ตอนนี้คุณอยู่ที่ >> หน้าแรก >> หน้ารวม รีวิวมือถือ mobile review >> รีวิวมือถือ Mobile Review
   
Date : 08/03/2022


 

รีวิว Samsung Galaxy S22 Ultra ที่สุดเรือธงแห่งปี กับการรวม S และ Note ไว้ในร่างเดียว จบทั้งกล้อง ปากกา S Pen และความแรง บนดีไซน์ใหม่สุดพรีเมียมแข็งแกร่ง
 

8 มีนาคม 2022 - นี่น่าจะเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปที่ถูกถามถึงมากที่สุดในชั่วโมงนี้แล้วสำหรับ Samsung Galaxy S22 Ultra รุ่นใหญ่ที่จัดเต็มที่สุดของตระกูล Samsung Galaxy S22 Series ที่เพิ่งเปิดตัวไปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาพร้อมกับอีก 2 ตัวเลือกอย่าง Samsung Galaxy S22 และ Samsung Galaxy S22+ ที่มาพร้อมการดีไซน์พรีเมียม และฟีเจอร์ไฮเอนด์จัดเต็มครบครัน และชูโรงด้านการถ่ายภาพเวลากลางคืนด้วยเทคโนโลยี Nightography

ซึ่งในด้านของ Samsung Galaxy S22 Ultra ตัวท็อปประจำตระกูลที่เรานำมารีวิวให้ชมกันในวันนี้นั้นเป็นรุ่นที่มีจุดเด่นต่างจากอีกสองรุ่นย่อยอย่างชัดเจน ด้วยการดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์จากการรวมเข้ากับ Note Series ที่มีจุดขายอันโดดเด่นในเรื่องความสามารถของการใช้งานร่วมกับปากกา S Pen พร้อมช่องเก็บปากกาในตัวเครื่อง พร้อมผสานเข้ากับจุดขายของ S Series นั่นก็คือกล้องถ่ายภาพที่ดีที่สุดเอาไว้ในเครื่องเดียวกัน

Samsung Galaxy S22 Ultra เน้นการถ่ายภาพ และวิดีโอในเวลากลางคืน ด้วยกล้องตัวหลักที่มีความละเอียดมากถึง 108 ล้านพิกเซล พร้อมพิกเซลขนาด 2.4 ไมครอน ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดามือถือ Samsung ซึ่งสามารถรับแสงได้มากกว่า จึงสามารถถ่ายภาพได้อย่างคมชัดในทุกสภาพแสง ทั้งกลางวัน-กลางคืน อีกทั้งยังรองรับการซูมได้ไกลสุดที่ 100 เท่า ด้วยกล้อง Telephoto ทั้งหมด 2 ตัว อีกทั้งได้อัปเกรดจากเดิมด้วยชิปเซ็ตระดับท็อปใหม่ล่าสุดอย่าง Snapdragon 8 Gen1 จับคู่กับ RAM แบบ LPDDR5 ขนาดสูงสุด 12GB ที่รองรับเทคโนโลยี RAM Plus ในการเพิ่ม RAM เสมือนได้อีก 8GB พ่วงกับหน่วยความจำ ROM แบบ UFS 3.1 ขนาดสูงสุด 512GB โดยมีแบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ 45W Super Fast Charging กับ 15W Fast Wireless Charging 2.0 และมากับระบบปฏิบัติการ Android 12 ที่ครอบทับด้วย One UI 4.1 เวอร์ชันล่าสุดตั้งแต่แกะกล่อง

 

และแน่นอน Samsung Galaxy S22 Ultra ยังโดดเด่นในเรื่องของการแสดงผลด้วยเช่นกัน ด้วยหน้าจอแบบ Edge Dynamic AMOLED 2X Infinity-O Display ขนาด 6.8 นิ้ว ความละเอียดระดับ QHD+ (3088x1440 พิกเซล : 500 PPI) พร้อมฟีเจอร์ Vision Booster ที่สามารถดันค่าความสว่างสูงสุดได้ถึงระดับ 1750 nits, รองรับฟีเจอร์ Super Smooth 120Hz ในการปรับค่า Refresh Rate ตามคอนเทนต์ที่แสดงระหว่าง 10-120Hz พร้อมเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอแบบ Ultrasonic Fingerprint

จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า Samsung Galaxy S22 Ultra ถือเป็นหนึ่งในเรือธงที่น่าจับจองเป็นเจ้าของมากเป็นพิเศษในชั่วโมงนี้ กับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเริ่มที่ 39,900 บาท ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านรับชมการรีวิว Samsung Galaxy S22 Ultra ไปพร้อมกันได้เลยค่ะ 


รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

Samsung Galaxy S22 Ultra มาในแพ็กเกจเพรียวบางดีไซน์เรียบหรู


ซึ่งแน่นอนว่าด้วยแพ็จเกจที่เพรียวบางเช่นนี้ ภายในก็จะมีเพียงตัวเครื่อง, สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และเข็มถอดถาดซิมการ์ด เท่านั้น ส่วนอุปกรณ์อื่น ๆ เช่นอะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ไม่ได้มีแถมมาให้ด้วย


Samsung Galaxy S22 Ultra มีหน้าจอแสดงผลลงขอบโค้งทั้งสองด้านแบบ Edge Dynamic AMOLED 2X Infinity-O Display ขนาด 6.8 นิ้ว ความละเอียดระดับ QHD+ (3088x1440 พิกเซล : 500 PPI) พร้อมฟีเจอร์ Vision Booster ที่สามารถดันค่าความสว่างสูงสุดได้ถึง 1750 nits, รองรับฟีเจอร์ Super Smooth 120Hz ในการปรับค่า Refresh Rate ตามคอนเทนต์ที่แสดงระหว่าง 10-120Hz พร้อมค่า Touch Sampling Rate ระดับ 240Hz และครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus+ บนตัวเครื่องขนาด 163.3x77.9x8.9 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 228 กรัม


ที่ด้านบนหน้าจอการฝังกล้องหน้าสำหรับเซลฟี่ที่ตรงกลาง ความละเอียดสูงถึง 40 ล้านพิกเซล (f2.2)

โดยมีลำโพงสำหรับสนทนาอยู่ถัดด้านบน ซึ่งเป็นลำโพงเสียงตัวที่สองในตัว พร้อมติดตั้งเซนเซอร์ Proximity สำหรับปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน กับเซนเซอร์ Ambient Light สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอ และแผงปุ่มกดให้เหมาะสม


ด้านหน้าส่วนล่างประกอบด้วย ปุ่มกดแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent Apps, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ


หรือเลือกใช้งานวิธีควบคุมแบบ Gestures ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ด้วย


มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอแบบ Ultrasonic Fingerprint


ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีเพียงไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน พร้อมเส้นเสารับสัญญาณ 1 เส้น


