รีวิว Redmi Note 14 | Redmi Note 14 Pro+ 5G คู่หูสมาร์ตโฟนตัวคุ้มรับปี 2025 ด้วยกล้อง AI ความละเอียดสูง จอถนอมสายตา 120Hz ชิปแรง ชาร์จไว และฟีเจอร์ AI จัดเต็ม บนบอดี้แกร่งทนทาน ในราคาคุ้มค่า
เพิ่งก้าวเข้าสู่ปี 2025 ได้เพียงไม่กี่วัน ตลาดสมาร์ตโฟนในไทยก็เริ่มคึกคักทันที โดยเมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา Xiaomi ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว Redmi Note 14 Series ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยมาพร้อมกันถึง 4 รุ่นย่อย ได้แก่ Redmi Note 14, Redmi Note 14 5G, Redmi Note 14 Pro 5G และ Redmi Note 14 Pro+ 5G เรียกว่าพร้อมตีตลาดตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงระดับกลางเลยทีเดียว
โดยในวันนี้ทีมงาน Thaimobilecenter ของเราก็ได้รับสมาร์ตโฟนจากซีรีส์นี้มาลองใช้งาน 2 รุ่นด้วยกัน คือ Redmi Note 14 ซึ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นของซีรีส์ และ Redmi Note 14 Pro+ 5G ซึ่งเป็นรุ่นท็อปของซีรีส์ และแน่นอนว่าพวกเราไม่พลาดที่จะนำมารีวิวให้ทุกคนได้ติดตามกันเหมือนเช่นเคย
สำหรับ Redmi Note 14 Series ที่เปิดตัวมาในปีนี้นั้น จะเน้นจุดขายในเรื่องของกล้องถ่ายภาพที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ AI ที่ครบครัน, ตัวเครื่องที่แข็งแกร่งเพื่อการใช้งานที่ทนทานไร้กังวล และประสบการณ์การใช้งานในระดับเรือธงในราคาที่เอื้อมถึง
ด้าน Redmi Note 14 น้องเล็กประจำซีรีส์ก็ยังคงมาพร้อมจุดเด่นด้านคุณสมบัติที่คุ้มค่าเช่นเคย ด้วยหน้าจอ AMOLED พร้อมฟีเจอร์ถนอมสายตา ขนาด 6.67 นิ้ว ที่มีอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz, ชิปเซ็ต MediaTek Helio G99-Ultra ซึ่งอยู่ในระดับบนของซีรีส์ Helio เสริมด้วย RAM 8GB และ ROM 256GB รวมทั้งรองรับการใส่การ์ด microSD ได้อีกสูงสุด 1TB พร้อมมาตรฐานของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP54 และยังมีชุดกล้องหลัง 3 ตัว พร้อมฟีเจอร์ AI ตามยุคสมัย โดยกล้องหลักมีความละเอียดสูงถึง 108MP อีกทั้งยังรองรับการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงด้วยกำลังไฟสูงสุดที่ 33W อีกด้วย
ส่วน Redmi Note 14 Pro+ 5G พี่ใหญ่สุดในซีรีส์ก็ใส่ความสามารถมาให้แบบแน่น ๆ ยิ่งขึ้น เริ่มจากหน้าจอ CrystalRes AMOLED พร้อมฟีเจอร์ถนอมสายตา ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียดระดับ 1.5K กับอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz ที่ให้สีสันสวยคมชัด และลื่นไหล นอกจากนี้ก็ยังเลือกใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 7s Gen 3 ที่ทรงพลัง จับคู่กับ RAM 12GB และ ROM 512GB ซึ่งเหลือเฟือสำหรับการใช้งานหนัก ๆ หรือเก็บไฟล์ขนาดใหญ่ ตัวเครื่องแข็งแกร่งด้วยกระจก Corning Gorilla Glass Victus 2 และมาตรฐานของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP68 ที่ทนทานต่อสภาพการใช้งานในทุกสถานการณ์ พร้อมกันนี้ยังรองรับการชาร์จแบตเตอรี่ด้วยกำลังไฟสูงสุดถึง 120W และมากับกล้องหลังความละเอียดสูงถึง 200MP รวมทั้งมีฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ มาให้ใช้งานอย่างครบถ้วนเหมือนสมาร์ตโฟนพรีเมียมอีกด้วย
โดยรวมแล้วทั้ง Redmi Note 14 และ Redmi Note 14 Pro+ 5G ต่างก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในระดับราคาของตัวเอง ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาดูกันต่อเลยดีกว่าครับว่าสมาร์ตโฟนทั้งสองรุ่นนี้จะทำผลงานออกมาได้ดีแค่ไหน
ดีไซน์ภายนอก และอุปกรณ์ภายในกล่อง
Redmi Note 14 กับ Redmi Note 14 Pro+ 5G มีดีไซน์ที่แตกต่างกันชัดเจน สำหรับรุ่นเริ่มต้นอย่าง Redmi Note 14 จะเป็นฝาหลังผิวลื่นซ่อนลายคลื่น และวางกล้องชิดขอบซ้าย แต่รุ่นท็อป Redmi Note 14 Pro+ 5G จะมีฝาหลังหนังเทียม, หน้าจอขอบโค้ง และจัดวางมอดูลกล้องหลังอยู่ตรงกลาง ทำให้มีสัมผัสการใช้งานที่แตกต่างกัน
หน้าจอแสดงผลของ Redmi Note 14 กับ Redmi Note 14 Pro+ 5G ก็มีคุณสมบัติที่ต่างออกไปเช่นกัน สำหรับจอของ Redmi Note 14 จะเป็นจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ อัตราการรีเฟรช 120Hz ความสว่างสูงสุด 1800 nits ในขณะที่ Redmi Note 14 Pro+ 5G จะอัปเกรดจอขึ้นมาเป็นแบบ CrystalRes AMOLED ขนาด 6.67 นิ้วขอบโค้ง ความละเอียดระดับ 1.5K อัตราการรีเฟรช 120Hz ความสว่างสูงสุด 3000 nits พร้อมมาตรฐานการแสดงผลสีแบบ 12-bit
ส่วนกล้องหน้าเป็นแบบเจาะรูฝังใต้จอทั้งคู่ และมีความละเอียดระดับ 20MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2 เช่นเดียวกัน
ชุดกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ของ Redmi Note 14 ประกอบด้วย
- กล้องหลัก (Wide) ความละเอียดระดับ 108MP พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.67 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.92 ไมครอน (แบบ 9-in-1 Pixel Binning), รูรับแสงขนาด f1.7 และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Depth ความละเอียดระดับ 2MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
- กล้อง Macro ความละเอียดระดับ 2MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
ชุดกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ของ Redmi Note 14 Pro+ 5G ประกอบด้วย
- กล้องหลัก (Wide) ความละเอียดระดับ 200MP พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.4 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 2.24 ไมครอน (แบบ 16-in-1 Pixel Binning), รูรับแสงขนาด f1.65, ระบบโฟกัสอัตโนมัติ, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และโครงสร้างแบบ 7 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียดระดับ 8MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2
- กล้อง Macro ความละเอียดระดับ 2MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
ในมุมด้านข้างจะเห็นว่า Redmi Note 14 Pro+ 5G จะมีขอบโค้งมนผิวเงา ต่างจาก Redmi Note 14 ที่เป็นสันเหลี่ยมผิวด้าน ทั้งคู่ใช้พอร์ต USB-C และมีลำโพงเสียงแบบคู่ (Stereo) โดยเสียงจะออกทางช่องลำโพงด้านล่างกับลำโพงสนทนาด้านบน การจัดวางมอดูลต่าง ๆ จะอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน แต่ Redmi Note 14 จะมีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร มาให้ด้วย
ถาดใส่ซิมการ์ดของทั้ง Redmi Note 14 จะเป็นแบบ Hybrid Slot นั่นคือสามารถเลือกใส่ 2 ซิมการ์ด หรือเลือกใส่ 1 ซิมการ์ดพร้อมกับการ์ด microSD (สูงสุด 1TB) ได้ ในขณะที่ถาดใส่ซิมการ์ดของ Redmi Note 14 Pro+ 5G จะเป็นแบบ Dual Slot ที่ใส่ได้ 2 ซิมการ์ดเช่นกัน แต่ไม่รองรับการใส่การ์ดหน่วยความจำแบบ microSD หรือแบบอื่น ๆ
สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องจะเหมือนกันทั้งสองรุ่น แตกต่างกันที่อแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่เท่านั้นดังนี้
- อแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ 33W (Redmi Note 14) หรือ 120W (Redmi Note 14 Pro+ 5G)
- สาย USB-C
- เคส TPU
- เข็มถอดถาดซิมการ์ด
- คู่มือการใช้งาน
ระบบพื้นฐาน และฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
Redmi Note 14 รุ่นเริ่มต้น มาพร้อมกับชิปเซ็ต MediaTek Helio G99-Ultra
ผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 4 นาโนเมตร เป็นชิปเซ็ตแบบ Octa-Core
ความเร็วในการประมวลผลสูงสุด 2.2GHz มาพร้อมชิปประมวลภาพ Mali-G57 MC2 GPU
ส่วนหน่วยความจำเป็น RAM LPDDR4X ขนาด 8GB และพื้นที่เก็บข้อมูล UFS 2.2 ขนาด
256GB
ส่วน Redmi Note 14 Pro+ 5G รุ่นท็อป จะมาพร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon 7s Gen 3 ผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 4 นาโนเมตร เป็นชิปเซ็ตแบบ Octa-Core ความเร็วในการประมวลผลสูงสุด 2.5GHz และชิปประมวลภาพ Adreno 710 GPU ส่วนหน่วยความจำเป็น RAM LPDDR4X ขนาด 12GB และพื้นที่เก็บข้อมูล UFS 2.2 ขนาด 512GB
ด้านระบบปฏิบัติการ ทั้ง Redmi Note 14 และ Redmi Note 14 Pro+ 5G จะเป็น Android
14 ครอบทับด้วย Xiaomi HyperOS เวอร์ชันล่าสุด ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาแทน MIUI เดิม
โดยจะเน้นการจัดการทรัพยากรฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น,
ปรับปรุงการใช้งานแบบ Multi-Tasking และการเรนเดอร์ภาพคุณภาพสูง
พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยแบบ End-to-End
ซึ่งโดยรวมแล้วถือว่ามีความเสถียรมากขึ้นจากเวอร์ชันก่อนหน้า
สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพ (Benchmark) ด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 6 และ AnTuTu จะได้ผลลัพธ์ดังนี้
ผลการทดสอบประสิทธิภาพของ Redmi Note 14
ผลการทดสอบประสิทธิภาพของ Redmi Note 14 Pro+ 5G
นอกจากฟีเจอร์ที่น่าสนใจทั่วไปแล้ว Redmi Note 14 Pro+ 5G ยังมีฟีเจอร์ AI ต่าง ๆ ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานตั้งแต่แกะกล่อง ไม่ว่าจะเป็น Circle to Search, AI Interpreter, AI Notes, AI Recorder, AI Subtitles, AI Film, AI Beautify, AI Erase Pro และ AI Image Expansion ซึ่งเราจะมาทดลองใช้ฟีเจอร์ที่เด่น ๆ กันครับ
วงกลมเพื่อค้นหา (Circle to Search)
วงกลมเพื่อค้นหาเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราค้นหาอะไรก็ตามบนหน้าจอบน Google ได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่กดค้างที่ปุ่มเริ่มต้น แล้ววาดวงกลมรอบสิ่งที่ที่ต้องการค้นหา เพียงเท่านี้เราก็จะรู้รายละเอียดของสิ่งนั้นทันที โดยฟีเจอร์นี้เป็นฟีเจอร์พื้นฐานของ Google ที่จะมีในสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ ๆ อยู่แล้ว
ล่ามแปลภาษา (AI Interpreter)
ฟีเจอร์นี้จะเป็นเครื่องมือแปลภาษาสด ๆ เพียงแค่พูดคุยกันสมาร์ตโฟนก็จะแปลภาษาให้ทันที ฟีเจอร์นี้เข้าถึงได้จากแถบเมนูลัด โดยแตะที่ แก้ไข แล้วเพิ่ม ตีความเสียง เข้ามาบนเมนูลัด
สรุปข้อความ-จัดหน้า (AI Notes)
ในแอป บันทึกย่อ จะมีเครื่องมือ AI ที่จะช่วยเราจัดหน้า, สรุป และแปลข้อความให้เราโดยอัตโนมัติ เพียงแค่แตะที่เมนู AI ก็จะมีตัวเลือกในการใช้งานขึ้นมาตามภาพ ช่วยได้มากในการสรุปรายงานการประชุม และการสรุปเลคเชอร์
ถอดเทปอัตโนมัติ (AI Recorder)
ในแอป บันทึกเสียง จะมี AI ที่ถอดเสียงเป็นข้อความโดยอัตโนมัติ โดยเรายังสามารถเลือกให้ AI สรุปเนื้อหาอีกที หรือแปลเป็นภาษาอื่นได้ด้วย ใช้คู่กับ AI Notes แล้วช่วยให้การทำงานง่ายขึ้นเยอะเลยครับ
ซับไตเติลอัตโนมัติ (AI Subtitles)
สำหรับเครื่องมือนี้จะช่วยสร้างซับไตเติลให้เราโดยอัตโนมัติ และสามารถแปลไปพร้อมกันได้ด้วย ใครชอบดูซีรีส์ต่างประเทศต้องถูกใจแน่นอน ฟีเจอร์นี้เข้าถึงได้จากแถบเมนูลัด โดยแตะที่ แก้ไข แล้วเพิ่ม คำบรรยาย AI เข้ามาบนเมนูลัดครับ
AI แต่งภาพ-ลบวัตถุ
Redmi Note 14 Pro+ 5G ก็มี AI ลบคนมาให้ใช้เหมือนกัน โดยเข้าไปที่แอป คลังภาพ
เลือกรูปภาพที่ต้องการแก้ไข จากนั้นแตะที่สัญลักษณ์รูปดินสอ > AI > ลบ
ก็จะมีเครื่องมือแสดงขึ้นมาให้เราใช้งาน โดยจะเลือกส่วนที่จะลบด้วยตัวเอง
หรือจะให้ระบบลบคนในรูปโดยอัตโนมัติก็ได้
สำหรับ Redmi Note 14 ที่เป็นรุ่นเริ่มต้น แม้จะไม่ได้มี AI ครบครันเท่ารุ่นพี่
แต่ก็ยังมี AI ลบวัตถุออกจากภาพอยู่ เพียงแต่ฟังก์ชันจะไม่หลากหลายเท่า
ทดสอบประสิทธิภาพด้านการเล่นเกม
ด้านการเล่นเกม Redmi Note 14 Pro+ 5G จะมีตัวช่วยสนับสนุนการเล่นเกมที่เรียกว่า Game Turbo ซึ่งจะช่วยเรื่องการจัดการทรัพยากรของตัวเครื่องขณะเล่นเกม รวมถึงตัวเลือกในการตั้งค่าอื่น ๆ เช่น ล็อกความสว่างหน้าจอ หรือปิดกั้นการแจ้งเตือน เป็นต้น ส่วน Redmi Note 14 ณ เวลาที่ทดสอบจะไม่มีฟีเจอร์นี้
ขณะเล่นเกม เราสามารถเรียกเมนูของ Game Turbo ออกมาได้โดยการปัดที่มุมซ้ายบนของจอ ซึ่งจะมีทางลัดสำหรับเรียกใช้ฟังก์ชันต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจับสกรีนช็อต, บันทึกวิดีโอการเล่น, เปิดแอปอื่นขึ้นมาเป็นหน้าต่างลอย, เอฟเฟกต์เปลี่ยนเสียงไมค์ และอื่น ๆ
เราสามารถสลับไปใช้ โหมดประสิทธิภาพสูง เพื่อเร่งการทำงานของตัวเครื่องให้สูงขึ้นอีกได้ แต่จะใช้แบตเตอรี่มากขึ้น และเครื่องจะร้อนขึ้น สามารถใช้เพิ่มอัตราเฟรมเรตในเกมให้สูงขึ้นได้อีกเล็กน้อย
ด้านการเล่นเกม ทั้งสองรุ่นมีประสิทธิภาพที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนอยู่แล้วด้วยสเปกของตัวเครื่อง โดย Redmi Note 14 จะใช้ชิปเซ็ต MediaTek Helio G99-Ultra ซึ่งถือว่าเป็นชิปที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูงหากเทียบกับสมาร์ตโฟนรุ่นอื่น ๆ ในช่วงราคาเดียวกัน ส่วน Redmi Note 14 Pro+ 5G จะใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 7s Gen 3 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่า แต่ในการเล่นจริงจะเป็นอย่างไรเราจะพาไปดูกัน
สำหรับการทดสอบเราได้เลือกใช้เกมสามัญประจำเครื่องอย่าง PUBG Mobile และเกมที่ค่อนข้างใหม่อย่าง Zenless Zen Zero
เริ่มกันที่ Redmi Note 14 รุ่นเริ่มต้น สำหรับเกม PUBG Mobile เราได้ตั้งค่ากราฟิกไว้ที่ระดับ HD เปิดเฟรมเรตสูง ตัวเกมแสดงผลได้อย่างราบรื่นและสวยงาม ไม่มีอาการกระตุกตลอดการเล่น และรักษาคามเสถียรของ FPS ได้ดี เรียกได้ว่าสอบผ่านอย่างสวยงาม
ส่วนเกม Zenless Zone Zero ที่ต้องการพลังการประมวลผลกราฟิกระดับสูง Redmi Note 14 ก็สามารถเล่นได้เช่นกัน แม้จะเปิดกราฟิกระดับสูง และปลดล็อกเฟรมเรต 60FPS ก็ยังสามารถเล่นได้ แต่จะมีอาการกระตุกเป็นพัก ๆ และค่าเฟรมเรตจะวิ่งไม่ถึง 60FPS ซึ่งถือว่าน่าประทับใจสำหรับสมาร์ตโฟนระดับนี้ หรือถ้าต้องการเล่นแบบลื่น ๆ ควรปรับการตั้งค่ากราฟิกเป็นกลาง หรือต่ำน่าจะเหมาะสมกว่า
มากันที่รุ่นท็อป Redmi Note 14 Pro+ 5G รุ่นนี้สามารถเล่น PUBG Mobile บนกราฟิกระดับ Ultra HD และเฟรมเรต Ultra ได้อย่างราบรื่น ไม่มีปัญหากวนใจแม้แต่น้อย ส่วนเกม Zenless Zen Zero นั้น แม้จะปรับกราฟิกเอาไว้ที่ระดับสูงสุด และปลดเฟรมเรต 60FPS ก็ยังลื่นไหล ไม่มีจังหวะกระตุกแต่อย่างใด ขณะเดียวกันตัวเครื่องก็แทบไม่ร้อนเลย ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะฝาหลังแบบหนังด้วย โดยรวมแล้วรุ่นนี้สามารถเล่นเกมได้แบบสบาย ๆ
แบตเตอรี่ และระบบชาร์จไว
Redmi Note 14 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 5500mAh พร้อมรองรับระบบชาร์จไวแบบ 33W ซึ่งด้วยความจุของแบตเตอรี่ที่ค่อนข้างเยอะ และชิปเซ็ต MediaTek Helio G99-Ultra ที่ไม่ค่อยกินพลังงานมาก ทำให้ใช้งานได้ตลอดทั้งวันโดยไม่ต้องแวะชาร์จ ส่วนการชาร์จไว 33W ก็ถือว่าเร็วพอสมควร และเพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน
สำหรับรุ่นท็อปอย่าง Redmi Note 14 Pro+ 5G จะมากับแบตเตอรี่ขนาด 5110mAh ซึ่งแม้จะไม่ใหญ่เท่ารุ่นเริ่มต้นแต่ก็เพียงพอที่จะอยู่ได้ตลอดวัน ส่วนการชาร์จรุ่นนี้จะโดดเด่นกว่าทุกรุ่นในซีรีส์ด้วยระบบชาร์จไว 120W HyperCharge ซึ่งใช้เวลาชาร์จจาก 0%-100% ได้ภายในเวลาเพียงแค่ประมาณ 40 นาทีเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่หากบังเอิญแบตเตอรี่หมดระหว่างวัน
การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
ทั้งสองรุ่นมีกล้องหลัง 3 ตัวทั้งคู่ แต่คุณสมบัติของกล้องแต่ละตัวจะแตกต่างกัน โดยกล้องหลังของ Redmi Note 14 ประกอบด้วย
- กล้องหลัก (Wide) ความละเอียดระดับ 108MP พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.67 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.92 ไมครอน (แบบ 9-in-1 Pixel Binning), รูรับแสงขนาด f1.7 และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Depth ความละเอียดระดับ 2MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
- กล้อง Macro ความละเอียดระดับ 2MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
ส่วนกล้องหลังของ Redmi Note 14 Pro+ 5G ประกอบด้วย
- กล้องหลัก (Wide) ความละเอียดระดับ 200MP พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.4 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 2.24 ไมครอน (แบบ 16-in-1 Pixel Binning), รูรับแสงขนาด f1.65, ระบบโฟกัสอัตโนมัติ, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และโครงสร้างแบบ 7 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียดระดับ 8MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2
- กล้อง Macro ความละเอียดระดับ 2MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
ฟังก์ชันการถ่ายภาพของทั้งสองรุ่นจะคล้าย ๆ กัน แต่ Redmi Note 14 Pro+ 5G จะสามารถปรับแต่งค่าต่าง ๆ ได้มากกว่า และมีโหมดโปรให้ใช้งาน โดยรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K (30fps) ส่วน Redmi Note 14 รุ่นเล็กจะรองรับที่ 1080 (60fps)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ Redmi Note 14
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ Redmi Note 14 Pro+ 5G
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ Redmi Note 14
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ Redmi Note 14 Pro+ 5G
ราคา และโปรโมชันของ Redmi Note 14 | Redmi Note 14 Pro+ 5G
ล่าสุดวานนี้ (10 มกราคม 2568) เสียวหมี่ ประเทศไทย ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว พร้อมประกาศราคา กับโปรโมชันอย่างเป็นทางการในประเทศไทยของ Redmi 14 Series ออกมาแล้วดังนี้
- Redmi Note 14 รุ่น RAM 8GB+ROM 256GB ราคา 5,999 บาท
โดยมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Midnight Black, Mist Purple และ Lime Green
- Redmi Note 14 5G รุ่น RAM 8GB+ROM 256GB ราคา 7,999 บาท
- Redmi Note 14 5G รุ่น RAM 12GB+ROM 512GB ราคา 9,999 บาท
โดยมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Midnight Black, Lavender Purple และ Coral Green
- Redmi Note 14 Pro 5G รุ่น RAM 12GB+ROM 256GB ราคา 11,990 บาท
โดยมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Midnight Black, Lavender Purple และ Coral Green
- Redmi Note 14 Pro+ 5G รุ่น RAM 12GB+ROM 512GB ราคา 14,990 บาท
โดยมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Lavender Purple, Frost Blue และ Midnight Black
นอกจากนี้ยังมีโปรโมชัน Exclusive ในช่วง Pre-Order ระหว่างวันที่ 11-17 มกราคม 2568 ดังนี้
- Redmi Note 14 รับฟรี กระเป๋าล้อลาก Redmi Note 14 Series และประกัน VIP Services มูลค่ารวม 5,690 บาท
- Redmi Note 14 5G รับฟรี กระเป๋าล้อลาก Redmi Note 14 Series และประกัน VIP Services มูลค่ารวม 7,690 บาท
- Redmi Note 14 Pro 5G รับฟรี Redmi Watch 5 Active และประกัน VIP Services มูลค่ารวม 11,290 บาท
- Redmi Note 14 Pro+ 5G รับฟรี Redmi Note 14 Series x BamBam Exclusive Gift Set และประกัน VIP Services มูลค่ารวม 13,790 บาท
พร้อมกันนี้ยังได้รับฟรีประกันหน้าจอแตก, ประกันตัวเครื่อง 24 เดือน และสิทธิ์ร่วมผ่อนชำระในโปรแกรม SGFINANCE+
ท่านใดสนใจจับจองเป็นเจ้าของ Redmi Note 14 Series สามารถแวะชมได้ที่ Xiaomi Store, Xiaomi Zone, ร้านค้าที่ร่วมรายการ และ mi.com
สรุปประสบการณ์หลังใช้งาน Redmi Note 14 | Redmi Note 14 Pro+ 5G
หลังที่มีโอกาสได้ใช้งานสมาร์ตโฟน Redmi Note 14 กับ Redmi Note 14 Pro+ 5G มาได้ระยะหนึ่ง ในด้านของรุ่นเริ่มต้นอย่าง Redmi Note 14 นั้นก็นับว่าเป็นสมาร์ตโฟนระดับเริ่มต้นที่น่าสนใจอีกรุ่น ด้วยคุณสมบัติที่ครบเครื่องไม่น้อยหน้าสมาร์ตโฟนรุ่นเริ่มต้นค่ายอื่นในตลาด มีชิปเซ็ต MediaTek Helio G99-Ultra ที่สามารถรับมือกับการใช้งานทั่วไปได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่งการเล่นเกมก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างน่าประทับใจ นอกจากนี้ตัวเครื่องยังทนไม้ทนมือพอสมควรด้วยมาตรฐานการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP54 จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการสัมผัสกับน้ำมากนัก หรือจะทำหล่นก็ไม่พังง่าย ๆ
สำหรับการถ่ายภาพ กล้องหลังของ Redmi Note 14 มีจุดเด่นที่กล้องหลักที่มีความละเอียดสูงถึง 108MP ซึ่งสูงกว่าสมาร์ตโฟนระดับเริ่มต้นส่วนใหญ่ในปัจจุบัน คุณภาพของรูปถ่ายที่ออกมานั้นก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ด้วยความที่ไม่มีระบบป้องกันการสั่น และชัตเตอร์ที่ค่อนข้างช้า ทำให้รายละเอียดของภาพอาจไม่ค่อยคมนักโดยเฉพาะภายใต้สภาวะแสงน้อย จึงจำเป็นต้องพยายามจับเครื่องให้นิ่ง เพื่อให้ภาพออกมามีคุณภาพดีที่สุด
ในด้านของ Redmi Note 14 Pro+ 5G นั้นถือว่าเป็นสมาร์ตโฟนระดับกลางที่ประสิทธิภาพสูง และตอบโจทย์การใช้งานได้ดีรอบด้าน ชิปเซ็ต Snapdragon 7s Gen 3 ที่เป็นหัวใจการประมวลผลของรุ่นนี้สามารถรับมือกับการใช้งานทั้งหนัก และเบาได้แบบสบาย ๆ แม้จะเป็นเกมที่ต้องการพลังการประมวลผลสูง ๆ ก็ยังเล่นได้บนการตั้งค่ากราฟิกระดับกลาง หรือสูง พร้อมด้วยหน้าจอ CrystalRes AMOLED ที่คมชัด และสมูทสบายตา ยิ่งช่วยเสริมให้ประสบการณ์การใช้งานในภาพรวมดีขึ้น ขณะเดียวกันยังรองรับการชาร์จไวที่ 120W ซึ่งเร็วมากหากเทียบกับสมาร์ตโฟนรุ่นอื่น ๆ ในตลาดปัจจุบัน
จุดเด่นอีกอย่างของ Redmi Note 14 Pro+ 5G
ก็คือความทนทานของตัวเครื่อง ด้วยมาตรฐานของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP68
พร้อมด้วยฝาหลังหนังเทียมที่กันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี
และหน้าจอที่ใช้กระจก Gorilla Glass Victus 2 รุ่นใหม่
ด้วยความทนทานขนาดนี้ต่อให้จุ่มโคลนก็เอามาล้างน้ำใช้ต่อได้เลย
นอกจากนี้ Redmi Note 14 Pro+ 5G ยังเป็นสมาร์ตโฟนระดับกลางที่มากับฟีเจอร์ AI
ครบครันไม่แพ้สมาร์ตโฟนเรือธงพรีเมียม ไม่ว่าจะเป็น วงเพื่อค้นหา (Circle
to Search), แปลภาษา, สรุปโน้ต, ซับไตเติ้ลอัตโนมัติ ไปจนถึง AI
แต่งรูปอย่างการลบคน หรือเติมภาพ
ทำให้มีประโยชน์ในการใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
และเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่อยากลองใช้สมาร์ตโฟน AI
สำหรับการถ่ายภาพ Redmi Note 14 Pro+ 5G อาจจะมีลูกเล่นไม่มาก
แต่มีโหมดการใช้งานพื้นฐานครบ
และให้คุณภาพของรูปถ่ายที่น่าประทับใจในทุกสภาพแสง โดยให้ภาพที่คมชัด,
สีสันตรง และการประมวลผล HDR ที่ดี แม้จะถ่ายย้อนแสงตรง ๆ
ก็ยังจัดการแสงและเงาได้ เรียกได้ว่าเป็นอีกรุ่นหนึ่งที่ถ่ายรูปได้ดี
โดยรวมแล้วสามารถกล่าวได้ว่า Redmi Note 14
เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นเริ่มต้นที่มีประสิทธิภาพคุ้มราคา
เหมาะกับการใช้งานทุกประเภท และผู้ที่ต้องการสมาร์ตโฟนเล่นเกมในราคาประหยัด
ส่วน Redmi Note 14 Pro+ 5G เป็นสมาร์ตโฟนที่ทำได้ดีทุกด้าน
โดยมีประสิทธิภาพสูง มีความแข็งแรงทนทาน และมีฟีเจอร์ AI ให้ใช้แบบครบครัน
นับได้ว่าเป็นคู่หูสมาร์ตโฟนที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมือถือดี ๆ
สักรุ่นที่มีคุณสมบัติที่ครบเครื่องรอบด้าน
และผู้ที่ต้องการลองใช้สมาร์ตโฟน AI ในราคาที่เอื้อมถึงครับ
สรุปคุณสมบัติเด่นของ Redmi Note 14
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP54
- มิติตัวเครื่อง 163.25x76.55x8.16 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 196.5 กรัม
- จอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 2400x1080 พิกเซล
- อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz
- มาตรฐานการแสดงผล DCI-P3
- ความสว่างสูงสุด 1,800 nits
- มาตรฐานถนอมสายตา TUV Rheinland Low Blue Light / Circadian Friendly /
Flicker Free
Certification
- 960Hz PWM Dimming
- รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- กระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 5
------------------------------
- ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Helio G99-Ultra
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G57 MC2
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) แบบ UFS 2.2 ขนาด 256GB
- รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD ได้สูงสุดที่ขนาด 1TB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 15 ครอบทับด้วย Xiaomi HyperOS
- แบตเตอรี่ความจุ 5,500 mAh
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่แบบ 33W TurboCharge พร้อมอแดปเตอร์และสายชาร์จในชุดขาย
- ลำโพงคู่สเตอริโอ ระบบเสียง Dolby Atmos
- มาตรฐานกันน้ำ-กันฝุ่น IP54
------------------------------
กล้องตัวหลักด้านหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย
- กล้องหลัก (Wide) ความละเอียดระดับ 108MP พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.67 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.92 ไมครอน (แบบ 9-in-1 Pixel Binning), รูรับแสงขนาด f1.7 และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Depth ความละเอียดระดับ 2MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
- กล้อง Macro ความละเอียดระดับ 2MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080p 60fps
กล้องด้านหน้าความละเอียด 20MP
พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2 และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080P (30fps)
------------------------------
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 5 (802.11ac), Wi-Fi direct
- รองรับเครือข่าย 4G LTE
- รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (Dual Nano-SIM)
