รีวิว Samsung Galaxy S23 | S23+ เรือธงตัวเริ่มอัปเกรดใหม่ ใส่เพิ่มความแรง ได้จอแบน กล้องเก่งกลางคืน แบตอึดขึ้น บนตัวเครื่องสวยพรีเมียมที่แกร่งกว่าเดิม
หลังจากที่ทางทีมงานได้ทำการรีวิวเรือธงตัวท็อปรุ่นใหญ่ใหม่ล่าสุดแห่งปีจากทาง Samsung อย่าง Samsung Galaxy S23 Ultra ให้ได้รับชมกันไปแล้ว ล่าสุดก็ถึงเวลาที่จะหยิบเรือธงรุ่นเริ่มต้นอย่าง Samsung Galaxy S23 และ S23+ มารีวิวให้ชมกันบ้าง
Samsung Galaxy S23 | S23+ มีการปรับดีไซน์ให้พรีเมียม และดูมินิมอลมากขึ้น ด้วยการตัดส่วนของ Contour-Cut ของรุ่นที่แล้วออกไป เพื่อโชว์เลนส์กล้องให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น รวมทั้งกรอบเว้าที่เลนส์กล้องเพื่อเพิ่มมิติ กับชุดสีใหม่แบบ Earth Tone 4 สี พร้อมเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่นำกระจก Gorilla Glass Victus 2 รุ่นใหม่ล่าสุดมาครอบทับไว้ทั้งด้านหน้า-ด้านหลังตัวเครื่อง จึงช่วยให้มีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม และรองรับคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ฝุ่นมาตรฐาน IP68 รวมถึงใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้
โดยมากับหน้าจอแบนราบปกติไม่ลงขอบโค้งแบบ Flat Dynamic AMOLED 2X Infinity-O Display ขนาด 6.1 นิ้ว และ 6.6 นิ้วตามลำดับ มีความคมชัดระดับ FHD+ รองรับค่า Refresh Rate ระดับ 120Hz ผสานฟีเจอร์ Vision Booster ที่สามารถดันค่าความสว่างได้สูงสุด 1750nits เท่ากับรุ่น Ultra พร้อมเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอแบบ Ultrasonic Fingerprint และมีกล้องหน้าตัวใหม่ความละเอียด 12MP ผสานกล้องหลัง 3 ตัว ที่ถูกอัปเกรดให้มีการประมวลผลภาพที่ดีขึ้น ประกอบด้วย กล้อง Wide 50MP + กล้อง Ultra Wide 12MP + กล้อง Telephoto 10MP ที่รองรับการซูมแบบ 3x Optical Zoom และซูมไกลสูงสุดที่ระดับ 30x Space Zoom
ด้านคุณสมบัติภายในก็จัดเต็มด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2 For Galaxy ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลรุ่นท็อปสุดจากฝั่ง Android ณ ชั่วโมงนี้ ที่ได้รับการปรับแต่งมาเพื่อสมาร์ตโฟน Galaxy S23 Series โดยเฉพาะ ซึ่งทำงานร่วมกับ RAM แบบ LPDDR5X ผสาน ROM มาตรฐาน UFS 4.0 และมีแบตเตอรี่ความจุเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 3900 mAh และ 4700 mAh ตามลำดับ ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วทั้งแบบผ่านสาย และไร้สาย บนระบบปฏิบัติการ Android 13 ที่ถูกครอบทับด้วย One UI 5.1 ใหม่ล่าสุดตั้งแต่แกะกล่อง พร้อมการันตีการอัปเดต Android OS นาน 4 ปี และแพทช์ความปลอดภัยนาน 5 ปีเต็ม
สำหรับ Samsung Galaxy S23 | S23+ เปิดราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยเริ่มที่ 30,900 บาท และ 37,900 บาท ซึ่งการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร และมีดีไซน์ตัวเครื่องที่สวยงามขนาดไหน ไปรับชมรีวิว Samsung Galaxy S23 | S23+ ฉบับเต็มพร้อมกันได้เลยค่ะ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
Samsung Galaxy S23 | S23+ มาพร้อมกับหน้าจอ Flat Dynamic AMOLED 2X Infinity-O Display ขนาด 6.1 นิ้ว และ 6.6 นิ้ว ตามลำดับ ความละเอียดระดับ Full HD+ (2340x1080 พิกเซล : 407 PPI) รองรับฟีเจอร์ Super Smooth 120Hz พร้อมค่า Touch Sampling Rate ระดับ 240Hz ในการปรับค่า Refresh Rate ตามคอนเทนต์ที่แสดงระหว่าง 48-120Hz พร้อมฟีเจอร์ Vision Booster ที่สามารถดันค่าความสว่างได้สูงสุด 1750nits เช่นเดียวกับรุ่น Ultra พร้อมครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus 2 ใหม่ล่าสุด ซึ่งนับเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกในตลาดที่ใช้กระจกรุ่นนี้ และที่กรอบด้านข้างจะมีความโค้งมนเล็กน้อยเพื่อให้รับกับหน้าจอแบบแบน จึงช่วยให้การสัมผัสใช้งานนั้นมีความลื่นไหลต่อเนื่องไม่สะดุด
โดยรุ่น S23 มีตัวเครื่องขนาด 146.3x70.9x7.6
มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 168 กรัม
ส่วนรุ่น S23+ มีตัวเครื่องขนาด 157.8x76.2x7.6 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 196
กรัม
มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Ultrasonic Fingerprint
Samsung Galaxy S23 | S23+ มีกล้องหน้าเซลฟี่ตัวใหม่ กับความละเอียดที่ 12 ล้านพิกเซล (f2.2) พร้อมเทคโนโลยี Dual Pixel และติดตั้งเซนเซอร์ Proximity Sensor สำหรับปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน กับ Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอ และแผงปุ่มกดให้เหมาะสม
ด้านหน้าส่วนล่างประกอบด้วย ปุ่มกดแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent App, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ โดยผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนมาใช้ Full Screen Gestures ในการใช้นิ้วลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการแบบต่าง ๆ ได้ด้วย
