รีวิว
Samsung Galaxy Fit3 สมาร์ตแบนด์อัปเกรดใหม่ ใส่จอใหญ่กว่าเดิม บางเฉียบลงแต่แกร่งขึ้น
พร้อมฟีเจอร์สุขภาพจัดเต็ม ตรวจจับการล้ม+SOS และคุมกล้องมือถือได้
ในราคาเพียง 1,990 บาท
ตั้งแต่เริ่มวางจำหน่ายในบ้านเราไปสด ๆ ร้อน ๆ ก็มีกระแสตอบรับที่ดีเลยทีเดียว สำหรับ Samsung Galaxy Fit3 สมาร์ตแบนด์รุ่นล่าสุด ที่ตอนนี้มาอยู่ในมือของทีมงาน Thaimobilecenter เรียบร้อยแล้ว โดย Galaxy Fit3 นั้นถูกอัปเกรดความสามารถให้เก่งขึ้นหลายอย่าง พร้อมพลิกโฉมดีไซน์ใหม่ให้สวยงามน่าสวมใส่กว่าเดิม ในราคาเบา ๆ ไม่ถึง 2 พันบาท โดยรวมแล้วเกิดมาเพื่อเอาใจสายสุขภาพโดยเฉพาะด้วยฟีเจอร์ชั้นดีที่คัดสรรค์มาเป็นอย่างดี ทั้งการติดตามสุขภาพตลอดวันแม้กระทั่งตอนนอน, ฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม พร้อมการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ (Emergency SOS), การใช้เป็นรีโมตควบคุมกล้องบนมือถือ, การค้นหามือถือที่ทำหาย และอีกมากมาย
ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่บนตัวเรือนดีไซน์ใหม่ที่มีหน้าจอใหญ่ขึ้นถึง 48%
ในขณะที่บางเฉียบลงกว่าเดิม 10% รวมทั้งแข็งแรงทนทานกว่าเดิมด้วยอะลูมิเนียม
บวกกับคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ 5ATM กับ IP68 เรียกว่าตัวเดียวตอบโจทย์ได้ครบทั้งความสวยงามสวมใส่ได้ทุกสถานการณ์,
ฟีเจอร์ที่ครบครันทันสมัย และราคาที่สบายกระเป๋า ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร
ไปติดตามกันได้เลยครับ
- พลิกโฉมดีไซน์ใหม่ให้พรีเมียม จอใหญ่ขึ้น บางเฉียบลง และแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
หากเทียบเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกกับรุ่นที่แล้วอย่าง Galaxy Fit2 ก็ต้องเรียกว่า Galaxy Fit3 นั้นพลิกโฉมดีไซน์ใหม่แบบแทบไม่เหลือเค้าเดิมเลยทีเดียว เป็นสมาร์ตแบนด์ที่ดูผ่าน ๆ แล้วออกจะคล้ายกับสมาร์ตวอทช์เลยก็ว่าได้ ด้วยหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้นถึง 48% นั่นคือมีขนาดอยู่ที่ 1.6 นิ้ว (เดิม 1.1 นิ้ว) โดยเป็นหน้าจอสัมผัสแบบ AMOLED ความละเอียด 256x402 พิกเซล (302 PPI) พร้อมครอบทับด้วยกระจกขอบโค้งแบบ 2.5D ซึ่งด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นก็จะช่วยให้เรามองเห็นรายละเอียดต่าง ๆ ได้ชัดเจนมากขึ้น รวมทั้งใช้งานได้สะดวกขึ้นด้วย
โดยวิธีการควบคุมการทำงานของ Galaxy Fit3 จะมีอยู่ 2 วิธีหลัก ๆ ก็คือการใช้นิ้วสัมผัสที่หน้าจอ กับการกดที่ปุ่มด้านข้างของตัวเรือน
อีกหนึ่งสิ่งที่เพิ่มเข้ามาเกี่ยวกับจอแสดงผลก็คือคราวนี้ใน Galaxy Fit3 จะมีภาพพื้นหลังหน้าปัด หรือ Watch Faces สวย ๆ ให้เลือกใช้มากขึ้นหลายร้อยแบบ เข้ากับความชอบของผู้ใช้แต่ละคนได้มากกว่าเดิม
และถึงแม้หน้าจอจะใหญ่ขึ้นมาก แต่ตัวเรือนกลับบางเฉียบลง 10% ดังนั้นจึงรู้สึกสบายมากขึ้นเมื่อสวมใส่ โดยเฉพาะเวลาที่เราต้องใส่ตอนนอน และช่วยให้ตัวเรือนดูเพรียวสวยเมื่ออยู่บนข้อมือ โดยน้ำหนักตัวเรือนของ Galaxy Fit3 นั้นอยู่ที่เพียง 18 กรัม หรือถ้ารวมสายด้วยก็จะอยู่ที่เพียง 36.8 กรัม