ด้านล่างประกอบด้วย ช่องสำหรับถาดใส่ซิมการ์ด nanoSIM แบบ Dual-Slot โดยไม่รองรับหน่วยความจำภายนอก, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, ลำโพงเสียงตัวหลัก และช่องเก็บปากกา S Pen


โดยตัวปากกาจะมีสีดำด้าน ขนาด 5.8x4.35x105.08 มิลลิเมตร กับน้ำหนักที่เบาเพียง 3.04 กรัม มีขนาดหัวปากกาที่ 0.7 มม. รองรับแรงกด 4,096 ระดับ และมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นตามมาตรฐาน IP68


ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีเพียงเส้นเสาสัญญาณ 2 เส้น โดยไม่มีพอร์ต หรือปุ่มสั่งการใด ๆ


ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่มปรับระดับเสียง พร้อมปุ่ม Power สำหรับล็อกหน้าจอ และเปิด-ปิด เครื่อง กับเส้นเสารับสัญญาณ 1 เส้น


Samsung Galaxy S22 Ultra ครอบทับฝาหลังด้วยกระจก Gorilla Glass Victus+ พร้อมกรอบตัวเครื่องที่ผลิตจากโลหะ Armor Aluminum ที่ช่วยปกป้องตัวเครื่องได้เป็นอย่างดี โดยสีที่ทางทีมงานนำมารีวิวให้ได้ชมกันนั้นเป็นสี Burgundy ซึ่งถือเป็นสีไฮไลท์


Samsung Galaxy S22 Ultra มาพร้อมชุดกล้องหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) โดยแบ่งออกเป็น

- กล้อง Wide ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.33 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน (2.4 ไมครอน ที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล), รูรับแสงขนาด f1.8, มุมรับภาพ 85 องศา (ทางยาวโฟกัส 24 มิลลิเมตร), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.55 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.4 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 120 องศา (ทางยาวโฟกัส 13 มิลลิเมตร) และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel AF
- กล้อง Telephoto 1 ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.52 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, ระบบซูมแบบ 3x Optical Zoom, รูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 36 องศา (ทางยาวโฟกัส 70 มิลลิเมตร), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel AF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Telephoto 2 ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.52 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, ระบบซูมแบบ 10x Optical Zoom, รูรับแสงขนาด f4.9, มุมรับภาพ 11 องศา (ทางยาวโฟกัส 230 มิลลิเมตร), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel AF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS

รวมทั้งมีเซนเซอร์ Laser Autofocus ที่ช่วยให้การโฟกัสรวดเร็วแม่นยำขึ้นแม้ในที่แสงน้อย กับไมโครโฟนตัวที่สามติดตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน

ซึ่งชุดกล้องหลังนี้รองรับโหมดถ่ายภาพที่น่าสนใจแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น โหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ ที่สามารถเลือกรูปแบบ Bokeh พร้อมปรับระดับความเบลอได้, เทคโนโลยี Scene Optimizer ในการตรวจจับซีนต่าง ๆ , ระบบโฟกัสแบบติดตามวัตถุ (Tracking AF), การซูมภาพไกลสุดที่ 100 เท่า (100x Space Zoom), ฟังก์ชัน AR Emoji, โหมด Food สำหรับถ่ายภาพอาหาร, โหมด Single Take, โหมด Night สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืน, รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 8K (24fps), ระบบป้องกันการสั่นแบบ Super Steady, โหมดถ่ายวิดีโอ Portrait, โหมด Director's View สำหรับพรีวิวภาพจากทุกกล้องพร้อมกันแบบ Real-time และสามารถสลับมุมมองต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา และการถ่ายวิดีโอแบบ Super Slow-Motion รวมถึงฟังก์ชัน AR Doodle


เปรียบเทียบดีไซน์ Samsung Galaxy S22 Ultra กับ Galaxy Note20 Ultra ต่างกันตรงไหนบ้าง ?

สำหรับดีไซน์ภายนอกของ Galaxy S22 Ultra นั้นหากดูโดยรวมแล้วก็เรียกว่าได้รับอิทธิพลจากรุ่นพี่อย่าง Galaxy Note20 Ultra มาพอสมควรเลยทีเดียว ด้วยขอบด้านข้างตัวเครื่องที่มีความเหลี่ยม ช่วยให้จับถือได้อย่างถนัดมือ ส่วนมิติตัวเครื่องก็ถือว่าใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก โดย Galaxy Note20 Ultra มีสัดส่วนอยู่ที่ 164.8x77.2x8.1 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนัก 208 กรัม ขณะที่ Galaxy S22 Ultra มาพร้อมกับสัดส่วนที่ 163.3x77.9x8.9 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนัก 228 กรัม

ในส่วนของหน้าจอแสดงผลทั้งสองรุ่นมีขนาดที่ใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก โดย Galaxy Note20 Ultra มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลขนาด 6.9 นิ้ว ความละเอียดระดับ Quad HD+ พร้อมค่า Refresh Rate ระดับสูงสุด 120Hz ขณะที่ Galaxy S22 Ultra มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลขนาด 6.8 นิ้ว ความละเอียดระดับ Quad HD+ พร้อมค่า Refresh Rate ระดับ 120Hz เช่นเดียวกัน แต่หน้าจอแสดงผลของ S22 Ultra จะมาพร้อมกับเทคโนโลยี LTPO 2.0 ซึ่งสามารถปรับค่า Refresh Rate ได้อย่างละเอียดมากกว่าไล่ตั้งแต่ระดับ 1-120Hz ทำให้ช่วยปรับการแสดงผลให้เหมาะสมกับคอนเทนต์ได้อย่างเหมาะสม และยังช่วยประหยัดการใช้งานแบตเตอรี่ รวมทั้งยังมีเทคโนโลยี Vision Booster ที่จะช่วยปรับการแสดงผลของหน้าจอให้เหมาะกับสภาพแสงโดยรอบผู้ใช้แบบอัตโนมัติ


ในส่วนของด้านหลังมาพร้อมกับดีไซน์ที่เปลี่ยนไป เห็นได้อย่างชัดเจน โดย Galaxy Note20 Ultra มาพร้อมกับชุดกล้องหลังจำนวน 3 ตัว ความละเอียดสูงสุด 108 ล้านพิกเซล โดยกล้องทั้งหมดจะถูกจัดวางอยู่ในกรอบโมดูลที่เหลี่ยมชิดมุมซ้ายบน ขณะที่ทางด้านรุ่น Galaxy S22 Ultra มาพร้อมกับชุดกล้องหลังจำนวน 4 ตัว ความละเอียดสูงสุด 108 ล้านพิกเซลเช่นเดียวกัน โดยกล้องที่ถูกเพิ่มเข้ามาจะเป็นกล้อง Telephoto ตัวที่สองสำหรับซูมภาพระยะกลาง (3x Optical Zoom) แต่โมดูลกล้องของ Galaxy S22 Ultra จะไม่ได้ถูกวางไว้ในกรอบโมดูลสี่เหลี่ยมเหมือนกับ Galaxy Note20 Ultra แต่อย่างใด เรียกได้ว่าหากมองด้านหลังตัวเครื่องก็สามารถแยกรุ่นใหม่ออกจากรุ่นเก่าได้ทันที


