รีวิว vivo X80 5G | X80 Pro 5G เรือธงกล้อง ZEISS อัปเกรดใหม่ ใส่ชิป vivo V1+ พร้อมความแรงระดับท็อป จอสวยลื่น และพลังชาร์จ 80W บนดีไซน์ Ultimate Aesthetic สุดพรีเมียม
19 พฤษภาคม 2022 - ยังคงเดินหน้าสร้างความประทับใจอย่างต่อเนื่องสำหรับทาง vivo ที่หลังจากประกาศความร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง ZEISS พร้อมวิจัย และพัฒนากล้องถ่ายภาพร่วมกัน ล่าสุดก็ต่อยอดมาถึงรุ่นที่ 3 แล้วนั่นคือ vivo X80 Series 5G ที่มาด้วยกัน 2 รุ่นเช่นเคย ได้แก่ vivo X80 5G และ vivo X80 Pro 5G ภายใต้สโลแกน Cinematics. Redefined.
vivo X80 5G | X80 Pro 5G โดดเด่นที่กล้องถ่ายภาพซึ่งพัฒนาร่วมกับ ZEISS (vivo ZEISS Co-Engineered Imaging System) ที่อัปเกรดต่อยอดจากเดิมไปอีกหลายด้าน บนการดีไซน์แบบ Cloud Window 2.0 ที่มีเลนส์ถ่ายภาพจาก ZEISS รวมทั้งเลือกใช้กระจกครอบเลนส์ High-Transmittance Glass Lens ในรุ่น X80 Pro 5G ซึ่งทนต่อการตกกระแทกจากความสูง พร้อมเทคโนโลยีเคลือบเลนส์แบบ ZEISS T* Coating ที่ช่วยลดแสงสะท้อน โดยตัวเครื่องจะนูนออกมาจากตัวเครื่องอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงใช้ vivo Pro Imaging Chip V1+ สำหรับประมวลภาพ (ISP) ที่ทาง vivo พัฒนาขึ้นเอง สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพของการบันทึกวิดีโอ โดยมีกล้องตัวหลักที่ใช้เซนเซอร์รับภาพ Sony IMX866 (RGBW) ใหม่ล่าสุดในรุ่น X80 5G และเซนเซอร์ Samsung ISOCELL GNV ในรุ่น X80 Pro 5G ซึ่งรองรับระบบกันสั่นแบบ OIS ผสานกล้องตัวที่สองแบบ Telephoto ที่รองรับระบบป้องกันการสั่นแบบ Gimbal OIS รวมถึงกล้อง Ultra-Wide โดยในรุ่น X80 Pro 5G จะมีกล้องตัวที่สี่แบบ Periscope Telephoto เพิ่มเข้ามา ที่รองรับระบบกันสั่นแบบ OIS และสามารถซูมภาพแบบ Optical ได้ไกล 5 เท่า และแบบ Digital ได้ไกลถึง 60 เท่า ซึ่งรองรับโหมดถ่ายภาพที่ทำให้คุณกลายเป็นมืออาชีพได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็น Pure Night View ที่มากับอัลกอริธึมใหม่ จึงสามารถถ่ายภาพเวลากลางคืนได้สว่างคมชัดมากขึ้น และฟีเจอร์ 50mm ZEISS Gimbal Portrait Camera พร้อมคงเอกลักษณ์เลนส์ ZEISS อย่าง Biotar, Sonnar, Planar และ Distagon ไว้ครบครัน รวมถึงแบบใหม่อย่าง Cinematic ไปจนถึงระบบกันสั่นสำหรับถ่ายวิดีโอโดยเฉพาะแบบ Active Centering OIS System และ 360° Horizon Leveling Stabilization
vivo X80 5G ประมวลผลด้วยชิปเซ็ตระดับท็อปรุ่นล่าสุดจาก MediaTek อย่าง Dimensity 9000 บนเทคโนโลยีการผลิตระดับ 4nm ทางด้าน vivo X80 Pro 5G มากับชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen1 ตัวท็อปประจำปีจากทาง Qualcomm บนเทคโนโลยีการผลิตระดับ 4nm โดยทั้งคู่รองรับเครือข่าย 5G แบบ Dual 5G SIM กับ Wi-Fi 6 ทำงานร่วมกับ RAM แบบ LPDDR5 ขนาด 12GB ซึ่งรองรับเทคโนโลยี Extended RAM 2.0 ที่สามารถขยาย RAM เพิ่มได้อีก 4GB พร้อม ROM แบบ UFS 3.1 ความจุเท่ากันที่ 256GB และรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 80W FlashCharge บนระบบปฏิบัติการ Android 12 ที่ถูกครอบทับด้วย Funtouch OS 12 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด
สำหรับ vivo X80 Series 5G ปรับการดีไซน์ให้คล้ายคลึงกันมากขึ้น โดยมีหน้าจอไร้ขอบลงโค้งทั้งสองด้านเช่นเดียวกัน โดย vivo X80 5G มากับหน้าจอ E5 AMOLED 3D Curved Screen ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ รองรับค่า Refresh Rate ระดับสูงสุด 120Hz ส่วนรุ่น vivo X80 Pro 5G มีหน้าจอที่ไฮเอนด์ขึ้นไปอีกขั้นแบบ 2K E5 LTPO 3.0 AMOLED 3D Curved Screen ขนาดเท่ากันที่ 6.78 นิ้ว โดยมีความละเอียดมากกว่าที่ระดับ 2K WQHD+ พร้อมรองรับค่า Refresh Rate ระดับสูงสุด 120Hz ที่ช่วยให้การใช้งานลื่นไหลกว่าเดิม โดยมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังไว้ใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor) และมีฝาหลังดีไซน์หรูแบบ Ultimate Aesthetic ใหม่ล่าสุด ให้ผิวสัมผัสแบบด้านป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือได้เป็นอย่างดี
vivo X80 5G | X80 Pro 5G มีจุดเด่นที่น่าสนใจอยู่หลายด้าน โดยเฉพาะการถ่ายภาพ และวิดีโอด้วยกล้อง ZEISS ที่มีลูกเล่นต่าง ๆ ครบครัน จัดเต็มเทียบชั้นกล้องโปร รวมถึงการดีไซน์ตัวเครื่องระดับพรีเมียม กับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเริ่มต้นที่ 29,999 บาท ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเพียงใด ไปรับชมรีวิว vivo X80 5G | X80 Pro 5G พร้อมกันได้เลยค่ะ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
vivo X80 5G | X80 Pro 5G มาในแพ็กเกจแบบเดียวกัน ด้วยกล่องสีดำด้านกับผิวสัมผัสคล้ายหนังสังเคราะห์ที่ให้ความพรีเมียมเป็นอย่างดี พร้อมระบุชื่อรุ่นไว้ตรงกลางอย่างชัดเจน
ชุดอุปกรณ์ในกล่องของ vivo X80 5G
ชุดอุปกรณ์ในกล่องของ vivo X80 Pro 5G
โดยภายในกล่องของทัั้ง 2 รุ่น มีอุปกรณ์พื้นฐานมาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น อะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 80W FlashCharge (20V/4A), สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, เคส, หูฟัง, ปลอกซิลิโคนหูฟัง, เข็มสำหรับถอดถาดซิมการ์ด และคู่มือการใช้งาน
vivo X80 5G มาพร้อมหน้าจอแสดงผล E5 AMOLED 3D Curved Screen ขนาด 6.78 นิ้ว ในอัตราส่วนแบบ 20:9 ความละเอียดระดับ Full HD+ (2400x1080 พิกเซล : 388 PPI) พร้อมรองรับค่า Refresh Rate ระดับสูงสุด 120Hz ผสานค่า Touch Sampling Rate ระดับสูงสุดที่ 240Hz และรองรับการแสดงคอนเทนต์แบบ HDR10+ บนตัวเครื่องขนาด 164.95x75.23x8.30 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 206 กรัม
สำหรับ vivo X80 Pro 5G มีหน้าจอแบบ 2K E5 LTPO 3.0 AMOLED 3D Curved Screen ขนาดเท่ากันที่ 6.78 นิ้ว ในอัตราส่วนแบบ 20:9 ความละเอียดระดับ 2K WQHD+ (3200×1440 พิกเซล : 517 PPI) รองรับค่า Refresh Rate แบบปรับอัตโนมัติ (Adaptive) ที่ระดับ 1-120Hz ผสานค่า Touch Sampling Rate ระดับสูงสุดที่ 300Hz หรือ 1000Hz (Instantaneous), รองรับการแสดงผลสีแบบ 10-bit (1.07 พันล้านสี) และรองรับการแสดงคอนเทนต์แบบ HDR10+ พร้อมผ่านการรับรองมาตรฐาน SGS Eye Care และ SGS Seamless ที่ช่วยให้แสดงผลได้อย่างคมชัด และถนอมสายตาในตัว บนตัวเครื่องขนาด 164.57x75.2x9.10 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 219 กรัม
ที่ด้านบนหน้าจอมีการเจาะรูกล้องหน้าที่ตรงกลาง ความละเอียดเท่ากันที่ 32 ล้านพิกเซล (f2.45) เหนือขึ้นไปเป็นลำโพงสำหรับสนทนา พร้อมติดตั้งเซนเซอร์ Proximity สำหรับปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนาเพื่อประหยัดพลังงาน กับเซนเซอร์ Ambient Light สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอ และแผงปุ่มกดให้เหมาะสม
