รีวิว (Review) Vivo X50 Pro 5G
สมาร์ทโฟนกล้องกันสั่น Gimbal รุ่นแรกของโลก พร้อมจอลื่น 90Hz และชิปเสียง Hi-Fi บนดีไซน์สวยล้ำ ด้วยกล้องโปร Big Eye Gimbal AI Quad Camera ที่นิ่งยิ่งกว่า OIS, จอ E3 AMOLED สวยเนียนตาระดับ 90Hz, ชิปเซ็ต Snapdragon 765G, RAM 8GB+ROM 256GB, แบตเตอรี่ 33W vivo Flash Charge 2.0 จุใจ 4315 mAh และชิปเสียง Hi-Fi AK4377A บนดีไซน์ 3D Curved พรีเมียมบางเบา ในราคา 24,999 บาท
15 กันยายน 2020 - ย้อนกลับไปช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมา Vivo ได้ทำการเปิดตัวคอนเซ็ปต์โฟนแห่งอนาคตภายใต้ชื่อ Vivo APEX 2020 ซึ่งมาพร้อมกับนวัตกรรมสุดล้ำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกล้องหน้าที่สามารถทำงานใต้หน้าจอแสดงผลได้, ระบบชาร์จไร้สาย 60W ไปจนถึงระบบกล้องถ่ายภาพกันสั่นไหวแบบ Gimbal ซึ่งแม้ว่า Vivo APEX 2020 จะเป็นเพียงแค่คอนเซ็ปต์โฟนที่ยังไม่มีการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่ในปัจจุบันฟีเจอร์บางอย่างของคอนเซ็ปต์โฟนสุดล้ำรุ่นดังกล่าว ก็ได้สืบทอดมายังสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในตระกูล X Series เป็นที่เรียบร้อยแล้วกับรุ่น Vivo X50 Pro 5G สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับกล้องถ่ายภาพที่มีระบบกันสั่นแบบ Gimbal อย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลก ในชื่อว่า Big Eye AI Quad Camera
สำหรับ Vivo X50 Pro 5G นอกเหนือจากจะมีจุดเด่นด้านการถ่ายภาพแล้ว ยังมาพร้อมกับคุณสมบัติหลายอย่างที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น การเลือกใช้ชิปเซ็ตระดับรองท็อปอย่าง Qualcomm Snapdragon 765G ที่ ขึ้นชื่อด้านความเร็วแรงในการประมวลผล, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB เพื่อรองรับการเปิดใช้งานหลายแอปพลิเคชันได้อย่างลื่นไหล, หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาดจุใจที่ 256GB, หน้าจอแสดงผลแบบ E3 AMOLED ขอบโค้งที่มีค่า Refresh Rate สูงสุดที่ระดับ 90Hz ไปจนถึงระบบชาร์จเร็วแบบ vivo FlashCharge 2.0 ที่มีกำลังในการจ่ายไฟสูงสุด 33W ทำให้ช่วยเติมพลังงานกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ความจุ 4315 mAh ได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ เรื่องความบันเทิงก็ไม่ธรรมดา ด้วยระบบเสียงแบบ Hi-Fi ด้วยชิปเสียง AK4377A ที่เชื่อได้ในคุณภาพเสียง และรองรับไฟล์เสียงความละเอียดสูงแบบ Hi-Res
จากคุณสมบัติด้านต้นจะเห็นได้ว่า Vivo X50 Pro 5G นั้นเป็นสมาร์ทโฟน 5G ไฮเอนด์อีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจในช่วงนี้ไม่แพ้รุ่นใด โดยตัวเครื่องจริงของ Vivo X50 Pro 5G จะเป็นอย่างไร และจะมีเจอร์อะไรที่ตอบโจทย์การใช้งานของท่านได้บ้าง ไปติดตามรับชมรีวิวฉบับเต็มพร้อมกันได้เลยครับ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
Vivo X50 Pro 5G มาพร้อมกับกล่องผลิตภัณฑ์สีน้ำเงินอันเป็นเอกลักษณ์ของ Vivo โดยลวดลายของกล่องผลิตภัณฑ์จะมีการเล่นสี และลวดลายเป็นรูปตัว X สื่อถึงสมาร์ทโฟนตระกูล X Series ที่มักจะมาพร้อมกับนวัตกรรมสุดล้ำ
อุปกรณ์ภายในกล่องประกอบไปด้วย คู่มือการใช้งาน, เคสใส, เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด, สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C สำหรับโอนถ่ายข้อมูล และใช้งานร่วมกับอแดปเตอร์จ่ายไฟเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ให้กับสมาร์ทโฟน, อแดปเตอร์จ่ายไฟแบบ 11V/3A (33W) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ Vivo FlashCharge 2.0
มาที่ตัวเครื่องกันบ้าง สำหรับ Vivo X50 Pro 5G ถูกออกแบบมาตามคอนเซ็ปต์ X-Class Design ที่เน้นด้านการดีไซน์แบบสะอาดตา และความสวยงามแบบร่วมสมัย ด้วยหน้าจอแสดงผลขอบโค้ง 3D แบบ AMOLED ขนาด 6.56 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (2376x1080 พิกเซล) พร้อมค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz ช่วยให้การแสดงผลเป็นไปอย่างลื่นไหลมากยิ่งขึ้น
