รีวิว (Review) realme X50 5G
สมาร์ทโฟน 5G รุ่นใหม่ในงบหมื่นต้นๆ พร้อมสเปกแรง กล้องเยี่ยม แบตชาร์จไว ดีไซน์สวยเด่น ด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 765G รองรับ 5G ทั่วโลก, จอ Ultra Smooth 120Hz, กล้อง AI 4 ตัว 48MP ผสานกล้องหน้าคู่ In-Display, แบตเตอรี่ 30W Dart Charge ใหญ่ 4200 mAh และ RAM 8GB+ROM 128GB บนบอดี้ Optical Plating โค้งมนเงางามที่ไม่กลัวร้อน ในราคา 12,990 บาท
31 กรกฎาคม 2020 - หลังจากที่ทีมงานได้นำสมาร์ทโฟน 5G เรือธงตัวท็อปของค่ายอย่าง realme X50 Pro 5G มารีวิวให้ได้ชมกันไปเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ล่าสุดก็ถึงคิวของรุ่นน้องอย่าง realme X50 5G บ้างแล้ว ที่มากับสโลแกน บุกเบิกพลังแห่ง 5G
realme X50 5G โดดเด่นที่การใช้ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 765G บนเทคโนโลยีการผลิตระดับ 7nm ที่รองรับการเชื่อมต่อ 5G ทั้งหมด 12 คลื่นความถี่ทั่วโลก พร้อมกับระบบระบายความร้อน Liquid Cooling System 3.0 ด้วยแผ่น Graphite แผ่นฟอยล์ทองแดง และฟิล์มซิลิกอน ที่ช่วยลดความร้อนได้มากถึง 12.5% และรองรับการเชื่อมต่อแบบ Dual Wi-Fi Acceleration ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อ Wi-Fi ในย่านความถี่ 2.4GHz และ 5GHz พร้อมกัน เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วในการใช้งานอินเทอร์เน็ตให้มากขึ้นไปอีกระดับ พร้อมจับคู่กับ RAM ขนาด 8GB + ROM ขนาด 128GB และมีแบตเตอรี่จุใจขนาด 4200 mAh ซึ่งมากับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ 30W Dart Charge ที่สามารถชาร์จจากระดับ 0-100% ได้ในเวลา 55 นาที
นอกจากนี้ realme X50 5G ยังมีจุดเด่นที่หน้าจอไร้ขอบไร้รอยบากขนาดใหญ่เต็มตาที่ 6.57 นิ้ว แบบ 120Hz Ultra Smooth ที่มีค่า Refresh Rate สูงสุดที่ระดับ 120Hz ซึ่งช่วยเพิ่มความลื่นไหลในการใช้งาน โดยเฉพาะการเล่นเกม และการชมภาพยนตร์ หรือซีรีส์เรื่องโปรด พร้อมฝังกล้องคู่บนจอแบบ Dual In-Display Selfie ความละเอียด 16+2 ล้านพิกเซล
ฝาหลังของ realme X50 5G ครอบทับด้วยกระจกขอบโค้งแบบ 3D Glass ผสานเทคโนโลยี Optical Plating สลักลวดลายขนาดเล็กนับพัน ทำให้เกิดการกระทบของเส้นแสงโค้งมนเรียงตัวกันด้วยความสวยงาม และติดตั้งกล้องหลังทั้งหมด 4 ตัว (AI Quad Camera) กับความละเอียดสูงสุดระดับ 48 ล้านพิกเซล พร้อมด้วยกล้อง Ultra-Wide ถ่ายภาพมุมกว้างสุด 119 องศา, กล้อง Portrait B&W และกล้อง Macro ซึ่งถ่ายระยะใกล้สุดได้ที่ 4 เซนติเมตร
จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า realme X50 5G มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ตัวเครื่องที่ดูสวยหรูพรีเมียม หรือฟีเจอร์ที่จัดมาให้แบบครบครัน และระบบการถ่ายภาพที่ดีกว่าเดิม กับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่ 12,990 บาท ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านรับชมการรีวิว realme X50 5G ไปพร้อมกันได้เลยค่ะ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
realme X50 5G มาในแพ็กเกจสีเหลือง พร้อมระบุชื่อรุ่นไว้อย่างชัดเจน
ภายในกล่องมีอุปกรณ์พื้นฐานมาให้อย่างครบครัน ได้แก่ เคสใส, อะแดปเตอร์ Dart Charge (5V/6A), สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, คู่มือการใช้งาน และเข็มสำหรับถอดถาดซิมการ์ด
ภาพตัวอย่างการใส่เคสที่แถมมาในแพ็กเกจ
realme X50 5G มาพร้อมกับหน้าจอแบบ Ultra Smooth Display 120Hz ขนาด 6.57 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 (พื้นที่การแสดงผล 90.4%) ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 400 ppi) ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5 บนตัวเครื่องขนาด 163.8x75.8x8.9 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 202 กรัม
ไฮไลท์ที่สำคัญของหน้าจอ realme X50 5G คือค่า Refresh Rate ระดับ 120Hz ซึ่งช่วยให้การแสดงผลลื่นไหลมากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงรองรับเทคโนโลยี OSIE Vision Effect ที่ช่วยให้รับชมภาพ และภาพยนตร์เรื่องโปรดได้คมชัดกว่าเดิม ในระดับ high-frame-rate HDR Masterpieces
ที่ด้านบนของหน้าจอมีเพียงลำโพงสนทนา พร้อมการติดตั้งเซนเซอร์ Proximity สำหรับปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน กับเซนเซอร์ Ambient Light สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอ และแผงปุ่มกดให้เหมาะสม
สำหรับกล้องถ่ายภาพเซลฟี่เป็นแบบคู่ฝังบนจอ Dual In-Display Selfie ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX471 ที่มีรูรับแสงขนาด F/2.0 กับกล้องรองแบบ Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
พร้อมรองรับระบบการสแกนใบหน้า (Facial Unlock) ในการปลดล็อกตัวเครื่อง
ด้านหน้าส่วนล่างใช้ปุ่มควบคุมบนหน้าจอแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent App, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ
หรือเลือกใช้งานวิธีควบคุมแบบ Gestures ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ด้วย
ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีไมโครโฟนตัวที่สอง
ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วย ช่องสำหรับใส่ซิมการ์ดแบบ Dual-nanoSIM (ไม่รองรับ microSD Card), ไมโครโฟนตัวหลักสำหรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และลำโพงเสียงตัวหลัก ซึ่งไม่มีช่องเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มม.
ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้ว มือที่เป็นปุ่ม Power ไปในตัว สำหรับล็อกหน้าจอ, เปิด-ปิด เครื่อง หรือเรียกใช้ Google Assistant
ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มปรับระดับเสียง
realme X50 5G ครอบทับด้วยกระจกขอบโค้งแบบ 3D Glass ที่ได้รับรับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติจากป่า และน้ำแข็ง เงางามด้วยเทคโนโลยี Optical Plating สลักลวดลายขนาดเล็กนับพัน ทำให้เกิดการกระทบของเส้นแสงโค้งมนเรียงตัวกันด้วยความสวยงาม อีกทั้งยังให้สัมผัสที่นุ่มลื่น และจับถือได้ถนัดมือ ซึ่งสีที่ทางทีมงานได้รับมารีวิวนั้นคือสีเขียว Jungle Green
ที่ด้านหลังตัวเครื่องติดตั้งระบบกล้องทั้งหมด 4 ตัว (AI Quad Camera) ประกอบไปด้วย
- กล้องตัวหลัก (Main) ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์ และรูรับแสงขนาด F/1.8
- กล้อง Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
พร้อมโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์, รูรับแสงขนาด F/2.3, มุมรับภาพ 119
องศา และระบบป้องกันการสั่นแบบ UIS Max
- กล้อง B&W Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
พร้อมโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์, รูรับแสงขนาด F/2.4
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมโครงสร้างแบบ 3
ชิ้นเลนส์, รูรับแสงขนาด F/2.4 และถ่ายภาพระยะใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร
รองรับโหมดถ่ายภาพกลางคืน NightScape 3.0 เวอร์ชันใหม่, โหมด Chroma Boost สำหรับเพิ่มสีสันให้ภาพถ่าย, AI Beauty ปรับผิวให้เนียนสวย, โหมด 48MP ถ่ายภาพความละเอียดสูง และโหมดสำหรับถ่ายวิดีโอแบบครบครัน ทั้ง Real-Time Bokeh Effect, โหมดกันสั่นแบบ Ultra Steady และ SLO-MO พร้อมความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K 30fps
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ
realme X50 5G ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ
Android เวอร์ชัน 10 ครอบทับด้วย realme UI 1.0 ที่มี User Interface
เน้นไปทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ ระบบสี, ไอคอน, พื้นหลัง
และภาพเคลื่อนไหวแอนิเมชัน โดยมีหน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X (รุ่นที่วางจำหน่ายจริงมีหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB) พร้อมหน่วยความจำภายในตัวเครื่อง (ROM) มาตรฐาน UFS 2.1 ขนาด 128GB
แต่ไม่รองรับ microSD Card
พร้อมรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 5G ทั้งหมด 12 คลื่นความถี่ทั่วโลก
(Band n1 : 2100 | n3 : 1800 | n5 : 850 | n7 : 2600 | n8 : 900 | n28 : 700 | n38 : 2600 | n40 : 2300 | n41 : 2500 | n77 : 3700 | n78 : 3500)
เมื่อลากจากขอบด้านบนของหน้าจอลงมาจะพบกับ Toggle Switch ปุ่มลัดสำหรับการเปิด-ปิดฟังก์ชันต่างๆ มากมาย เช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ต, Bluetooth หรือการหมุนหน้าจออัตโนมัติ รวมถึง Notification Center แถบการแจ้งเตือนต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าไอคอนมีดีไซน์ใหม่เป็นทรงเหลี่ยม
โดยสามารถปรับตำแหน่งของคีย์ลัดต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ
เมื่อปัดไปทางด้านขวาจากหน้าโฮมสกรีนจะพบกับ Google Discover หน้าที่รวบรวมข่าวสารที่ได้รับความนิยมในโลกออนไลน์ โดยอ้างอิงจากการค้นหาของผู้ใช้
เมื่อกดปุ่ม Recent Apps จะพบกับหน้าแอปพลิเคชันทั้งหมดที่เปิดใช้งานเอาไว้ ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกปิดแอปพลิเคชันที่เปิดค้างเอาไว้ได้ เพียงแค่เลื่อนหน้าต่างแอปนั้นๆ ไปยังด้านบน หรือปิดแอปพลิเคชันทั้งหมดภายในครั้งเดียวด้วยการกดปุ่ม Clear ที่ด้านล่าง
สามารถเข้าสู่เข้าสู่เมนูการปรับแต่งหน้าจอ เพื่อปรับตำแหน่งของไอคอน พร้อมเลือกใช้งาน Widget ที่ต้องการ รวมถึงเอฟเฟ็กเวลาเปลี่ยนหน้าจอ และภาพพื้นหลังได้ เพียงกดค้างบนหน้าจอ หรือใช้สองนิ้วรูดเข้าหากันในแนวทแยง
สำหรับบริการต่างๆ จากทาง Google รวมถึงแอปพลิเคชันพื้นฐาน ก็มีการติดตั้งมาไว้ให้ได้ใช้งานอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น รายชื่อผู้ติดต่อ, การบันทึกเสียง, เข็มทิศ, เครื่องคิดเลข, Clone Phone, One-Tap Lockscreen สำหรับล็อกหน้าจอ, Game Space, และสภาพอากาศ
สามารถปรับค่าการแสดงผลต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น ความสว่างอัตโนมัติ, อุณหภูมิสี หรือขนาดของตัวอักษร พร้อมรองรับฟังก์ชัน Eye Care สำหรับลดแสงสีฟ้าบนหน้าจอ
รวมถึงรองรับ Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำ และยังเลือกให้แอปพลิเคชันจาก Third-Party แสดงผลพื้นหลังเป็นสีดำได้อีกด้วย โดยในเบื้องต้นยังเป็นแบบ Beta อยู่
ตัวอย่างการใช้งาน Dark Mode