โดยด้านหน้าส่วนล่างประกอบด้วย ปุ่มกดแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่มย้อนกลับ, ปุ่มโฮม และปุ่ม Recent Apps หรือเลือกใช้งานวิธีควบคุมแบบ Gestures ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ด้วย
และมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังไว้ใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor) โดยในรุ่น X80 Pro 5G จะเป็นเทคโนโลยี 3D Ultrasonic ที่ให้พื้นที่การสแกนลายนิ้วมือใหญ่กว่าถึง 11.1 เท่า
ที่ด้านบนของตัวเครื่อง vivo X80 5G | X80 Pro 5G มีข้อความ Professional Photography ที่สื่อถึงความโดดเด่นด้านการถ่ายภาพ พร้อม IR Blaster สำหรับใช้งานแทนรีโมตคอนโทรล และเส้นเสาสัญญาณทั้ง 2 ด้าน
ที่ด้านล่างประกอบด้วย ลำโพงเสียงตัวหลัก, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา และช่องสำหรับถาดใส่ซิมการ์ด nanoSIM แบบ Dual-Slot โดยไม่มีช่องสำหรับ microSD Card และเส้นสัญญาณที่ใกล้กับลำโพง 1 เส้น โดยไม่มีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
ด้านซ้ายของตัวเครื่อง vivo X80 5G | X80 Pro 5G ไม่มีช่อง หรือปุ่มสั่งการใด ๆ โดยจะมีเส้นสัญญาณอยู่ 2 ด้าน
ด้านขวาของตัวเครื่อง มีปุ่มปรับระดับเสียง พร้อมปุ่ม Power สำหรับล็อกหน้าจอ และเปิด-ปิด เครื่อง และเส้นสัญญาณ 1 เส้น
vivo X80 5G | X80 Pro 5G มีฝาหลังดีไซน์พรีเมียมแบบ Ultimate Aesthetic ใหม่ล่าสุด ให้ผิวสัมผัสแบบด้านป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือได้เป็นอย่างดี
โดยรุ่น vivo X80 5G ที่นำมารีวิวเป็นสีฟ้า (Urban Blue)
สำหรับ vivo X80 Pro 5G จะเป็นสีดำ (Cosmic Black) และมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
vivo X80 5G | X80 Pro 5G มาพร้อมกล้องถ่ายภาพจากความร่วมมือกับทาง ZEISS (vivo ZEISS Co-Engineered Imaging System) พร้อมการดีไซน์แบบ Cloud Window 2.0 ที่มีเลนส์ถ่ายภาพจาก ZEISS รวมทั้งเลือกใช้กระจกครอบเลนส์ High-Transmittance Glass Lens ในรุ่น X80 Pro 5G ซึ่งทนต่อการตกกระแทกจากความสูง พร้อมเทคโนโลยีเคลือบเลนส์แบบ ZEISS T* Coating ที่ช่วยลดแสงสะท้อน โดยตัวเครื่องจะนูนออกมาจากตัวเครื่องอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงใช้ vivo Pro Imaging Chip V1+ รุ่นอัปเกรด สำหรับประมวลภาพ (ISP) ที่ทาง vivo พัฒนาขึ้นเอง สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพของการบันทึกวิดีโอ
โดยรุ่น vivo X80 5G มีชุดกล้องหลัง ZEISS 3 ตัว (Triple Camera) แบ่งออกเป็น
- กล้อง Wide ความละเอียด 50
ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX866 (RGBW) ขนาด 1/1.49 นิ้ว,
เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.75, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ
PDAF+Laser AF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Telephoto (Portrait) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX663 ขนาด 1/2.93 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.22
ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.98, ทางยาวโฟกัส 50 มิลลิเมตร, ระบบซูมแบบ 2x
Optical Zoom และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX663 ขนาด 1/2.93 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.22
ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.0, ทางยาวโฟกัส 16 มิลลิเมตร และระบบโฟกัสอัตโนมัติ
สำหรับ vivo X80 Pro 5G มีชุดกล้องหลัง ZEISS 4 ตัว (Quad Camera) ซึ่งประกอบไปด้วย
- กล้อง Wide ความละเอียด 50
ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Samsung ISOCELL GNV ขนาด 1/1.3 นิ้ว,
รูรับแสงขนาด f1.57, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF+Laser AF
และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Periscope Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.4 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน,
รูรับแสงขนาด f3.4, ระบบซูมแบบ 5x Optical Zoom, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF
และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Telephoto (Portrait) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX663 ขนาด 1/2.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.22
ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.85, ระบบซูมแบบ 2x Optical Zoom (ทางยาวโฟกัส 50
มิลลิเมตร), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ
Gimbal OIS
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX598 ขนาด 1/2.0 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f2.2,
มุมรับภาพ 114 องศา และระบบโฟกัสอัตโนมัติ
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่าง ๆ
vivo X80 5G
vivo X80 Pro 5G
vivo X80 5G | X80 Pro 5G ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 12 ครอบทับด้วย Funtouch OS 12 เวอร์ชันล่าสุด ที่มี User Interface รูปแบบใหม่ โดยยังคงเน้นความมินิมอล เรียบหรู สบายตา และใช้งานง่าย โดยทั้งสองรุ่นมี RAM ขนาด 12GB พร้อมเทคโนโลยี Extended RAM 2.0 ที่สามารถขยาย RAM เพิ่มได้อีก 4GB และมี ROM ความจุตัวเครื่อง 256GB ตามลำดับ ที่ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้
และสามารถใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual nanoSIM) พร้อมรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 5G ในประเทศไทย และสามารถสแตนด์บายได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual 5G SIM)
เมื่อกดค้างที่หน้าจอจะเป็นการเข้าสู่เมนูการ ปรับแต่งหน้าจอ โดยผู้ใช้สามารถปรับตำแหน่งของไอคอน พร้อมตั้งค่า Home, Widgets, เปลี่ยน Wallpaper รวมถึงโทนสีของ UI เครื่องได้
เมื่อลากจากขอบด้านบนของหน้าจอลงมาจะพบกับ Notification Center ซึ่งเป็นหน้ารวมสำหรับการแสดงแจ้งเตือนต่าง ๆ และเมื่อปัดลงอีกหนึ่งครั้งจะเป็นการขยายหน้าจอ Toggle Switch ปุ่มลัดสำหรับการเปิด-ปิดฟังก์ชัน ต่าง ๆ
โดยผู้ใช้ยังสามารถปรับแต่งตำแหน่งของคีย์ลัด เองได้ด้วย
พร้อมหน้า Jovi Home ผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่มีเมนู Shortcut ทางลัดสำหรับเข้าถึงการเคลียร์พื้นที่จัดเก็บข้อมูล หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ , Suggestions คำแนะนำช่วยเตือนความจำอันชาญฉลาดเกี่ยวกับสภาพอากาศ การเดินทาง และการพักผ่อนในแต่ละวัน, My Services ช่วยจัดสรรกิจกรรมให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แจ้งเตือนการดื่มน้ำ, รายงานสภาพอากาศ และแจ้งเตือนรายการบันเทิงใหม่ ๆ
เมื่อปัดไปทางด้านขวาจากหน้าโฮมสกรีน จะพบกับ Google Discover หน้าที่รวบรวมข่าวสารที่ได้รับความนิยมในโลกออนไลน์ โดยอ้างอิงจากการค้นหาของผู้ใช้
