ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.49 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน (หรือ 2.0 ไมครอนในแบบ 4-in-1 Super Pixel), ทางยาวโฟกัส 23 มิลลิเมตร, รูรับแสงขนาด f1.8, ระบบป้องกันการสั่นแบบ HyperOIS, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และโครงสร้างแบบ 7 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Leica Telephoto ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.75 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน, ทางยาวโฟกัส 75 มิลลิเมตร (3.2x Optical Zoom), รูรับแสงขนาด f2.0, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF
- กล้อง Leica Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.06 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, ทางยาวโฟกัส 15 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 120 องศา) และรูรับแสงขนาด f2.2
----------------------------------
Xiaomi 13 Pro : ใช้กล้อง Leica Professional Optical Lens : LEICA VARIO-SUMMICRON 1:1.9-2.2/14-75 ASPH ซึ่งประกอบด้วย
- กล้อง Leica Main ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX989 ขนาด 1 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.6 ไมครอน (หรือ 3.2 ไมครอน ในแบบ 4-in-1 Super Pixel), รูรับแสงขนาด f1.9, ระบบป้องกันการสั่นแบบ HyperOIS, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel PDAF+Laser AF และโครงสร้างแบบ 8 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Leica Floating Telephoto ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.0, ทางยาวโฟกัส 75 มิลลิเมตร (3.2x Optical Zoom), เทคโนโลยี Focal Shift, เลนส์ Floating Telephoto, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS, ระยะโฟกัสใกล้สุด (Macro) ที่ 10 เซนติเมตร และโครงสร้างแบบ 3+3 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Leica Ultra Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมมุมรับภาพ 115 องศา (ทางยาวโฟกัส 14 มิลลิเมตร), รูรับแสงขนาด f2.2, ระบบโฟกัสอัตโนมัติ และระยะโฟกัสใกล้สุด (Macro) ที่ 5 เซนติเมตร
ทั้ง Xiaomi 13 กับ Xiaomi 13 Pro จะมีการจัดวางปุ่มและพอร์ตรอบตัวเครื่องเหมือนกัน โดยปุ่มล็อกหน้าจอ และปุ่มปรับระดับเสียงจะอยู่ทางขวาทั้งหมด
ด้านบนของตัวเครื่องมีการติดตั้งไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนเอาไว้ และ IR Blaster, ส่วนพอร์ตต่าง ๆ จะอยู่ด้านล่างทั้งหมด ซึ่งได้แก่ช่องใส่ซิมการ์ด, ไมโครโฟนหลัก, พอร์ต USB Type-C และช่องลำโพง
ทั้งนี้ ลำโพงเสียงภายนอกจะเป็นแบบคู่ (Dual Speakers) โดยเสียงจะออกที่ลำโพงหลักด้านล่าง และลำโพงสนทนาด้านบน
ช่องใส่ซิมการ์ดของทั้งสองรุ่นเป็นแบบ Dual-Slot ซึ่งสามารถใส่ซิมการ์ดแบบ Nano SIM ได้ 2 ช่อง แต่ไม่รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมอย่าง microSD หรือชนิดอื่น ๆ
ส่วนอุปกรณ์ภายในกล่องจะประกอบด้วย เคส TPU, สายเคเบิ้ล USB Type-C, เข็มถอดถาดซิมการ์ด, คู่มือการใช้งาน และอแดปเตอร์ชาร์จ 67W สำหรับ Xiaomi 13 ส่วน Xiaomi 13 Pro จะได้อแดปเตอร์ชาร์จ 120W
เปิดเครื่อง พร้อมทดสอบการใช้งานด้านซอฟต์แวร์
Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro มีซอฟต์แวร์ และอินเทอร์เฟซภายในที่เหมือนกัน โดยในรีวิวนี้จะเลือกใช้ตัวอย่างจาก Xiaomi 13 Pro เป็นหลัก
Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 13 ซึ่งครอบทับด้วย MIUI 14 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด
หากต้องการปรับหน้าตาของอินเทอร์เฟซให้เป็นไปตามสไตล์ของเรา สามารถกดค้างบนที่ว่างในหน้าจอโฮมเพื่อเข้าสู่โหมดการตั้งค่าได้ ซึ่งสามารถเลือกเปลี่ยนได้อย่างอิสระไม่ว่าจะเป็นวอลเปอร์, ไอคอน, วิดเจ็ต, แอนิเมชันการเปลี่ยนหน้า และอื่น ๆ