สามารถเลือกการแสดงผลของหน้าจอได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ Vivid และ Gentle อีกทั้งรองรับเทคโนโลยี OSIE Vision Effect ที่ช่วยให้รับชมภาพ และภาพยนตร์เรื่องโปรดได้คมชัดกว่าเดิม ในระดับ high-frame-rate HDR Masterpieces
รวมถึงเลือกใช้งานค่า Refresh Rate สูงสุดที่ระดับ 120Hz (ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 60Hz) โดยจะช่วยให้การใช้งานต่างๆ โดยเฉพาะการเล่นเกมลื่นไหลกว่าเดิม ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่ค่อนข้างหาได้ยากบนสมาร์ทโฟนระดับใกล้เคียงกัน
สำหรับ Refresh Rate เป็นค่าความเร็วในการเปลี่ยนภาพของหน้าจอแสดงผล กล่าวคืออัตราความเร็วในการเปลี่ยนภาพนิ่งที่เรียงต่อกันจนกลายมาเป็นภาพเคลื่อนไหว ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งค่า Refresh Rate มาก ก็จะทำให้การเปลี่ยนภาพของหน้าจอมีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้นไปด้วยนั่นเอง และโดยปกติแล้วหน้าจอสมาร์ทโฟนที่เราใช้งานกันจะมีค่า Refresh Rate อยู่ที่ประมาณ 60 Hz
สามารถตั้งค่าต่างๆ ในหน้า Home Screen ได้
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้งานหน้าจอได้ทั้งในโหมด ปกติ (Standard), แบบ Drawer : ค่าเริ่มต้น หรือแบบ Simple ที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ
และเลือกจำนวนการแสดงผลของไอคอนบนหน้าจอได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ 4x6 และ 5x6 (ค่าเริ่มต้น)
สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของไอคอนได้
realme X50 5G มาพร้อมฟังก์ชัน Dual Wi-Fi Acceleration ในการเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi ในคลื่นความถี่ 2.4GHz และ 5GHz ได้พร้อมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการใช้งานที่จำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อย่างเช่น การรับชมภาพยนตร์สตรีมมิ่ง หรือการท่องโลกโซเชียล
และรองรับบริการชำระเงินผ่านระบบ NFC
รวมถึงฟังก์ชัน Android Beam สำหรับส่งข้อมูลระหว่างสมาร์ทโฟนที่รองรับ NFC โดยการนำตัวเครื่องทั้ง 2 มาแตะกัน
สามารถสลับตำแหน่งของปุ่ม Navigation Buttons ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้
หรือเลือกใช้งานการควบคุมแบบ Swipe Gestures From Both Sides ในการปัดหน้าจอจากด้านข้างลักษณะต่างๆ เพื่อสั่งการ
หรือเลือกใช้งานการควบคุมแบบ Swipe-Up Gestures ในการปัดหน้าจอขึ้นลักษณะต่างๆ เพื่อสั่งการ
และรองรับฟังก์ชัน Smart Slider สำหรับเรียกใช้งานคีย์ลัด และแอปพลิเคชันต่างๆ ผ่านการสไลด์ที่บริเวณขอบสีขาวที่หน้าจอ
โดยรองรับการใช้งานทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน พร้อมเลือกแอปพลิเคชันอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติมในแถบ Smart Slider ได้
และเมื่อกดค้างที่แอปพลิเคชันต่างๆ จะปรากฎคีย์ลัด เพื่อการใช้งานที่รวดเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะก็มีให้ใช้งาน ด้วยเช่นกัน ซึ่งประกอบไปด้วย การแคปเจอร์หน้าจอด้วยการลาก 3 นิ้วจากบนลงล่าง, การยกตัวเครื่องขึ้นเพื่อเป็นการปลุกการทำงาน, การรับสายอัตโนมัติ, การสลับจากลำโพงภายนอก มาเป็นลำโพงสำหรับสนทนาเมื่อนำมือถือมาแนบที่ใบหู และการคว่ำตัวเครื่องเพื่อปิดเสียงสายโทรเข้า
รวมถึง Screen-Off Gestures การวาดนิ้วในลักษณะต่างๆ ขณะหน้าจอดับอยู่ เพื่อเปิดใช้งานคีย์ลัด เช่น แตะสองครั้งเพื่อปลุกหน้าจอ, วาดตัวอักษร O เพื่อเปิดแอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ, วาดตัวอักษร V เพื่อเปิดใช้งานไฟฉาย และการวาดตัวอักษร < หรือ > เพื่อเปลี่ยนเพลง นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่ารูปแบบการวาดเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันอื่นๆ ได้
โดยที่สามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาวได้ด้วย
นอกจากนี้ยังสามารถเรียกใช้งาน Google Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะจาก Google ได้ด้วยเช่นกัน โดยกดค้างที่ปุ่ม Power ประมาณ 2 วินาที โดยผู้ใช้สามารถสั่งงานภายในตัวเครื่อง รวมถึงค้นหาสิ่งต่างๆ ที่ต้องการผ่านคำสั่งเสียง รวมถึงบริการ Google Lens บริการค้นหาวัตถุ หรือสถานที่ด้วยการนำกล้องไปถ่ายวัตถุนั้นๆ ได้อย่างง่ายดาย
ตัวอย่างการใช้งานบนบริการ Google Lens
realme X50 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4200 mAh ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน พร้อมเปิดใช้งานในโหมดประหยัดพลังงานอย่าง Power Saving Mode ที่ช่วยจัดการพลังงานให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น โดยเมื่อกดใช้งานแถบแบตเตอรี่บนหน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน
และรองรับเทคโนโลยีการชาร์จความเร็วสูงแบบ 30W Dart Charge (5V/6A) ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-100% ได้ในเวลา 55 นาที ที่ช่วยประหยัดเวลาในการชาร์จได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังติดตั้งชิปตรวจสอบความปลอดภัยขณะชาร์จแบตเตอรี่แบบ 5 จุด (Five-core Chip) เพื่อควบคุมปริมาณกระแสไฟให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ช่วยให้การชาร์จแบตเตอรี่มีความเสถียร และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
รวมถึงโหมด High Performance เพื่อการประมวลผลในระดับสูงสุด โดยเมื่อเปิดใช้งานจะมีสัญลักษณ์แบตเตอรี่สีเขียวที่ด้านซ้ายถัดจากเวลา ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานตัวเครื่องจะใช้ทรัพยากรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง และอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกตินั่นเอง
และรองรับฟังก์ชัน App Quick Freeze สำหรับช่วยหยุดการทำงานของแอปพลิเคชันที่ไม่ได้เรียกใช้งานในปัจจุบัน รวมถึงฟังก์ชัน Screen Battery Optimization ที่ช่วยลดการใช้พลังงานหน้าจอ เพื่อยืดระยะการใช้งานโดยรวมให้นานยิ่งขึ้น
ฟังก์ชัน Do Not Disturb สำหรับปิดการแจ้งเตือนทั้งหมดแบบไม่มีการสั่นเตือน ยกเว้นการตั้งปลุกที่ผู้ใช้ตั้งค่าเอาไว้ โดยจะมีสัญลักษณ์รูปพระจันทร์ที่ด้านบนเมื่อเปิดการใช้งาน
สามารถตรวจสอบเวลาที่ใช้ไปในแต่ละแอปพลิเคชัน รวมถึงกำหนดระยะเวลาในการใช้งานในแต่ละแอปพลิเคชันได้
และรองรับฟังก์ชันใหม่ล่าสุดอย่าง Focus Mode สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก โดยระบบจะปิดแอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้แบบชั่วคราว พร้อมเปิดเพลงสบายๆ โดยผู้ใช้สามารถเลือก Theme ของเพลงได้ และเปิดโหมดห้ามรบกวน (Do Not Disturb) เพื่อปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ตอบโจทย์เวลาที่ผู้ใช้ต้องการสมาธิ หรือเข้านอนนั่นเอง
realme X50 5G ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง App Cloner สำหรับโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน ซึ่งในเบื้องต้นนั้นสามารถโคลนนิ่งได้เฉพาะแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook และ Line จึงทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์
รวมถึงรองรับการใช้งานแบบ Multi-user ที่สามารถสลับการใช้งานจากผู้ใช้หลายคนได้ โดยข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน และการรักษาความปลอดภัยต่างๆ จะถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเหมาะสำหรับท่านที่ต้องการแยกการทำงาน และการใช้งานทั่วไปให้ชัดเจน
นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชัน Split Screen ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อมๆ กัน ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ทั้งหมด 4 วิธี
ตัวอย่างการใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ
ทางด้านอัลบั้มภาพถ่ายนั้นสามารถแสดงภาพถ่ายได้ หลักๆ 2 แบบ คือ รวมภาพถ่ายทั้งหมด และแสดงแบบแยกอัลบั้ม
สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยบน realme X50 5G มีทั้งเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่อยู่ด้านขวาตัวเครื่อง โดยสามารถตั้งค่าการใช้งานเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือสำหรับปลุกการทำงานของเครื่อง หรือปลดล็อกหน้าจอได้ด้วยเวลาเพียง 0.25 วินาที พร้อมทั้งสามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 ลายนิ้วมือ ซึ่งจากการทดสอบตัวเซนเซอร์ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอได้รวดเร็วทันใจ
และการปลดล็อกด้วยใบหน้า (Facial Unlock) ที่สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว
ท่านที่ใช้งาน realme X50 5G เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่แล้วอยากย้ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเดิม ก็สามารถโอนย้ายข้อมูลด้วยแอปพลิเคชัน Clone Phone ได้ทันที
realme X50 5G รองรับการเล่นเพลง และไฟล์เสียงต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Music และสามารถเปิดใช้งานระบบเสียง Dolby Atmos ได้ โดยผู้ใช้สามารถสามารถปรับรูปแบบอีควอไลเซอร์ได้หลากหลาย (ซึ่งจะต้องใช้งานร่วมกับหูฟังเท่านั้น)
รวมถึงรองรับฟังก์ชันที่น่าสนใจอย่าง Dual-Mode Audio โดยสามารถใช้งานหูฟังแบบมีสาย และแบบไร้สายได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเหมาะสำหรับการรับชมภาพยนตร์ หรือซีรีส์เรื่องโปรดกับเพื่อนได้พร้อมๆ กัน โดยไม่ต้องแบ่งหูฟังคนละข้างเหมือนเมื่อก่อนนั่นเอง