นอกจากความสวยงามแล้ว หน้าจอแสดงผลของ Vivo X50 Pro 5G ยังมาพร้อมกับคุณสมบัติที่น่าสนใจหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ค่า Response Rate ระดับ 180Hz ช่วยตอบสนองต่อการทัชสกรีนได้อย่างรวดเร็วทันใจ, พื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องสูงถึง 92%, ความสว่างของหน้าจอสูงสุด 1300nit ช่วยให้ใช้งานสมาร์ทโฟนกลางแจ้งได้อย่างสะดวก, ค่า Contrast ที่ 6,000,000:1 ช่วยให้การแสดงผลระหว่างส่วนที่มืดสุด และสว่างสุดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น, รองรับการแสดงสีสันตามขอบเขตสีแบบ DCI-P3, ฟังก์ชันการตัดแสงสีฟ้าที่อาจเป็นอันตรายต่อดวงตาได้มากถึง 61% เมื่อเทียบกับหน้าจอแบบ LCD ทั่วไป
ที่ด้านบนของหน้าจอแสดงผลมาพร้อมกับกล้องหน้าแบบเจาะรูความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.45 ซึ่งแม้ว่ากล้องหน้าของ Vivo X50 Pro 5G จะมีความละเอียดที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ในปัจจุบัน แต่สำหรับโมดูลกล้องหน้าจะมีขนาดเล็กด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 3.96 มม. เท่านั้น ทำให้ติ่งของกล้องหน้าไม่รบกวนขณะใช้งานมากนัก
ที่ด้านล่างของหน้าจอมาพร้อมกับปุ่มควบคุมแบบสัมผัส (On-Screen Navigation) ประกอบไปด้วย ปุ่ม Recent App สำหรับเรียกดูแอปพลิเคชันทั้งหมดที่กำลังทำงานอยู่, ปุ่ม Home สำหรับย้อนกลับไปยังหน้าโฮมสกรีน และปุ่ม Back สำหรับย้อนกลับ นอกจากนี้ พื้นที่ส่วนล่างของหน้าจอยังติดตั้งระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-Screen Fingerprint) เอาไว้ด้วย
ที่ด้านบนของตัวเครื่องติดตั้งไมโครโฟนตัวที่
สอง สำหรับช่วยตัดเสียงรบกวน
ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีเส้นเสารับสัญญาณพาดไว้ ไม่มีปุ่มควบคุมใดๆ
ที่ด้านขวาของตัวเครื่องประกอบไปด้วย ปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่ม Power สำหรับล็อกหน้าจอแสดงผล และเปิด-ปิด เครื่อง
ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วย ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบUSB Type-C และลำโพงเสียงตัวหลัก
ที่ ด้านหลังของตัวเครื่องมาพร้อมกับสีสันแบบใหม่ที่ชื่อว่า Alpha Grey โดยจะเป็นสีเทาอมฟ้าที่สื่อถึงการผสมผสานระหว่างแฟชัน และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน โดยผิวสัมผัสจะเป็นแบบด้านทำให้เกิดคราบเปื้อนของรอยนิ้วมือได้ยากกว่าฝาหลังแบบมันเงา
ที่ด้านบนติดตั้งชุดกล้องหลังจำนวน 4 ตัว (Big Eye AI Quad Camera) แบ่งออกเป็น
- กล้องตัวหลัก (Main) แบบ Big Eye Gimbal Camera ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Gimbal Camera
System (Double-Ball+Closed-Loop Motor), รูรับแสงกว้าง f/1.6, เซนเซอร์รับภาพ Sony IMX598 และโครงสร้างแบบ 7 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Portrait ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง
f/2.46 และทางยาวโฟกัส 50 มิลลิเมตร
- กล้อง Super Wide-Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง f/2.2, มุมรับภาพ 120 องศา (เก็บภาพจริง 108 องศา) และรองรับการถ่ายภาพแบบ Macro ได้ใกล้สุดที่ระยะ 2.5 เซนติเมตร
- กล้อง Periscope Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง f/3.4, รองรับการซูมภาพแบบ Optical 5 เท่า (5x Optical Zoom)
และรองรับการซูมภาพสูงสุดที่ระดับ 60 เท่า (60x Hyper Zoom)
ไฮไลท์เด่นของ Vivo X50 Pro 5G คงหนีไม่พ้นนวัตกรรมกล้องแบบ Big Eye ที่เป็นการนำไม้กันสั่น (Gimbal) มาใส่ไว้ในกล้องสมาร์ทโฟนเป็นครั้งแรกของโลก โดย Vivo ตั้งชื่อว่า Gimbal Camera System โดยชุดกล้องตัวหลักแบบ Big Eye จะถูกติดตั้งไว้ในระบบ Double-ball Suspension Mount อีกหนึ่งชั้น โดยใช้ระบบกลไกในการขยับเลนส์กล้องแบบ 3D เพื่อช่วยป้องกันภาพสั่นไหว ซึ่งทาง Vivo ระบุว่า Gimbal Camera System สามารถครอบคลุมเฟรมภาพได้มากกว่า OIS ถึง 300% ส่งผลให้การถ่ายวิดีโอในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การเดิน, วิ่ง หรือทำกิจกรรมแบบ Extreme ภาพวิดีโอที่ออกมาก็จะมีความนิ่งราวกับใช้ไม้กันสั่นนั่นเอง
นอกเหนือจากฮาร์ดแวร์แล้ว ซอฟต์แวร์ด้านการถ่ายภาพของ Vivo X50 Pro 5G ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยมาพร้อมกับโหมดการถ่ายภาพแบบใหม่ในชื่อ Pro Sports Mode ช่วยจับภาพที่มีการเคลื่อนไหวให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ได้อย่างง่ายดาย ผ่านการทำงานร่วมกับระบบกันสั่นแบบ Gimbal Camera System รวมถึงเซนเซอร์รับภาพที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Motion AF Tracking สำหรับโฟกัสวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหวขณะถ่ายวิดีโอ รวมถึงโหมดการถ่ายภาพแบบ Super Night Mode ที่ถ่ายภาพได้อย่างสว่างคมชัดมากยิ่งขึ้น