- รองรับ NFC
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.3
- ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม GPS, GLONASS, BEIDOU, QZSS
- เซนเซอร์อินฟาเรด IR Blaster
สามารถประยุกต์ใช้กับแอปพลิเคชันเฉพาะเพื่อใช้งานเป็นรีโมตเครื่องใช้ไฟฟ้าได้
- พอร์ต USB Type-C
- พอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
สรุปคุณสมบัติเด่นของ Redmi Note 14 Pro+ 5G
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP68
- มิติตัวเครื่อง 162.53 x 74.67 x 8.75 มม. น้ำหนัก 210.14 ก. สำหรับสี Forest
Blue และ Midnight Black
- มิติตัวเครื่อง 162.53×74.67×8.85 มม. น้ำหนัก 205.13 ก. สำหรับสี Lavender
Purple
- จอแสดงผล CrystalRes AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 2712 x 1220 พิกเซล
- อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz
- มาตรฐานการแสดงผล HDR10+, Dolby Vision, DCI-P3
- ความสว่างสูงสุด 3,000 nits
- มาตรฐานถนอมสายตา TUV Rheinland Low Blue Light / Circadian Friendly /
Flicker Free
Certification
- 1,920Hz PWM Dimming
- รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- หน้าจอแสดงผลครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass Victus 2
------------------------------
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 7s Gen 3
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 710 GPU
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 12GB
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูล (ROM) แบบ UFS 2.2 ขนาด 512GB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 15 พร้อมครอบทับด้วย Xiaomi HyperOS
- แบตเตอรี่ความจุ 5,110 mAh
- ระบบชาร์จแบตเตอรี่แบบ 120W HyperCharge พร้อมอแดปเตอร์และสายชาร์จในชุดขาย
- ลำโพงคู่สเตอริโอ ระบบเสียง Dolby Atmos
- มาตรฐานกันน้ำ-กันฝุ่น IP68
- ฟีเจอร์ AI ได้แก่ AI Circle to Search with Google, Google Gemini, AI Interpreter,
AI Notes, AI Recorder, AI Subtitles, AI Film, AI Beautify, AI Erase Pro, AI
Image Expansion
------------------------------
กล้องตัวหลักด้านหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย
- กล้องหลัก (Wide) ความละเอียดระดับ 200MP พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.4 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 2.24 ไมครอน (แบบ 16-in-1 Pixel Binning), รูรับแสงขนาด f1.65, ระบบโฟกัสอัตโนมัติ, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และโครงสร้างแบบ 7 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียดระดับ 8MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2
- กล้อง Macro ความละเอียดระดับ 2MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K 30fps
กล้องด้านหน้าความละเอียด 20MP
พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2 และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080P (60fps)
------------------------------
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 (802.11ax), Wi-Fi Direct
- รองรับเครือข่าย 5G, 4G LTE
- รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด Dual SIM (nano SIM+nano SIM หรือ nano
SIM+eSIM)
- รองรับ NFC
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.4
- ระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม GPS, GLONASS, BEIDOU, QZSS, Galileo
- พอร์ต USB Type-C
วันที่ : 11/01/2025