ที่สำคัญ realme X50 5G ยังรองรับฟังก์ชันเพื่อความเป็นส่วนตัวอย่าง App Lockสำหรับล็อกแอปพลิเคชันต่างๆ ภายในตัวเครื่อง, Kid Space การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก รวมถึง Private Safe ที่เปรียบเสมือนตู้นิรภัยประจำสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถย้ายไฟล์รูปภาพ, ไฟล์เสียง, ไฟล์เอกสาร และไฟล์ประเภทอื่นๆ เข้าไปเก็บไว้ได้ ซึ่งจำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งาน นอกจากนี้ก็มีระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อต้องกรอกรหัสผ่าน และการป้องกันการบันทึกหน้าจอที่เปิดเผยข้อมูลสำคัญ
สำหรับเซนเซอร์ในเครื่อง realme X50 5G นั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor และ Magnetic Sensor
สามารถจับสัญญาณดาวเทียม GPS พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย โดยจากภาพตัวอย่างการทดสอบข้างต้นจะเห็นว่าสามารถจับสัญญาณดาวเทียมได้ทั้งหมด 40 ดวง และมีความแม่นยำในระดับบวกลบ 11 เมตร แต่อย่างไรก็ดีคุณภาพของสัญญาณดาวเทียม GPS ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ที่กำลังใช้งานอยู่ หรือสภาพอากาศด้วยนั่นเอง
realme X50 5G เครื่องทดสอบนี้มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 765G บนเทคโนโลยีการผลิตระดับ 7nm แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.4GHz พร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 620 โดยใช้หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X (รุ่นที่วางจำหน่ายจริงมีหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB), หน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 2.1 ขนาด 128GB และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 10 ซึ่งถูกครอบทับด้วย User Interface แบบ realme UI 1.0
realme X50 5G มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 318,807 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 5 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 612 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 1,719 คะแนน
สำหรับการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ OpenGL ES 3.1 ได้ผลการทดสอบที่ 3,316 คะแนน ส่วนแบบ Vulkan ได้ผลการทดสอบที่ 3,118 คะแนน
realme X50 5G รองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด
และยังมาพร้อมกับฟีเจอร์สำหรับเกมเมอร์ตัวจริง อย่าง Game Assistant ที่ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม และ Game Space ที่ผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ ขณะเล่นเกม รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้
ใน Game Space นั้นก็มี Graphics Acceleration สำหรับรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลที่สุด รวมไปถึง Network Protection สำหรับจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตของแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง เพื่อช่วยลดอาการแลคขณะเล่นเกมออนไลน์ที่จำเป็นต้องมีการรับ-ส่งข้อมูลอยู่ตลอดเวลา
จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสาม มิติอย่าง Marvel Future Fight, Dragon Raja และ V4 พร้อมเปิดการแสดงผลกราฟิกในระดับสูงสุด ก็พบว่า realme X50 5G นั้นสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างไหลลื่น ผสานกับหน้าจอที่มี Refresh Rate ระดับ 120Hz ซึ่งช่วยให้เกมลื่นไหลมากยิ่งขึ้น และไม่พลาดช่วงเหตุการณ์สำคัญ อีกทั้งยังมีแบตเตอรี่ความจุ 4200 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 30W Dart Charge (5V/6A) จึงทำให้เล่นเกมได้ยาวนานต่อเนื่อง รวมถึงมีระบบความปลอดภัยถึง 5 ชั้น จึงมั่นใจได้ว่าสามารถชาร์จไป ใช้งานไปได้อย่างปลอดภัย และไม่ทำให้ตัวเครื่องร้อนมากเกิน
realme X50 5G มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลไร้ขอบแบบ Dual Punch-Hole Display เทคโนโลยี LCD ขนาด 6.57 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 กับพื้นที่การแสดงผลทั้งหมด 90.4% คมชัดระดับ Full HD+ จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ รวมถึงรองรับเทคโนโลยี OSIE Vision Effect ที่ช่วยให้รับชมภาพ และภาพยนตร์เรื่องโปรดได้คมชัดกว่าเดิม ในระดับ high-frame-rate HDR Masterpieces จึงทำให้ภาพมีความคมชัดมากยิ่งขึ้น
การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
realme X50 5G มาพร้อมกล้องหลังทั้งหมด 4 ตัว (AI Quad Camera) ซึ่งประกอบไปด้วย
- กล้องตัวหลัก (Main) ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์ และรูรับแสงขนาด F/1.8
- กล้อง Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
พร้อมโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์, รูรับแสงขนาด F/2.3, มุมรับภาพ 119
องศา และระบบป้องกันการสั่นแบบ UIS Max
- กล้อง B&W Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