เปิดเครื่องใช้งาน
พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ
Vivo X50 Pro 5G มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย Funtouch OS 10.5 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ที่มีการปรับปรุงหน้าตาของ User Interface ให้มีความทันสมัย และปรับปรุงฟีเจอร์ต่างๆ รวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น
สำหรับหน้าโฮมสกรีนของ Vivo X50 Pro 5G มีการจัดเรียงไอคอนแอปพลิเคชันที่ใช้งานบ่อย ส่วนแอปพลิเคชันอื่นๆ จะถูกจัดวางเก็บไว้ใน App Drawer อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งผู้ใช้สามารถเรียกใช้งานได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่ปัดนิ้วขึ้นมาจากขอบด้านล่างสุดเท่านั้น
อีกหนึ่งสิ่งที่ค่อนข้างสะดุดตาเมื่อเปิดใช้งาน Vivo X50 Pro 5G ก็คือ ภาพพื้นหลังแบบเคลื่อนไหว ที่แสดงให้ถึงความลื่นไหลของหน้าจอที่มีค่า Refresh Rate สูงระดับ 90Hz และยังแสดงสีสันของหน้าจอคุณภาพสูงแบบ Super AMOLED ของ Vivo X50 Pro 5G ได้เป็นอย่างดี
เมื่อลากนิ้วจากขอบบนลงมายังด้านล่างจะพบกับ Shortcut Switches ซึ่งเป็นคีย์ลัดสำหรับการตั้งค่าตัวเครื่องแบบเร่งด่วน โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งการจัดเรียงของไอคอนได้ด้วยตนเองผ่านการแตะที่ไอคอนรูป ดินสอบริเวณด้านบน
ถัดมาที่ด้านล่างจะเป็นพื้นที่สำหรับแสดงการ แจ้งเตือนต่างๆ (Notification Center) ซึ่งใน Funtouch OS 10.5 จะรวมการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันเดียวกันไว้เป็นหมวดหมู่ เพื่อช่วยให้หน้า Notification Center มีความสะอาดตามากยิ่งขึ้น
เมื่อลากนิ้วจากด้านบนของหน้าโฮมสกรีนลงมายัง ด้านล่าง จะเป็นการเปิดใช้ฟีเจอร์ Global Search ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาแอปพลิเคชัน, ข้อมูลภายในเว็บไซต์ รวมถึงไฟล์ต่างๆ ภายในตัวเครื่องได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อปัดไปทางด้านซ้ายสุดของหน้าโฮมสกรีน จะพบกับ Google Feed ซึ่งเป็นหน้ารวบรวมข่าวสารอัปเดตล่าสุดจาก Google เพื่อไม่ให้ผู้ใช้พลาดทุกเหตุการณ์สำคัญ
สำหรับแอปพลิเคชันที่ติดตั้งมากับตัวเครื่อง จะแบ่งเป็นแอปพลิเคชันพื้นฐานจาก Google และ Vivo โดยแอปพลิเคชันจาก Google ก็ได้แก่ Gmail, Google Maps, Youtube, Google Drive, Youtube Music, Google Play Movies, Google Duo, Google Photos, Google Ones, Podcast และ Lens
ส่วนแอปพลิเคชันพื้นฐานจาก Vivo ได้แก่ i Manager, Themes, EasyShare, V-Appstore และ vivoCloud
สำหรับแอปพลิเคชัน iManager จะเป็นแอปฯ สำหรับตรวจสอบ และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของตัวเครื่อง ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกล้างไฟล์ขยะที่ไม่จำเป็น, ตรวจสอบความปลอดภัยโดยรวม, ตรวจสอบการใช้งานอินเทอร์เน็ตมือถือ รวมถึงจัดการการขอสิทธิเข้าถึงจากแอปพลิเคชันต่างๆ ได้โดยทันที ซึ่งหากใครที่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานแบบเร่งด่วน ก็สามารถแตะที่ไอคอน One-touch Optimization ได้เช่นเดียวกัน
ด้านแอปพลิเคชัน Themes จะเป็นแหล่งรวบรวมธีม และวอลเปเปอร์ในรูปแบบต่างๆ
ส่วนทางด้านแอปพลิเคชัน vivoCloud เป็นบริการสำหรับเก็บไฟล์สำคัญภายในตัวเครื่องไว้บนระบบคลาวด์ โดยผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดกลับมาใช้งานได้ทุกเมื่อเพียงแค่ล็อกอินบัญชี Vivo เท่านั้น
มาดูที่ลูกเล่นด้านการใช้งานกันบ้าง สำหรับ Vivo X50 Pro 5G รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 5G ในช่องใส่ซิมการ์ดที่ 1 ส่วนซิมการ์ดที่สองจะรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE / 3G และ 2G เท่านั้น แต่จากที่ทีมงานทดสอบก็พบว่า การเปิดใช้งาน 5G บน Vivo X50 Pro 5G จะไม่สามารถทำได้หากผู้ใช้กำลังสแตนด์บายแบบ 2 ซิมการ์ด ทำให้จำเป็นต้องใช้งานแค่เพียงซิมการ์ดเดียวเท่านั้น แต่ในอนาคต Vivo จะมีการปล่อยอัปเดตซอฟต์แวร์แก้ไขในจุดนี้ต่อไป
นอกจากนี้ Vivo X50 Pro 5G ยังรองรับการเชื่อมต่อแบบ NFC, Smart Mirroring สำหรับแชร์ภาพจากสมาร์ทโฟนไปยังสมาร์ททีวี รวมถึงยังรองรับการเชื่อมต่อผ่านอุปกรณ์ OTG