สำหรับการจัดวางตำแหน่งของปากกา S Pen จะอยู่ที่มุมซ้ายล่างเหมือนกันทั้งคู่ ส่วนทางด้านคุณสมบัติ Samsung ระบุว่า ปากกา S Pen ของ Galaxy S22 Ultra มาพร้อมกับค่า Latency หรือค่าความหน่วงที่น้อยลงกว่าเดิมถึง 70% (จากเดิม 9 ms เหลือ 2.5 ms) ทำให้สามารถวาด หรือเขียนได้อย่างเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ ปากกา S Pen ของ Galaxy S22 Ultra ยังมีการใส่เซนเซอร์ Accelerometer รวมถึง Gyroscope มาให้เหมือนกับ Note Series ทำให้สามารถใช้ฟังก์ชันวาดมือบนอากาศเพื่อสั่งการตัวเครื่องได้อีกด้วย


ในส่วนของกล้องถ่ายภาพ Galaxy S22 Ultra มีการอัปเกรดกล้องถ่ายภาพใหม่ด้วยการเพิ่มกล้อง Telephoto ตัวที่สอง สำหรับช่วยซูมภาพระยะกลาง (3x Optical Zoom) โดยมีทางยาวโฟกัสอยู่ที่ 70 มิลลิเมตร ซึ่งเรียกได้ว่าเหมาะแก่การถ่ายภาพบุคคล Portrait เป็นอย่างมาก รวมทั้งกล้องตัวหลักก็ยังได้ปรับไปใช้เซนเซอร์รับภาพตัวใหม่ที่มีพิกเซลใหญ่ถึง 2.4 ไมครอน พร้อมกระจกเลนส์แบบใหม่ Super Clear Glass ที่จะช่วยให้การถ่ายภาพ และวิดีโอมีความคมชัดมากยิ่งขึ้น

สำหรับฟีเจอร์ถ่ายภาพของทั้งสองรุ่นถือว่ามีความแตกต่างกันพอสมควร เนื่องจาก Galaxy S22 Ultra ได้มีการนำ AI Technology มาช่วยวิเคราะห์ และประมวลผลภาพมากขึ้นทำให้เกิดฟีเจอร์ใหม่ ๆ อย่าง AI Stereo Depth Map ที่สามารถเก็บรายละเอียดของตัวแบบแม้จะเป็นจุดเล็ก ๆ ได้อย่างละเอียด พร้อมกับเบลอฉากหลังได้อย่างเป็นธรรมชาติ และยังมีความสามารถด้านตัดขอบเส้นขนของสัตว์เลี้ยงได้อย่างแม่นยำเมื่อถ่ายภาพด้วยโหมด Portrait

กล้องหน้าเซลฟี่ก็แตกต่างกันเช่นกัน โดย Galaxy S22 Ultra มาพร้อมกับกล้องหน้าความละเอียดสูงถึง 40 ล้านพิกเซล ขณะที่รุ่น Galaxy Note20 Ultra มาพร้อมกับความละเอียดเพียง 10 ล้านพิกเซล ทำให้ Galaxy S22 Ultra เหมาะแก่การถ่ายทำคอนเทนต์ภาพ หรือวิดีโอด้วยกล้องหน้า และกล้องหลังแบบครบจบในเครื่องเดียวเป็นอย่างมาก


เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่าง ๆ

Samsung Galaxy S22 Ultra มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 12 ที่ถูกครอบทับด้วย User Interface แบบ One UI 4.1 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด


และสามารถใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 5G พร้อมรองรับการสแตนด์บายแบบ Dual 5G


มีหน่วยความแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ขนาด 12GB + เทคโนโลยี RAM Plus เพิ่ม RAM เสมือนได้สูงสุด 8GB พร้อมหน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 3.1 ขนาด 256GB โดยไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้


เมื่อกดค้างที่หน้าจอจะเป็นการเข้าสู่เมนูการ ปรับแต่งหน้าจอ โดยผู้ใช้สามารถปรับตำแหน่งของไอคอน พร้อมตั้งค่า Home, Widgets และเปลี่ยน Wallpaper ได้


เมื่อปัดหน้าจอไปทางขวาจะสามารถเลือกแสดงเป็น Google Discover หน้าที่รวบรวมข่าวสารที่ได้รับความนิยมในโลกออนไลน์ โดยอ้างอิงจากการค้นหาของผู้ใช้ หรือ Samsung FREE ที่รวบรวมข่าวสาร และเกมที่น่าสนใจไว้


เมื่อลากจากขอบด้านบนของหน้าจอลงมาจะพบกับ Notification Center ซึ่งเป็นหน้ารวมสำหรับการแสดงแจ้งเตือนต่าง ๆ และเมื่อปัดลงอีกหนึ่งครั้งจะเป็นการขยายหน้าจอปุ่มลัดสำหรับการเปิด-ปิดฟังก์ชัน ต่าง ๆ มากมาย เช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ต, Bluetooth หรือการหมุนหน้าจออัตโนมัติ


โดยผู้ใช้ยังสามารถปรับแต่งตำแหน่งของคีย์ลัด เองได้ด้วย


Samsung Galaxy S22 Ultra สามารถเลือกตั้งค่าการแสดงผลแบบปกติ หรือแบบ Dark Mode ที่จะปรับพื้นหลังให้เป็นสีดำ พร้อมฟังก์ชันการตัดแสงสีฟ้า Eye comfort shield


รองรับระบบ Refresh Rate 120Hz Adaptive ที่สามารถปรับค่า Refresh Rate ให้เหมาะสมกับคอนเทนต์ที่กำลังแสดงผลอยู่ได้แบอัตโนมัติ ระหว่าง 10-120Hz


มีโหมดการแสดงผลมาตรฐานมาให้เลือก 2 แบบด้วยกัน ได้แก่ ธรรมชาติ (Natural) และโหมดสดใส (Vivid) ที่สามารถปรับตั้งค่า White Balance ได้


สามารถสลับตำแหน่งของปุ่ม Navigation Buttons ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้ หรือเลือกใช้งานการควบคุมแบบ Full Screen Gestures ในการปัดหน้าจอขึ้นลักษณะต่าง ๆ เพื่อสั่งการ โดยสามารถเลือกให้แสดง หรือปิด Gesture hints ได้


สามารถตั้งค่าใช้งาน Edge Panels เพื่อเข้าสู่เมนูลัด เพียงปัดนิ้วจากด้านขวาของหน้าจอ พร้อมเลือกแอปพลิเคชันที่ต้องการใช้งานได้ตามความถนัดของแต่ละคน


และฟังก์ชัน Brief pop-up การแจ้งเตือนในรูปแบบ pop-up พร้อม Edge Lighting ไฟวิ่งรอบหน้าจอเมื่อมีการแจ้งเตือน