ด้านซ้ายของตัวเครื่องไม่มีปุ่มสั่งการใด ๆ จะมีเพียงเส้นเสาสัญญาณทั้งหมด 2 เส้น
ด้านขวาตัวเครื่องมีเส้นเสารับสัญญาณ 1 เส้น พร้อมปุ่มปรับระดับเสียง กับปุ่ม Power สำหรับล็อกหน้าจอ และเปิด-ปิด เครื่อง
ด้านบนตัวเครื่องมีไมโครโฟนตัวที่ 2 สำหรับตัดเสียงรบกวน พร้อมเส้นเสาสัญญาณ 1 เส้น
และที่ด้านล่างตัวเครื่องมีลำโพงเสียงตัวหลัก, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา 2 ตัว พร้อมพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C ที่ตรงกลาง และถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Dual-SIM
ซึ่งทั้ง Galaxy S23 และ S23+ นั้นจะเน้นความโค้งมนมากกว่ารุ่น Ultra และแน่นอนว่ามีความกะทัดรัดพกพาสะดวกคล่องตัวมากกว่า
Samsung Galaxy S23 | S23+ ผลิตจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างกระจก กับแผ่นฟิล์ม PET รีไซเคิล และโลหะ โดยด้านหลังครอบทับฝาหลังด้วยกระจก Gorilla Glass Victus 2 ใหม่ล่าสุดเช่นเดียวกับด้านหน้า พร้อมกรอบตัวเครื่อง Armor Aluminum ที่ช่วยปกป้องตัวเครื่องได้เป็นอย่างดี โดยรุ่น S23 ที่ทางทีมงานนำมารีวิวในวันนี้เป็นสีม่วง (Lavender) และรุ่น S23+ ในสีครีม (Cream) ซึ่งจะเห็นว่า Galaxy S23 Series นั้นจะเลือกใช้ชุดสีใหม่แบบ Earth Tone 4 สี นั่นคือ Phantom Black, Green, Cream และ Lavender
Samsung Galaxy S23 | S23+ มีการติดตั้งกล้อง 3 ตัว (Triple Camera) ชุดเดียวกัน ซึ่งประกอบไปด้วย
- กล้อง Wide ความละเอียด
50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.56 นิ้ว,
เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน เทคโนโลยี Dual Pixel, รูรับแสงขนาด f1.8,
ทางยาวโฟกัส 23 มิลลิเมตร, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF
และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.55 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.4 ไมครอน,
รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 120 องศา (ทางยาวโฟกัส 13 มิลลิเมตร)
และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel AF
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.94 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน, ระบบซูมแบบ
3x Optical Zoom, รูรับแสงขนาด f2.4, ทางยาวโฟกัส 70 มิลลิเมตร,
ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel AF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
รองรับการถ่ายภาพในทุกสภาพแสง ด้วยเทคโนโลยี AI
Scene Optimizer ในการตรวจจับซีนต่าง ๆ พร้อมโหมด Night สำหรับถ่ายภาพกลางคืน
หรือที่แสงน้อยโดยเฉพาะ, โหมดความละเอียดสูง 50MP, โหมด Portrait
พร้อมเทคโนโลยี AI Object aware engine
ในการแยกบุคคลกับวัตถุรอบข้างได้ดีขึ้น และระบบโฟกัสแบบติดตามวัตถุ (Tracking
AF), ฟังก์ชัน AR Emoji, โหมด Food สำหรับถ่ายภาพอาหาร, โหมด Single Take
รวมถึงโหมด Expert RAW สำหรับช่างภาพตัวจริง ในการถ่ายภาพไฟล์ DNG 16-bit RAW
พร้อมความคมชัด และมีช่วงไดนามิกที่กว้างกว่าไฟล์ RAW ทั่วไป
และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 8K (30fps)
มาพร้อมกับระบบป้องกันการสั่นแบบ Super Stead, โหมดถ่ายวิดีโอ Portrait, โหมด
Director's View สำหรับพรีวิวภาพจากทุกกล้องพร้อมกันแบบ Real-time
และสามารถสลับมุมมองต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา และการถ่ายวิดีโอแบบ Super
Slow-Motion รวมถึงฟังก์ชัน AR Doodle
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่าง ๆ
Samsung Galaxy S23 | S23+ มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 13 ครอบทับด้วย User Interface แบบ One UI 5.1 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด
สามารถใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 5G พร้อมรองรับการสแตนด์บายแบบ Dual 5G
Samsung Galaxy S23 มีหน่วยความแรม (RAM) แบบ LPDDR5X ขนาด 8GB + เทคโนโลยี RAM Plus เพิ่ม RAM เสมือนได้อีกสูงสุด 8GB พร้อมหน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 3.1 ขนาด 128GB (รุ่นความจุ 256GB เป็นมาตรฐาน UFS 4.0)
Samsung Galaxy S23+ มีหน่วยความแรม (RAM) แบบ LPDDR5X ขนาด 8GB + เทคโนโลยี RAM Plus เพิ่ม RAM เสมือนได้อีกสูงสุด 8GB พร้อมหน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 4.0 ขนาด 256GB โดยทั้งสองรุ่นไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้
เมื่อกดค้างที่หน้าจอจะเป็นการเข้าสู่เมนูการ ปรับแต่งหน้าจอ โดยผู้ใช้สามารถปรับตำแหน่งของไอคอน พร้อมตั้งค่า Home, Widgets และเปลี่ยน Wallpaper ได้
เมื่อปัดหน้าจอไปทางขวาจะสามารถเลือกแสดงเป็น Google Discover หน้าที่รวบรวมข่าวสารที่ได้รับความนิยมในโลกออนไลน์ โดยอ้างอิงจากการค้นหาของผู้ใช้
เมื่อลากจากขอบด้านบนของหน้าจอลงมาจะพบกับ Notification Center ซึ่งเป็นหน้ารวมสำหรับการแสดงแจ้งเตือนต่าง ๆ และเมื่อปัดลงอีกหนึ่งครั้งจะเป็นการขยายหน้าจอปุ่มลัดสำหรับการเปิด-ปิดฟังก์ชัน ต่าง ๆ มากมาย เช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ต, Bluetooth หรือการหมุนหน้าจออัตโนมัติ