มาพร้อมกับฟีเจอร์ Eye Protection สำหรับปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอแสดงผลให้อยู่ในโทนอุ่น เพื่อช่วยให้สามารถใช้งานได้อย่างสบายตามากยิ่งขึ้น
และที่สำคัญ ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Dark Mode สำหรับปรับการแสดงผลของ User Interface ให้อยู่ในโทนสีดำ เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน และยังช่วยให้ใช้งานได้สบายตาในที่แสงน้อย
รองรับการปรับสีสันของการแสดงผลได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Standard Mode, Normal Mode และ Bright Mode
สามารถปรับเปลี่ยนฟอนท์ได้ด้วยตนเอง และสามารถดาวน์โหลดฟอนท์เพิ่มเติมได้อีกด้วย รวมทั้งยังปรับขนาดของฟอนท์ได้ทั้งหมด 7 ระดับ
ไฮไลท์เด่นของ Vivo X50 Pro 5G คือหน้าจอแสดงผลที่มีค่า Refresh Rate ระดับสูงสุด 90Hz โดยผู้ใช้สามารถสลับการแสดงผลของหน้าจอได้ทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ Smart Switch สำหรับปรับค่า Refresh Rate ให้เหมาะสมกับคอนเทนต์แบบอัตโนมัติ, 60Hz สำหรับแสดงผลตามค่าพื้นฐาน เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน และ 90Hz สำหรับแสดงผลตามค่า Refresh Rate สูงสุด เพื่อช่วยให้การแสดงผลเป็นไปอย่างลื่นไหล
รองรับการใช้งานร่วมกับฟีเจอร์ Always On Display สำหรับแสดงการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่างๆ ขณะที่หน้าจอดับอยู่ ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของนาฬิกา และสีสันได้ด้วยตนเอง
มาพร้อมกับฟีเจอร์ Ambient Light Effect ซึ่งเป็นการแสดงสีสันบริเวณขอบจอเมื่อมีการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชัน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยผู้ใช้สามารถเลือกปรับรูปแบบ และสีสันได้ทั้งหมด 4 รูปแบบ
นอกจากนี้ยังสามารถปรับ Animation ของการแสดงผลต่างๆ ได้เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น การสแกนลายนิ้วมือ, การชาร์จแบตเตอรี่, การปลดล็อกสมาร์ทโฟน หรือการเสียบสาย USB เป็นต้น
Vivo X50 Pro 5G รองรับระบบเสียงแบบ Hi-Fi (High-Fidelity) เพื่อช่วยขับเสียงผ่านหูฟังให้มีคุณภาพอยู่ในระดับสูงสุดด้วยชิปเสียงแบบ AK4377A โดยในปัจจุบันระบบเสียง Hi-Fi รองรับการทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันยอดนิยมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็น YouTube, Facebook, YouTube Music หรือ TikTok เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ Ear-customized sound effects สำหรับปรับเอฟเฟกต์การเล่นเสียงให้เหมาะสมกับผู้ใช้ตามช่วงอายุอีกด้วย
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Vivo X50 Pro 5G ก็คือ ฟังก์ชันการควบคุมสมาร์ทโฟนโดยใช้ท่าทางต่างๆ เริ่มตั้งแต่ S-capture สำหรับการบันทึกภาพหน้าจอด้วยการใช้สองนิ้วลากลงมาด้านล่าง
Smart Split สำหรับแบ่งการทำงานของหน้าจอแบบเล่น 2 แอปพลิเคชันพร้อมกัน
Raise to wake สำหรับปลุกหน้าจอแบบอัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาในระดับพร้อมใช้งาน, Double Click to light สำหรับแตะสองครั้งเพื่อปลุกหน้าจอแสดงผล, Smart keep bright สำหรับเปิดหน้าจอแสดงผลไว้ตลอดเวลาเมื่อผู้ใช้มองหน้าจอแสดงผล, Double tap to turn off screen สำหรับแตะบนพื้นที่ว่างบนหน้าจอแสดงผลสองครั้งเพื่อล็อกหน้าจอ
ฟีเจอร์ Smart wake สำหรับสั่งการขณะหน้าจอแสดงผลดับอยู่ เช่น slide downward to take a photo สำหรับลากนิ้วลงเพื่อเข้าสู่โหมดการถ่ายภาพทันที, วาดตัวอักษร C สำหรับเปิดใช้งานแอปพลิเคชันการโทรศัพท์, วาดตัวอักษร m เพื่อเล่นเพลง, ปาดนิ้วไปในแนวขวางเพื่อเปลี่ยนเพลง หรือวาดตัว f เพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชัน Facebook เป็นต้น
และยังมีฟีเจอร์ Smart Click สำหรับกดค้างที่ปุ่ม Power เพื่อสั่งการ เช่น เปิดฟีเจอร์อัดเสียง, เปิดกล้องถ่ายภาพ หรือเปิดใช้งาน Facebook เป็นต้น
มาพร้อมกับฟีเจอร์ One-handed สำหรับย่อหน้าต่างแอปพลิเคชัน และคีย์บอร์ด เพื่อให้สามารถใช้งานด้วยมือเดียวได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น
สามารถปรับใบหน้าของผู้ใช้ให้มีความสวยงามเป็น ธรรมชาติเมื่อวิดีโอคอลผ่านแอปพลิเคชันที่รองรับ อย่างเช่น Facebook Messenger, WhatsApp, Line, Viber หรือ Zalo