สำหรับฟังก์ชัน Always-On Display สามารถเลือกการแสดงผล และดีไซน์ได้ตามที่ต้องการ รวมถึงเลือกให้แสดง Notification ต่าง ๆ ในหน้า Always-On ขณะปิดหน้าจอ และเลือกเปลี่ยนสี / ดีไซน์ของนาฬิกาได้ด้วย โดยสามารถเลือกซื้อเพิ่มได้ที่ Galaxy Store


สามารถปรับธีมสีแถบเมนู และไอคอนแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ด้วยฟังก์ชัน Color Palette


Samsung Galaxy S22 Ultra รองรับการทำงานร่วมกับปากกา S Pen โดยมีที่เก็บในตัวเครื่องแบบตระกูล Note Series รวมถึงรับสืบทอดฟีเจอร์เด่นมาอย่างครบครัน โดยรองรับเทคโนโลยี Bluetooth สำหรับใช้งานเป็นรีโมทระยะไม่เกิน 10 เมตร ในที่โล่ง


และรองรับการสั่งงานด้วยท่าทาง ที่สามารถปรับตั้งค่าเองในภายหลังได้ด้วย ซึ่งปากกา S Pen นี้มีค่า Latency ลดลงเหลือเพียง 2.5 ms หรือลดลง 70% เมื่อเทียบกับ Galaxy Note 20 Ultra ที่มีค่า Latency อยู่ที่ 9 ms จึงทำให้สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำเป็นธรรมชาติมากกว่าเดิม ยิ่งได้ทำงานร่วมกับหน้าจอ 120Hz ก็จะช่วยให้เราขีดเขียนได้ราวกับเขียนอยู่บนกระดาษจริง ๆ


สามารถเปิดแก้ไขไฟล์ PDF พร้อมบันทึก และแชร์ได้ทันที


รวมทั้งสามารถแปลงโน้ตให้เป็นไฟล์ PowerPoint หรือ Word ได้


ฟังก์ชัน Audio Bookmark ที่สามารถบันทึกเสียงไปพร้อม ๆ กับจดโน้ตได้


รวมถึงฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การทำงาน ไม่ว่าจะเป็น AI Neat Note หรือ Auto Straighten ที่ช่วยปรับข้อความที่เขียนเอียง ให้กลับมาเป็นแนวตรงสวยงามได้


รวมถึง Screen Off Memo ที่เราสามารถจดบันทึกได้โดยไม่ต้องปลดล็อกหน้าจอ พร้อมทั้งปักหมุดไว้ได้ และกลับมาอ่านได้ในภายหลังที่ Samsung Notes


สามารถแปลงลายมือให้เป็นตัวพิมพ์ได้ และสามารถคัดลอกแล้วนำไปวางได้


มีฟังก์ชัน Screen Write สำหรับจับภาพหน้าจอ แล้วเขียนลงไป


พร้อมฟีเจอร์ Auto Sync ที่เปิดโอกาสให้ใช้อุปกรณ์อื่น ๆ เปิดดู และปรับแก้โน้ตร่วมกันได้ ทั้งพีซี, แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน ผ่านทางระบบ Samsung Cloud รวมถึง Microsoft OneNote


รองรับการปลดล็อกหน้าจอด้วยเซ็นเซอร์สแกนลาย นิ้วมือที่ฝังอยู่บนหน้าจอแบบ Ultrasonic Fingerprint ที่สามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 ลายนิ้วมือ ซึ่งจากการทดสอบตัวเซ็นเซอร์ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอได้รวดเร็ว


และการสแกนใบหน้า (Face Recognition) ที่สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถลงทะเบียนได้เพียง 1 ใบหน้าเท่านั้น


Samsung Galaxy S22 Ultra รองรับเทคโนโลยีเชื่อมต่อไร้สายระยะใกล้แบบ NFC จึงสามารถใช้บริการแตะจ่ายเงินผ่านมือถือด้วยบริการต่าง ๆ ได้


สามารถใช้งานแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือแอปพลิเคชันแชทได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์ ผ่านฟังก์ชัน Dual Messenger


Samsung Galaxy S22 Ultra มีแบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh พร้อมโหมดประหยัดพลังงาน Power Saving จะช่วยยืดระยะเวลาในการใช้งานให้นานกว่าเดิม


และรองรับระบบการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 45W Super Fast Charging (ต้องซื้ออะแดปเตอร์แยกต่างหาก) พร้อมเทคโนโลยีชาร์จไร้สายความเร็วสูงแบบ 15W Fast Wireless Charging ที่ช่วยย่นระยะเวลาในการชาร์จให้รวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงรองรับฟังก์ชัน Wireless PowerShare สำหรับแปลงเป็นแท่นชาร์จไร้สายให้กับอุปกรณ์อุปกรณ์อื่น


รองรับฟังก์ชัน Split-Screen View ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อม ๆ กัน โดยรองรับการใช้งานทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน


Galaxy Gift หนึ่งในจุดขายสำคัญของสมาร์ทโฟน Samsung ก็มีให้บริการ กับศูนย์รวมโปรโมชั่น, ส่วนลด หรือของฟรี ต่าง ๆ มากมาย เพื่อผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Samsung โดยเฉพาะ ทั้งอาหาร, ขนม, เครื่องดื่ม, ที่พัก, บัตรชมภาพยนตร์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, สมาร์ทโฟน, อุปกรณ์เสริม และอีกมากมาย


นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Game Launcher ที่รวมเกมทั้งหมดภายในเครื่องมารวมไว้ในที่เดียวกัน พร้อมฟังก์ชันเพิ่มเติม เช่นฟังก์ชันประหยัดพลังงานขณะเล่นเกม หรือปิดการแจ้งเตือนขณะเล่นเกม


และยังมีฟังก์ชันปรับค่าประสิทธิภาพ ให้เราเลือกได้ว่าจะให้ระบบรันเกมโดยลดประสิทธิภาพลงเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ หรือรันโดยเน้นประสิทธิภาพการเล่นเกมขั้นสูงสุดโดยไม่ต้องสนใจแบตเตอรี่ และสามารถตั้งค่าแยกเฉพาะแต่ละเกมได้ด้วย ฟังก์ชันนี้จะช่วยให้เราปรับประสิทธิภาพการเล่นเกมให้เหมาะกับสถานการณ์มากขึ้น เช่นการเปิดบอททิ้งไว้ ซึ่งเราไม่ได้ต้องการกราฟิกสวย ๆ หรือความลื่นไหล แต่ต้องการเปิดทิ้งไว้ให้นานที่สุด ในทางกลับกัน เมื่อเราเล่นเกมด้วยตัวเอง เราก็ต้องการให้ตัวเกมลื่นไหลที่สุด และมีกราฟิกสวยงาม เป็นต้น