โดยผู้ใช้ยังสามารถปรับแต่งตำแหน่งของคีย์ลัด เองได้ด้วย
Samsung Galaxy S23 | S23+ สามารถเลือกตั้งค่าการแสดงผลแบบปกติ หรือแบบ Dark Mode ที่จะปรับพื้นหลังให้เป็นสีดำ พร้อมฟังก์ชัน Extra Brightness ดันแสงสว่างแบบขั้นสุดที่ 1750nits และฟังก์ชันการตัดแสงสีฟ้า Eye comfort shield
รองรับระบบ Refresh Rate 120Hz Adaptive ที่สามารถปรับค่า Refresh Rate ให้เหมาะสมกับคอนเทนต์ที่กำลังแสดงผลอยู่ได้แบอัตโนมัติ ระหว่าง 48-120Hz
มีโหมดการแสดงผลมาตรฐานมาให้เลือก 2 แบบด้วยกัน ได้แก่ ธรรมชาติ (Natural) และโหมดสดใส (Vivid) ที่สามารถปรับตั้งค่า White Balance ได้
สามารถตั้งค่าใช้งาน Edge Panels เพื่อเข้าสู่เมนูลัด เพียงปัดนิ้วจากด้านขวาของหน้าจอ พร้อมเลือกแอปพลิเคชันที่ต้องการใช้งานได้ตามความถนัดของแต่ละคน
และฟังก์ชัน Brief pop-up การแจ้งเตือนในรูปแบบ pop-up พร้อม Edge Lighting ไฟวิ่งรอบหน้าจอเมื่อมีการแจ้งเตือน
สามารถสลับตำแหน่งของปุ่ม Navigation Buttons ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้ หรือเลือกใช้งานการควบคุมแบบ Full Screen Gestures ในการปัดหน้าจอขึ้นลักษณะต่าง ๆ เพื่อสั่งการ โดยสามารถเลือกให้แสดง หรือปิด Gesture hints ได้
เลือกเปิดใช้งานฟังก์ชัน Flash Notification สำหรับเปิดแสงแฟลช / กระพริบหน้าจอ เมื่อมีสายเรียกเข้าได้
สำหรับฟังก์ชัน Always-On Display สามารถเลือกการแสดงผล และดีไซน์ได้ตามที่ต้องการ รวมถึงเลือกให้แสดง Notification ต่าง ๆ ในหน้า Always-On ขณะปิดหน้าจอ และเลือกเปลี่ยนสี / ดีไซน์ของนาฬิกาได้ด้วย โดยสามารถเลือกซื้อเพิ่มได้ที่ Galaxy Store
สามารถปรับธีมสีแถบเมนู และไอคอนแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ด้วยฟังก์ชัน Color Palette
รองรับการปลดล็อกหน้าจอด้วยเซนเซอร์สแกนลายนิ้ว มือที่ฝังอยู่บนหน้าจอแบบ Ultrasonic Fingerprint ที่สามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 ลายนิ้วมือ ซึ่งจากการทดสอบตัวเซนเซอร์ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอได้รวดเร็ว
และการสแกนใบหน้า (Face Recognition) ที่สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถลงทะเบียนได้ทั้งหมด 2 ใบหน้าด้วยเมนู add Alternative Appearance to enhance
Samsung Galaxy S23 | S23+ รองรับเทคโนโลยีเชื่อมต่อไร้สายระยะใกล้แบบ NFC จึงสามารถใช้บริการแตะจ่ายเงินผ่านมือถือด้วยบริการต่าง ๆ ได้
สามารถใช้งานแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือแอปพลิเคชันแชทได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ ผ่านฟังก์ชัน Dual Messenger
ทั้ง Samsung Galaxy S23 | S23+ นั้นมีความจุของแบตเตอรี่ที่มากกว่าเดิม นั่นคือ 3900 mAh (จากเดิม 3700 mAh) และ 4700 mAh (จากเดิม 4500 mAh) ตามลำดับ พร้อมโหมดประหยัดพลังงาน Power Saving จะช่วยยืดระยะเวลาในการใช้งานให้นานกว่าเดิม
โดยรุ่น S23
รองรับระบบการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 25W Super Fast Charging
ส่วนรุ่น S23+ จะรองรับระบบการชาร์จความเร็วสูงที่ 45W Super Fast Charging
2.0
(ต้องซื้ออะแดปเตอร์แยกต่างหาก)
โดยทั้งสองรุ่นรองรับเทคโนโลยีชาร์จไร้สายความ เร็วสูงแบบ 15W Fast Wireless Charging 2.0 ที่ช่วยย่นระยะเวลาในการชาร์จให้รวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงรองรับฟังก์ชัน Wireless PowerShare สำหรับแปลงเป็นแท่นชาร์จไร้สายให้กับอุปกรณ์อุปกรณ์อื่น ๆ
รองรับฟังก์ชัน Split-Screen View ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อม ๆ กัน โดยรองรับการใช้งานทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน
มีฟีเจอร์ Game Launcher ที่รวมเกมทั้งหมดภายในเครื่องมารวมไว้ในที่เดียวกัน พร้อมฟังก์ชันเพิ่มเติม เช่นฟังก์ชันประหยัดพลังงานขณะเล่นเกม หรือปิดการแจ้งเตือนขณะเล่นเกม
และยังมีฟังก์ชันปรับค่าประสิทธิภาพ ให้เราเลือกได้ว่าจะให้ระบบรันเกมโดยลดประสิทธิภาพลงเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ หรือรันโดยเน้นประสิทธิภาพการเล่นเกมขั้นสูงสุดโดยไม่ต้องสนใจแบตเตอรี่ และสามารถตั้งค่าแยกเฉพาะแต่ละเกมได้ด้วย ฟังก์ชันนี้จะช่วยให้เราปรับประสิทธิภาพการเล่นเกมให้เหมาะกับสถานการณ์มากขึ้น เช่นการเปิดบอททิ้งไว้ ซึ่งเราไม่ได้ต้องการกราฟิกสวย ๆ หรือความลื่นไหล แต่ต้องการเปิดทิ้งไว้ให้นานที่สุด ในทางกลับกัน เมื่อเราเล่นเกมด้วยตัวเอง เราก็ต้องการให้ตัวเกมลื่นไหลที่สุด และมีกราฟิกสวยงาม เป็นต้น
เมื่อเล่นเกมในโหมด Game Launcher จะมีเมนูลัดเพิ่มเข้ามาในแถบนำทาง ซึ่งสามารถเลือกตั้งค่าการบล็อกการแจ้งเตือนต่าง ๆ และการโทรได้ นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกแสดงการแจ้งเตือนต่าง ๆ แบบ Pop-Up ขณะเล่น และการล็อกหน้าจออัตโนมัติเมื่อเปิดเกมทิ้งไว้ระยะเวลาหนึ่ง