สามารถปรับการตั้งค่าให้ไฟฉายกะพริบเมื่อมีสาย เรียกเข้า หรือข้อความเข้าได้ด้วย
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Vivo X50 Pro 5G คือ Ultra Game Mode สำหรับช่วยรีดประสิทธิภาพการเล่นเกมให้อยู่ในระดับสูงสุด โดยมีโหมดการทำงานให้เลือกทั้งหมด 2 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่ Esports Mode ซึ่งจะเป็นโหมดที่นิยมใช้ในกลุ่มนักแข่ง esports โดยระบบจะตัดการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่างๆ พร้อมปรับการทำงานของ CPU ให้ตอบสนองต่อการเล่นเกมได้อย่างยอดเยี่ยม และจัดการอุณหภูมิภายในตัวเครื่องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่วนอีกหนึ่งโหมดจะเป็น Bot Mode ซึ่งจะเป็นการปล่อยให้เกมรันต่อเนื่องแม้ว่าผู้ใช้จะดับหน้าจอไปแล้ว พร้อมกับลดการใช้พลังงานของเกมให้น้อยลง ตอบโจทย์การเล่นเกมแบบ MMORPG ยุคใหม่ที่สามารถปล่อยบอทเพื่อเก็บเลเวลได้นั่นเอง
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ 4D Game Vibration สำหรับจำลองระบบสั่นของสมาร์ทโฟนในรูปแบบ 4 มิติ เพื่อช่วยเสริมอรรถรสในการเล่นเกม นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ Game Surround Sound สำหรับจำลองการเล่นเสียงผ่านหูฟังแบบรอบทิศทาง ตอบโจทย์เหล่าผู้ที่ชื่นชอบการเล่นเกม Survival หรือเกม FPS ที่ต้องการฟังเสียงบรรยากาศภายในเกมได้เป็นอย่างดี
รองรับฟีเจอร์ App Clone สำหรับโคลนแอปพลิเคชันเพื่อทำงานแยกออกจากกัน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเล่นแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้แบบ 2 แอคเคานท์นั่นเอง
ด้านระบบยืนยันตัวตนแบบ Biometrics รองรับการปลดล็อกทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ Fingerprint ซึ่งเป็นการปลดล็อกด้วยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแสดงผล โดยรองรับการบันทึกลายนิ้วมือสูงสุด 5 ฃายนิ้วมือ และ Face สำหรับปลดล็อกด้วยใบหน้าแบบ 2 มิติ ซึ่งจะมีความปลอดภัยน้อยกว่าระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าแบบ 3 มิติ รวมถึงระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ
มาดูที่ประสิทธิภาพการทำงานกันบ้าง สำหรับ Vivo X50 Pro 5G มาพร้อมกับขุมพลัง Qualcomm Snapdragon 765G ประกบคู่การทำงานร่วมกับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB พร้อมหน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.1 ความจุ 256GB และรันด้วยระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 10 ตั้งแต่แกะกล่อง
ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลโดยรวมด้วยแอปพลิเค ชัน AnTuTu พบว่า Vivo X50 Pro 5G สามารถทำคะแนได้ทั้งหมด 318053 คะแนน
ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลของ CPU ด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 5 พบว่า ทำคะแนนแบบ Single-Core ได้ทั้งหมด 619 คะแนน และ Multi-Core ได้ทั้งหมด 1,823 คะแนน
ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลกราฟิก (GPU) ด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark พบว่า สามารถทำคะแนนแบบ OpenGL ได้ทั้งหมด 3,177 คะแนน และ Vulkan ได้ทั้งหมด 2,948 คะแนน
แน่นอนว่าด้วยประสิทธิภาพของชิปเซ็ตประมวลผลที่ จัดอยู่ในระดับรองท็อป ทำให้ Vivo X50 Pro 5G สามารถเล่นเกมกราฟิก 3 มิติยอดนิยมได้อย่างลื่นไหล ไม่ว่าจะเป็น PUBG Mobile, Call of Duty : Mobile หรือ Dragon Raja ซึ่งแต่ละเกมต่างปรับกราฟิกได้ในระดับสูงสุด
การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
สำหรับหน้า UI ของกล้องถ่ายภาพ Vivo X50 Pro 5G ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างสะดวก มีการจัดวางปุ่มเมนูคีย์ลัดสำหรับตั้งค่ากล้องเอาไว้ที่ด้านบน เช่น การเปิด-ปิด ไฟแฟลช, เปิด-ปิด ฟีเจอร์ HDR, เปิด-ปิดการใช้งานฟิลเตอร์ และเลือกอัตราส่วนของภาพถ่าย ส่วนที่ด้านล่างจะเป็นปุ่มเมนูสำหรับซูมภาพ และสลับไปใช้งานเลนส์อื่นๆ ได้แก่ เลนส์ Super Wide-angle สำหรับถ่ายภาพมุมกว้าง, Bokeh สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ และ Super Macro สำหรับถ่ายภาพในระยะใกล้แบบคมชัด
รองรับการซูมภาพสูงสุดที่ระดับ 60 เท่า