หรือถ้าต้องการธีมสวย ๆ ก็สามารถดาวน์โหลดได้จากแอป ร้านค้าธีม ซึ่งมีให้เลือกมากมายหลายแบบ มีทั้งแบบฟรี และแบบเสียเงิน ราคา 15, 30, 60 บาท
หน้าจอของ Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro จะปรับแต่งได้ค่อนข้างมาก โดยมีทั้งโหมดมืด, โทนสีของหน้าจอ และเครื่องมือภาพ AI
เครื่องมือภาพ AI จะเป็นการใช้ AI ในการเพิ่มความละเอียดของรูปภาพและวิดีโอให้คมชัดยิ่งขึ้น และปรับค่า HDR ของวิดีโอให้ดีขึ้น เมื่อเปิดใช้แล้วฟีเจอร์เหล่านี้จะทำงานอัตโนมัติกับคอนเทนต์ที่รองรับ โดยจะกินแบตเตอรี่เพิ่มเล็กน้อย
สำหรับอัตรารีเฟรชจะปรับได้ 2 แบบ คือค่าเริ่มต้นที่จะปรับอัตรารีเฟรชเองตามคอนเทนต์ที่กำลังใช้งาน และแบบกำหนดเองที่ให้เราเลือกล็อกอัตรารีเฟรชไว้ที่ 60Hz หรือ 120Hz และยังสามารถปรับฟอนต์ กับขนาดของฟอนต์ได้ด้วย
และถ้าเป็น Xiaomi 13 Pro จะเลือกความละเอียดของหน้าจอได้ด้วย ระหว่าง FHD+ กับ WQHD+
นอกจากการตั้งค่าทั่วไป ยังมี ความปลอดภัย หรือแอปจัดการระบบที่ช่วยล้างไฟล์ขยะ, สแกนไวรัส และตรวจสอบการใช้ดาต้า เป็นต้น สามารถกดปุ่ม เพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อให้ระบบจัดการทุกอย่างในคราวเดียวได้แบบง่าย ๆ
ส่วนฟังก์ชันพื้นฐานอย่างการโทร มีอินเทอร์เฟซที่สะอาด เข้าใจง่าย ไม่ได้มีฟังก์ชันพิเศษหรือหวือหวา
ในส่วนของฟังก์ชันด้านความปลอดภัย Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และการสแกนใบหน้า
และยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง ล็อกแอป ที่จะต้องยืนยันตัวตนด้วยรหัสผ่านก่อนเข้าใช้งาน และฟีเจอร์ ซ่อนแอป ที่จะทำให้แอปซ่อนตัวโดยไม่แสดงบนหน้าจอ, ไม่ถูกเก็บในประวัติการเปิดล่าสุด และไม่แสดงแจ้งเตือน แต่สามารถเรียกดูได้ง่าย ๆ ด้วยเกสเจอร์พิเศษ ดังนั้นควรใช้คู่กับการล็อกแอปเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
การโคลนแอป จะทำให้เราโคลนแอปโซเชียลออกมาได้ 2 แอป ทำให้เราใช้ LINE หรือ Facebook 2 บัญชีพร้อมกันได้
พื้นที่ทับซ้อน จะเป็นการแบ่งพื้นที่ของระบบออกมาเป็นอีกระบบหนึ่ง เหมือนเป็นสมาร์ทโฟน 2 เครื่องในเครื่องเดียว ข้อมูลและแอปทุกอย่างในพื้นที่ทับซ้อนจะแยกจากระบบหลักอย่างสิ้นเชิง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแยกการใช้งานส่วนตัว และการทำงานออกจากกัน โดยไม่ต้องซื้อมือถือ 2 เครื่อง
ในส่วนของแอปพลิเคชันฟังเพลงของ Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro นอกจากจะเปิดเพลงจากในเครื่องฟังได้แล้ว ยังมีคลิปมิวสิกวิดีโอให้ชมแบบออนไลน์ด้วย
ฟังก์ชันที่น่าสนใจของแอปพลิเคชันนี้ คือการที่เราสามารถตัดเพลงมาส่วนมาทำเป็นริงโทนได้ โดยไม่ต้องใช้แอปตัดต่ออื่น ๆ แต่อย่างใด แถมยังใช้งานง่ายมากอีกด้วย
ในแอปพลิเคชัน Mi วิดีโอ ก็มีคลิปวิดีโอต่าง ๆ ให้รับชมแบบออนไลน์ได้เช่นกัน ในลักษณะที่คล้ายกับ YouTube และแน่นอนว่าสามารถเปิดไฟล์วิดีโอที่อยู่ในเครื่องขึ้นมารับชมได้
สำหรับการเล่นเกม Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro จะมีฟีเจอร์ Game Turbo มาช่วยในการตั้งค่าต่าง ๆ และปิดกั้นการแจ้งเตือนไม่ให้มาขัดจังหวะเราขณะเล่นเกม โดยสามารถตั้งค่าสำหรับใช้กับทุกเกม หรือจะตั้งค่าแยกเป็นเกม ๆ ไปก็ได้
เมื่อเข้าสู่ตัวเกม เราจะสามารถเรียกเมนูช่วยเหลือออกมาจากมุมซ้ายบนของจอได้ ซึ่งจะมีทางลัดต่าง ๆ เช่น เคลียร์ RAM, จับภาพหน้าจอ, บันทึกวิดีโอหน้าจอ, ปรับความสว่าง และปิดจอโดยปล่อยให้เกมเล่นต่อไป เป็นต้น ซึ่งเป็นฟังก์ชันพื้นฐานที่มีอยู่ใน Game Assistant ทั่วไป พร้อมทั้งมีการโชว์อัตราการทำงานของ GPU, CPU และค่า FPS ของตัวเกมให้ดูด้วย
ลูกเล่นหนึ่งที่น่าสนใจคือโปรแกรมเปลี่ยนเสียงที่ทำให้เราเปลี่ยนเสียง เวลาคุยไมค์ในเกมได้ ทำให้การเล่นมีสีสันมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังสามารถเปิดแอปพลิเคชันอื่นเป็นหน้าต่างลอยขึ้นมาได้ เหมาะสำหรับการหาข้อมูลระหว่างเล่นเกม ไม่ต้องสลับจอไปมา หรือจะเปิดเกมขึ้นมาซ้อนกัน 2 เกมก็ยังได้