โดยในโหมดล็อกหน้าจอ ระบบจะลดความสว่างของหน้าจอ, ล็อกการสัมผัส และลดเฟรมเรตของตัวเกมลง แต่เกมจะยังคงรันต่อไปเรื่อย ๆ เหมาะสำหรับการเปิดบอททิ้งไว้ เพราะประหยัดพลังงานกว่าการเปิดเกมไว้ตลอด และช่วยป้องกันการสัมผัสปุ่มต่าง ๆ โดยไม่ตั้งใจได้
สำหรับเซนเซอร์ในเครื่อง Samsung Galaxy S23 | S23+ นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor, Magnetic Sensor และ Pressure Sensor
สามารถจับสัญญาณดาวเทียมในที่กลางแจ้งได้รวดเร็ว และระบบนำทางสามารถใช้งานได้แม่นยำมีประสิทธิภาพ ด้วยการรองรับระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, Galileo และ BeiDou
Samsung Galaxy S23 | S23+ มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2 (Octa-Core) ผลิตบนเทคโนโลยีระดับ 4nm ความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 3.36 GHz โดยมีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Adreno 740, หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5X ขนาด 8GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB / 256GB ตามลำดับ และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 13 ครอบทับด้วย One UI 5.1 เวอร์ชันใหม่
โดยรุ่น S23 รุ่นความจุ 128GB เป็นมาตรฐาน UFS
3.1 (รุ่นความจุ 256GB เป็นมาตรฐาน UFS 4.0)
สำหรับรุ่น S23+ มากับ ROM มาตรฐาน UFS 4.0 ทุกรุ่นความจุ
Samsung Galaxy S23 มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 1,102,057 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 6 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 1,899 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 4,970 คะแนน
Samsung Galaxy S23+ มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 1,165,802 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 6 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 1,889 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 4,858 คะแนน
การทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ Wild Life Extreme ในรุ่น Galaxy S23 ได้คะแนนการทดสอบที่ 3,864 คะแนน ส่วนในรุ่น Galaxy S23+ ทำได้ 3,818 คะแนน
ทั้งสองรุ่นรองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด
จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสาม มิติอย่าง Marvel Future Fight, Tera Classic SEA, และ Black Desert Mobile พร้อมกับเปิดการแสดงผลกราฟิกระดับสูงสุด รวมถึงการแสดงผลที่ 60fps ก็พบว่าสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างไหลลื่น ไม่มีอาการหน่วง หรือกระตุก ด้วยฟีเจอร์ Super Smooth 120Hz ในการปรับค่า Refresh Rate ตามคอนเทนต์ที่แสดงระหว่าง 48-120Hz พร้อมค่า Touch Sampling Rate ระดับ 240Hz ที่ช่วยให้ตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น ไม่พลาดเหตุการณ์สำคัญ
Samsung Galaxy S23 | S23+ มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Flat Dynamic AMOLED 2X Infinity-O Display คมชัดระดับ Full HD+ (1080x2340 พิกเซล : 425 PPI) จึงสามารถแสดงผลคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้อย่างคมชัด มีสีสันสดใส พร้อมเห็นรายละเอียดในที่มืดได้อย่างชัดเจน ในสัดส่วนกว้างเต็มตากับสองขนาดตามความชอบที่ 6.1 นิ้ว และ 6.6 นิ้วตามลำดับ ตอบโจทย์สายเอนเตอร์เทนตัวจริง บวกกับลำโพง Stereo แบบคู่ พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos จึงสามารถใช้งานด้านความบันเทิงได้อย่างเต็มอารมณ์
การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
กล้องหลังของ Galaxy S23 กับ S23+ นั้นแม้จะใช้ฮาร์ดแวร์ชุดเดิม แต่ระบบการประมวลผลภาพนั้นถูกอัปเกรดใหม่ให้ดีขึ้น รวมทั้งฟีเจอร์ Nightography ที่ถูกอัปเกรดใหม่ให้รองรับได้แทบทุกสภาพแสง และ AI สำหรับการประมวลผลภาพเวอร์ชันใหม่ที่เก็บรายละเอียดได้ดีขึ้น
โดยกล้องหลักของ Samsung Galaxy S23 | S23+ นั้นจะเป็นชุดกล้อง 3 ตัว (Triple Camera) ซึ่งประกอบด้วย
- กล้อง Wide ความละเอียด
50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.56 นิ้ว,
เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน เทคโนโลยี Dual Pixel, รูรับแสงขนาด f1.8,
ทางยาวโฟกัส 23 มิลลิเมตร, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF
และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.55 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.4 ไมครอน,
รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 120 องศา (ทางยาวโฟกัส 13 มิลลิเมตร)
และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel AF
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.94 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน, ระบบซูมแบบ
3x Optical Zoom, รูรับแสงขนาด f2.4, ทางยาวโฟกัส 70 มิลลิเมตร,
ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel AF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์สะอาดตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น การเปิด-ปิด ไฟแฟลช, การตั้งเวลาถ่ายภาพ, สัดส่วนภาพถ่าย และฟังก์ชัน Motion Photo ซึ่งในโหมดการถ่ายภาพปกติมีเทคโนโลยี Scene Optimizer ที่เป็นการนำเอาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยวิเคราะห์สภาพแวดล้อม และวัตถุที่อยู่ตรงหน้า เพื่อปรับแต่งการตั้งค่าของกล้องให้เหมาะสมแบบอัตโนมัติ
สามารถถ่ายภาพในมุมปกติ-มุมกว้างแบบ Ultra-Wide 120 องศา (0.6x) ไปจนถึงการซูมภาพสูงสุดที่ 30 เท่า (30x Space Zoom)
โหมด Portrait สามารถปรับระดับความเบลอได้ 7 ระดับ (ค่าเริ่มต้นอยู่ที่ระดับ 5) พร้อมปรับเอฟเฟกต์ได้ 6 รูปแบบ ได้แก่ Blur, Studio, High-Key Mono, Low-Key Mono, Backdrop และ Color Point รวมถึงปรับค่า Skin Tone ได้ 8 ระดับ นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายพอร์ตเทรตในตอนกลางคืนก็ดีขึ้นด้วยฟีเจอร์ Night Portrait AI Stereo Depth Map
และยังสามารถปรับระดับความเบลอ รวมถึงเอฟเฟกต์ในภายหลังได้อีกด้วย
ถ่ายภาพในเวลากลางคืนได้ด้วยโหมด Night พร้อมเก็บภาพในมุมกว้างแบบ Ultra-Wide ได้ ด้วยเซนเซอร์กล้องขนาดใหญ่สามารถรับแสงได้มากกว่าเดิม พร้อมกระจกเลนส์ช่วยลดแสงสะท้อน จึงสามารถเก็บภาพกลางคืน หรือที่แสงน้อยได้อย่างคมชัด และมีสีสันสดใส
สำหรับการถ่ายโหมด Pro มาพร้อมกับรายละเอียดการตั้งค่าต่าง ๆ ที่ครบครัน และครอบคลุมสำหรับช่างภาพแทบทั้งหมด โดยรองรับการถ่ายภาพไฟล์ RAW แบบ 16-bit ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลภาพได้มากกว่าเดิม ตอบโจทย์การนำไปปรับแต่งในโปรแกรมต่าง ๆ อย่างเช่น Lightroom โดยไม่สูญเสียคุณภาพไฟล์
Samsung Galaxy S23 | S23+ ยังมาพร้อมโหมด Expert RAW สำหรับช่างภาพตัวจริง ในการถ่ายภาพไฟล์ DNG 16-bit RAW พร้อมความคมชัด และมีช่วงไดนามิกที่กว้างกว่าไฟล์ RAW ทั่วไป
ด้านการถ่ายวิดีโอรองรับความละเอียดสูงสุดที่ ระดับ 8K 30fps โดยสามารถถ่ายในมุมมองปกติ และมุมกว้างด้วยเลนส์ Ultra-Wide ได้ (การถ่ายวิดีโอแบบ Ultra-Wide รองรับความละเอียดสูงสุดระดับ 4K 60fps) พร้อมรองรับระบบกันสั่นแบบ Super Steady และฟีเจอร์ Auto Framing ในการโฟกัสติดตามบุคคลให้อยู่ภายในเฟรม และปรับค่าผิวสวยในโหมด Beauty (รองรับความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD)
โหมด Portrait Video สำหรับบันทึกวิดีโอหน้าชัดหลังเบลอแบบ real-time คมชัดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ 7 ระดับ พร้อมปรับเอฟเฟกต์ได้ 4 รูปแบบ ได้แก่ Blur, Big Circle, Color Point และ Glitch
โหมด Directors View สำหรับพรีวิวภาพจากทุกกล้องพร้อมกันแบบ real-time และสามารถสลับมุมมองต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา ซึ่งสามารถใช้งานในกล้องหน้าได้ด้วย
และโหมด Pro สำหรับการถ่ายวิดีโอ ที่สามารถปรับตั้งค่าได้หลากหลาย โดยเลือกรูปแบบการรับเสียงของไมโครโฟน และความดังของเสียงที่บันทึกได้
กล้องหน้าของ Samsung Galaxy S23 | S23+ นั้นเป็นกล้องตัวใหม่ที่มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (เดิมเป็นกล้องความละเอียด 10 ล้านพิกเซล) พร้อมเทคโนโลยี Dual Pixel กับรูรับแสงขนาด f2.2 และฟีเจอร์ Galaxy Super HDR ที่ช่วยให้สามารถเก็บรายละเอียดได้ดีตั้งแต่ส่วนมืดไปจนถึงส่วนสว่าง
โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์สะอาดตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจน เหมือนกับกล้องหลัง ได้แก่ การเปิด-ปิด ไฟแฟลช, การตั้งเวลาถ่ายภาพ, สัดส่วนภาพถ่าย และ Motion Photo ซึ่งสามารถใส่ฟิลเตอร์แบบต่าง ๆ ได้
พร้อมปรับค่าผิวเนียนในโหมด Beauty ได้ 3 ระดับ และปรับสัดส่วนใบหน้า, ขนาดกราม และขนาดของดวงตาได้
และเลือกโทนสีผิวได้
โหมด Portrait สามารถปรับระดับความเบลอได้ 7 ระดับ พร้อมปรับเอฟเฟกต์ได้ 6 รูปแบบ ได้แก่ Blur, Studio, High-Key Mono, Low-Key Mono, Backdrop และ Color Point รวมถึงปรับค่า Skin Tone ได้ 8 ระดับ
และยังสามารถปรับระดับความเบลอ รวมถึงเอฟเฟกต์ในภายหลังได้
ด้านการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้ารองรับความ ละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD 60fps
สามารถปรับค่า Skin Tone ได้ 8 ระดับ (รองรับความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD)
และโหมด Portrait Video สามารถปรับระดับความเบลอได้ 7 ระดับ พร้อมปรับเอฟเฟกต์ได้ 4 รูปแบบ ได้แก่ Blur, Big Circle, Color Point และ Glitch รวมถึงปรับค่า Skin Tone ได้ 8 ระดับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ความละเอียด 50+12+10
ล้านพิกเซล ของ Samsung Galaxy S23
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ตัวอย่างการซูมตั้งแต่ระยะ 0.6x ไปจนถึง 30x
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait
ภาพถ่ายจากโหมด Night
ตัวอย่างการซูมตั้งแต่ระยะ 0.6x ไปจนถึง 10x