ด้านวัสดุก็ถูกอัปเกรดให้มีความพรีเมียมทนทานมากขึ้น โดยตัวเรือนนั้นจากเดิมใน Galaxy Fit2 นั้นทำมาจากพลาสติก แต่ Galaxy Fit3 นั้นทำมาจากอะลูมิเนียม ดังนั้นจึงมีความทนทานมากกว่า และดูเป็นประกาย มีความพรีเมียมมากกว่าเดิม
นอกจากนี้คุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นก็จัดเต็ม ทั้งมาตรฐาน 5ATM ที่สามารถทนแรงดันน้ำได้ที่ระดับความลึกสูงสุด 50 เมตร ในอุณหภูมิปกติ เป็นเวลาสูงสุด 10 นาที รวมทั้งมาตรฐาน IP68 ที่สามารถป้องกันฝุ่น, ทราย หรือสิ่งสกปรกได้ รวมทั้งทนต่อน้ำได้ลึก 1.5 เมตร ในอุณหภูมิปกติ เป็นเวลาสูงสุด 30 นาที ดังนั้นเราจึงสามารถสวมใส่ Galaxy Fit3 เพื่อว่ายน้ำได้แบบสบาย ๆ แต่ก็ไม่แนะนำให้ใช้กับการดำน้ำลึก หรือกิจกรรมทางน้ำบางอย่างที่ต้องเจอกับแรงดันน้ำสูง
ส่วนสายรัดข้อมือที่มีมาให้นั้นเป็นแบบซิลิโคนที่มีความยืดหยุ่นสูง, ใส่สบาย, ทนทาน และถอดเปลี่ยนได้ง่ายด้วยปุ่มปลดสายที่กดได้อย่างสะดวกรวดเร็วทั้ง 2 ฝั่ง นั่นคือเราสามารถเปลี่ยนสายรัดข้อมือเป็นสีต่าง ๆ ให้เข้ากับสไตล์การแต่งตัวของเราได้
โดยตัวเรือนของ Galaxy Fit3 นั้นมีให้เลือกทั้งหมด 3 สีด้วยกัน ได้แก่ Pink Gold, Gray และ Silver
- เชื่อมต่อง่าย ใช้งานได้กับสมาร์ตโฟนแอนดรอยด์ทุกรุ่น
การเชื่อมต่อ Galaxy Fit3 กับสมาร์ตโฟนสามารถทำได้ง่าย ๆ หากเป็นสมาร์ตโฟนของ Samsung จะจับคู่กับ Galaxy Fit3 โดยอัตโนมัติผ่าน Bluetooth ส่วนสมาร์ตโฟน Android ยี่ห้ออื่น ๆ จะเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชัน Galaxy Wearable ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีบน Play Store
ส่วนการเก็บข้อมูลทางสุขภาพต่าง ๆ จะเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Samsung Health ซึ่งจะมีอยู่แล้วในสมาร์ตโฟน Samsung แต่ถ้าเป็นยี่ห้ออื่นก็สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากบน Play Store เช่นกัน
ดาวน์โหลด Galaxy Wearable
ดาวน์โหลด Samsung Health
อย่างไรก็ตาม Galaxy Fit3 ยังไม่สามารถใช้งานร่วมกับสมาร์ตโฟนที่ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ iOS ได้ หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือใช้กับ iPhone ไม่ได้นั่นเอง
ติดตามสุขภาพ และการนอนหลับได้ตลอด 24 ชั่วโมง แบบครบวงจร
ค่าเหล่านี้จะมีการวัดโดยอัตโนมัติเป็นช่วง ๆ ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเราจะสั่งบันทึกด้วยตนเองก็ได้เช่นกัน ซึ่งเราสามารถดูข้อมูลที่บันทึกไว้ได้จากบนตัว Galaxy Fit3 โดยตรง หรือจะดูจากแอปพลิเคชัน Samsung Health บนสมาร์ตโฟนก็ได้
สำหรับฟังก์ชันติดตามการนอนหลับ ในรุ่นนี้มีการอัปเกรดขึ้นมาจาก Galaxy Fit2 พอสมควร จากเดิมที่วิเคราะห์ได้เพียงระดับการนอน 4 ระยะ แต่ในรุ่นนี้สามารถจับเสียงกรน และวัดระดับออกซิเจนในเลือดขณะหลับได้ด้วย
หลังจากการนอนในทุก ๆ คืน Galaxy Fit3 จะนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาวิเคราะห์ และสรุปออกมาให้เราดูอีกที ทำให้เรามองเห็นคุณภาพการนอนหลับของเราได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาการนอน, การหลับลึก, หลับตื้น, หลับฝัน พร้อมทั้งให้คำแนะนำเพื่อให้เรานอนได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ ดีไซน์ใหม่ที่เบา และบางกว่าเดิม ก็ช่วยให้ใส่นอนได้สบายขึ้นเช่นกัน
-
ชีวิตปลอดภัยด้วยฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม พร้อมฟังก์ชันส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ
จุดเด่นสำคัญของ Galaxy Fit3 คือมีระบบตรวจจับการล้ม (Fall Detection) ที่จะส่งโทรขอความช่วยเหลือโดยอัตโนมัติหากผู้สวมใส่ล้มอย่างรุนแรง ซึ่งปกติแล้วฟีเจอร์นี้จะมีเฉพาะในนาฬิกาสมาร์ตวอทช์เท่านั้น นับเป็นครั้งแรกที่มีการใส่ฟีเจอร์นี้เข้ามาในสมาร์ตแบนด์ของ Samsung
เมื่อมีการล้มที่รุนแรง หน้าปัดของ Galaxy Fit3 จะแสดงแจ้งเตือน และเริ่มนับถอยหลัง หากผู้สวมใส่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากก็สามารถกดยกเลิกการทำงานได้ เมื่อเวลานับถอยหลังหมดลง Galaxy Fit3 จะสั่งให้สมาร์ตโฟนที่เชื่อมต่อโทรขอความช่วยเหลือตามหมายเลขที่ตั้งค่าไว้ทันที และจะส่งข้อความพร้อมโลเคชันของเราไปยังเบอร์ของผู้ติดต่อใกล้ชิดที่เราได้บันทึกไว้ด้วย ช่วยให้เราได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว เป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ Galaxy Fit3 ยังมีระบบโทรฉุกเฉิน (Emergency SOS) ที่จะทำงานเมื่อกดปุ่มบนตัวเครื่องติดกัน 5 ครั้ง โดยจะสั่งให้สมาร์ตโฟนที่เชื่อมต่อโทรหา 191 หรือหมายเลขฉุกเฉินอื่น ๆ ที่เราตั้งค่าไว้ พร้อมทั้งถ่ายรูปจากกล้องหน้า-กล้องหลัง และบันทึกเสียงส่งไปยังเบอร์ติดต่อฉุกเฉินที่เราบันทึกไว้ด้วย ช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ, เจ้าหน้าที่กู้ภัย รวมถึงคนใกล้ชิดของเรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และยังอาจจับภาพหน้าของคนร้ายไว้ได้ด้วย
เพื่อให้ระบบตรวจจับการล้ม และการโทรฉุกเฉินทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เราจำเป็นต้องเข้าไปตั้งค่า ความปลอดภัย และเหตุฉุกเฉิน ภายในสมาร์ตโฟนก่อน โดยหลัก ๆ แล้วจะเป็นการใส่ข้อมูลพื้นฐานทางการแพทย์อย่างกรุ๊ปเลือด, การแพ้ยา, โรคประจำตัว และเบอร์โทรติดต่อในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งอาจเป็นบุคคลในครอบครัว หรือเป็นใครก็ได้ที่เราคิดว่าจะช่วยเหลือเราได้
ปกติเมนูความปลอดภัย และเหตุฉุกเฉินจะมีอยู่ในสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ ๆ เกือบทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ และมีวิธีการตั้งค่าที่คล้าย ๆ กัน สำหรับสมาร์ทโฟน Samsung เมนูจะอยู่ที่ การตั้งค่า > ความปลอดภัย และเหตุฉุกเฉิน
ใส่ข้อมูลทางการแพทย์เบื้องต้น กรณีที่เราประสบอุบัติเหตุ เจ้าหน้าที่ที่เข้ามาช่วยเหลือจะสามารถดูข้อมูลนี้ได้จากบนหน้าจอล็อกของสมาร์ตโฟน และทำการช่วยเหลือได้เร็วขึ้น
เราสามารถตั้งค่าหมายเลขฉุกเฉินเป็นหมายเลขใดก็ได้ แนะนำให้ตั้งค่าเป็น 191 (ตำรวจ) หรือ 1669 (รถพยาบาล)
ควบคุมสมาร์ตโฟนจากระยะไกล พร้อมฟังก์ชันค้นหามือถือ
นอกจากเรื่องการติดตามสุขภาพ และฟีเจอร์ทั่ว ๆ ไปแล้ว Galaxy Fit3 ยังมีฟังก์ชันสั่งการโทรศัพท์จากระยะไกลให้ใช้งานด้วย ซึ่งได้แก่ เครื่องควบคุมมีเดีย, หาโทรศัพท์ของฉัน และตัวควบคุมกล้อง โดยเราสามารถเข้าถึงฟังก์ชันนี้ได้ด้วยการปัดที่ขอบจอด้านล่างของ Galaxy Fit3 ขึ้นมา