vivo X80 5G | X80 Pro 5G สามารถปรับตั้งค่าการแสดงผลของหน้าจอได้อย่างหลากหลาย ได้แก่ การปรับความสว่างแบบอัตโนมัติ พร้อมโหมด Eye Protection รวมถึงการปรับโทนสีได้ 3 รูปแบบ และอุณหภูมิสีของหน้าจอ
พร้อม Dark theme ในการเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำ
สามารถปรับค่า Refresh Rate ได้สูงสุดที่ระดับ 120Hz โดยจะช่วยให้การใช้งานต่าง ๆ ลื่นไหลกว่าเดิม โดยรุ่น vivo X80 Pro 5G จะสามารถเลือกความละเอียดหน้าจอได้สูงสุดที่ระดับ 2K WQHD+ (3200x1440 พิกเซล)
รวมถึงเทคโนโลยี Visual enhancement ในการปรับแต่งสี และ contrast ของคอนเทนต์ต่าง ๆ ที่เปิดผ่านแอปพลิเคชันที่รองรับ ให้มีความสวยงาม คมชัดทุกรายละเอียด
รองรับฟังก์ชัน Always On Display สำหรับแสดงเวลา วันที่ และการแจ้งเตือนในหน้า Lockscreen พร้อมเลือกรูปแบบนาฬิกาได้หลากหลายสไตล์
สามารถเลือกใช้งานปุ่ม Navigation Buttons ที่สามารถปรับตามความถนัดของผู้ใช้ หรือเลือกใช้งานวิธีควบคุมแบบ Navigation Gestures ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้
vivoShare สามารถโอนถ่ายข้อมูลทั้งหมดในเครื่องเก่าไปยังโทรศัพท์เครื่องใหม่ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่คลิกเดียว และแชร์ภาพยนตร์ หรือเพลงให้เพื่อนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยของ vivo X80 5G | X80 Pro 5G มีทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ฝังอยู่ใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor) ซึ่งสามารถตั้งค่าการใช้งานเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือสำหรับปลุกการทำงานของเครื่อง หรือปลดล็อกหน้าจอได้ พร้อมทั้งสามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 ลายนิ้วมือ ซึ่งจากการทดสอบตัวเซ็นเซอร์ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอได้รวดเร็วทันใจ
โดยในรุ่น X80 Pro 5G จะเป็นเทคโนโลยี 3D Ultrasonic ที่ให้พื้นที่การสแกนลายนิ้วมือใหญ่กว่าถึง 11.1 เท่า พร้อมยกระดับความปลอดภัยให้แน่นหนาขึ้นไปอีกขั้นด้วยฟังก์ชัน Dual Fingerprint Authentication ที่ต้องสแกนลายนิ้วมือถึง 2 นิ้วในการเข้าสู่แอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้
และระบบการปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Wake) ที่สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถลงทะเบียนได้เพียง 1 ใบหน้าเท่านั้น
vivo X80 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh ส่วน X80 Pro 5G มีแบตเตอรี่ความจุ 4700 mAh พร้อมโหมดประหยัดพลังงานแบบ Battery Saver ที่เมื่อเปิดใช้งานสัญลักษณ์แบตเตอรี่จะเปลี่ยนเป็นสีส้ม พร้อมสัญลักษณ์ + ที่ด้านใน พร้อมปรับการแสดงผลให้เป็น Dark theme และใช้งานอินเทอร์เน็ต 4G+
และรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ 80W FlashCharge ที่ช่วยย่นระยะเวลาในการชาร์จให้เร็วยิ่งขึ้น โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่รุ่น X80 5G จากระดับ 1-50% ในเวลา 11 นาที และสามารถชาร์จแบตเตอรี่รุ่น X80 Pro 5G จากระดับ 1-100% ในเวลา 38 นาที
นอกจากนี้ในรุ่น vivo X80 Pro 5G ยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จไร้สายความเร็วสูงแบบ 50W Wireless FlashCharge รวมถึงฟังก์ชัน Reverse Wireless Charging สำหรับแปลงตัวเองเป็นแท่นชาร์จไร้สายให้กับอุปกรณ์อื่น
สามารถเปลี่ยนรูปแบบ Animation ได้ที่ Dynamic effect ไม่ว่าจะเป็น ไฟวิ่งรอบจอเมื่อมีสายเรียกเข้า, การเข้าสู่หน้า Home, การสแกนใบหน้า และการชาร์จ
รองรับฟังก์ชัน App Clone สำหรับโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน ซึ่งในเบื้องต้นนั้นสามารถโคลนนิ่งได้เฉพาะแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook, Line และ Instagram จึงทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์
สามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาวได้
และมีฟังก์ชัน Screen-Split ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อม ๆ กัน โดยรองรับทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน
vivo X80 5G | X80 Pro 5G ยังมาพร้อมกับฟังก์ชัน Ultra Game Mode ซึ่งเป็นโหมดพิเศษที่ถูกออกแบบมาสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ พร้อมรองรับระบบที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม ป้องกันปัญหาเฟรมเรตตกระหว่างเล่นเกมได้ดีขึ้น และฟังก์ชัน 4D Game Vibration ในการสั่นตามเหตุการณ์ในเกมด้วยมอเตอร์แบบ X-Axis Linear Motor ที่ติดตั้งภายในตัวเครื่อง ซึ่งช่วยเพิ่มอรรถรสให้กับการเล่นเกมอีกด้วย
รวมถึงมี Performance Mode สำหรับเร่งประสิทธิภาพให้อยู่ในขั้นสูงสุด เพื่อการเล่นเกมอย่างลื่นไหล พร้อมฟีเจอร์ป้องกันการโดนขัดจังหวะขณะเล่นเกม โดยการโชว์เบอร์โทรสายเรียกเข้าในรูปแบบ Pop-up ทำให้เกมไม่ถูกสลับไปยังหน้ารับสายสนทนา
สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง vivo X80 5G | X80 Pro 5G นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor และ Magnetic Sensor รวมถึง IR Blaster สำหรับใช้งานตัวเครื่องแทนรีโมตต่าง ๆ
การระบุตำแหน่ง และนำทางมีประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมตามมาตรฐาน ด้วยการรองรับระบบดาวเทียมชั้นนำของโลกครบครัน ทั้ง GPS+A-GPS, Glonass, Galileo, Beidou, QZSS และ NavIC
vivo X80 5G มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Dimensity 9000 บนเทคโนโลยีการผลิตระดับ 4nm แบบ 8-แกน (Octa-Core) มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 3.05 GHz โดยมีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G710 MC10, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 12GB + เทคโนโลยี Extended RAM 2.0 อีก 4GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 256GB
สำหรับ vivo X80 Pro 5G มาพร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen1 บนเทคโนโลยีการผลิตระดับ 4nm แบบ 8-แกน (Octa-Core) มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 3.0 GHz โดยมีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 730 จับคู่กับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 12GB + เทคโนโลยี Extended RAM 2.0 อีก 4GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 256GB
และ vivo X80 5G | X80 Pro 5G รองรับเทคโนโลยี Multi-Turbo 5.0 สำหรับเร่งการประมวลผลด้านต่าง ๆ ของตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น CPU, กราฟิก และการเล่นเกม, การเชื่อมต่อเครือข่าย และการจัดการความร้อน
vivo X80 Pro 5G มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 1,008,876 คะแนน และจากทาง Geekbench 5 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 1,224 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 3,470 คะแนน