เมื่อเล่นเกมในโหมด Game Launcher จะมีเมนูลัดเพิ่มเข้ามาในแถบนำทาง ซึ่งสามารถเลือกตั้งค่าการบล็อกการแจ้งเตือนต่าง ๆ และการโทรได้ พร้อมเมนูลัดเพิ่มเข้ามาในแถบนำทาง ซึ่งสามารถเลือกตั้งค่าการบล็อกการแจ้งเตือนต่าง ๆ และการโทรได้ นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกแสดงการแจ้งเตือนต่าง ๆ แบบ Pop-Up ขณะเล่น และการล็อกหน้าจออัตโนมัติเมื่อเปิดเกมทิ้งไว้ระยะเวลาหนึ่ง


โดยในโหมดล็อกหน้าจอ ระบบจะลดความสว่างของหน้าจอ, ล็อกการสัมผัส และลดเฟรมเรตของตัวเกมลง แต่เกมจะยังคงรันต่อไปเรื่อย ๆ เหมาะสำหรับการเปิดบอททิ้งไว้ เพราะประหยัดพลังงานกว่าการเปิดเกมไว้ตลอด และช่วยป้องกันการสัมผัสปุ่มต่าง ๆ โดยไม่ตั้งใจได้


สำหรับเซ็นเซอร์ในเครื่อง Samsung Galaxy S22 Ultra นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor, Magnetic Sensor และ Pressure Sensor


การใช้งานด้านการระบุตำแหน่ง และนำทางก็สามารถใช้งานได้ดีเยี่ยม มีความรวดเร็วแม่นยำ ด้วยการรองรับระบบดาวเทียมหลัก ๆ ของโลกครบครัน ทั้ง GPS+A-GPS, Glonass, Galileo และ BeiDou


Samsung Galaxy S22 Ultra มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผล Snapdragon 8 Gen1 (Octa-Core) ผลิตบนเทคโนโลยีระดับ 4nm ความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 3.0 GHz โดยมีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Adreno 730, หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ขนาด 12GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 3.1 ขนาด 256GB และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 12 ครอบทับด้วย One UI 4.1 เวอร์ชันใหม่


Samsung Galaxy S22 Ultra มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 863,570 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 5 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 1,241 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 3,569 คะแนน


สำหรับการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ Wild Life Extreme ได้คะแนนการทดสอบที่ 2,588 คะแนน


รองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด


จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสาม มิติอย่าง Marvel Future Fight, Seven Knights 2 และ Hundred Soul : The Last Savior พร้อมกับเปิดการแสดงผลกราฟิกระดับสูงสุด รวมถึงการแสดงผลที่ 60fps ก็พบว่าสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างไหลลื่น ไม่มีอาการหน่วง หรือกระตุก ด้วยฟีเจอร์ Super Smooth 120Hz ในการปรับค่า Refresh Rate ตามคอนเทนต์ที่แสดงระหว่าง 10-120Hz พร้อมค่า Touch Sampling Rate ระดับ 240Hz ที่ช่วยให้ตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น ไม่พลาดเหตุการณ์สำคัญ แต่ก็มีการสะสมความร้อนเมื่อเล่นติดต่อเป็นเวลานาน


Samsung Galaxy S22 Ultra มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Dynamic AMOLED 2X Display ขนาด 6.8 นิ้ว คมชัดระดับ QHD+ (3088x1440 พิกเซล : 500 PPI) พร้อมฟีเจอร์ Vision Booster ที่สามารถดันค่าความสว่างสูงสุด 1750nits จึงสามารถแสดงผลคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้อย่างคมชัด มีสีสันสดใส พร้อมเห็นรายละเอียดในที่มืดได้อย่างชัดเจน

บวกกับลำโพง Stereo แบบคู่ พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos รองรับไฟล์เสียงคุณภาพสูงแบบ UHQ 32-bit, DSD64/128 และ PCM 32-bit จึงสามารถใช้งานด้านความบันเทิงได้อย่างเต็มอารมณ์


การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

Samsung Galaxy S22 Ultra มีชุดกล้องหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) ซึ่งประกอบไปด้วย

- กล้อง Wide ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.33 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน (2.4 ไมครอน ที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล), รูรับแสงขนาด f1.8, มุมรับภาพ 85 องศา (ทางยาวโฟกัส 24 มิลลิเมตร), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.55 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.4 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 120 องศา (ทางยาวโฟกัส 13 มิลลิเมตร) และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel AF
- กล้อง Telephoto 1 ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.52 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, ระบบซูมแบบ 3x Optical Zoom, รูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 36 องศา (ทางยาวโฟกัส 70 มิลลิเมตร), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel AF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Telephoto 2 ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.52 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, ระบบซูมแบบ 10x Optical Zoom, รูรับแสงขนาด f4.9, มุมรับภาพ 11 องศา (ทางยาวโฟกัส 230 มิลลิเมตร), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel AF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS

รวมทั้งมีเซนเซอร์ Laser Autofocus ที่ช่วยให้การโฟกัสรวดเร็วแม่นยำขึ้นแม้ในที่แสงน้อย กับไมโครโฟนตัวที่สามติดตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน


โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์สะอาดตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น การเปิด-ปิด ไฟแฟลช, การตั้งเวลาถ่ายภาพ, สัดส่วนภาพถ่าย และฟังก์ชัน Motion Photo ซึ่งในโหมดการถ่ายภาพปกติมีเทคโนโลยี Scene Optimizer ที่เป็นการนำเอาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยวิเคราะห์สภาพแวดล้อม และวัตถุที่อยู่ตรงหน้า เพื่อปรับแต่งการตั้งค่าของกล้องให้เหมาะสมแบบอัตโนมัติ โดยสามารถถ่ายภาพในมุมปกติ - มุมกว้างแบบ Ultra-Wide 120 องศา รวมถึงการซูมภาพสูงสุดที่ 100 เท่า (100x Space Zoom)


โหมด Portrait สามารถปรับระดับความเบลอได้ 7 ระดับ (ค่าเริ่มต้นอยู่ที่ระดับ 5) พร้อมปรับเอฟเฟกต์ได้ 6 รูปแบบ ได้แก่ Blur, Studio, High-Key Mono, Low-Key Mono, Backdrop และ Color Point รวมถึงปรับค่า Skin Tone ได้ 8 ระดับ โดยสามารถปรับระดับความเบลอ รวมถึงเอฟเฟกต์ในภายหลังได้อีกด้วย


และสามารถปรับค่าผิวสวยในโหมด Beauty ที่สามารถปรับโครงสร้างต่าง ๆ บนใบหน้า รวมถึงค่าผิวเนียนได้ตามต้องการ


รองรับโหมด Single Take ที่กดถ่ายเพียงแค่ครั้งเดียว เราก็จะได้ผลลัพธ์เป็นเซ็ตรูป กับวิดีโอหลากหลายรูปแบบ พร้อมการแนะนำช็อตที่ดีที่สุด และสำหรับภาพบุคคลเราก็สามารถเลือกสีพื้นหลังได้ด้วย โดยสามารถบันทึกได้นาน 10 วินาที ซึ่งสามารถเลือกรูปแบบอื่น ๆ ที่ต้องการได้อีกด้วย