สำหรับ เครื่องควบคุมมีเดีย จะช่วยให้เราควบคุมการเล่นสื่อที่กำลังเปิดอยู่บนสมาร์ตโฟนได้ ไม่ว่าจะเป็นเพลง หรือวิดีโอ ซึ่งมีประโยชน์เวลาที่เราไม่สะดวกเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ อย่างตอนอาบน้ำ หรือทำงานบ้าน เป็นต้น
ตรวจจับการออกกำลังกายอัตโนมัติ พร้อมรองรับการออกกำลังกายได้ 101 ประเภท
Galaxy Fit3 มาพร้อมกับโหมดออกกำลังกายที่มากถึง 101 ประเภท และแสดงข้อมูลการออกกำลังกายแบบเรียลไทม์ ซึ่งการออกกำลังการแต่ละประเภทก็จะมีการติดตามข้อมูลที่แตกต่างกันไป เช่น หากเป็นการวิ่ง ก็จะมีการนับก้าว, อัตราก้าวเฉลี่ย และจังหวะการก้าว แต่ถ้าเป็นการเดินเขา ก็จะมีการแสดงค่าความชัน และระยะทาง เป็นต้น
เมื่อออกกำลังกายเสร็จแล้วก็จะมีการสรุปข้อมูลให้ดู และบันทึกไว้ในประวัติการออกกำลังกายซึ่งเชื่อมกับแอปพลิเคชัน Samsung Health
นอกจากนี้ Galaxy Fit3 ยังสามารถตรวจจับการออกกำลังกายอัตโนมัติได้ 6 ประเภท ได้แก่ การเดิน, การวิ่ง, การออกกำลังกายด้วยเครื่องเดินวงรี (Elliptical), การออกกำลังกายด้วยเครื่องกรรเชียงบก (Rowing Machine), การว่ายน้ำ, และ การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (Dynamic Workout) ซึ่งจะเริ่มบันทึกข้อมูลทันทีที่เราเริ่มออกกำลังกาย ใครที่ออกกำลังกายตามประเภทข้างต้นบ่อย ๆ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกดเริ่มเซสชันเองทุกครั้งครับ
แบตเตอรี่ใหญ่ขึ้น อึดทนนานกว่าเดิม
Galaxy Fit3 มีแบตเตอรี่ 208 mAh สามารถอยู่ได้ประมาณ 13 วันสำหรับการใช้งานปกติ ถือว่าอึดพอสมควรสำหรับสมาร์ตแบนด์ ส่วนการชาร์จก็ไม่นาน สามารถชาร์จได้ถึง 65% ในเวลา 30 นาที และใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการชาร์จจนเต็ม 100% โดยรวมแล้วถือว่าน่าประทับใจ สามารถใส่ไปเที่ยวหลายวันได้สบาย ๆ
การวางจำหน่าย Samsung Galaxy Fit3
สำหรับ Samsung Galaxy Fit3 เริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้วตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ในราคา 1,990 บาท มีให้เลือก 3 สีได้แก่สีเทา (Gray), สีเงิน (Silver) และสีพิงค์โกลด์ (Pink Gold) ท่านที่สนใจจับจองเป็นเจ้าของ สามารถสั่งซื้อได้ผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ samsung.com และ Samsung Official Store บน Shopee และ Lazada หรือหน้าร้านที่ Samsung Experience Store และร้านค้าที่ร่วมรายการ
สรุปประสบการณ์หลังใช้งาน Samsung Galaxy Fit3
ด้วยราคาของ Galaxy Fit3 ที่ตั้งไว้เพียง 1,990 บาท เรียกว่าเป็นแรงดึงดูดอย่างดีให้กลุ่มคนรักสุขภาพหันมาดูว่าสมาร์ตแบนด์รุ่นนี้มีอะไรที่น่าสนใจ รวมทั้งคนที่เคยใช้ตัวเดิมอย่าง Galaxy Fit2 มาก่อน ซึ่งด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่ใส่มาให้ใน Galaxy Fit3 เมื่อเทียบกับราคาเพียงเท่านี้ และเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ก็ช่วยให้หลาย ๆ คนตัดสินใจได้ไม่ยาก