สำหรับ vivo X80 5G มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 1,006,739 คะแนน และจากทาง Geekbench 5 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 1,137 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 3,867 คะแนน
vivo X80 Pro 5G มีผลทดสอบการประมวลผลด้านกราฟิกจากแอปพลิเคชัน 3DMark แบบ Wild Life อยู่ที่ 9,883 คะแนน
ด้านรุ่น vivo X80 5G มีผลทดสอบการประมวลผลด้านกราฟิกจากแอปพลิเคชัน 3DMark แบบ Wild Life อยู่ที่ 8,603 คะแนน
vivo X80 5G | X80 Pro 5G รองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด
Marvel Future Fight
Seven Knights 2
Hundred Soul : The Last Savior
จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสาม มิติอย่าง Marvel Future Fight, Seven Knights 2 และ Hundred Soul : The Last Savior พร้อมกับเปิดการแสดงผลกราฟิกระดับสูงสุด รวมถึงการแสดงผลที่ 60fps ก็พบว่า vivo X80 Pro 5G นั้นสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้เป็นอย่างดี มีความลื่นไหลกับกราฟิกในระดับสูง (60 fps) ด้วยการรองรับค่า Refresh Rate ในระดับสูงสุดที่ 120Hz โดยไม่มีการหน่วง หรือกระตุกให้ได้เห็น แต่มีการสะสมความร้อนในระดับหนึ่งเมื่อเล่นเกมติดต่อกันเป็นเวลานาน
และสามารถเล่นได้ยาวนานต่อเนื่องด้วยแบตเตอรี่ ความจุ 4700 mAh อีกทั้งยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 80W FlashCharge ที่ช่วยย่นระยะเวลาในการชาร์จให้เร็วยิ่งขึ้น รวมถึงระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber ขนาด 4,285 มม. ใหญ่สุดเท่าที่มือถือ vivo มีมา และใหญ่กว่ารุ่นก่อนอย่าง X70 ถึง 76% พร้อมแผ่น Graphite ที่ใหญ่ขึ้น 84% จึงช่วยคงอุณหภูมิตัวเครื่องให้คงที่ แม้ใช้งานอย่างหนัก หรือเล่นเกมติดต่อกันเป็นเวลานาน
vivo X80 Pro 5G มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล 2K E5 LTPO 3.0 AMOLED 3D Curved Screen ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียดระดับ WQHD+ (3200×1440 พิกเซล : 517 ppi) มีสัดส่วนการแสดงผล 92.22% ในอัตราส่วนแบบ 19.8:9 จึงสามารถรับชมคอนเทนท์ต่าง ๆ ที่ความละเอียด 2K ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ รวมถึงรองรับคอนเทนต์แบบ HDR10+ พร้อมการแสดงผล 1.07 พันล้านสี และเทคโนโลยี Visual enhancement ในการปรับแต่งสี และ contrast ของคอนเทนต์ต่าง ๆ ที่เปิดผ่านแอปพลิเคชันที่รองรับ ให้มีความสวยงาม คมชัดทุกรายละเอียด
รวมถึงลำโพงเสียง Stereo แบบคู่ พร้อมระบบเสียง Hi-Res Audio และชิปเสียงแยก Hi-Fi CS43131 ที่ช่วยให้การชมคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น
การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
สำหรับการถ่ายภาพทางทีมงานจะเน้นไปที่รุ่น vivo X80 Pro 5G ที่มีกล้อง Periscope Telephoto เพิ่มเข้ามา โดยแบ่งออกเป็น
- กล้อง Wide ความละเอียด 50
ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Samsung ISOCELL GNV ขนาด 1/1.3 นิ้ว,
รูรับแสงขนาด f1.57, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF+Laser AF
และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Periscope Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.4 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน,
รูรับแสงขนาด f3.4, ระบบซูมแบบ 5x Optical Zoom, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF
และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Telephoto (Portrait) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX663 ขนาด 1/2.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.22
ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.85, ระบบซูมแบบ 2x Optical Zoom (ทางยาวโฟกัส 50
มิลลิเมตร), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ
Gimbal OIS
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX598 ขนาด 1/2.0 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f2.2,
มุมรับภาพ 114 องศา และระบบโฟกัสอัตโนมัติ
โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์เรียบหรู สบายตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจน ซึ่งรองรับฟังก์ชันพื้นฐานครบครัน โดยรองรับโหมด HDR, โหมด Super Macro สำหรับถ่ายภาพระยะใกล้ และตั้งค่าอื่น ๆ เพิ่มเติม โดยฟังก์ชัน AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนต่าง ๆ จะอยู่ที่ด้านล่างซ้ายมือ ส่วนขวามือจะเป็นฟิลเตอร์ ซึ่งรองรับการถ่ายภาพมุมกว้างแบบ Ultra-Wide (0.6x) ไปจนถึงการซูมไกลสุดที่ 60 เท่า (60x) ด้วยกล้อง Periscope Telephoto
รองรับการถ่ายภาพบุคคล Portrait Bokeh ฟีเจอร์ 50mm ZEISS Gimbal Portrait Camera ที่ช่วยให้ถ่ายภาพบุคคลได้ง่ายดาย ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น และรองรับการถ่ายในเวลากลางคืน (HDR Super Night Portrait) และสามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ระหว่าง f0.95-f16 (ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ f4.0)
มีโหมด Face Beauty ปรับผิวให้เนียนสวยเป็นธรรมชาติ และเลือกปรับแต่ละส่วนของใบหน้าได้อย่างอิสระ
และโหมด Style ในการปรับโทนสีของการถ่าย Portrait โดยประกอบไปด้วย ลูกเล่นคลาสสิกของ ZEISS อย่าง Biotar, Cinematic, Sonnar, Planar และ Distagon รวมถึงโทนสีอื่น ๆ ให้ได้เลือกถ่ายอีกมากมาย
รวมถึงโหมด Pure Night view สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืนที่มากับเทคโนโลยี AI Deglare และ RAWHDR ที่ช่วยให้ภาพมีความคมชัด จึงทำให้องค์ประกอบของภาพมีความสว่างมากขึ้น และคมชัด ที่รองรับการถ่ายภาพในโหมด Tripod เพื่อเก็บแสงให้มากขึ้นพร้อมถ่ายมุมกว้างแบบ Ultra-Wide (0.6x)
และรองรับการถ่ายมุมกว้างแบบ Panorama รวมถึงโหมดถ่ายดวงจันทร์ (Supermoon) กับดวงดาว (Astro) ซึ่งสองโหมดนี้เหมาะกับการถ่ายท้องฟ้าในคืนที่ปลอดโปร่ง
พร้อมด้วย Night Style ฟิลเตอร์สำหรับปรับโทนสีของภาพให้มีความน่าสนใจมากขึ้นทั้งหมด 9 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่
Black & Gold - ถ่ายภาพโดยเน้นโทนสีดำ และสีทอง
Cyberpunk - ถ่ายภาพโดยเน้นโทนสีม่วง และน้ำเงิน คล้ายกับโลกอนาคต
Dreamy Spotlight - ถ่ายภาพบรรยากาศฟุ้ง ๆ ราวกับในความฝันTextured Black & White - ถ่ายภาพโดยเน้นโทนสีขาว-ดำ
Blue Ice - ถ่ายภาพโดยเน้นโทนสีน้ำเงินเย็น
Green Orange - ถ่ายภาพโดยเน้นโทนสีเขียว และส้ม
Dark Red - ถ่ายภาพโดยเน้นโทนสีแดงเข้ม
Blue Orange - ถ่ายภาพโดยเน้นโทนสีน้ำเงิน และสีส้ม
Silver Orange - ถ่ายภาพโดยเน้นโทนสีเงิน และสีส้ม