ถ่ายภาพในเวลากลางคืนได้ด้วยโหมด Night พร้อมเก็บภาพในมุมกว้างแบบ Ultra-Wide ได้ ด้วยเซนเซอร์กล้องขนาดใหญ่สามารถรับแสงได้มากกว่าเดิม พร้อมกระจกเลนส์ Super Clear ที่ช่วยลดแสงสะท้อน จึงสามารถเก็บภาพกลางคืน หรือที่แสงน้อยได้อย่างคมชัด และมีสีสันสดใส


สำหรับการถ่ายโหมด Pro มาพร้อมกับรายละเอียดการตั้งค่าต่าง ๆ ที่ครบครัน และครอบคลุมสำหรับช่างภาพแทบทั้งหมด โดยรองรับการถ่ายภาพไฟล์ RAW แบบ 16-bit ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลภาพได้มากกว่าเดิม ตอบโจทย์การนำไปปรับแต่งในโปรแกรมต่าง ๆ อย่างเช่น Lightroom โดยไม่สูญเสียคุณภาพไฟล์


ด้านการถ่ายวิดีโอรองรับความละเอียดสูงสุดที่ ระดับ 8K 24fps โดยสามารถถ่ายในมุมมองปกติ และมุมกว้างด้วยเลนส์ Ultra-Wide ได้ (การถ่ายวิดีโอแบบ Ultra-Wide รองรับความละเอียดสูงสุดระดับ 4K) พร้อมรองรับระบบกันสั่นแบบ Super Steady และฟีเจอร์ Auto Framing ในการโฟกัสติดตามบุคคลให้อยู่ภายในเฟรม


โหมด Portrait Video สำหรับบันทึกวิดีโอหน้าชัดหลังเบลอแบบ Real-Time ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ 7 ระดับ พร้อมปรับเอฟเฟกต์ได้ 4 รูปแบบ ได้แก่ Blur, Big Circle, Color Point และ Glitch รวมถึงปรับค่า Skin Tone ได้ 8 ระดับ


ปรับค่าผิวสวยในโหมด Beauty (รองรับความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD)


กล้องหน้าของ Samsung Galaxy S22 Ultra มีความละเอียด 40 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี Dual Pixel และมีรูรับแสงขนาด f2.2


โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์สะอาดตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจนเหมือนกับกล้องหลัง ได้แก่ การเปิด-ปิด ไฟแฟลช, การตั้งเวลาถ่ายภาพ, สัดส่วนภาพถ่าย และ Motion Photo ซึ่งสามารถใส่ฟิลเตอร์แบบต่าง ๆ ได้


พร้อมปรับค่าผิวเนียนในโหมด Beauty ได้ 3 ระดับ และปรับสัดส่วนใบหน้า, ขนาดกราม และขนาดของดวงตาได้


โหมด Portrait สามารถปรับระดับความเบลอได้ 7 ระดับ พร้อมปรับเอฟเฟกต์ได้ 6 รูปแบบ ได้แก่ Blur, Studio, High-Key Mono, Low-Key Mono, Backdrop และ Color Point รวมถึงปรับค่า Skin Tone ได้ 8 ระดับ และยังสามารถปรับระดับความเบลอ รวมถึงเอฟเฟกต์ในภายหลังได้


รองรับโหมด Single Take เหมือนกับกล้องหลัง


รวมถึงโหมด Night สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่ในเวลากลางคืน หรือที่แสงน้อยโดยเฉพาะ


ด้านการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้ารองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K UHD 60fps


และโหมด Portrait Video สามารถปรับระดับความเบลอได้ 7 ระดับ พร้อมปรับเอฟเฟกต์ได้ 4 รูปแบบ ได้แก่ Blur, Big Circle, Color Point และ Glitch


สามารถปรับค่า Skin Tone ได้ 8 ระดับ


ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) ความละเอียด 108+12+10+10 ล้านพิกเซล ของ Samsung Galaxy S22 Ultra

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดปกติ


ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait


ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Night


ตัวอย่างการซูมภาพระยะต่าง ๆ ตั้งแต่ระยะ 0.5x (Ultra Wide) ไปจนถึงระยะ 100x Super Resolution Zoom Samsung Galaxy S22 Ultra โดยไม่ใช้ขาตั้งกล้อง


ตัวอย่างการซูมแบบ Optical ในเวลากลางคืน ตั้งแต่ระยะ 0.5x ไปจนถึง 10x


ตัวอย่างการซูมแบบ Optical ในเวลากลางคืน ตั้งแต่ระยะ 0.5x ไปจนถึง 10x


ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าความละเอียด 40 ล้านพิกเซล ของ Samsung Galaxy S22 Ultra

ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่ในโหมดปกติ


ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่ในโหมด Face Beauty แบบ Auto


ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่จากโหมด Portrait


สรุปผลการทดสอบของ Samsung Galaxy S22 Ultra

จากที่มีโอกาสได้ใช้งาน Samsung Galaxy S22 Ultra มาพักใหญ่ ก็กล่าวได้ว่านี่เป็นการยกระดับเรือธง S Series ให้สมบูรณ์แบบขึ้นไปอีกขั้น ครบเครื่องมากขึ้นไปอีกระดับ โดยเฉพาะครั้งแรกกับการมีปากกา S Pen กับช่องเก็บปากกาในตัวเช่นเดียวกับ Note Series โดยไม่ต้องซื้อแยกแบบ S21 Ultra รุ่นก่อน อีกทั้งตัวปากกา S Pen ยังมีฟังก์ชันเด่นแบบเดียวกับ Note Series ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการรองรับเทคโนโลยี Bluetooth สำหรับใช้งานเป็นรีโมทระยะไม่เกิน 10 เมตร ในที่โล่ง, ฟังก์ชันวาดมือบนอากาศเพื่อสั่งการ, มีค่า Latency ลดลงเหลือเพียง 2.5 ms จึงทำให้สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ ให้ความรู้สึกเหมือนเขียนบนกระดาษจริง ๆ มากขึ้น, แก้ไขไฟล์ PDF ได้ทันที, ฟังก์ชัน Audio Bookmark ที่สามารถบันทึกเสียงไปพร้อม ๆ กับจดโน้ตได้, ฟังก์ชัน Auto Straighten ที่ช่วยปรับข้อความที่เขียนเอียง ให้กลับมาเป็นแนวตรงสวยงาม และสามารถแปลงลายมือให้เป็นตัวพิมพ์ได้ รวมถึงฟังก์ชัน Screen Off Memo ที่เราสามารถจดบันทึกได้โดยไม่ต้องปลดล็อกหน้าจอ ซึ่งฟังก์ชันเหล่านี้ตอบโจทย์การทำงานของคนยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี พร้อมช่วยย่นระยะเวลาการทำงานให้รวดเร็ว และสะดวกมากยิ่งขึ้น