พร้อมโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์, รูรับแสงขนาด F/2.4
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมโครงสร้างแบบ 3
ชิ้นเลนส์, รูรับแสงขนาด F/2.4 และถ่ายภาพระยะใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร
โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์เรียบหรู สบายตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจน โดยสามารถเลือกถ่ายภาพในมุมปกติ (1x), แบบมุมกว้าง Ultra-Wide (0.6x), ซูมที่ 2 เท่า (2x) และซูมที่ 5 เท่า (5x) ไปจนถึงซูมสูงสุดที่ 10 เท่า (10x Digital Zoom) พร้อมฟังก์ชันเปิด-ปิด ไฟแฟลช, โหมด HDR, ฟังก์ชัน Chroma Boost สำหรับเพิ่มสีสันให้กับภาพโดยอัตโนมัติ และการเพิ่มฟีลเตอร์
รวมถึงเมนูอื่นๆ ได้แก่ สัดส่วนภาพถ่าย, การจับเวลา และการตั้งค่าเพิ่มเติม
ตัวอย่างการตรวจจับซีนต่างๆ ด้วยฟังก์ชัน AI Scene Recognition สำหรับในการตรวจจับซีนในแต่ละภาพ เพื่อนำไปปรับแต่งให้เหมาะสม ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)
มาพร้อมกับโหมด AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100%
และโหมด Portrait ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นอยู่ที่ 60%)
พร้อมใช้งานร่วมกับ AI Beauty ที่สามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100% และใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ ได้
และโหมด Ultra Night Mode 3.0 สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืนโดยเฉพาะ ที่รองรับ Tripods Mode ถ่ายภาพกลางคืนร่วมกับขาตั้งกล้อง สามารถรับแสงได้นานสุด 50 วินาที โดยสามารถเลือกถ่ายภาพในมุมปกติ (1x), แบบมุมกว้าง Ultra-Wide (0.6x), ซูมที่ 2 เท่า (2x) และซูมที่ 5 เท่า (5x) ไปจนถึงซูมสูงสุดที่ 10 เท่า (10x Digital Zoom)
รองรับโหมดถ่ายภาพความละเอียดสูงอย่าง 48MP (6000x8000 พิกเซล) และการถ่ายภาพมุมกว้างในโหมด PANO
และโหมดถ่ายภาพระยะใกล้แบบ Ultra-Macro โดยสามารถถ่ายในระยะใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร โดยรองรับโหมด Chroma Boost
และการเพิ่มฟีลเตอร์
สำหรับโหมด Expert กับรายละเอียดการตั้งค่าต่างๆ ที่ครบครัน และครอบคลุมสำหรับช่างภาพแทบทั้งหมด ก็มีให้เลือกใช้ด้วยเช่นกัน
การถ่ายวิดีโอบน realme X50 5G สามารถบันทึกความละเอียดสูงสุดในโหมดปกติได้ที่ระดับ 4K UHD (30 fps) พร้อมซูมได้สูงสุดที่ 10 เท่า (10x Digital Zoom)
รองรับการโหมดป้องกันการสั่นไหวแบบ Ultra Steady
รวมถึงการใส่ฟีลเตอร์แบบต่างๆ
พร้อมโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Real-Time Portrait) ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นอยู่ที่ 60%)
และโหมด AI Beauty ในการปรับค่าผิวให้ดูเนียนสวยขึ้น โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100%
พร้อมรองรับฟังก์ชัน TIME-LAPSE ที่สามารถซูมภาพได้สูงสุด 10 เท่า (10x Digital Zoom) และฟังก์ชัน SLO-MO
realme X50 5G มีกล้องหน้าคู่ฝังบนจอแบบ Dual In-Display Selfie ความละเอียด 16 + 2 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสง F/2.0 + F/2.4
โดยมีหน้าตา Interface ที่สามารถใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งแสดงไอคอนเอาไว้ให้ใช้งานได้ทันที ได้แก่ เปิดปิดไฟแฟลช, ฟังก์ชัน HDR และการเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่างๆ
รวมถึงเมนูอื่นๆ ได้แก่ สัดส่วนภาพถ่าย, การจับเวลา และการตั้งค่าเพิ่มเติม
กล้องหน้าของ realme X50 5G รองรับเทคโนโลยี AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิเคราะห์โดยปัญญาประดิษฐ์ โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งแต่ละส่วนบนใบหน้าได้อย่างอิสระ ซึ่งในแต่ละส่วนสามารถเลือกระดับได้ตั้งแต่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 30%)
สำหรับโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นอยู่ที่ 60%)
พร้อมเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่างๆ
และใช้งานร่วมกับ AI Beauty ที่ปรับแต่งแต่ละส่วนบนใบหน้าได้อย่างอิสระ ซึ่งในแต่ละส่วนสามารถเลือกระดับได้ตั้งแต่ 0-100%
รวมถึงการถ่ายเซลฟี่มุมกว้างโหมด PANO
และรองรับการถ่ายภาพในเวลากลางคืนด้วยโหมด Ultra Night Mode 3.0 พร้อมทำงานร่วมกับ AI Beauty ได้ด้วยเช่นเดียวกัน
การถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าของ realme X50 5G รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD 1080p และรองรับโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Real-Time Portrait) ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นอยู่ที่ 60%)
พร้อมเพิ่มฟีลเตอร์แบบต่างๆ
และโหมด AI Beauty ในการปรับค่าผิวให้ดูเนียนสวยขึ้น โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0-100%