vivo X80 Pro 5G มาพร้อมกับรายละเอียดการตั้งค่าต่างๆ ที่ครบครันในโหมด Pro และครอบคลุมสำหรับช่างภาพแทบทั้งหมด โดยรองรับการถ่ายภาพไฟล์ RAW ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลภาพได้มากกว่าเดิม ตอบโจทย์การนำไปปรับแต่งในโปรแกรมต่างๆ อย่างเช่น Lightroom โดยไม่สูญเสียคุณภาพไฟล์
โดย vivo X80 Pro 5G รองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 8K (30 fps) พร้อมเทคโนโลยี AI Video Enhancement ที่ช่วยให้การถ่ายวิดีโอคมชัดในทุกสภาพแสง ไม่ว่าจะในที่แสงน้อย หรือเวลากลางคืน (Super Night Video)
และรองรับเทคโนโลยีกันสั่นแบบ Active Centering OIS System และ 360° Horizon Leveling Stabilization มาช่วยป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวจากทุกทิศทาง โดยสามารถปรับการทำงานได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Standard Stabilization, Ultra Stable และ Horizontal line
โหมด ZEISS Cinematic Video ที่สามารถสร้างเอฟเฟกต์ของเลนส์ภาพยนตร์ ZEISS ได้อย่างแม่นยำ และสร้างแสงแฟลร์ในวิดีโอ ในอัตราส่วนภาพมาตรฐานที่ 2.39:1
ทางด้านกล้องหน้า vivo X80 Pro 5G มีความละเอียด 32 ล้านพิกเซล (f2.45)
รองรับโหมดยอดนิยมอย่าง Portrait Bokeh ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ระหว่าง f0.95-f16 (ค่าเริ่มต้นอยู่ที่ f4.0)
มีโหมด Face Beauty ปรับผิวให้เนียนสวยเป็นธรรมชาติ พร้อมปรับแต่ละส่วนบนใบหน้าได้อย่างอิสระ
และโหมด Style ในการปรับโทนสีของการถ่าย Portrait ให้หลากหลายอารมรณ์มากยิ่งขึ้น
รวมถึงโหมด Night สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่ในเวลากลางคืน ที่สามารถทำงานร่วมกับ Face Beauty ในการปรับผิวเนียน
โดยรองรับการบันทึกวิดีโอด้วยกล้องหน้าความ ละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD 1080p (30 fps) รองรับเทคโนโลยี AI Video Enhancement ที่ช่วยให้ถ่ายวิดีโอคมชัดในทุกสภาพแสง พร้อมโหมด ZEISS Cinematic Video ที่สามารถสร้างเอฟเฟกต์ของเลนส์ภาพยนตร์ ZEISS ได้อย่างแม่นยำ และสร้างแสงแฟลร์ในวิดีโอ ในอัตราส่วนภาพมาตรฐานที่ 2.39:1 เหมือนกับกล้องหลัง
และโหมด Face Beauty ปรับผิวให้เนียนสวย (รองรับที่ความละเอียดสูงสุดระดับ HD 720p 24fps)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 4 ตัว (ZEISS Quad Camera) ความละเอียด 50+8+12+48
ล้านพิกเซล ของ vivo X80 Pro 5G
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดปกติแบบ Ultra-Wide
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดปกติแบบ Ultra-Wide
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดปกติแบบ Ultra-Wide
ตัวอย่างภาพจากโหมด Super Macro
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait Bokeh แบบปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait Bokeh แบบ Biotar
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait Bokeh แบบ Cinematic
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait Bokeh แบบ Sonnar
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait Bokeh แบบ Planar
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait Bokeh แบบ Distagon
ตัวอย่างภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Pure Night View
ตัวอย่างภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Pure Night View มุมกว้างแบบ Ultra-Wide
ตัวอย่างภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Pure Night View
ตัวอย่างภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Pure Night View มุมกว้างแบบ Ultra-Wide
ตัวอย่างภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Pure Night View
ตัวอย่างภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Pure Night View มุมกว้างแบบ Ultra-Wide
ตัวอย่างภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Pure Night View พร้อมฟิลเตอร์แบบต่าง ๆ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซลของ vivo X80 Pro 5G
ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่ในโหมดปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่ในโหมด Face Beauty แบบ Natural
ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่ในโหมด Portrait Bokeh
สรุปผลการทดสอบของ vivo X80 5G | X80 Pro 5G
จากที่มีโอกาสได้ใช้งาน vivo X80 Series 5G ทั้งสองรุ่นใหม่นี้มาได้ระยะหนึ่งก็กล่าวได้ว่า vivo X80 5G กับ X80 Pro 5G เป็นการต่อยอดด้านการถ่ายภาพ และวิดีโอให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ทั้งการพัฒนาตากล้องร่วมกับทางแบรนด์ระดับโลก ZEISS พร้อมดีไซน์การจัดเรียงกล้องหลังแบบ Cloud Window 2.0 และเลือกใช้กระจกครอบเลนส์ High-Transmittance Glass Lens ในรุ่น X80 Pro 5G ซึ่งทนต่อการตกกระแทกจากความสูง พร้อมเทคโนโลยีเคลือบเลนส์แบบ ZEISS T* Coating ที่ช่วยลดแสงสะท้อนได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งยังมีการใช้ vivo Pro Imaging Chip V1+ หน่วยประมวลผลภาพ (ISP) รุ่นอัปเกรดที่ทาง vivo พัฒนาขึ้นเอง สำหรับยกระดับทั้งการถ่ายภาพ และวิดีโอให้ยิ่งขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งถือเป็นมือถือเรือธงที่มีฟีเจอร์เทียบชั้นกล้องโปร และสามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย แม้ไม่ได้เป็นตากล้องมืออาชีพ
vivo X80 Series 5G เลือกใช้เซนเซอร์กล้องหลักต่างกันไปในแต่ละรุ่น โดย X80 5G ใช้เซนเซอร์ Sony IMX866 เทคโนโลยี RGBW Ultra-Sensing Sensor ที่เก็บแสงได้มากยิ่งขึ้น ส่วนรุ่น X80 Pro 5G มากับเซนเซอร์ Samsung ISOCELL GNV ขนาดใหญ่ 1/1.3 นิ้ว จึงสามารถเก็บแสงได้มากขึ้น เรียกได้ว่าทั้งสองรุ่นนี้สามารถถ่ายภาพได้สวยคมชัดในทุกสภาพแสง อีกจุดที่น่าสนใจคือการนำเทคโนโลยีกล้อง Gimbal มาใช้กับเลนส์ Telephoto สำหรับถ่ายภาพบุคคล พร้อมทางยาวโฟกัส 50 มม. (ฟีเจอร์ 50mm ZEISS Gimbal Portrait Camera) ซึ่งช่วยให้สามารถถ่ายภาพแบบ Portrait ได้อย่างสวยงามเทียบชั้นมืออาชีพ และยังมาพร้อมกับรูปแบบ Bokeh อันเป็นเอกลักษณ์ของ ZEISS ให้ได้เลือกใช้งานถึง 5 รูปแบบ ที่ช่วยเสริมความโดดเด่นของภาพให้มากขึ้นไปอีก รวมถึงโหมดถ่ายกลางคืน Pure Night View ที่มากับอัลกอริธึมใหม่ เทคโนโลยี AI Deglare และ RAW HDR จึงสามารถถ่ายภาพเวลากลางคืนได้สว่างคมชัดมากขึ้น และการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงถึงระดับ 8K ในรุ่น X80 Pro 5G พร้อมเทคโนโลยี AI Video Enhancement ที่ช่วยให้การถ่ายวิดีโอคมชัดในทุกสภาพแสง ไม่ว่าจะในที่แสงน้อย หรือเวลากลางคืน (Super Night Video) และยังได้เทคโนโลยีกันสั่นแบบ Active Centering OIS System + 360° Horizon Leveling Stabilization มาช่วยป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวจากทุกทิศทาง เรียกได้ว่าทั้งภาพนิ่ง และวิดีโอ ไม่ว่าจะแบบนิ่ง หรือเคลื่อนไหว vivo X80 Series 5G ก็ตอบโจทย์ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับโหมดใหม่อย่าง ZEISS Cinematic Video ที่สามารถสร้างเอฟเฟกต์ของเลนส์ภาพยนตร์ ZEISS ได้อย่างแม่นยำ และสร้างแสงแฟลร์ในวิดีโอ ในอัตราส่วนภาพมาตรฐานที่ 2.39:1 ซึ่งสามารถสร้างภาพยนตร์ได้อย่างง่ายดายบนมือถือ