การทดสอบเล่นเกมในครั้งนี้ เราได้ทดสอบด้วยเกมที่ได้รับความนิยม 3 เกม ได้แก่ RoV, PUBG Mobile และ Genshin Impact โดยตั้งค่ากราฟิกของแต่ละเกม ไว้ดังนี้ :
การตั้งค่าเกม RoV
การตั้งค่าเกม PUBG Mobile
การตั้งค่าเกม Genshin Impact
สำหรับการเล่นเกม Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ทำได้ดีพอ ๆ กัน โดยมีประสิทธิภาพที่น่าประทับใจสมฐานะเรือธง ด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 2 พร้อมกับหน่วยความจำมาตรฐานใหม่ล่าสุดทั้ง LPDDR5x และ UFS 4.0 ทำให้ทุกอย่างดูไหลลื่นในทุกมิติ ส่วนเรื่องความร้อนก็ถือว่าทำได้ดีขึ้น แม้จะยังร้อนอยู่แต่ก็มีการระบายความร้อนที่รวดเร็ว ใครที่อยากสัมผัสประสบการณ์การเล่นแบบลื่น ๆ บนกราฟิกระดับสูง Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro มอบให้คุณได้แน่นอน
มาดูในส่วนของการทดสอบประสิทธิภาพ (Benchmark) กันบ้างครับ เริ่มกันที่ผลการทดสอบของ Xiaomi 13 บน AnTuTu และ Geekbench 6 ซึ่งมีตัวเลขออกมาดังนี้:
AnTuTu : 1265635 คะแนน
Geekbench 6 : Single-Core 1385 คะแนน, Multi-Core 5084 คะแนน
ส่วนของ Xiaomi 13 Pro มีตัวเลขดังนี้ :
AnTuTu: 1274038 คะแนน
Geekbench 6 : Single-Core 1392 คะแนน, Multi-Core 5017 คะแนน
Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm
Snapdragon 8 Gen 2 แบบ 8-แกน (Octa-Core)
ซึ่งมีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 740
พร้อมด้วยหน่วยความจำแรม RAM ขนาดใหญ่ 12 GB (LPDDR5x)
และหน่วยความจำภายในขนาด 256GB และ 512GB (UFS 4.0) ตามลำดับ
สำหรับเซนเซอร์ในเครื่อง Xiaomi 13 ประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope, Sound Sensor, Magnetic Sensor, Orientation Sensor ส่วน Xiaomi 13 Pro จะมี Pressure Sensor เพิ่มเข้ามาด้วย โดยทั้ง 2 รุ่นรองรับการสัมผัสพร้อมกันอย่างน้อย 10 จุด
ประสิทธิภาพของการระบุตำแหน่ง และนำทางนั้นถือว่าดีเยี่ยม ด้วยการรองรับระบบดาวเทียมชั้นนำของโลกได้ครบครัน ทั้ง GPS (L1+L5)+A-GPS, Glonass (G1), BeiDou, Galileo (E1+E5a) และ NavIC (L5)
การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
ครั้งแรกที่เราเปิดใช้งานกล้องของ Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro จะมีการให้เลือกโปรไฟล์การถ่ายภาพ 2 แบบ คือ Leica Vibrant และ Leica Authentic โดย Vibrant จะมีโทนสว่างและสีสันที่นุ่มนวล ส่วน Authentic จะมีความเข้มสีและแสงเงาสูง สามารถเลือกแบบใดก็ได้โดยไม่ต้องคิดมากเพราะเปลี่ยนได้ตลอดเวลาจากแถบเมนูด้านบน
ในโหมดรูปถ่าย หรือโหมดอัตโนมัติ จะมีระยะการซูมให้เลือก 4 ระดับ คือ 0.6x (Ultra-wide), 1x (ปกติ), 2x และ 3.5x โดยจะเป็นระยะ Optical zoom ที่ไม่เสียรายละเอียด สามารถกดค้างเพื่อเลือกระดับการซูมอื่น ๆ ได้ โดย Xiaomi 13 จะซูมได้สูงสุด 30x แต่ Xiaomi 13 Pro จะซูมได้ถึง 70x
โหมดภาพบุคคล หรือ Portrait จะมีให้เลือก 2 ระยะ คือระยะการถ่ายแบบเต็มตัว และแบบครึ่งตัว โดยในแบบครึ่งตัวจะใช้เลนส์ Telephoto ที่มีทางยาวโฟกัสเหมาะกับการถ่ายภาพบุคคลมากกว่า
ทีเด็ดของโหมดนี้คือฟีเจอร์เลนส์โปร ที่จะจำลองลักษณะการถ่ายภาพของเลนส์ 4 แบบ ที่มีทางยาวโฟกัส 35 มม., 50 มม., 75 มม. และ 90 มม. ช่วยให้ภาพถ่ายดูราวกับถ่ายด้วยกล้องโปรจริง ๆ
เฉพาะ Xiaomi 13 Pro จะมีโหมดซูเปอร์มาโครให้ใช้งาน โดยจะใช้เลนส์ Telephoto กับ Ultra-wide ในการถ่ายแทน สามารถโฟกัสวัตถุได้ไกลสุด 10 เซนติเมตร
โหมดกลางคืน สามารถถ่ายได้ทั้งกล้องหลัง, กล้องหน้า และวิดีโอ และซูมได้ 3.2x แต่ไม่มีลูกเล่นอะไรมากนัก
โหมดซูเปอร์มูน เป็นโหมดสำหรับถ่ายภาพดวงจันทร์ และมีลูกเล่นเพิ่มเงาวัตถุต่าง ๆ เช่นเครื่องบินลงไปได้ แต่ในโหมดนี้ Xiaomi 13 Pro จะได้เปรียบรุ่นธรรมดาเพราะซูมได้ไกลกว่า