รวมถึงรองรับฟังก์ชัน TIME-LAPSE และ SLO-MO Selfie
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 4 ตัว (AI
Quad Camera) ความละเอียด 48+8+2+2 ล้านพิกเซล ของ realme X50
5G
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Chroma Boost
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Chroma Boost
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Chroma Boost
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Chroma Boost
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Chroma Boost
ภาพถ่ายในมุมกว้างแบบ Ultra-Wide พร้อมเปิดโหมด Chroma Boost
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Chroma Boost
ภาพถ่ายในมุมกว้างแบบ Ultra-Wide พร้อมเปิดโหมด Chroma Boost
ภาพถ่ายจากโหมด Ultra-Macro
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อมเปิด AI Beauty
ภาพถ่ายในเวลากลางคืนด้วยโหมด Ultra Night Mode 3.0
ภาพถ่ายในเวลากลางคืนด้วยโหมด Ultra Night Mode 3.0 แบบมุมกว้าง (Ultra-Wide)
ภาพถ่ายในเวลากลางคืนด้วยโหมด Ultra Night Mode 3.0
ภาพถ่ายในเวลากลางคืนด้วยโหมด Ultra Night Mode 3.0 แบบมุมกว้าง (Ultra-Wide)
ภาพถ่ายในเวลากลางคืนด้วยโหมด Ultra Night Mode 3.0
ภาพถ่ายในเวลากลางคืนด้วยโหมด Ultra Night Mode 3.0 แบบมุมกว้าง (Ultra-Wide)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าแบบ Dual In-Display Selfie ความละเอียด 16+2
ล้านพิกเซลของ realme X50 5G
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด AI Beauty
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait
ภาพถ่ายในเวลากลางคืนด้วยโหมด Ultra Night Mode 3.0 พร้อมเปิด AI Beauty
สรุปผลการทดสอบของ realme X50 5G
จากการทดสอบทั้งหมดในข้างต้นก็พอจะสรุปได้ว่า realme X50 5G เป็นสมาร์ทโฟน 5G รุ่นใหม่ที่น่าสนใจสำหรับใครที่อยากสัมผัสกับประสบการณ์ 5G ในราคาที่เอื้อมถึงได้ไม่ยาก ด้วยชิปเซ็ตชั้นดีอย่าง Qualcomm Snapdragon 765G ที่มีเทคโนโลยรการผลิตระดับ 7nm ความเร็วการประมวลผลสูงสุด 2.4GHz พร้อมด้วย GPU Adreno 620 จึงสามารถตอบโจทย์การใช้งานต่างๆ ได้เป็นอย่างดี พร้อมกับระบบระบายความร้อนแบบ Liquid Cooling System 3.0 ด้วยแผ่น Graphite แผ่นฟอยล์ทองแดง และฟิล์มซิลิกอน ที่ช่วยลดความร้อนได้มากถึง 12.5% จึงไม่ต้องกังวลว่าเครื่องจะร้อนเกินไป และการเชื่อมต่อแบบ Dual Wi-Fi Acceleration ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อ Wi-Fi ในย่านความถี่ 2.4GHz และ 5GHz พร้อมกัน เรียกได้ว่าเพิ่มความเร็วในการใช้งานอินเทอร์เน็ตให้มากขึ้นไปอีกระดับ
realme X50 5G มี RAM แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB ที่สามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด พร้อมหน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 2.1 ขนาด 128GB แม้จะไม่รองรับการใส่การ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD Card แต่ก็สามารถเก็บไฟล์ข้อมูลไฟล์ภาพถ่าย, แอปพลิเคชัน หรือเกมได้เยอะพอสมควร โดยมีแบตเตอรี่ความจุ 4200 mAh ที่สามารถใช้งานได้ยาวนาตลอดวัน พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 30W Dart Charge ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ระดับ 0-100% ได้ภายในเวลา 55 นาที ที่ช่วยประหยัดเวลาในการชาร์จได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังติดตั้งชิปตรวจสอบความปลอดภัยขณะชาร์จแบตเตอรี่แบบ 5 จุด (Five-core Chip) เพื่อควบคุมปริมาณกระแสไฟให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ช่วยให้การชาร์จแบตเตอรี่มีความเสถียรรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และหากต้องการใช้งานแบบในโหมดประสิทธิภาพสูงสุดของตัวเครื่อง realme X50 5G ก็มีโหมด High Performance ให้ใช้งานด้วย สำหรับเร่งการประมวลผลด้านต่างๆ ให้เร็ว และแรงกว่าเดิม โดยเมื่อเปิดใช้งานตัวเครื่องจะใช้ทรัพยากรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง และอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกตินั่นเอง
อีกหนึ่งจุดเด่นของ realme X50 5G ก็คือหน้าจอ Ultra Smooth ที่มีค่า Refresh Rate สูงสุดที่ระดับ 120Hz จึงสามารถเล่นเกมที่เน้นกราฟิกสามมิติได้อย่าง ลื่นไหลกว่าที่เคย บนการดีไซน์แบบไร้ขอบ ไร้รอยบากขนาด 6.57 นิ้ว คมชัดระดับ Full HD+ ที่สามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ รวมถึงรองรับเทคโนโลยี OSIE Vision Effect ที่ช่วยให้รับชมภาพ และภาพยนตร์เรื่องโปรดได้คมชัดกว่าเดิม