คุณสมบัติภายในของ vivo X80 Series 5G ก็เรียกได้ว่ายกเอาความเป็นที่สุดในแต่ละด้านมาใส่ไว้ให้อย่างครบครัน โดย X80 5G มากับชิปเซ็ตตัวท็อปใหม่ล่าสุดของทาง MediaTek อย่าง Dimensity 9000 มีความเร็วในการประมวลผล 3.05GHz ที่ผลิตบนเทคโนโลยีระดับ 4 nm ส่วนทางด้าน X80 Pro 5G มากับชิปเซ็ตเรือธงแห่งปีของทาง Qualcomm อย่าง Snapdragon 8 Gen1 มีความเร็วในการประมวลผล 3.0GHz ที่ผลิตบนเทคโนโลยีระดับ 4 nm เช่นเดียวกัน พร้อมรองรับระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber ที่มีขนาดพื้นที่ 4,285 ตารางมิลลิเมตร เรียกว่าใหญ่สุดเท่าที่มือถือ vivo เคยมีมา และใหญ่กว่ารุ่นก่อนอย่าง X70 ถึง 76% พร้อมแผ่น Graphite ที่ใหญ่ขึ้น 84% จึงช่วยคงอุณหภูมิตัวเครื่องให้คงที่ แม้ใช้งานอย่างหนัก หรือเล่นเกมติดต่อกันเป็นเวลานาน
vivo X80 Series 5G มาพร้อมเทคโนโลยี Multi-Turbo 5.0 สำหรับเร่งการประมวลผลด้านต่าง ๆ ของตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นซีพียู, กราฟิก และการเล่นเกม, การเชื่อมต่อเครือข่าย และการจัดการความร้อน โดยทำงานร่วมกับ RAM แบบ LPDDR5 ขนาด 12 GB ที่รองรับเทคโนโลยี Extended RAM 2.0 สามารถขยาย RAM เสมือนเพิ่มได้อีก 4GB จากพื้นที่ ROM จึงสามารถใช้งานแบบ Multi-Task รวมถึงเล่นเกมที่เน้นกราฟิก 3 มิติในระดับสูงได้อย่างลื่นไหล และมี ROM แบบ UFS 3.1 ขนาด 256 GB ที่แม้จะไม่รองรับการเพิ่มหน่วยความจำภายนอก แต่ก็สามารถรองรับการใช้งานในปัจจุบันได้อย่างเพียงพอ และสามารถใช้งานตัวเครื่องได้ยาวนานด้วยแบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh และ 4700 mAh ตามลำดับ พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 80W FlashCharge โดยในรุ่น X80 Pro 5G ยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จไร้สายความเร็วสูงแบบ 50W Wireless FlashCharge รวมถึงฟังก์ชัน Reverse Wireless Charging สำหรับแปลงตัวเองเป็นแท่นชาร์จไร้สายให้กับอุปกรณ์อื่นด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 12 ที่ถูกครอบทับด้วย Funtouch OS 12 ใหม่ล่าสุด
ด้านการดีไซน์ของ vivo X80 Series 5G ก็พรีเมียมกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการปรับมาใช้หน้าจอลงโค้งแบบ 3D ที่มีขนาดใหญ่ถึง 6.78 นิ้วเหมือนกัน โดย vivo X80 5G มากับหน้าจอ E5 AMOLED 3D Curved Screen ความละเอียดระดับ Full HD+ รองรับค่า Refresh Rate ระดับสูงสุด 120Hz ส่วนรุ่น vivo X80 Pro 5G มีหน้าจอพรีเมียมกว่าแบบ 2K E5 LTPO 3.0 AMOLED 3D Curved Screen มีความละเอียดระดับ 2K WQHD+ พร้อมรองรับค่า Refresh Rate แบบอัตโนมัติ (Adaptive) ที่ระดับ 1-120Hz ซึ่งช่วยให้การใช้งานลื่นไหลกว่าเดิม ผสานค่า Touch Sampling Rate ระดับสูงสุดที่ 300Hz หรือ 1000Hz (Instantaneous) และรองรับการแสดงคอนเทนต์แบบ HDR10+ พร้อมผ่านการรับรองมาตรฐาน SGS Eye Care และ SGS Seamless ที่ช่วยให้แสดงผลได้อย่างคมชัด และถนอมสายตาในตัว รวมถึงมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังไว้ใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor) ซึ่งในรุ่น X80 Pro 5G พิเศษกว่าตรงที่ใช้เทคโนโลยี 3D Ultrasonic ที่ให้พื้นที่การสแกนลายนิ้วมือใหญ่กว่าถึง 11.1 เท่า พร้อมยกระดับความปลอดภัยให้แน่นหนาขึ้นไปอีกขั้นด้วยฟังก์ชัน Dual Fingerprint Authentication ที่ต้องสแกนลายนิ้วมือถึง 2 นิ้วในการเข้าสู่แอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้ และที่ด้านหลังตัวเครื่องมีการดีไซน์หรูแบบ Ultimate Aesthetic ใหม่ล่าสุด ที่ให้ผิวสัมผัสแบบด้านป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือได้เป็นอย่างดี โดยตัวเครื่องของ vivo X80 Pro 5G ยังมาพร้อมคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 อีกด้วย
สำหรับ vivo X80 5G เปิดราคาอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้วที่ 29,999 บาท กับตัวเลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ (Cosmic Black) และสีไล่เฉด (Urban Blue) ส่วนรุ่นใหญ่อย่าง vivo X80 Pro 5G เปิดราคาที่ 39,999 บาท กับตัวเลือกสีเดียวคือสีดำ (Cosmic Black) โดยจะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 พฤษภาคม 2565 นี้เป็นต้นไป
นอกจากนี้ยังมีโปรโมชันสำหรับท่านที่สั่งซื้อล่วงหน้า (Pre-Order) ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 รับของแถมสุดพิเศษดังนี้
- สั่งซื้อ vivo X80 5G ล่วงหน้า รับฟรี บัตร VIP X Series, หม้อทอดไร้น้ำมัน และหูฟัง vivo TWS 2 ANC รวมมูลค่า 14,888 บาท
- สั่งซื้อ vivo X80 Pro 5G ล่วงหน้า รับฟรี บัตร VIP X Series, vivo Wireless Charger และหูฟัง vivo TWS 2 ANC รวมมูลค่า 15,997 บาท
และโปรโมชันราคาพิเศษเมื่อสั่งจองผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 เครือข่าย กับราคาเริ่มต้นเพียง 17,990 บาท เท่านั้น
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง vivo ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง vivo 80 5G และ vivo X80 Pro 5G มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน และขอขอบคุณสถานที่สวย ๆ ของร้านลาภปาก (Laappaak Dining room) สำหรับวันนี้ทางทีมงานต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ
จุดเด่นของ
vivo X80 5G
- ดีไซน์ตัวเครื่องพรีเมียมแบบ Ultimate Aesthetic ใหม่ล่าสุด
ให้ผิวสัมผัสแบบด้านป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือได้เป็นอย่างดี
พร้อมจอแสดงผลขอบโค้งแบบ 3 มิติ (3D Curved) และการจัดวางกล้องแบบ Cloud
Window 2.0
- ด้านหลังตัวเครื่องครอบทับด้วยกระจก พร้อมกรอบตัวเครื่องที่ผลิตจากโลหะอะลูมิเนียม
- ระบบระบายความร้อนแบบ Ultra Large Liquid Cooling Vapor Chamber
- มีตัวเลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ (Cosmic Black) และสีฟ้า (Urban Blue)
------------------------------------------------------------------
- จอแสดงผลแบบ E5 AMOLED 3D Curved Screen ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2400x1080 พิกเซล : 388 PPI)
- อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz
- อัตราการตอบสนองของระบบสัมผัส (Touch Sampling Rate) สูงสุดที่ 240Hz
- ความสว่างสูงสุด 1000 nits
- รองรับช่วงสีแบบ DCI-P3 ได้ 100%
- รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10+
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor) พร้อมระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock)