ในการถ่ายวิดีโอของกล้องหลัง สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 8K ที่เฟรมเรต 24fps โดยมีระบบกันสั่น, เอฟเฟกต์โบเก้, ฟิลเตอร์ และเอฟเฟกต์บิวตี้ให้ใช้งาน
นอกจากนี้ยังมีโหมดอื่น ๆ ให้ใช้งานอีกหลายอย่างด้วยกัน
สำหรับกล้องหน้าที่มีความละเอียด 32 ล้านพิกเซล จะไม่สามารถใช้โปรไฟล์ Leica Vibrant หรือ Authentic ได้ แต่ยังมีเอฟเฟกต์บิวตี้, ฟิลเตอร์ และโบเก้ให้ใช้งาน ส่วนวิดีโอจะบันทึกได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p กับเฟรมเรต 30fps
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ
Xiaomi 13
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดอัตโนมัติ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Ultra Wide
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดกลางคืน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Super Moon
ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่จากกล้องหน้าของ Xiaomi 13
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ
Xiaomi 13 Pro
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดอัตโนมัติ
ตัวอย่างภาพถ่ายแบบขาว-ดำ (Monochrome)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Ultra Wide
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Macro
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดกลางคืน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Super Moon
ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่จากกล้องหน้าของ Xiaomi 13 Pro
สรุปผลการทดสอบของ Xiaomi 13 | 13 Pro
จากที่ได้มีโอกาสใช้งานทั้ง Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro มาระยะหนึ่ง ก็พบว่าโดยรวมแล้วอาจดูเป็นคู่หูเรือธงที่มีคุณสมบัติพื้นฐานคล้ายกัน แต่ก็มีความต่างในบางจุดโดยเฉพาะฟีเจอร์เด่น ๆ ตั้งแต่ดีไซน์, หน้าจอแสดงผล, ระบบการชาร์จ และชุดกล้อง
ในเรื่องของดีไซน์ Xiaomi 13 จะมีขนาดเล็กพอดีมือ พร้อมกรอบแบบแบน ซึ่งขนาดนั้นใกล้เคียงกับ iPhone 13 รุ่นธรรมดา ทำให้การใช้งานด้วยมือเดียวง่ายกว่า และติดตั้งบนขาตั้ง หรือไม้กิมบอล ส่วน Xiaomi 13 Pro จะมีขนาดใหญ่กว่า และเป็นจอขอบโค้ง ซึ่งแสดงคอนเทนต์ได้มากกว่า และให้ความรู้สึกที่พรีเมียมกว่า ขณะเดียวกันฝาหลังก็ต่างกันด้วย โดย Xiaomi 13 จะเป็นฝาหลังที่เงาคล้ายกระจก จึงเห็นรอยนิ้วมือได้ง่าย ส่วน Xiaomi 13 Pro จะเป็นฝาหลังเซรามิกที่มีความเงาเหมือนกัน แต่จะไม่สะท้อนแสงเท่า จึงเห็นรอยนิ้วมือยากกว่า ความแตกต่างทั้งหมดนี้จะส่งผลกับประสบการณ์การใช้งานโดยตรง ซึ่งบอกไม่ได้ว่าแบบไหนดีกว่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้ใช้
หน้าจอก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่มีคุณสมบัติต่างกัน โดย Xiaomi 13 Pro จะใช้จอแบบ LTPO AMOLED ทำให้ปรับอัตราการรีเฟรชได้ตั้งแต่ 1-120Hz ช่วยให้ประหยัดพลังงานกว่า แต่ทั้งนี้ในการใช้งานจริงก็ไม่ได้มีความแตกต่างมากนัก
ส่วนแบตเตอรี่ และการชาร์จนั้น Xiaomi 13 จะมีแบตเตอรี่น้อยกว่า และรองรับชาร์จไวที่ 67W ในขณะที่ Xiaomi 13 Pro จะขาร์จไวถึง 120W ซึ่งความเร็วในการชาร์จก็ต่างกันพอสมควร แต่ในการใช้งานทั่วไป ระบบชาร์จ 67W ก็ถือว่าเร็วมากแล้ว หากชอบชาร์จทิ้งไว้กลางคืน หรือชาร์จขณะทำงาน ความเร็วระดับ 120W ก็อาจไม่จำเป็นนัก
ในเชิงประสิทธิภาพ Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro เลือกใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Snapdragon 8 Gen 2 ทั้งคู่ จึงมีความลื่นไหลในการใช้งานไม่ต่างกัน ทั้งในแง่ของการใช้งานทั่วไป และด้านความบันเทิงต่าง ๆ รวมไปถึงการเล่นเกม ซึ่งสามารถรันทุกเกมที่ทดสอบได้อย่างราบรื่นบนการตั้งค่ากราฟิกระดับสูง ยิ่งรวมกับหน้าจอแสดงผลคุณภาพสูงแล้ว ยิ่งทำให้การเล่นเกมเพลินขึ้นไปอีก ส่วนการจัดการความร้อนก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี โดยตัวเครื่องอาจจะยังร้อนอยู่ แต่มีการระบายความร้อนที่เร็วขึ้นจึงช่วยลดอาการกระตุกจากความร้อนได้ เว้นแต่ว่าเราจะเล่นเกมที่ใช้ทรัพยากรเครื่องมากจริง ๆ อย่าง Genshin Impact ที่เปิดกราฟิกระดับสูงพร้อมกับเฟรมเรต 60 fps เป็นต้น