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ของ Samsung Galaxy S23
ภาพถ่ายเซลฟี่ในโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Beauty
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ความละเอียด 50+12+10
ล้านพิกเซล ของ Samsung Galaxy S23+
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ตัวอย่างการซูมตั้งแต่ระยะ 0.6x ไปจนถึง 30x
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait
ภาพถ่ายจากโหมด Night
ตัวอย่างการซูมตั้งแต่ระยะ 0.6x ไปจนถึง 10x
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ของ Samsung Galaxy S23+
ภาพถ่ายเซลฟี่ในโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Beauty
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait
สรุปผลการทดสอบของ Samsung Galaxy S23 | S23+
จากที่มีโอกาสได้ใช้งาน Samsung Galaxy S23 | S23+ มาระยะหนึ่งก็พอจะสรุปได้ว่า เป็นการต่อยอดความครบเครื่องจากเดิมได้เป็นอย่างดี ตอบโจทย์การใช้งานในทุกด้าน พร้อมการดีไซน์ที่สวยพรีเมียมแบบมินิมอล ด้วยการปรับดีไซน์ตัวเครื่องแบบใหม่ ไม่มีแถบกล้องหลังแบบรุ่นก่อน บนตัวเครื่องขอบเหลี่ยมให้ความหรูหรามากขึ้น พร้อมฝาหลังผิวสัมผัสแบบด้าน ซึ่งเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการความกะทัดรัด หรือความคล่องตัวในการพกพา โดยติดตั้งกล้อง 3 ตัว ที่อาจจะไม่ได้จัดเต็มสุดทุกด้านเหมือนรุ่นพี่ Ultra แต่ก็ลงตัวสำหรับการใช้งานในปัจจุบัน ที่โดดเด่นทั้งการถ่ายภาพทั่ว ๆ ไป หรือการถ่ายบุคคลที่ตัดขอบได้เนียนตา และรองรับการซูมสูงสุด 30 เท่า โดย สามารถซูมแบบไม่สูญเสียรายละเอียดที่ 3 เท่า (3x Optical Zoom) รวม ถึงถ่ายภาพกลางคืนได้สวยคมชัดมากขึ้นด้วยเทคโนโลยี Nightography และ ฟีเจอร์ Astrophoto สำหรับถ่ายดวงดาว หรือทางช้างเผือกโดยเฉพาะ ไปจนถึงโหมด Expert RAW สำหรับช่างภาพตัวจริง ในการถ่ายภาพไฟล์ DNG 16-bit RAW และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 8K (30fps) พร้อมโหมดกันสั่นตอบโจทย์ทุกการใช้งานโดยเฉพาะสายคอนเทนต์ตัวจริง
Samsung Galaxy S23 | S23+ เลือกใช้ชิ ปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2 For Galaxy รุ่นพิเศษที่ถูก ปรับแต่งมาใช้บน Galaxy S23 Series โดยเฉพาะ สามารถตอบโจทย์การใช้งานด้านต่าง ๆ ได้ดี ทำงานร่วมกับ RAM แบบ LPDDR5X รองรับฟีเจอร์ RAM Plus สามารถขยาย RAM เสมือนได้อีกสูงสุด 8GB พร้อม ROM มาตรฐานใหม่ UFS 4.0 ที่สามารถอ่าน-เขียนข้อมูลได้รวดเร็วกว่า เดิม (แต่สำหรับ Galaxy S23 ในรุ่นความจุ 128GB จะยังคงเป็นมาตรฐาน UFS 3.1 เหมือนรุ่นก่อน) โดยมีให้เลือกใช้สูงสุดที่ความจุ 512GB ที่แม้จะไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้ แต่ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานในยุคนี้
Samsung Galaxy S23 ที่มีแบตเตอรี่ความจุน้อยกว่าเพื่อน 3900 mAh ก็สามารถใช้ งานได้ตลอดวัน เช่นเดียวกับรุ่นพี่ Galaxy S23+ ที่มีแบตความจุ 4700 mAh พร้อมปรับปรุงการระบายความร้อนให้ดีขึ้น ที่แม้จะมีการใช้งานอย่างหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน และตัวเครื่องเกิดความร้อนค่อนข้างเร็ว แต่ก็สามารถระบายออกได้เร็วด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าถูกใจเกมเมอร์อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ 25W Super Fast Charging และ 45W Super Fast Charging ตามลำดับ ผสานเทคโนโลยีชาร์จไร้สายแบบ 15W Fast Wireless Charging 2.0 แต่น่าเสียดายที่ไม่มีตัวอะแดปเตอร์แถมมาให้เช่นเดิม ซึ่งต้องซื้อแยกต่างหาก โดยทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 13 ที่ครอบทับด้วย One UI 5.1 เวอร์ชันล่าสุด ที่ทาง Samsung การันตีการอัปเดต Android OS นานถึง 4 ปีเต็ม พร้อมการอัปเดตแพทช์ความปลอดภัย 5 ปี ซึ่งช่วยเสริมความมั่นใจได้เป็นอย่างดีว่าซื้อไปแล้วจะได้ใช้งานกันไปแบบยาว ๆ
Samsung Galaxy S23 | S23+ เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ตอบโจทย์ด้านความบันเทิงได้เป็นอย่างดี ด้วยหน้าจอแสดงผลแบบ Flat Dynamic AMOLED 2X Infinity-O Display คมชัดระดับ Full HD+ (1080x2340 พิกเซล : 425 PPI) จึงสามารถแสดงผลคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้อย่างคมชัด มีสีสันสดใส พร้อมเห็นรายละเอียดในที่มืดได้อย่างชัดเจน ในสัดส่วนกว้างเต็มตากับสองขนาดให้เลือกใช้ตามความชอบที่ 6.1 นิ้ว และ 6.6 นิ้วตามลำดับ ตอบโจทย์สายเอนเตอร์เทนตัวจริง อีกทั้งยังไม่พลาดทุกเหตุการณ์เมื่อเล่นเกมโปรดด้วยฟีเจอร์ Super Smooth 120Hz ในการปรับค่า Refresh Rate ตามคอนเทนต์ที่แสดงระหว่าง 48-120Hz พร้อมค่า Touch Sampling Rate ระดับ 240Hz ที่ช่วยให้ตอบสนองได้รวดเร็ว บวกกับลำโพง Stereo แบบคู่ พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos จึงสามารถใช้งานด้านความบันเทิงได้อย่างเต็มอารมณ์ และด้วยฟีเจอร์ Vision Booster ที่สามารถดันค่าความสว่างสูงสุดได้ถึงระดับ 1750 nits จึงสามารถใช้งาน Samsung Galaxy S23 | S23+ ในที่กลางแจ้งได้สบาย ๆ