------------------------------------------------------------------
- ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 9000
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G710 MC10
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ขนาด 12 GB พร้อมเทคโนโลยี Extended RAM 2.0
ที่สามารถขยาย RAM เพิ่มได้สูงสุด 4 GB ด้วย Internal Storage (ROM)
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) แบบ UFS 3.1 ขนาด 256 GB
- แบตเตอรี่ Li-Ion ความจุ 4500 mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 80W FlashCharge (20V/4A)
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 12 พร้อมครอบทับด้วย Funtouch OS 12
------------------------------------------------------------------
กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย
- กล้อง Wide ความละเอียด 50
ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX866 (RGBW) ขนาด 1/1.49 นิ้ว,
เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.75, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ
PDAF+Laser AF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Telephoto (Portrait) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX663 ขนาด 1/2.93 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.22
ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.98, ทางยาวโฟกัส 50 มิลลิเมตร, ระบบซูมแบบ 2x
Optical Zoom และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX663 ขนาด 1/2.93 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.22
ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.0, ทางยาวโฟกัส 16 มิลลิเมตร และระบบโฟกัสอัตโนมัต
พร้อมการพัฒนากล้องร่วมกับ ZEISS (Co-Engineered with ZEISS),
เทคโนโลยีการเคลือบเลนส์กล้องแบบ ZEISS T* Coating ซึ่งช่วยลดการเกิด Stray
Lights และ Ghosting Effects เพื่อให้เก็บข้อมูลสีได้ถูกต้องทั้งตอนกลางวัน
และกลางคืน รวมถึงใช้ vivo Pro Imaging Chip V1+ สำหรับประมวลภาพ (ISP)
ที่ทาง vivo พัฒนาขึ้นเอง
สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพของการบันทึกวิดีโอให้สวยคมชัดในทุกสภาพแสง
รองรับโหมด Portrait Bokeh ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ (f16-f0.95)
พร้อมรูปแบบ Bokeh เอกลักษณ์ของ ZEISS ทั้งหมด 5 แบบ,
โหมดถ่ายภาพความละเอียดสูง High Resolution, โหมดถ่ายภาพกลางคืน Pure Night
view สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืนที่มากับเทคโนโลยี AI Deglare และ RAWHDR
ที่ช่วยให้องค์ประกอบของภาพมีความสว่างมากขึ้น และคมชัด พร้อมด้วย Night
Style ฟิลเตอร์สำหรับปรับโทนสีของภาพให้มีความน่าสนใจมากขึ้นทั้งหมด 9
รูปแบบ, โหมดถ่ายดวงจันทร์ (Supermoon) และดวงดาว (Astro),
รองรับการบันทึกวิดีโอสูงสุดที่ระดับ 4K UHD (60 fps)
พร้อมเทคโนโลยีกันสั่นแบบ Active Centering OIS System และ 360° Horizon
Leveling Stabilization, ฟีเจอร์ ZEISS Cinematic Video Bokeh และ AI Video
Enhancement ช่วยให้ถ่ายวิดีโอในเวลากลางคืนได้อย่างคมชัด
และ ZEISS Cinematic Video
โหมดสำหรับการถ่ายวิดีโอสำหรับสร้างภาพยนตร์บนมือถือ
ในอัตราส่วนภาพมาตรฐานที่ 2.39:1
กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.8 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน,
รูรับแสงขนาด f2.45, รองรับโหมด Face Beauty ปรับผิวให้สวยเป็นธรรมชาติ พร้อม
Pose Master ในการแนะนำท่าโพสที่สวยงามให้กับผู้ถ่าย, โหมดถ่ายภาพบุคคล
Portrait ที่สามารถปรับค่าความเบลอได้ (f16-f1.0), โหมด Night
สำหรับถ่ายเซลฟี่เวลากลางคืน หรือที่แสงน้อย
และการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD 1080p พร้อม Face
Beauty และ ZEISS Cinematic Video
โหมดสำหรับการถ่ายวิดีโอแนวภาพยนตร์บนมือถือด้วยกล้องหน้า
------------------------------------------------------------------
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 6 (Dual Band (2.4/5 GHz), 5G, 4G
LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.3 และ IR Blaster
- ระบุตำแหน่ง และนำทางด้วยระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, Galileo,
BeiDou, QZSS และ NavIC
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C (USB 2.0) พร้อมรองรับการใช้งาน OTG (USB
On-the-Go)
- ลำโพงเสียงแบบคู่ (Dual Stereo Speaker)
- มอเตอร์ระบบสั่นแบบ X-axis Linear Motor
- ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ (Jovi)
- ฟังก์ชัน App Clone สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน
2 แอคเคานท์
- ราคา 29,999 บาท
จุดเด่นของ
vivo X80 Pro 5G
- ดีไซน์ตัวเครื่องพรีเมียมแบบ Ultimate Aesthetic ใหม่ล่าสุด
ให้ผิวสัมผัสแบบด้านป้องกันการเกิดรอยนิ้วมือได้เป็นอย่างดี
พร้อมจอแสดงผลขอบโค้งแบบ 3 มิติ (3D Curved) และการจัดวางกล้องแบบ Cloud
Window 2.0
- ด้านหลังตัวเครื่องครอบทับด้วยกระจก พร้อมกรอบตัวเครื่องที่ผลิตจากโลหะอะลูมิเนียม
- ระบบระบายความร้อนแบบ Ultra Large Liquid Cooling Vapor Chamber
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการทนน้ำ และทนฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68 (ทนน้ำได้ลึกสูงสุด 1.5 เมตร นานต่อเนื่องสูงสุด 30 นาที)
- มีตัวเลือกสีเดียว ได้แก่ สีดำ (Cosmic Black)
------------------------------------------------------------------
- จอแสดงผลแบบ E5 LTPO2 AMOLED 3D Curved Screen ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียดระดับ 2K WQHD+ (3200x1440 พิกเซล : 517 PPI)
- เทคโนโลยี LTPO 3.0 พร้อมอัตราการรีเฟรชแบบ Adaptive Refresh Rate ที่ระดับ
1Hz-120Hz ซึ่งช่วยให้ประหยัดพลังงานได้สูงสุด 50%
- อัตราการตอบสนองของระบบสัมผัส (Touch Sampling Rate) สูงสุดที่ 300Hz หรือ 1000Hz (Instantaneous)
- รองรับการแสดงผลสีแบบ 10-bit (1.07 พันล้านสี)
- ความสว่างสูงสุด 1500 nits
- ค่า Contrast Ratio 8,000,000:1
- รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10+
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor)
แบบ 3D Ultrasonic ที่มีพื้นที่การสแกนลายนิ้วมือใหญ่กว่าถึง 11.1 เท่า
- ฟังก์ชัน Dual Fingerprint Authentication กำหนดให้สแกนลายนิ้วมือถึง 2
นิ้วในการเข้าสู่แอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้
- ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock)
------------------------------------------------------------------
- ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8 Gen 1 (SM8450)
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 730