พร้อมรองรับการเปิดใช้งานฟีเจอร์ฟิลเตอร์สำหรับ ปรับ โทนสีของภาพถ่าย รวมถึงเปิดโหมดหน้าสวย (Beauty) สำหรับปรับใบหน้าให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ และเอฟเฟกต์การจัดแสงให้แก่ตัวแบบ
ถัดลงมาจะเป็นโหมดการถ่ายภาพในรูปแบบต่างๆ เริ่มตั้งแต่ โหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ โดยผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนระดับการเบลอฉากหลังผ่านการจำลองค่ารูรับแสงได้ตั้งแต่ f/0.95 - f/16 พร้อมสามารถปรับเปลี่ยนฟิลเตอร์ของภาพถ่าย รวมถึงเอฟเฟกต์การจัดแสงของตัวแบบ นอกจากนี้ ยังสามารถปรับเอฟเฟกต์ของโบเก้เป็นรูปร่างต่างๆ ได้ด้วย เช่น วงกลม, หัวใจ หรือดาว เป็นต้น
สามารถปรับเปลี่ยนฟิลเตอร์ขณะใช้งานโหมด Professional Portrait ได้อย่างหลากหลาย
การถ่ายภาพ Portrait ด้วยโหมด Professional Portrait จะมีเลนส์การถ่ายภาพให้เลือกทั้งหมด 3 ระยะด้วยกัน ได้แก่ 1x ซึ่งเป็นระยะเลนส์ปกติ, 2x ซึ่งเป็นระยะเลนส์ 50 มม. ที่ถือว่าตอบโจทย์เป็นอย่างดี เพราะองศาในการมองภาพจะใกล้เคียงกับสายตาของผู้ถ่ายมากที่สุด ทำให้ภาพ Portrait ที่ออกมาดูเป็นธรรมชาติ และระยะ 5x ที่เน้นตอบโจทย์การถ่ายภาพบุคคลโดยเน้นที่ใบหน้าเป็นหลัก นอกจากนี้ Vivo ยังมีการนำระบบอัลกอริทึมสำหรับแยกฉากหลัง และตัวแบบออกจากกันได้อย่างเนียนตา ช่วยให้การละลายฉากหลังเป็นไปอย่างธรรมชาติ
Super Night Mode สำหรับถา่ยภาพกลางคืนแบบคมชัดโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง โดยเราสามารถใช้เลนส์มุมกว้างแบบ Super Wide-Angle ในการถ่ายภาพโหมดนี้ได้ด้วย แต่จุดที่น่าสนใจก็คือ Night Mode ของ Vivo X50 Pro 5G มาพร้อมกับฟีเจอร์ Style สำหรับปรับเปลี่ยนโทนสีของการถ่ายภาพกลางคืนให้ดูมีสีสันมากขึ้น ได้แก่ Black & Gold สำหรับถ่ายภาพกลางคืนแบบเน้นสีดำ และสีทอง, Blue Ice สำหรับถ่ายภาพกลางคืนโดยเน้นโทนเย็น, Green Orange สำหรับถ่ายภาพกลางคืนในโทนสีเขียว กับสีส้ม และ Cyberpunk สำหรับถ่ายภาพกลางคืนในโทนสีม่วง และฟ้า ให้บรรยากาศเหมือนโลกอนาคต
นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์การถ่ายภาพที่น่าสนใจซึ่งถูกจัดเก็บเอาไว้ในแถบ More ไม่ว่าจะเป็น โหมดถ่ายภาพแบบ Pro Sports ที่ช่วยถ่ายวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหวให้นิ่งอยู่กับที่, Starry Sky สำหรับถ่ายภาพดวงดาว, Supermoon สำหรับถ่ายภาพดวงจันทร์ หรือ Pro สำหรับถ่ายภาพแบบตั้งค่าต่างๆ ภายในกล้องเอง เป็นต้น
ส่วนด้านการถ่ายภาพวิดีโอ Vivo X50 Pro 5G รองรับการบันทึกภาพที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K ที่ 60FPS *(เฉพาะเลนส์ตัวหลัก) สามารถเลือกถ่ายวิดีโอได้ทั้งเลนส์หลัก และเลนส์มุมกว้างแบบ Super Wide-Angle พร้อมรองรับการถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอผ่านฟังก์ชัน Art Portrait รวมทั้งยังสามารถเปิดฟีเจอร์ Ultra Stable สำหรับช่วยป้องกันวิดีโอสั่นไหว และสามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์ Movie Camera สำหรับล็อกโฟกัส Subject เฉพาะจุดได้อีกด้วย
ด้านกล้องถ่ายภาพด้านหน้ามาพร้อมกับหน้า UI ที่คล้ายคลึงกับกล้องหลัง โดยจัดวางคีย์ลัดสำหรับตั้งค่ากล้องถ่ายภาพเอาไว้ที่ด้านบน ได้แก่ การเปิด-ปิด ไฟแฟลช, การเปิด-ปิด HDR, การเปิด-ปิด ฟิลเตอร์ และการเลือกสัดส่วนของภาพถ่าย
ส่วนที่ด้านล่างจะเป็นโหมดการถ่ายภาพแบบต่างๆ เริ่มตั้งแต่ โหมด Professional Portrait สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกปรับโทนสีของภาพถ่ายได้อย่างหลากหลาย รวมทั้งยังสามารถปรับเอฟเฟกต์หน้าสวย (Beauty) และระดับการเบลอของฉากหลังผ่านการจำลองค่ารูรับแสงได้ตั้งแต่ f/0.95-f/16 นอกจากนี้ ยังสามารถค้นหาท่าโพสเพื่อถ่ายภาพผ่านฟีเจอร์ Posture ได้อีกด้วย
โหมการถ่ายภาพแบบ Super Night Mode สำหรับถ่ายภาพกลางคืนได้อย่างสว่างคมชัด โดยผู้ใช้สามารถปรับเอฟเฟกต์หน้าสวย (Beauty) ได้ด้วย
ด้านการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้า รองรับการบันทึกไฟล์ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD พร้อมกับเปิดใช้งานเอฟเฟกต์หน้าสวย (Beauty) ได้ขณะถ่ายวิดีโอ แต่จะไม่สามารถใช้งานโหมดป้องกันภาพสั่นไหว รวมถึงการถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอได้
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 4 ตัว (Big Eye AI Quad Camera) ความละเอียดระดับ 48+13+8+8 ล้านพิกเซล ของ Vivo X50 Pro 5G