แน่นอนว่า Samsung Galaxy S22 Ultra ยังคงมีจุดขายหลักในเรื่องของกล้องถ่ายภาพเช่นเดียวกับ S Series รุ่นก่อนหน้านี้ โดยการมาคราวนี้มีไฮไลท์ที่ความสามารถของการถ่ายภาพ และถ่ายวิดีโอได้คมชัดสวยในทุกสภาพแสงตามคอนเซ็ปต์ Nightography ด้วยกล้องตัวหลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล บนเซนเซอร์ขนาด 1/1.33 นิ้ว พร้อมเม็ดพิกเซลขนาด 2.4 ไมครอน ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดามือถือ Samsung ซึ่งช่วยให้รับแสงได้มากขึ้น พร้อมกระจกเลนส์ Super Clear Glass lens แบบใหม่ ที่จะช่วยให้การถ่ายภาพ และวิดีโอมีความคมชัดมากยิ่งขึ้นในทุกสภาพแสง ทั้งกลางวัน-กลางคืน อีกทั้งยังรองรับการซูมได้ไกลสุดที่ 100 เท่า (100x Space Zoom) ด้วยการเพิ่มกล้อง Telephoto ตัวที่สอง สำหรับช่วยซูมภาพระยะกลาง โดยมีทางยาวโฟกัสอยู่ที่ 70 มิลลิเมตร ซึ่งเรียกได้ว่าเหมาะแก่การถ่ายภาพบุคคล Portrait เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังถ่ายวิดีโอคมชัดสูงสุดที่ระดับ 8K (24fps) พร้อมเทคโนโลยีกันสั่น ที่เหมาะกับสายคอนเทนต์ตัวจริง

 

คุณสมบัติด้านอื่น ๆ ของ Samsung Galaxy S22 Ultra ก็เรียกได้ว่าจัดเต็มทุกด้าน เริ่มตั้งแต่ชิปเซ็ตตัวท็อปรุ่นล่าสุดจากทาง Qualcomm อย่าง Snapdragon 8 Gen1 ที่เร็วแรงที่สุดในฝั่งแอนดรอยด์ ณ เวลานี้ จับคู่กับ RAM แบบ LPDDR5 ขนาดสูงสุด 12GB ที่รองรับเทคโนโลยี RAM Plus ซึ่งสามารถเพิ่ม RAM เสมือนได้สูงสุด 8GB และมี ROM แบบ UFS 3.1 ขนาดสูงสุด 512GB ที่แม้จะไม่รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมภายนอก แต่ก็สามารถจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างจุใจ อีกทั้งใช้งานได้ยาวนานตลอดวันด้วยแบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ 45W Super Fast Charging กับ 15W Fast Wireless Charging 2.0 แต่น่าเสียดายที่ไม่มีตัวอะแดปเตอร์แถมมาให้เหมือนรุ่นก่อน ซึ่งต้องซื้อแยกต่างหาก โดยทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 12 ที่ครอบทับด้วย One UI 4.1 เวอร์ชันล่าสุด

Samsung Galaxy S22 Ultra ยังตอบโจทย์การใช้งานด้านความบันเทิงได้เป็นอย่างดี ด้วยหน้าจอขอบโค้ง 2 ด้านแบบ Edge Dynamic AMOLED 2X Infinity-O Display ขนาดใหญ่ 6.8 นิ้ว ที่มีความคมชัดระดับ QHD+ (3088x1440 พิกเซล : 500 PPI) ซึ่งสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ 4K ได้อย่างคมชัดเต็มตา อีกทั้งยังไม่พลาดทุกเหตุการณ์เมื่อเล่นเกมโปรดด้วยฟีเจอร์ Super Smooth 120Hz ในการปรับค่า Refresh Rate ตามคอนเทนต์ที่แสดงระหว่าง 10-120Hz พร้อมค่า Touch Sampling Rate ระดับ 240Hz ที่ช่วยให้ตอบสนองได้รวดเร็ว ผสานกับลำโพงเสียงแบบคู่ที่มาช่วยสร้างอรรถรสด้านเสียงได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ดี ตัวเครื่องมีการสะสมความร้อนค่อนข้างเร็วเมื่อต้องประมวลผลหนัก

นอกจากนี้ Samsung Galaxy S22 Ultra ยังสามารถใช่งานกลางแจ้งได้แบบสบาย ๆ ด้วยฟีเจอร์ Vision Booster ที่สามารถดันค่าความสว่างสูงสุดได้ถึงระดับ 1750 nits และเสริมความแข็งแกร่งโดยการครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus+ ทั้งด้านหน้า และด้านหลังตัวเครื่อง กับกรอบตัวเครื่องที่ผลิตจากโลหะ Armor Aluminum รวมถึงรองรับคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นมาตรฐาน IP68 ทั้งตัวเครื่อง และปากกา S Pen

ที่สำคัญทาง Samsung ยังยืนยันแล้วว่า Samsung Galaxy S22 Series ทั้งสามรุ่นจะได้รับการอัปเดต Android OS นานถึง 4 ปีเต็ม พร้อมการอัปเดตแพทช์ความปลอดภัย 5 ปี ซึ่งช่วยเสริมความมั่นใจได้เป็นอย่างดีว่าซื้อไปแล้วจะได้ใช้งานกันไปแบบยาว ๆ

 

โดย Samsung Galaxy S22 Ultra วางจำหน่ายในประเทศไทยทั้งหมด 3 รุ่นย่อย 3 ราคา ดังนี้

- Samsung Galaxy S22 Ultra รุ่น RAM 8GB+ROM 128GB ราคา 39,900 บาท
- Samsung Galaxy S22 Ultra รุ่น RAM 12GB+ROM 256GB ราคา 43,900 บาท
- Samsung Galaxy S22 Ultra รุ่น RAM 12GB+ROM 512GB ราคา 47,900 บาท

มีตัวเลือกมาตรฐาน 4 สี ได้แก่ สีดำ (Phantom Black), สีขาว (Phantom White), สีเขียว (Green) และสีแดง (Burgundy) พร้อมตัวเลือกสีพิเศษเฉพาะ Online Exclusive ที่ Samsung.com ทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Graphite, Sky Blue และ Red


Samsung Galaxy S22 Ultra สีพิเศษแบบ Online Exclusive


สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Samsung ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง Samsung Galaxy S22 Ultra มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ


จุดเด่นของ Samsung Galaxy S22 Ultra

 