ตั้งแต่หน้าจอที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม, ตัวเรือนที่บางเฉียบลง, วัสดุที่แข็งแกร่งทนทานกว่าเดิม, ดีไซน์ที่สวยพรีเมียมมากขึ้น, ฟีเจอร์สำหรับการดูแลสุขภาพที่ครบวงจร, ฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม พร้อมการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ, การใช้งานเป็นรีโมตควบคุมกล้องบนสมาร์ตโฟน, รองรับประเภทของการออกกำลังกายได้มากขึ้น และอีกมากมาย โดยรวมแล้ว Galaxy Fit3 ถือว่าเป็นสมาร์ตแบนด์ราคาสบายกระเป๋า ที่มีฟีเจอร์ครบครันทันสมัย บนดีไซน์สวยพรีเมียม ที่จะทำให้ผู้ที่รักสุขภาพต้องประทับใจอย่างแน่นอนครับ
สรุปคุณสมบัติเด่นของ Samsung Galaxy Fit3
- ตัวเรือน (เคส) ผลิตจากอะลูมิเนียม พร้อมสายนาฬิกาแบบสปอร์ต
- มีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำตามมาตรฐาน 5ATM (ทนแรงดันน้ำได้ลึกสูงสุด 50 เมตร เป็นเวลาสูงสุด 10 นาที)
- มีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 (ทนน้ำได้ลึกสูงสุด 1.5 เมตร เป็นเวลาสูงสุด 30 นาที)
- มี 3 สีมาตรฐานให้เลือก (Gray, Silver และ Pink Gold)
- ขนาดตัวเรือน 42.9x28.8x9.9 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 18 กรัม (ไม่รวมสาย) หรือ 36.8 กรัม (รวมสาย)
---------------------------
- จอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 1.6 นิ้ว ความละเอียด 256x402 พิกเซล (302 PPI)
- ควบคุมการทำงานด้วยการสัมผัสหน้าจอ และ 1 ปุ่มกด
- หน้า Watch face แบบติดตั้งจากโรงงาน (Preload)
---------------------------
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 16MB
- หน่วยความจำรอม (ROM) ขนาด 256MB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ FreeRTOS
---------------------------
- แบตเตอรี่ความจุ 208 mAh
- ใช้งานได้นานสูงสุด 13 วัน
- ชาร์จผ่านแท่นแบบ POGO Pin พร้อมแม่เหล็ก
---------------------------
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.3
- ระบบค้นหาอุปกรณ์
- ฟังก์ชัน Camera Remote สำหรับควบคุมกล้องสมาร์ตโฟน
---------------------------
- ฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม พร้อมระบบ Emergency SOS
- เซนเซอร์ Accelerometer, Barometer, Gyro, Optical Heart Rate, Light และ SpO2
- การแจ้งเตือนด้วยระบบสั่น
- ฟังก์ชันแจ้งเตือนสายเรียกเข้า, เช็กสภาพอากาศ และนาฬิกา (จับเวลา/นาฬิกาปลุก)
- ฟังก์ชัน Mode Sync (Sleep/Do Not Disturb)
---------------------------
- ตรวจสอบคุณภาพของการนอนหลับ พร้อมให้คำแนะนำ
- ตรวจวัตอัตราการเต้นของหัวใจ
- ตรวจวัดระดับความเครียด
- ตรวจวัดระดับออกซิเจนในเลือด
- ติดตามรอบประจำเดือนของสุภาพสตรี
- นับก้าวในแต่ละวัน
---------------------------
- ตรวจจับการออกกำลังกายอัตโนมัติ 6 ประเภท
- โหมดออกกำลังกาย 101 ประเภท
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Samsung Galaxy Fit3
- ไม่รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS
- ฟังก์ชัน Camera Remote รองรับเฉพาะสมาร์ตโฟน Samsung Galaxy
- ไม่มีหน่วยรับสัญญาณ GPS ในตัว ต้องใช้คู่กับสมาร์ตโฟนผ่าน Bluetooth
- ไม่สามารถโทรออก-รับสายได้ในตัว
วันที่ : 11/03/2024