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากกล้องเลนส์มุมกว้าง Ultra Wide Angle
ภาพถ่ายจากโหมด Macro
ภาพถ่ายจากโหมด Super Night Mode
ภาพถ่ายจากโหมด Super Night Mode พร้อมปรับเอฟเฟกต์สีสันในรูปแบบต่างๆ
ภาพถ่ายจากโหมด Professional Portrait
เปรียบเทียบระยะการซูมภาพระหว่าง 0.6x ถึง 60x
ตัวอย่างวิดีโอพร้อมเปิดโหมดกันสั่นแบบ Ultra Stable
ตัวอย่างวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า ความละเอียด 32 ล้านพิกเซลของ Vivo X50 Pro 5G
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Professional Portrait
สรุปผลการทดสอบของ Vivo X50 Pro 5G
เรียกได้ว่า Vivo X50 Pro 5G เป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟน 5G รุ่นพรีเมียมที่มาพร้อมกับนวัตกรรมด้านการถ่ายภาพอย่างแท้จริง ด้วยระบบกล้องแบบ Big Eye ที่มากับระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Gimbal Camera System เป็นรุ่นแรกของโลก เพื่อช่วยให้การถ่ายภาพ และวิดีโอมีความนิ่งมากราวกับใช้ไม้กันสั่น ซึ่งเข้ามาช่วยแก้ปัญหาการถ่ายภาพในปัจจุบันที่หลายคนเริ่มปรับตัวมาใช้สมาร์ทโฟนเป็นอุปกรณ์คู่ใจกันมากขึ้น และที่สำคัญ Vivo X50 Pro 5G ยังมาพร้อมกับโหมดการถ่ายภาพที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็น Super Night Mode สำหรับถ่ายภาพกลางคืนแบบคมชัดโดยไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้อง และยังมีฟิลเตอร์สำหรับปรับจูนสีของภาพถ่ายกลางคืนให้มีความน่าสนใจโดยที่ไม่จำเป็นต้องนำไปปรับแต่งเพิ่มเติมในแอปพลิเคชันอื่นๆ รวมถึงโหมดการถ่ายภาพแบบ Pro Sports ที่ช่วยถ่ายภาพนักกีฬาที่กำลังเคลื่อนไหวให้หยุดนิ่งได้ดั่งใจ หรือจะเป็นโหมดถ่ายภาพแบบ Professional Portrait ที่สามารถละลายฉากหลังได้อย่างเนียนตาด้วยเลนส์ระยะถ่ายบุคคลยอดนิยมที่ 50 มิลลิเมตร ผสานกับซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่ช่วยแยกคน และฉากหลังออกจากกันได้อย่างแม่นยำ
ด้านคุณสมบัติภายในก็ถือว่าตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกระดับ ด้วยขุมพลังของชิปเซ็ต Snapdragon 765G ที่มีประสิทธิภาพในการประมวลผลที่รวดเร็ว ประกบคู่การทำงานร่วมกับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 256GB เพื่อเก็บข้อมูลได้อย่างจุใจ รวมไปถึงแบตเตอรี่ขนาด 4315 mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็วแบบ 33W vivo FlashCharge 2.0 เพื่อเติมแบตเตอรี่กลับเข้าสู่ตัวเครื่องได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญ Vivo X50 Pro 5G ยังเป็นสมาร์ทโฟนอีกหนึ่งรุ่นที่สามารถใช้งานบนเครือข่าย 5G ในประเทศไทยได้ทันทีโดยที่ไม่จำเป็นต้องรออัปเดตซอฟต์แวร์อีกด้วย
ด้านการออกแบบครั้งนี้ก็ถูกดีไซน์ออกมาในระดับพรีเมียม ด้วยหน้าจอขอบโค้งแบบ E3 AMOLED ที่มีค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz ช่วยให้ใช้งานได้อย่างลื่นไหล และจับถือได้อย่างถนัดมือ พร้อมบอดี้ด้านหลังที่ผสมผสานระหว่างศิลปะ และเทคโนโลยีเข้าด้วยกันกับเฉดสีแบบ Alpha Grey สวยหรูดูดี และที่สำคัญ Vivo X50 Pro 5G ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่แฟนๆ Vivo หลายคนคิดถึงอย่างชิปเสียง Hi-Fi AK4377A ช่วยให้ฟังเพลงผ่านหูฟังได้อย่างเต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้น
สำหรับ Vivo X50 Pro 5G เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้วที่ 24,999 บาท มีให้เลือกเพียงรุ่นเดียว และสีเดียว คือรุ่น RAM 8GB + ROM 256GB ในเฉดสี Alpha Grey พร้อมโปรโมชั่นพิเศษร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่าย เริ่มต้นเพียง 13,989 บาท โดยผู้ที่สั่งซื้อ Vivo X50 Pro 5G จะได้รับฟรีเครื่องดูดฝุ่น มูลค่า 1,999 บาท, Gift Voucher มูลค่า 500 บาท และบัตร VIP Card สำหรับรับประกันหน้าจอแตก และขยายประกันเครื่องเพิ่ม 1 ปี
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Vivo ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง Vivo X50 Pro 5G มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ
จุดเด่นของ Vivo X50 Pro 5G
- ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ 3D Curved X-Class Design พร้อมตัวเครื่องขอบโค้งแบบ R3 Corners
และสีสันแบบ Alpha Grey ซึ่งมีความบางเบาสวยพรีเมียม
- หน้าจอแสดงผล AMOLED Smooth Display ขนาด 6.56 นิ้ว ความละเอียดระดับ
2376x1080 พิกเซล (Full HD+) พร้อมค่า Refresh Rate สูงสุด 90Hz, ค่า Response Rate สูงสุด 180Hz, สัดส่วนการแสดงผลแบบ 20:9
และพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องระดับ 92.7%, รองรับการแสดงผลตามขอบเขตสีแบบ DCI-P3, ค่าความสว่างของหน้าจอสูงสุด 1300 nit, ค่า Contrast Ratio สูงสุด 6,000,000:1
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และระบบสแกนใบหน้า
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 765G
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 620
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.1 ขนาด 256GB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 10 ครอบทับด้วย Funtouch OS
10.5
- กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว (Big Eye AI Quad Camera) ความละเอียด 48+13+8+8 ล้านพิกเซล ประกอบไปด้วย
> กล้องตัวหลัก (Main) แบบ Big Eye Gimbal Camera ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Gimbal Camera
System (Double-Ball+Closed-Loop Motor), รูรับแสงขนาด f/1.6, เซนเซอร์รับภาพ Sony IMX598 และโครงสร้างแบบ 7 ชิ้นเลนส์
> กล้อง Portrait ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง
f/2.46 และทางยาวโฟกัส 50 มิลลิเมตร
> กล้อง Super Wide-Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.2, มุมรับภาพ 120 องศา (เก็บภาพจริง 108 องศา) และรองรับการถ่ายภาพแบบ Macro ได้ใกล้สุดที่ระยะ 2.5 เซนติเมตร
> กล้อง Periscope Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/3.4, รองรับการซูมภาพแบบ Optical 5 เท่า (5x Optical Zoom)
และรองรับการซูมภาพสูงสุดที่ระดับ 60 เท่า (60x Hyper Zoom)
พร้อมฟีเจอร์ Super Night
Mode สำหรับถ่ายภาพกลางคืนโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง และฟีเจอร์ Professional
Portrait สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ และรองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 4K พร้อมฟีเจอร์ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Gimbal
Camera System
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบเจาะรูบนหน้าจอ ความละเอียดระดับ 32 ล้านพิกเซล
พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.45
- ระบบเสียงแบบ Hi-Fi ด้วยชิปเสียง AK4377A พร้อมรองรับไฟล์เสียงแบบ Hi-Res
- ฟังก์ชัน App Clone สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน
2 แอคเคานท์
- แบตเตอรี่ความจุ 4315mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 33W vivo FlashCharge
2.0 ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-57% ได้ในเวลา 30 นาที
- รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 5G (N41 2600MHz / N78 3500 MHz), 4G LTE, 3G,
EDGE, GPRS และ WiFi MIMO (2.4/5GHz)
- รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.1
- ระบบ GPS+A-GPS ในตัว พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย, BeiDou
ของประเทศจีน และ GALILEO ของสหภาพยุโรป
- วิทยุ FM ในตัว
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C (USB 2.0) พร้อมรองรับการใช้งาน OTG (USB On-the-Go)
- ราคา 24,999 บาท
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Vivo
X50 Pro 5G
- รองรับการใช้งาน 5G ในประเทศไทยที่คลื่นความถี่ 2600 MHz (AIS กับ TrueMove H) แต่ไม่รองรับคลื่นความถี่ 700 MHz ที่ dtac กำลังจะเปิดให้บริการในเร็วๆ นี้
- ยังไม่รองรับการใช้งาน 5G เมื่อสแตนบายด์แบบ 2 ซิมการ์ด
- ไม่มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
- ไม่รองรับการใส่การ์ดหน่วยความจำแบบ microSD หรือแบบอื่นๆ เพิ่มเติม
- ลำโพงเสียงเป็นแบบลำโพงเดี่ยว
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริง บ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
สรุปคุณสมบัติเครื่อง
ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Vivo X50 Pro 5G ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้
สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Vivo X50 Pro 5G
วันที่ : 16/09/2020