- ดีไซน์พรีเมียม พร้อมวัสดุเกรดสูง ได้แก่ กรอบตัวเครื่องที่ผลิตจากโลหะ Armor Aluminum และด้านหน้า-ด้านหลังตัวเครื่องที่ครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass Victus+
- ตัวเครื่อง และปากกา S Pen มีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP68
- มี 4 สีมาตรฐานให้เลือก (Burgundy, Phantom Black, Phantom White และ Green)
- มี 3 สีพิเศษแบบ Online Exclusive Colors ให้เลือก (Graphite, Red และ Sky Blue)
- จอแสดงผลแบบ Edge Dynamic AMOLED 2X Infinity-O Display ขนาด 6.8 นิ้ว ความละเอียดระดับ Quad HD+ พร้อมความสว่างสูงสุดที่ 1750 nits, อัตราการรีเฟรแบบ Super Smooth 120Hz (1-120 Hz), อัตราการตอบสนองต่อระบบสัมผัสสูงสุดที่ 240 Hz, ฟังก์ชัน Vision Booster และครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass Victus+
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (Ultrasonic Fingerprint) พร้อมระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition)
- ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 1 พร้อม Advanced AI Processing, Advanced ML (Machine Learning) Processing และหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 730
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ขนาด 8 GB หรือ 12 GB
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) แบบ UFS 3.1 ขนาด 128 GB, 256 GB หรือ 512 GB
- แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 45W Super Fast Charging, 15W Fast Wireless Charging 2.0 และระบบแชร์แบตเตอรี่ไร้สายแบบ 4.5W Wireless PowerShare
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 12 พร้อมครอบทับด้วย One UI 4.1 ซึ่งรองรับการอัปเดตเวอร์ชันของ Android OS อย่างน้อย 4 เวอร์ชัน

------------------------------------

กล้องตัวหลักด้านหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) ประกอบด้วย

- กล้อง Wide ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.33 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน (2.4 ไมครอน ที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล), รูรับแสงขนาด f1.8, มุมรับภาพ 85 องศา (ทางยาวโฟกัส 24 มิลลิเมตร), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.55 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.4 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 120 องศา (ทางยาวโฟกัส 13 มิลลิเมตร) และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel AF
- กล้อง Telephoto 1 ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.52 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, ระบบซูมแบบ 3x Optical Zoom, รูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 36 องศา (ทางยาวโฟกัส 70 มิลลิเมตร), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel AF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Telephoto 2 ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/3.52 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, ระบบซูมแบบ 10x Optical Zoom, รูรับแสงขนาด f4.9, มุมรับภาพ 11 องศา (ทางยาวโฟกัส 230 มิลลิเมตร), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ Dual Pixel AF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS

พร้อมไฟแฟลชในตัว (High CRI LED Flash), ระบบ AI/Machine Learning, ระบบซูม 100x Space Zoom พร้อมเทคโนโลยี AI Super Resolution, กระจกเลนส์กล้องแบบ Super Clear Glass, รองรับการบันทึกไฟล์แบบ HEIF/RAW, แอปพลิเคชัน Expert RAW (16-bit), รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 8K UHD (24 fps), ฟีเจอร์ Video Auto Framing, รองรับการบันทึกวิดีโอแบบไฟล์แบบ HEVC/HDR10+, รองรับการบันทึกเสียงแบบ Stereo, ระบบป้องกันการสั่นแบบ Super Steady และรองรับการใช้งาน BT MIC Recording

รวมทั้งรองรับโหมดถ่ายภาพที่น่าสนใจแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น โหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ ที่สามารถเลือกรูปแบบ Bokeh พร้อมปรับระดับความเบลอได้, เทคโนโลยี Scene Optimizer ในการตรวจจับซีนต่าง ๆ , ระบบโฟกัสแบบติดตามวัตถุ (Tracking AF), ฟังก์ชัน AR Emoji, โหมด Food สำหรับถ่ายภาพอาหาร, โหมด Single Take, โหมด Night สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืน, โหมดถ่ายวิดีโอ Portrait, โหมด Director's View สำหรับพรีวิวภาพจากทุกกล้องพร้อมกันแบบ Real-time และสามารถสลับมุมมองต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา และการถ่ายวิดีโอแบบ Super Slow-Motion รวมถึงฟังก์ชัน AR Doodle

กล้องด้านหน้าความละเอียด 40 ล้านพิกเซล

พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.82 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f2.2, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD (60 fps)

รวมทั้งรองรับโหมด Beauty ที่ช่วยปรับผิวให้สวยเป็นธรรมชาติ พร้อมโหมดถ่ายภาพบุคคล Portrait ที่สามารถปรับระดับความเบลอ รวมถึงรูปแบบ Bokeh ได้ทั้งหมด 6 รูปแบบ และโหมด Night สำหรับถ่ายเซลฟี่เวลากลางคืนหรือที่แสงน้อย 

------------------------------------

มีปากกา S Pen พร้อมช่องเก็บปากกาในตัว

- หัวปากกาขนาด 0.7 มิลลิเมตร
- ค่า Latency ที่ 2.8 ms (ลดลง 70% เมื่อเทียบกับ Galaxy Note 20 Ultra ที่มี Latency 9 ms)
- รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายผ่าน Bluetooth (ระยะทำการสูงสุด 10 เมตร)
- ตรวจจับแรงกดได้ 4096 ระดับ
- รองรับการใช้งาน Air Actions, Air View, Live Message, Samsung Notes, Screen Off Memo, Smart Select, Screen Write, Translate, Bixby Vision, Glance, Magnify, PENUP, Coloring, AR Doodle และ Write on Calendar

------------------------------------

- ลำโพงเสียงแบบคู่ (Stereo Speakers) พร้อมระบบเสียงแบบ Dolby Atmos, Dolby Digital และ Dolby Digital Plus
- ไมโครโฟน 3 ตัว
- ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านระบบ Wi-Fi 6E (เร็วกว่า Wi-Fi 6 สองเท่า), 5G SA/NSA : Sub6, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual SIM : Nano SIM+Nano SIM หรือ Nano SIM+eSIM) บนถาดแบบ Dual Slot
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.2, NFC และ Ultra Wide Band
- ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, Galileo และ BeiDou
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- ระบบรักษาความปลอดภัย Knox Vault, Knox Platform, Virus&Malware Prevention และ Secure Folder
- ผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby (Bixby Vision และ Bixby Routines)
- ฟังก์ชัน Dual Messenger สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์


จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Samsung Galaxy S22 Ultra

- ตัวเครื่องค่อนข้างร้อนเร็วเมื่อต้องใช้งานแอปพลิเคชันที่ใช้การประมวลผลสูง
- ไม่แถมอะแดปเตอร์สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ และหูฟังมาให้ภายในกล่องผลิตภัณฑ์
- ไม่รองรับการใส่การ์ดหน่วยความจำภายนอกเพิ่มเติม
- ไม่มีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร


สรุปคุณสมบัติของ Samsung Galaxy S22 Ultra

ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Samsung Galaxy S22 Ultra ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้

สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Samsung Galaxy S22 Ultra 8GB+128GB
สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Samsung Galaxy S22 Ultra 12GB+256GB

สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ Samsung Galaxy S22 Ultra 12GB+512GB

 

โปรดทราบ

* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบ หรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *


วันที่ : 08/03/2022

Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy