รีวิว (Review) Samsung Gear S
ที่สุดของนาฬิกาอัจฉริยะจาก ซัมซุง บนตัวเรือนกันน้ำ และดีไซน์จอโค้งที่สวยหรูลงตัว พร้อมรองรับการโทรศัพท์, เซ็นเตอร์ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ, จีพีเอสในตัว และแอปพลิเคชันที่หลากหลาย
Review
Date (18-พฤศจิกายน-2557)

สวัสดีครับ
พบกันอีกครั้งกับการรีวิวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว และวางจำหน่ายไปสดๆ ร้อนๆ โดยคราวนี้จะเป็นคิวของ Samsung Gear S นาฬิกาอัจฉริยะ (Smartwatch) ตัวใหม่ล่าสุดจากทาง ซัมซุง ที่เปิดตัวมาพร้อมๆ กันกับ Samsung Galaxy Note 4 ซึ่ง Samsung
Gear S ถือเป็นการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้แก่วงการ Wearable Device เป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นนาฬิกาอัจฉริยะแล้ว ยังสามารถใช้งานเป็นโทรศัพท์ได้ด้วย
รวมไปถึงสามารถใช้ Samsung Gear S
ในการนำทางไปยังจุดหมายที่ต้องการได้ด้วย A-GPS ในตัว หรือจะใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 3G ก็ยังไหว นอกจากนี้ Samsung Gear S ยังมาพร้อมกับ หน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ขนาด 2
นิ้ว ซึ่งเป็นหน้าจอแบบโค้งที่รองรับการสั่งงานด้วยการสัมผัส พร้อมด้วยหน่วยประมวลผลระดับ Dual-Core, เซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, เซ็นเซอร์ตรวจวัดค่ารังสียูวี, เซ็นเซอร์ตรวจวัดความกดอากาศ และที่สำคัญคือสามารถนำไปใช้งานได้อย่างสมบุกสมบันพอสมควร เนื่องจากตัวเรือนมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67 โดยทั้งหมดนี้จะทำงานอยู่บนพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Tizen นั่นเอง ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร
จะตอบโจทย์กับชีวิตประจำวันมากน้อยแค่ไหน และคุ้มค่ากับราคา 11,900 บาท หรือไม่ ลองไปติดตามรีวิว Samsung Gear S พร้อมกันได้เลยครับ
คุณสมบัติโดยรวมของ Samsung Gear S


รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

สำหรับ Samsung Gear S ที่ทีมงานนำมารีวิวให้ชมกันนั้น ตัวเครื่องจะเป็นสีขาว ส่วนขอบหน้าจอจะเป็นแบบอลูมิเนียม ช่วยเพิ่มความหรูหรา และความแข็งแรงทนทาน โดย Samsung Gear S จะมีหน้าโค้งแบบ Super AMOLED ขนาด 2 นิ้ว ความละเอียด 360x480 พิกเซล และมีขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 58.1x39.9x12.5 มิลลิเมตร
สำหรับด้านหน้าส่วนล่าง จะมาพร้อมกับ ปุ่มโฮม (การย้อนกลับให้ใช้นิ้วเลื่อนที่หน้าจอจากบนลงด้านล่างครับ), ฟังก์ชัน Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม และเซ็นเซอร์ตรวจวัดระดับของรังสียูวี (UV Sensor)

ด้านข้างทางขวา : จะมีไมโครโฟนสำหรับการสนทนา

ด้านข้างทางซ้าย : จะมีลำโพงเสียงภายนอก

ด้านใต้ของตัวเครื่อง : จะมีเซ็นเซอร์สำหรับตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ และช่องสำหรับเชื่อมต่อกับฐานชาร์จแบตเตอรี่ ซึ่งแบตเตอรี่ของ Samsung Gear S จะมีขนาดอยู่ที่ 300 mAh สามารถใช้งานได้ประมาณ 1-2 วัน นอกจากนี้ ภายในของ Samsung Gear S ยังมีหน่วยความจำสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 4 GB และหน่วยความจำแรม (RAM) 512 MB

นอกจากนี้ Samsung Gear S ยังมีช่องสำหรับใส่ซิมการ์ด ซึ่งซิมการ์ดที่ใช้จะเป็นแบบ nanoSIM โดยจะรองรับการใช้งาน 3G ที่คลื่นความถี่ 900/2100 MHz เท่านั้น

ส่วนตัวล็อคสายนาฬิกาก็มีความแข็งแรง และยังสามารถปรับสายได้ตามขนาดข้อมือของผู้ใช้

และที่สำคัญ Samsung Gear S ยังสามารถถอดสายนาฬิกาออกมาเพื่อทำความสะอาด หรือเปลี่ยนเป็นสายแบบอื่นๆ ได้

ด้วยการออกแบบดีไซน์ให้มีหน้าจอแสดงผลเป็นแบบโค้งงอ เมื่อทำการสวมใส่จะเห็นได้ว่าเข้ารูปกับข้อมือได้ดีเลยทีเดียว
เปรียบเทียบ Samsung Gear S กับ Samsung Gear Fit

เมื่อเปรียบเทียบในเรื่องของหน้าจอแสดงผลระหว่าง Samsung Gear S กับ Samsung Gear Fit จะเห็นว่า Samsung Gear S กินขาดอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจาก Samsung Gear S มีหน้าจอแสดงผลแบบกว้าง ขนาด 2 นิ้ว ส่วน Samsung Gear Fit มีขนาดหน้าจอแสดงผลแบบแคบซึ่งสูง 1.84 นิ้ว

สำหรับปุ่ม เปิด-ปิด เครื่อง หรือล็อคหน้าจอ ก็จะมีให้ใช้งานบน Samsung Gear S เช่นเดียวกับ Samsung Gear Fit เพียงแต่จะอยู่คนละที่กันเท่านั้น และยังสามารถตั้งค่าให้สั่งงานอื่นๆ ได้ด้วยการกด 2 ครั้ง หรือดับเบิ้ลคลิก เช่น เข้าสู่ฟังก์ชันออกกำลังกาย หรือดูการแจ้งเตือนต่างๆ

มาต่อกันที่เซ็นเซอร์การตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate Sensor) ก็มีให้ใช้งานทั้ง 2 รุ่นเช่นกัน แต่ Samsung Gear S จะได้เปรียบกว่า Samsung Gear Fit ตรงที่ Samsung Gear S จะมีจอ LCD เพื่อส่องแสงไฟสีเขียวในการสแกนเพื่อตรวจวัดการเต้นของหัวใจถึง 2 จอ ด้วยกัน ข้อดีก็คือ สามารถวัดค่าได้แม่นยำกว่านั่นเอง

สำหรับตัวล็อคสายนาฬิกาของ Samsung Gear S จะมีมีความแข็งแรงมากกว่า Samsung Gear Fit และที่สำคัญสายนาฬิกาของ Samsung Gear S ก็ยังมีความนุ่มมากกว่าอีกด้วย

นอกจากนี้ Samsung Gear S ยังสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมาใช้งานเพิ่มเติมได้ผ่าน Samsung Apps (แต่ข้อจำกัด คือ จะต้องดาวน์โหลดผ่านสมาร์ทโฟนที่ทำการเชื่อมต่อกับ Samsung Gear S เท่านั้น เพราะ Samsung Gear S ไม่มีแอปพลิเคชัน Google Play Store และ Samsung Apps ให้ใช้งาน) ส่วน Samsung Gear Fit จะไม่สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมาใช้ได้

แน่นอนว่า ข้อแตกต่างอีกหนึ่งอย่างระหว่าง Samsung Gear S กับ Samsung Gear Fit ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ Samsung Gear S สามารถใช้งานเป็นโทรศัพท์ได้แบบอิสระ ส่วน Samsung Gear Fit ไม่สามารถใช้งานเป็นโทรศัพท์ได้
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ

อันดับแรก ต้องทำการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า Samsung Gear มาติดตั้งบนสมาร์ทโฟนเสียก่อน

โดยตัวแอปพลิเคชัน Samsung Gear มีฟังก์ชันให้ใช้งานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การตกแต่งหน้าจอหลัก ซึ่งมีธีมให้เลือกใช้งานหลากหลาย หรือจะเลือกรูปภาพที่ต้องการจากที่อื่นก็ได้เช่นเดียวกัน

สามารถเลือกรูปแบบนาฬิกาได้ และยังสามารถดาวน์โหลดรูปแบบนาฬิกาอื่นๆ ได้ผ่าน Samsung Apps
 
สามารถตั้งค่า การแจ้งเตือน ได้ ซึ่งการแจ้งเตือนก็สามารถเลือกได้ว่า จะให้แอปพลิเคชันใดเตือนได้บ้าง และไม่ให้แอปพลิเคชันใดแจ้งเตือน และยังสามารถเลือกขนาดของการแจ้งเตือนได้ว่า จะเอาขนาดเต็มจอ หรือขนาดเล็ก

นอกจากนี้ ยังสามารถดูได้ว่า Samsung Gear S มีแอปพลิเคชันใดติดตั้งอยู่บ้าง

และยังสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันอื่นๆ มาติดตั้งเพื่อใช้งานเพิ่มเติมได้ผ่าน Samsung Apps

ส่วนบน Samsung Gear S จะใช้ระบบปฏิบัติการ Tizen ซึ่งก็มีฟังก์ชันให้ใช้งานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น หน้าโฮม ที่จะแสดงนาฬิกา และวันที่

และยังมี Widget ให้เลือกใช้งานมากมาย เช่น Widget สำหรับควบคุมการฟังเพลง หรือ Widget S Health เป็นต้น

นอกจากนี้ Samsung Gear S ยังสามารถแจ้งเตือนต่างๆ ได้ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 หน้าหลักๆ คือ หน้ารวมการแจ้งเตือน ที่จะแสดงการแจ้งเตือนทุกอย่างไว้ในหน้าเดียวกัน

หรือแสดงการแจ้งเตือนทีละอย่างก็สามารถดูได้เช่นเดียวกัน แต่เฉพาะข้อความเท่านั้นที่ Samsung Gear S สามารถตอบกลับได้ทันที

โดย Samsung Gear S จะมีคีย์บอร์ดให้ใช้งาน และยังสามารถใช้งานได้ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ รวมถึงอิโมติคอน ก็มีให้ใช้งานเช่นเดียวกัน (ส่วนภาษาอื่นๆ ก็มีให้เลือกใช้งาน เพียงแต่ต้องเข้าไปตั้งค่าคีย์บอร์ดในส่วนของการตั้งค่า)

และถ้าใช้นิ้วมือเลื่อนที่หน้าจอแสดงผลจากบนลงข้างล่างก็จะพบกับฟังก์ชันเพิ่มเติม โดยสามารถ เพิ่ม-ลด ระดับของเสียง, ปรับระดับความสว่างของหน้าจอแสดงผล และตั้งค่าห้ามรบกวนได้ (แต่จะไม่สามารถใช้งานระบบสั่นพร้อมเสียงได้ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น)

ถ้าใช้นิ้วมือเลื่อนที่หน้าจอแสดงผลจากด้านล่างขึ้นด้านบนก็จะมีแอปพลิเคชันให้ใช้งานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์, ข้อความ, อีเมล, รายชื่อโทรศัพท์, S Health, เครื่องเล่นเพลง และสภาพอากาศ เป็นต้น

และถ้ากดปุ่มโฮมค้างไว้ประมาณ 3 วินาที ก็จะพบกับฟังก์ชัน เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น ปิดเครื่อง, รีสตาร์ท, เปิด-ปิด โหมดเครื่องบิน, เปิด-ปิด WiFi, เปิด-ปิด เสียง และเปิด-ปิด การใช้งานอินเทอร์เน็ต

และอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า Samsung Gear S นั้นสามารถใช้งานเป็นโทรศัพท์ได้ โดยฟังก์ชันโทรศัพท์นั้นก็มีหน้าตาที่ใช้งานง่าย

สามารถดูรายชื่อโทรศัพท์ได้

และยังสามารถดูบันทึกการโทรได้อีกด้วย

ส่วนแอปพลิเคชัน S Health ก็มีฟังก์ชันให้เลือกใช้งานหลายอย่าง เช่นกัน ได้แก่ การนับก้าวเดิน, การออกกำลังกาย, อัตราการเต้นของหัวใจ, การนอนหลับ และ UV


ฟังก์ชัน การนับก้าว คือ ฟังก์ชันที่แสดงจำนวนการก้าวเดิน, ระยะทาง และอัตราการเผาผลาญแคลอรี่

ฟังก์ชัน การออกกำลังกาย จะมี 4 อย่าง คือ การวิ่ง, การเดิน, การปั่นจักรยาน และการปีนเขา ซึ่งทางทีมงานได้ทดสอบด้วยการปั่นจักรยาน

โดยยกตัวอย่าง คือในขณะที่ปั่นจักรยาน Samsung Gear S จะแสดงสถานะทั้ง เวลาในการปั่นจักรยาน, อัตราการเต้นของหัวใจ และระยะทาง และยังสามารถสั่ง เปิด-ปิด เพลง ได้จากไอคอนด้านขวาบน


และเมื่อปั่นจักรยานเสร็จเรียบร้อยแล้ว Samsung Gear S จะแสดงรายละเอียดของการปั่นจักรยานในครั้งนี้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็น ระยะเวลาในการปั่นจักรยาน, ระยะทางที่ปั่นจักรยาน, อัตราการเผาผลาญแคลอรี่, อัตราการเต้นของหัวใจที่แสดงเป็นกราฟ, ความเร็วในการปั่นจักรยาน, ความเร็วสูงสุด

และแสดงแผนที่เส้นทางที่เราปั่นจักรยาน

สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้

ฟังก์ชัน
การนอนหลับ คือ ฟังก์ชันที่จะแสดงสถานะการนอนของเราว่าเรานอนหลับสนิทเพียงใด ดังภาพ แสดงการนอนทั้งหมด 8 ชั่วโมง 2 นาที ไม่เคลื่อนไหว 89% นั่นหมายว่า นอนหลับสนิท 7 ชั่วโมง 8 นาที

Samsung
Gear S ยังมีฟังก์ชันใหม่เอาใจคุณผู้หญิงโดยเฉพาะ ชื่อว่า UV เป็นการวัดระดับ UV ว่าอยู่ในระดับที่เท่าไหร่ อันตรายหรือไม่ จากตัวอย่างในภาพ การทดสอบระดับค่าของ UV อยู่ในขั้นต่ำ ถือว่าไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด


นอกจากนี้ Samsung Gear S ยังมีแอปพลิเคชัน HERE for Gear สำหรับดูแผนที่ และการนำทาง อีกด้วย การใช้งานก็ไม่ได้ซับซ้อน เพียงแค่ทำการใส่จุดหมายที่ต้องการเดินทางไป และก็สั่งนำทางได้ทันที (แต่ก็มีข้อจำกัด คือ ต้องทำงานร่วมกับ GPS บนสมาร์ทโฟนด้วย)

สำหรับคนรักการออกกำลัง ที่อยากใช้งานแอปพลิเคชันอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย Samsung Gear S ก็รองรับการใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชัน Runtastic และ Endomondo แถมยังสามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรีอีกด้วย

รวมถึงยังสามารถสั่งงาน Samsung Gear S ด้วยเสียงได้ รวมทั้งสั่งให้เปิดแอปพลิเคชันที่ต้องการ หรือสั่งให้โทรออกได้ผ่านแอปพลิเคชัน S Voice

นอกจากนี้ Samsung Gear S ยังมีแอปพลิเคชัน แกลเลอรี่ สำหรับดูรูป แต่รูปจะต้องทำการ Sync จากสมาร์ทโฟนผ่านแอปพลิเคชัน Samsung Gear

ในเมื่อ Samsung Gear S สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ต 3G ได้ และมีหน่วยประมวลผลระดับ Dual-core จึงได้ทำการทดสอบการเข้าชมเว็บไซต์ ผลปรากฏว่าใช้งานได้ดีเลยทีเดียว สามารถซูมขยายได้ แต่ด้วยหน้าจอที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก จึงทำให้การใช้งานไม่สะดวกมากนัก

Samsung Gear S ยังมีแอปพลิเคชันสำหรับฟังเพลงอีกด้วย ซึ่งสามารถควบคุมเพลงบน Samsung Gear S และบนสมาร์ทโฟนได้ทันที

Samsung Gear S สามารถรองรับการทำงานในรูปแบบของ Multitasking ได้
สรุปผลการทดสอบของ Samsung Gear S

นับเป็นนาฬิกาอัจฉริยะที่น่าสนใจมากที่สุดรุ่นหนึ่งในช่วงนี้เลยทีเดียว สำหรับ Samsung Gear S หลังจากที่ทีมงานได้ใช้ชีวิตรร่วมกับ Samsung Gear S มาได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ต้องบอกเลยว่า Samsung Gear S มีความสามารถที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนการติดต่อสื่อสารต่างๆ, การใช้งานเป็นโทรศัพท์, การใช้งานอินเทอร์เน็ต 3G พร้อมท่องเว็บไซต์เพื่อค้นหาข้อมูลที่ต้องการ และยังสามารถเป็นเพื่อนเทรนเนอร์คู่ใจเวลาออกกำลังกายได้อีกด้วย นอกจากนี้ Samsung Gear S ยังสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมาใช้งานเพิ่มเติมได้ (แต่บางแอปพลิเคชันจะต้องใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน)
และอีกหนึ่งจุดเด่นของ Samsung Gear S คือ มีคีย์บอร์ดให้ใช้งาน สำหรับการพิมพ์ข้อความ หรือการใช้งานอินเทอร์เน็ต เรียกได้ว่า Samsung Gear S คือ Wearable Device รุ่นเด็ดที่ครบเครื่อง และมองข้ามไม่ได้ อย่างไรก็ดี Samsung Gear S อาจจะมีข้อสังเกตบางจุดที่ต้องนำไปพิจารณาเพิ่มเติมเช่นกัน ตั้งแต่การที่มีหน้าจอแสดงผลค่อนข้างใหญ่ ซึ่งสำหรับคนที่มีข้อมือเล็ก เช่น คุณผู้หญิง ถ้าใส่ Samsung Gear S อาจจะดูไม่สมส่วนเท่าไหร่ รวมถึง Samsung Gear S รองรับการใช้งาน 3G เฉพาะที่คลื่นความถี่ 900/2100 MHz และรองรับการใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนจากทาง Samsung เท่านั้น โดย Samsung Gear S จะมีราคาอยู่ที่
11,900 บาท และวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2557 ที่ผ่านมา พร้อมๆ กับ Samsung Gear Circle (ราคา 2,900 บาท) สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Samsung ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง Samsung Gear S มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ทีมงานต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสต่อไป สวัสดีครับ
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
title="Sony Xperia ZL Specification">

:: ไปหน้าแรกเว็บไซต์ Thaimobilecenter
| ไปหน้าแรก
Mobile Focus ::
|