ในส่วนของการถ่ายภาพ Xiaomi 13 กับ Xiaomi 13 Pro ให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกัน แต่ดูเหมือนว่าภาพถ่ายของ Xiaomi 13 Pro จะดูดีกว่าเล็กน้อยโดยเฉพาะเมื่อถ่ายแบบซูม และในเวลากลางคืน ซึ่งเชื่อว่าเป็นเพราะเซนเซอร์กล้องหลักที่มีขนาดใหญ่ถึง 1 นิ้ว ทำให้รับแสงได้มากขึ้น กับกล้อง Telephoto และ Ultra Wide ที่มีความละเอียด 50 ล้านพิกเซล
สไตล์ภาพถ่ายโดยทั่วไปของทั้ง Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro จะต่างจากสมาร์ทโฟน Xiaomi รุ่นอื่นค่อนข้างชัดเจน ซึ่งเป็นเพราะโปรไฟล์การถ่ายภาพ Leica Authentic/Vibrant ที่ช่วยให้ภาพถ่ายมีโทนเหมือนถ่ายจากกล้องโปร โทนภาพโดยรวมจะเน้นความสมจริง โดยทำได้ดีในทุกสภาวะแสง และยังควบคุม Noise ได้ดี ส่วนตัวมองว่าเหมาะกับการถ่ายภาพแนวสตรีท และงานที่เน้นรายละเอียด
สำหรับการถ่ายแบบ Portrait เอฟเฟกต์บิวตี้จะไม่เข้มเท่ารุ่นอื่น โดยยังคงเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ ของใบหน้าเอาไว้ค่อนข้างครบถ้วน ทำให้บางครั้งที่ซูมจะเห็นริ้วรอย รูขุมขน และรายละเอียดเล็ก ๆ ของใบหน้าเอาไว้ ทำให้ดูเป็นธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็ยังไม่ทำให้ใบหน้าขาวสว่างเกินไป เหมาะกับคนที่ชอบโทนภาพแบบสมจริง แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ชอบแนวผิวขาว สว่างเนียนใส ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล
ส่วนการเซลฟี่ของ Xiaomi 13 กับ Xiaomi 13 Pro นั้น นับว่าทำได้ดีในภาพรวม ไม่ว่าจะเป็นโทนสีผิว, เอฟเฟกต์บิวตี้ และการเบลอฉากหลัง แต่ลูกเล่นจะน้อยกว่าโหมด Portrait ของกล้องหลังมาก และไม่รองรับการใช้โปรไฟล์ Leica Authentic/Vibrant ด้วย ภาพที่ได้จึงมีโทนไม่ต่างจากกล้องหน้าของมือถือรุ่นอื่น และไม่สมจริงเท่ากับกล้องหลัง แต่ก็ถือว่ามีคุณภาพสูงสมกับฐานะสมาร์ทโฟนเรือธง
ในส่วนของโหมดซูเปอร์มาโครจะมีเฉพาะในรุ่น Pro โดยถ่ายด้วยเลนส์ Telephoto และ Ultra Wide ซึ่งให้ภาพที่สวย คมชัด คุณภาพเหนือกว่ากล้องมาโครของสมาร์ทโฟนทั่วไป และมีระยะโฟกัสที่ค่อนข้างไกล (ประมาณ 10 เซนติเมตร) จึงไม่จำเป็นต้องจ่อกล้องใกล้ ๆ ช่วยให้ถ่ายง่ายขึ้น แต่ถึงกระนั้น ระบบโฟกัสก็มีให้ใช้เมื่อถ่ายในระยะ 4 เซนติเมตรลงไปเท่านั้น ทำให้มีข้อจำกัดนิดหน่อย
ในโหมดกลางคืน สามารถคุม Noise ได้ดีทั้งคู่ แต่ Xiaomi 13 Pro จะทำได้ดีกว่าเล็กน้อย โดยสามารถดึงเอารายละเอียดต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่ในแสงไฟและเงามืดได้ดี อีกทั้งยังช่วยลด Noise ในภาพไปด้วยในตัว แต่ทั้งนี้โหมดกลางคืนจะไม่ทำงานหากสภาพแวดล้อมโดยรอบไม่มืดพอ
ส่วนการถ่ายพระจันทร์ในโหมดซูเปอร์มูนนั้นทำได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะในรุ่น Pro ที่ซูมได้ไกลถึง 60 เท่า แต่ก็ค่อนข้างถ่ายยาก เพราะระบบกันสั่น OIS มีความอ่อนไหว ทำให้พระจันทร์เลื่อนหลุดเฟรมบ่อย ๆ แม้ว่ามือเราจะนิ่งแล้วก็ตาม และยังทำให้ภาพพระจันทร์ไม่ชัดด้วย ซึ่งก็หวังว่าจะมีการอัปเดตระบบล็อก OIS เข้ามาแก้ปัญหานี้ในภายหลัง
จากทั้งหมดที่กล่าวมา เราเห็นว่า Xiaomi
13 และ Xiaomi 13 Pro เป็นสมาร์ตโฟนเรือธงที่โดดเด่นไม่น้อยหน้าใคร
ทั้งในเชิงประสิทธิภาพ, คุณสมบัติที่ใส่มาให้ และการถ่ายภาพ
โดยเฉพาะการถ่ายภาพที่ใช้ประโยชน์จากเลนส์ และโปรไฟล์ภาพของ Leica
ทำให้โทนของภาพถ่ายดูสมจริงเหมือนถ่ายด้วยกล้องโปร
นับว่าเป็นสมาร์ตโฟนเรือธงที่ถ่ายรูปสนุกมากรุ่นหนึ่ง และมีประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมในทุกด้าน
แม้ว่าราคาค่าตัวจะถูกปรับให้สูงขึ้นกว่ารุ่นเดิมก็ตามครับ
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณ Xiaomi ประเทศไทย
ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง Xiaomi 13
และ Xiaomi 13 Pro
มาให้ทางทีมงานได้รีวิวกันในโอกาสนี้ด้วยครับ
รายละเอียดการวางจำหน่าย และโปรโมชัน
ล่าสุดวันนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2566) ทาง Xiaomi (ประเทศไทย) ก็ได้ประกาศราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการของ Xiaomi 13 | 13 Pro ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีราคาดังนี้
- Xiaomi 13 รุ่น RAM 12GB+ROM 256GB ราคา 29,990 บาท
- Xiaomi 13 Pro รุ่น RAM 12GB+ROM 512GB ราคา 39,990 บาท
พร้อมโปรโมชันนำมือถือเครื่องเก่ามาแลกรับส่วนลดสูงสุด 3,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 เฉพาะช่องทางที่ร่วมรายการ
และสำหรับท่านที่สั่งซื้อล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 1-10 มีนาคม 2566 รับฟรี Xiaomi Watch S1 Pro และ Xiaomi Leica Premium Set รวมมูลค่า 11,989 บาท
นอกจากนี้ยังมีราคาพิเศษเมื่อซื้อพร้อมโปรโมชันของผู้ให้บริการเครือข่าย ในราคาเริ่มต้นที่ 18,900 บาท และ 24,900 บาท ตามลำดับ
จุดเด่นของ Xiaomi 13
- ตัวเครื่องมีดีไซน์ที่สวยพรีเมียมทันสมัยขึ้น พร้อมกรอบด้านข้างแบบแบน มีความบางเฉียบเพียง 7.98 มิลลิเมตร และมีขนาดที่กำลังพอดีมือ ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
- ระบบระบายความร้อนแบบ LiquidCool (Super Big VC + Multi-Layer Graphite Sheets)
- มี 3 สีมาตรฐานให้เลือก ได้แก่ สีขาว (White), สีดำ (Black)
และสีเขียวอ่อน (Flora Green)
----------------------------------------------
- หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED Flat Display ขนาด 6.36 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2400x1080 พิกเซล)
- อัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz (AdaptiveSync)
- อัตราการตอบสนองต่อระบบสัมผัสสูงสุด 240Hz
- ความสว่างสูงสุด 1900 nits
- รองรับการแสดงผลช่วงสีแบบ DCI-P3 ได้ 100%
- ค่าความเที่ยงตรงของสี (JNCD) ประมาณ 0.32 และค่าความผิดเพี้ยนของสี (Delta E) ประมาณ 0.36
- เทคโนโลยี Pro HDR Display
- รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10+ และ Dolby Vision
- ครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5
- เซนเซอร์ 360° Ambient Light
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-Display Fingerprint Scanner) พร้อมระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (AI Face Unlock)
----------------------------------------------
- ประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 720
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5X ขนาด 12GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 4.0 ขนาด 256GB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ MIUI 14 (พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Android 13)
----------------------------------------------
- แบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh
- ชิป Xiaomi Surge Battery Management System และ Xiaomi Surge Charging
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 67W Wired Turbo Charging (ชาร์จแบตเตอรี่ได้ 100% ภายใน 38 นาที)
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายความเร็วสูงแบบ 50W Wireless Turbo Charging
- ฟีเจอร์ 10W Reverse Wireless Charging
----------------------------------------------
กล้อง Leica Professional Optical Lens : LEICA VARIO-SUMMICRON 1:1.8-2.2/15-75 ASPH ซึ่งประกอบด้วย
- กล้อง Leica Main ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.49 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน (หรือ 2.0 ไมครอนในแบบ 4-in-1 Super Pixel), ทางยาวโฟกัส 23 มิลลิเมตร, รูรับแสงขนาด f1.8, ระบบป้องกันการสั่นแบบ HyperOIS, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และโครงสร้างแบบ 7 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Leica Telephoto ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.75 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน, ทางยาวโฟกัส 75 มิลลิเมตร (3.2x Optical Zoom), รูรับแสงขนาด f2.0, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF
- กล้อง Leica Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.06 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, ทางยาวโฟกัส 15 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 120 องศา) และรูรับแสงขนาด f2.2
พร้อมเทคโนโลยี Xiaomi Imaging Engine, ฟีเจอร์ Xiaomi ProFocus, รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 8K และรองรับการบันทึกวิดีโอแบบ Dolby Vision
กล้องหน้า In-Display Selfie ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล
พร้อมเม็ดพิกเซลขนาด 0.7 ไมครอน (หรือ 1.4 ไมครอนในแบบ 4-in-1 Super Pixel), รูรับแสงขนาด f2.0, ทางยาวโฟกัส 22 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 89.6 องศา) และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
----------------------------------------------
- ลำโพงเสียงแบบคู่ (Dual Speakers) พร้อมระบบเสียงแบบ Dolby Atmos
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 7, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม GPS (L1+L5)+A-GPS, Glonass (G1), BeiDou, Galileo (E1+E5a) และ NavIC (L5)
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.3 และ NFC
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- มอเตอร์ระบบสั่นแบบ X-Axis Linear Vibration Motor
จุดเด่นของ Xiaomi 13 Pro
- ตัวเครื่องมีดีไซน์ที่สวยพรีเมียมทันสมัยขึ้น พร้อมความโค้งมนทั้งด้านหน้า-ด้านหลัง และฝาหลังที่ผลิตจากเซรามิก
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
- ระบบระบายความร้อนแบบ LiquidCool (Super Big VC + Multi-Layer Graphite Sheets)
- มี 2 มาตรฐานให้เลือก ได้แก่ สีขาว (Ceramic White) และสีดำ (Ceramic Black)
---------------------------------------
- หน้าจอแสดงผล LTPO AMOLED 3D-Curved Display ขนาด 6.73 นิ้ว ความละเอียดระดับ WQHD+
(3200x1440 พิกเซล)
- อัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz (Dynamic 1-120Hz : AdaptiveSync Pro)
- อัตราการตอบสนองต่อระบบสัมผัสสูงสุด 240Hz
- ความสว่างสูงสุด 1900 nits
- แสดงผลสีได้ 1 พันล้านสี
- รองรับการแสดงผลช่วงสีแบบ DCI-P3 ได้ 100%
- ค่าความเที่ยงตรงของสี (JNCD) ประมาณ 0.32 และค่าความผิดเพี้ยนของสี (Delta E) ประมาณ 0.36
- เทคโนโลยี Pro HDR Display
- รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10+ และ Dolby Vision
- เซนเซอร์ 360° Ambient Light
- ครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass Victus
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-Display Fingerprint Scanner) พร้อมระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (AI Face Unlock)
--------------------------------------
- ประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 720
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5X ขนาด 12GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 4.0 ขนาด 512GB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ MIUI 14 (พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Android 13)