โดย Samsung Galaxy S23 | S23+
นั้นเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ววันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2566) กับ 4 รุ่นย่อย 4 ราคาดังนี้
Samsung Galaxy S23
- รุ่น RAM 8GB + ROM 128GB : 30,900 บาท
- รุ่น RAM 8GB + ROM 256GB : 33,900 บาท
Samsung Galaxy S23+
- รุ่น RAM 8GB + ROM 256GB : 37,900 บาท
- รุ่น RAM 8GB + ROM 512GB : 42,900 บาท
พร้อมโปรโมชันพิเศษตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ - 2 เมษายน 2566 ดังนี้
- รับส่วนลดเพิ่ม 4,000 บาท เมื่อใช้สิทธิ์เก่าแลกใหม่
- รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 5% มูลค่าสูงสุด 2,145 บาท เมื่อผ่อนผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ
- รับส่วนลด 50% ประกันจอแตก ตกน้ำ Samsung Care+
- รับส่วนลด Buds2 / Buds2 Pro 30% เมื่อซื้อคู่กับ Galaxy S23 หรือ Galaxy S23+
- รับคะแนนสะสม Samsung Reward 1% เพื่อใช้เป็นส่วนลดครั้งถัดไป
- ซื้อพร้อม SIM AIS สัญญา 12 เดือน จ่ายเพียงเดือนละ 899.- จากราคา 1,999.- (เปิดใช้งานก่อน 31 มี.ค. 66)
กับตัวเลือก 4 สีใหม่ ได้แก่ สีดำ (Phantom Black), สีครีม (Cream), สีเขียว (Green) และสีม่วง (Lavender) รวม ถึงตัวเลือกพิเศษเฉพาะการสั่งซื้อแบบ Online Exclusive Colors ได้แก่ Graphite และ Lime โดยสามารถสั่งซื้อ Samsung Galaxy S23 | S23+ ได้ที่นี่ : https://www.samsung.com/th/smartphones/galaxy-s23/buy/ กับที่หน้าร้าน Samsung Brand Shop ทุกสาขา และร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
Samsung Galaxy S23 | S23+ สีมาตรฐาน
Samsung Galaxy S23 | S23+ สีพิเศษเฉพาะการสั่งซื้อแบบออนไลน์ (Online Exclusive)
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Samsung ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง Samsung Galaxy S23 | S23+ สองรุ่นใหม่นี้มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ทางทีมงานต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ
จุดเด่นของ
Samsung Galaxy S23 | S23+
- ตัวเครื่องผลิตจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างกระจกกับแผ่นฟิล์ม
PET รีไซเคิล และโลหะ โดยครอบทับด้านหน้า-ด้านหลังด้วยกระจก Gorilla Glass Victus 2
ใหม่ล่าสุดเป็นรุ่นแรก พร้อมกรอบตัวเครื่อง Armor Aluminum
- มีตัวเลือก 4 สีใหม่แบบ Earth Tone ได้แก่ สีดำ (Phantom Black), สีครีม (Cream), สีเขียว
(Green) และสีม่วง (Lavender)
- มีตัวเลือก 2 สีพิเศษแบบ Online Exclusive Colors ได้แก่ Graphite และ Lime
- จอแสดงผลแบบ Flat Dynamic AMOLED 2X Infinity-O Display ขนาด 6.1 นิ้ว และ
6.6 นิ้วตามลำดับ ความละเอียดระดับ Full HD+ (2340x1080 พิกเซล : 407 PPI)
รองรับค่า Refresh Rate แบบ Super Smooth 120Hz, ความสว่างสูงสุดที่ 1750
nits (Peak Brightness), ฟังก์ชัน Vision Booster,
รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10+ และครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus
2
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (Ultrasonic Fingerprint)
พร้อมระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition)
------------------------------------------------------------------
- ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2 แบบ Octa-Core ความเร็ว
3.36 GHz ที่ใช้กระบวนการผลิตระดับ 4 nm
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 740
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5X ขนาด 8GB พร้อมเทคโนโลยี RAM Plus
ที่สามารถขยาย RAM เพิ่มได้สูงสุด 8GB ด้วย Internal Storage (ROM)
- รุ่น S23 มีหน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 3.1 ขนาด 128GB (และแบบ
UFS 4.0 ขนาด 256GB)
- รุ่น S23+ มีหน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 4.0 ขนาด 256GB
- รุ่น S23 มีแบตเตอรี่ความจุ 3900 mAh
(เพิ่มขึ้นจาก 3700 mAh) พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 25W Super Fast Charging
- รุ่น S23+ มีแบตเตอรี่ความจุ 4700 mAh (เพิ่มขึ้นจาก 4500 mAh)
พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 45W Super Fast Charging 2.0
- รองรับเทคโนโลยีชาร์จไร้สายความเร็วสูงแบบ 15W Fast Wireless Charging
และฟังก์ชัน Wireless PowerShare
สำหรับแปลงเป็นแท่นชาร์จไร้สายให้กับอุปกรณ์อุปกรณ์อื่น ๆ
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 13 พร้อมครอบทับด้วย One UI 5.1
------------------------------------------------------------------
กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera)
- กล้อง Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.56 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน เทคโนโลยี
Dual Pixel, รูรับแสงขนาด f1.8, ทางยาวโฟกัส 23 มิลลิเมตร,
ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.55 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.4 ไมครอน,
รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 120 องศา (ทางยาวโฟกัส 13 มิลลิเมตร)
และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel AF
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.94 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน, ระบบซูมแบบ
3x Optical Zoom, รูรับแสงขนาด f2.4, ทางยาวโฟกัส 70
มิลลิเมตร, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel AF และระบบป้องกันการสั่นแบบ
OIS
โดยมีการอัปเกรดระบบการประมวลผลภาพใหม่ให้ดีขึ้น รวมทั้งฟีเจอร์ Nightography ที่ถูกอัปเกรดใหม่ให้รองรับได้แทบทุกสภาพแสง และ AI สำหรับการประมวลผลภาพเวอร์ชันใหม่ที่เก็บรายละเอียดได้ดีขึ้น
รองรับการถ่ายภาพในทุกสภาพแสง ด้วยเทคโนโลยี AI Scene Optimizer
ในการตรวจจับซีนต่าง ๆ พร้อมโหมด Night สำหรับถ่ายภาพกลางคืน
หรือที่แสงน้อยโดยเฉพาะ, โหมดความละเอียดสูง 50MP, โหมด Portrait
พร้อมเทคโนโลยี AI Object aware engine
ในการแยกบุคคลกับวัตถุรอบข้างได้ดีขึ้น และระบบโฟกัสแบบติดตามวัตถุ (Tracking
AF), ฟังก์ชัน AR Emoji, โหมด Food สำหรับถ่ายภาพอาหาร, โหมด Single Take
รวมถึงโหมด Expert RAW สำหรับช่างภาพตัวจริง ในการถ่ายภาพไฟล์ DNG 16-bit RAW
พร้อมความคมชัด และมีช่วงไดนามิกที่กว้างกว่าไฟล์ RAW ทั่วไป
และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 8K (30fps)
มาพร้อมกับระบบป้องกันการสั่นแบบ Super Stead, โหมดถ่ายวิดีโอ Portrait, โหมด
Director's View สำหรับพรีวิวภาพจากทุกกล้องพร้อมกันแบบ Real-time
และสามารถสลับมุมมองต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา และการถ่ายวิดีโอแบบ Super
Slow-Motion รวมถึงฟังก์ชัน AR Doodle
กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
พร้อมเทคโนโลยี Dual Pixel มีรูรับแสงขนาด f2.2 รองรับระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ
PDAF และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD (60 fps)
รวมทั้งรองรับโหมด Beauty ที่ช่วยปรับผิวให้สวยเป็นธรรมชาติ
พร้อมโหมดถ่ายภาพบุคคล Portrait ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ทั้งก่อน
และหลังถ่ายภาพ รวมถึงรูปแบบ Bokeh ได้ทั้งหมด 6 รูปแบบ และโหมด Night
สำหรับถ่ายเซลฟี่เวลากลางคืนหรือที่แสงน้อย รวมถึงโหมด Portrait Video
สามารถปรับระดับความเบลอได้ พร้อมปรับเอฟเฟกต์ได้ 4 รูปแบบ
------------------------------------------------------------------
- ลำโพงเสียงแบบคู่ (Stereo Speakers) พร้อมระบบเสียงแบบ Dolby Atmos, Dolby
Digital และ Dolby Digital Plus
- ไมโครโฟน 3 ตัว
- ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านระบบ Wi-Fi 6E (เร็วกว่า Wi-Fi 6 สองเท่า), 5G
SA/NSA : Sub6, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual SIM : Nano SIM+Nano SIM หรือ Nano
SIM+eSIM) บนถาดแบบ Dual Slot
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.3, NFC และ Ultra Wide Band
- ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, Galileo และ
BeiDou
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- ระบบรักษาความปลอดภัย Knox Vault, Knox Platform, Virus&Malware
Prevention และ Secure Folder
- ผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby (Bixby Vision และ Bixby Routines)
- ฟังก์ชัน Dual Messenger
สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์
- การันตีอัปเดตเวอร์ชันของ Android OS อย่างน้อย 4 เวอร์ชัน
พร้อมรองรับการอัปเดตระบบความปลอดภัยต่อเนื่องสูงสุด 5 ปี
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Samsung Galaxy S23 | S23+
-
ตัวเครื่องค่อนข้างร้อนเร็วเมื่อต้องใช้งานแอปพลิเคชันที่ใช้การประมวลผลสูง
- ไม่แถมอะแดปเตอร์สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ และหูฟังมาให้ภายในชุดจำหน่ายมาตรฐาน
- ไม่รองรับการใส่การ์ดหน่วยความจำภายนอกเพิ่มเติม
- ไม่มีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
สรุปคุณสมบัติเครื่อง
ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Samsung Galaxy S23 | S23+ ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้
สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ
Samsung Galaxy S23 (8GB+128GB)
สรุป
คุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Samsung Galaxy S23 (8GB+256GB)
สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ
Samsung Galaxy S23+ (8GB+256GB)
สรุป
คุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Samsung Galaxy S23+ (8GB+512GB)
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบ หรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
วันที่ : 24/02/2023