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ขนาด 12 GB พร้อมเทคโนโลยี Extended RAM 2.0
ที่สามารถขยาย RAM เพิ่มได้สูงสุด 4 GB ด้วย Internal Storage (ROM)
- หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 3.1 ขนาด 256GB
- แบตเตอรี่ Li-Ion ความจุ 4700 mAh
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 80W FlashCharge (20V/4A)
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่ไร้สายความเร็วสูงแบบ 50W Wireless FlashCharge
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 12 พร้อมครอบทับด้วย Funtouch OS 12
------------------------------------------------------------------
กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว (Quad Camera) ประกอบด้วย
- กล้อง Wide ความละเอียด 50
ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Samsung ISOCELL GNV ขนาด 1/1.3 นิ้ว,
รูรับแสงขนาด f1.57, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF+Laser AF
และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Periscope Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.4 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน,
รูรับแสงขนาด f3.4, ระบบซูมแบบ 5x Optical Zoom, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF
และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Telephoto (Portrait) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX663 ขนาด 1/2.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.22
ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.85, ระบบซูมแบบ 2x Optical Zoom (ทางยาวโฟกัส 50
มิลลิเมตร), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ
Gimbal OIS
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX598 ขนาด 1/2.0 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f2.2,
มุมรับภาพ 114 องศา และระบบโฟกัสอัตโนมัติ
พร้อมการพัฒนากล้องร่วมกับ ZEISS (Co-Engineered with ZEISS),
เทคโนโลยีการเคลือบเลนส์กล้องแบบ ZEISS T* Coating ซึ่งช่วยลดการเกิด Stray
Lights และ Ghosting Effects
เพื่อให้เก็บข้อมูลสีได้ถูกต้องทั้งตอนกลางวัน-กลางคืน และใช้กระจกครอบเลนส์
High-Transmittance Glass Lens รวมถึงใช้ vivo Pro Imaging Chip V1+
สำหรับประมวลภาพ (ISP) ที่ทาง vivo พัฒนาขึ้นเอง
สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพของการบันทึกวิดีโอให้สวยคมชัดในทุกสภาพแสง
รองรับการซูมไกลสุดที่ 60 เท่า แบบ 60x HyperZoom, โหมด Portrait Bokeh
พร้อมฟีเจอร์ 50mm ZEISS Gimbal Portrait Camera
ที่ช่วยให้ถ่ายภาพบุคคลได้ง่ายดาย ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น
โดยสามารถปรับระดับความเบลอได้ (f16-f0.95) และรูปแบบ Bokeh เอกลักษณ์ของ
ZEISS ทั้งหมด 5 แบบ, โหมดถ่ายภาพความละเอียดสูง High Resolution,
โหมดถ่ายภาพกลางคืน Pure Night view
สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืนที่มากับเทคโนโลยี AI Deglare และ RAWHDR
ที่ช่วยให้องค์ประกอบของภาพมีความสว่างมากขึ้น และคมชัด พร้อมด้วย Night
Style ฟิลเตอร์สำหรับปรับโทนสีของภาพให้มีความน่าสนใจมากขึ้นทั้งหมด 9
รูปแบบ, โหมดถ่ายดวงจันทร์ (Supermoon) และดวงดาว (Astro),
รองรับการบันทึกวิดีโอสูงสุดที่ระดับ 8K (30 fps) พร้อมเทคโนโลยีกันสั่นแบบ
Active Centering OIS System และ 360° Horizon Leveling Stabilization,
ฟีเจอร์ ZEISS Cinematic Video Bokeh และ AI Video Enhancement
ช่วยให้ถ่ายวิดีโอในเวลากลางคืนได้อย่างคมชัด
ที่ได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยกล้อง Gimbal แบบ Ultra-Sensing
และ ZEISS Cinematic Video
โหมดสำหรับการถ่ายวิดีโอสำหรับสร้างภาพยนตร์บนมือถือ
ในอัตราส่วนภาพมาตรฐานที่ 2.39:1
กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.8 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน,
รูรับแสงขนาด f2.45, รองรับโหมด Face Beauty ปรับผิวให้สวยเป็นธรรมชาติ พร้อม
Pose Master ในการแนะนำท่าโพสต์ที่สวยงามให้กับผู้ถ่าย, โหมดถ่ายภาพบุคคล
Portrait ที่สามารถปรับค่าความเบลอได้ (f16-f1.0), โหมด Night
สำหรับถ่ายเซลฟี่เวลากลางคืนหรือที่แสงน้อย
และการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD 1080p พร้อม Face
Beauty และ ZEISS Cinematic Video
โหมดสำหรับการถ่ายวิดีโอแนวภาพยนตร์บนมือถือด้วยกล้องหน้า
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 6 (Dual Band (2.4/5 GHz), 5G, 4G
LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.2 และ IR Blaster
- ระบุตำแหน่ง และนำทางด้วยระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, Galileo,
BeiDou, QZSS และ NavIC
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C (USB 2.0) พร้อมรองรับการใช้งาน OTG (USB
On-the-Go)
- ลำโพงเสียงแบบคู่ (Dual Stereo Speaker) พร้อมชิปเสียง Hi-Fi CS43131
- มอเตอร์ระบบสั่นแบบ X-axis Linear Motor
- ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ (Jovi)
- ฟังก์ชัน App Clone สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน
2 แอคเคานท์
- ราคา 39,999 บาท
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ vivo X80 5G
- ไม่รองรับเทคโนโลยีชาร์จแบบไร้สาย
- ไม่มีระบบป้องกันการสั่นแบบ Gimbal ที่กล้องถ่ายภาพบุคคล (Portrait)
- ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอก ด้วยการ์ดแบบ microSD Card
หรือแบบอื่น ๆ ได้
- ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักพอสมควร
จึงทำให้เมื่อยล้าได้ง่ายหากถือใช้งานเป็นเวลานาน
- ตัวเครื่องไม่มีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่น
- ไม่มีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ vivo X80 Pro 5G
- ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอก ด้วยการ์ดแบบ microSD Card
หรือแบบอื่น ๆ ได้
- ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักพอสมควร
จึงทำให้เมื่อยล้าได้ง่ายหากถือใช้งานเป็นเวลานาน
- ไม่มีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
- มีตัวเลือกเพียงแค่สีเดียว (สีดำ Cosmic Black)
สรุปคุณสมบัติเครื่อง
ท่าน สามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ vivo X80 5G และ vivo X80 Pro 5G ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้
สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ vivo X80 5G
สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ vivo X80 Pro 5G
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบ หรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
วันที่ : 19/05/2022