--------------------------------------
- แบตเตอรี่ความจุ 4820 mAh
- ชิป Xiaomi Surge Battery Management System และ Xiaomi Surge Charging
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ Smart 120W HyperCharge (ชาร์จแบตเตอรี่ได้ 100% ภายใน 19 นาที)
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายความเร็วสูงแบบ 50W Wireless Turbo Charging
- ฟีเจอร์ 10W Reverse Wireless Charging
--------------------------------------
กล้อง Leica Professional Optical Lens : LEICA VARIO-SUMMICRON 1:1.9-2.2/14-75 ASPH ซึ่งประกอบด้วย
- กล้อง Leica Main ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX989 ขนาด 1 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.6 ไมครอน (หรือ 3.2 ไมครอน ในแบบ 4-in-1 Super Pixel), รูรับแสงขนาด f1.9, ระบบป้องกันการสั่นแบบ HyperOIS, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel PDAF+Laser AF และโครงสร้างแบบ 8 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Leica Floating Telephoto ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.0, ทางยาวโฟกัส 75 มิลลิเมตร (3.2x Optical Zoom), เทคโนโลยี Focal Shift, เลนส์ Floating Telephoto, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS, ระยะโฟกัสใกล้สุด (Macro) ที่ 10 เซนติเมตร และโครงสร้างแบบ 3+3 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Leica Ultra Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมมุมรับภาพ 115 องศา (ทางยาวโฟกัส 14 มิลลิเมตร), รูรับแสงขนาด f2.2, ระบบโฟกัสอัตโนมัติ และระยะโฟกัสใกล้สุด (Macro) ที่ 5 เซนติเมตร
พร้อมเทคโนโลยี Xiaomi Imaging Engine, ฟีเจอร์ Xiaomi ProFocus, รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 8K และรองรับการบันทึกวิดีโอแบบ Dolby Vision
กล้องหน้า In-Display Selfie ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล
พร้อมเม็ดพิกเซลขนาด 0.7 ไมครอน (หรือ 1.4 ไมครอนในแบบ 4-in-1 Super Pixel), รูรับแสงขนาด f2.0, ทางยาวโฟกัส 22 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 89.6 องศา) และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
---------------------------------------
- ลำโพงเสียงแบบคู่ (Dual Speakers) พร้อมระบบเสียงแบบ Dolby Atmos
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 7, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม GPS (L1+L5)+A-GPS, Glonass (G1), BeiDou, Galileo (E1+E5a) และ NavIC (L5)
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.3 และ NFC
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- มอเตอร์ระบบสั่นแบบ X-Axis Linear Vibration Motor
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ
Xiaomi 13 | 13 Pro
- ครอบทับหน้าจอด้วยกระจก Gorilla Glass Victus เฉพาะรุ่น Pro (รุ่นธรรมดาใช้กระจก Gorilla Glass 5)
- รุ่น Xiaomi 13 มีพื้นผิวตัวเครื่องค่อนข้างลื่น และเกิดรอยนิ้วมือได้ง่าย
- ไม่รองรับการใส่การ์ดหน่วยความจำเสริมเพิ่มเติม
- รองรับการชาร์จด้วยกำลังไฟสูงสุด 120W เฉพาะรุ่น Pro (รุ่นธรรมดารองรับกำลังไฟสูงสุด 67W)
- ตัวเครื่องค่อนข้างร้อนเมื่อต้องมีการประมวลผลหนัก ๆ อย่างต่อเนื่อง
- ไม่มีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
- ราคาสูงกว่ารุ่นเดิม (Xiaomi 12 | 12 Pro)
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริง รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจถูกแก้ไขให้ดีขึ้นแล้วในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบ หรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่งเพื่อความมั่นใจ *
วันที่ : 28/02/2023