ตัวเครื่อง realme X50 5G ครอบทับด้วยกระจกขอบโค้ง 3D Glass พร้อมด้วยเทคโนโลยีการผลิตแบบ Optical Plating สลักลวดลายขนาดเล็กนับพัน ทำให้เกิดการกระทบของเส้นแสงโค้งมนเรียงตัวกันด้วยความสวยงาม อีกทั้งยังให้สัมผัสที่นุ่มลื่น และจับถือได้ถนัดมือ ซึ่งติดตั้งกล้องหลังทั้งหมด 4 ตัว (AI Quad Camera) ด้วยกล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมกล้อง Ultra-Wide ถ่ายภาพมุมกว้างสุด 119 องศา, กล้อง Portrait B&W และกล้อง Macro พร้อมถ่ายระยะใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร โดยรองรับโหมดที่น่าสนใจครบครัน ไม่ว่าจะเป็น NightScape 3.0 เวอร์ชันใหม่, Chroma Boost สำหรับเพิ่มสีสันให้ภาพถ่าย, โหมด Portrait ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ 0-100%, AI Beauty ปรับผิวให้เนียนสวย พร้อมเลือกระดับได้ 0-100%, โหมด 48MP ถ่ายภาพความละเอียดสูง, ฟังก์ชัน AI Scene Recognition ในการตรวจจับซีนต่างๆ พร้อมปรับภาพให้สวยงามแบบอัตโนมัติ และโหมดสำหรับถ่ายวิดีโอแบบครบครัน ทั้ง Ultra-Wide ในมุมกว้าง, หน้าชัดหลังเบลอ Real-Time Bokeh Effect, โหมดกันสั่นแบบ Ultra Steady และ SLO-MO พร้อมความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K 30fps
สำหรับ realme X50 5G มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ที่ด้านข้างตัวเครื่อง (Capacitive Side-Mounted Fingerprint) ที่ใช้เวลาในการสแกนเพียง 0.25 วินาที โดยทำงานร่วมกับระบบสแกนใบหน้า (Facial Unlock) ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย realme UI 1.0 ที่มี User Interface และไอคอนแบบใหม่ รวมถึงฟังก์ชันอำนวยความสะดวกอีกมากมาย อย่างเช่น Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำเพื่อความสบายตาขณะใช้งาน และ Focus Mode สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการสมาธิ หรือเข้านอน โดยทำการปิดแอปพลิเคชันที่ตั้งค่าไว้แบบชั่วคราว พร้อมเปิดเพลงสบายๆ รวมถึงรองรับผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Google Assistant ที่ผู้ใช้สามารถสั่งงานภายในตัวเครื่อง รวมถึงค้นหาสิ่งต่างๆ ที่ต้องการผ่านคำสั่งเสียง และยังมีบริการ Google Lens บริการ ค้นหาวัตถุ หรือสถานที่ด้วยการนำกล้องไปถ่ายวัตถุนั้นๆ ได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้ realme X50 5G ยังตอบโจทย์การใช้งานด้านความบันเทิงโดยเฉพาะการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี ด้วยฟังก์ชันสำหรับเกมเมอร์ตัวจริงอย่าง Game Assistant ที่ ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม และ Game Space ที่ผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือนต่างๆ รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้ขณะเล่นเกม พร้อมกับฟีเจอร์ Graphics Acceleration ในการรีดประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU เพื่อให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างลื่นไหลอีกด้วย เรียกได้ว่าสามารถเล่นเกมตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงเกมที่เน้นกราฟิกได้แบบไม่มีสะดุด
และจากการทดสอบทั้งหมดพอจะสรุปได้ว่า realme X50 5G นั้นเหมาะสำหรับท่านที่ต้องการมือถือ 5G ในราคาที่จับต้องได้ง่าย พร้อมฟีเจอร์หลากหลายครบเครื่องไม่แพ้รุ่นเรือธง ไม่ว่าจะการทำงาน หรือเพื่อความบันเทิง บนการดีไซน์ระดับพรีเมียม อีกทั้งมีหน้าจอลื่นไหลกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป และใช้งานได้ยาวนานด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ที่มีเทคโนโลยีชาร์จเร็ว รวมถึงเน้นการถ่ายภาพด้วยลูกเล่นที่น่าสนใจมากมาย และเทคโนโลยี AI ที่ช่วยให้ได้ภาพสวยงามในชัตเตอร์เดียว
realme X50 5G เปิดราคาจำหน่ายอย่างทางการในประเทศไทยแล้วที่ 12,990 บาท กับตัวเลือก 2 สี ได้แก่ Jungle Green และ Ice Silver โดยเริ่มวางจำหน่ายวันพรุ่งนี้ (1 สิงหาคม 2563) เป็นวันแรก ทั้งที่ร้าน realme Brand Shop และร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ที่ Lazada, Shopee และ Thisshop พร้อมรับฟรีของสมนาคุณมูลค่ารวม 5,999 บาท
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง realme ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง realme X50 5G มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ
จุดเด่นของ realme X50 5G
- ฝาหลังครอบทับด้วยกระจกขอบโค้งแบบ 3D Glass
ที่ได้รับรับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติจากป่า และน้ำแข็ง เงางามด้วยเทคโนโลยี
Optical Plating สลักลวดลายขนาดเล็กนับพัน
ทำให้เกิดการกระทบของเส้นแสงโค้งมนเรียงตัวกันด้วยความสวยงาม
- ระบบระบายความร้อนแบบ Liquid Cooling System 3.0
- หน้าจอแสดงผลไร้ขอบ ไร้รอยบากแบบ Ultra Smooth Display 120Hz ขนาด
6.57 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 400 ppi)
โดยมีสัดส่วนจอแสดงผลกับตัวเครื่องที่ 90.4% มีค่า Refresh Rate ระดับ 120Hz
และรองรับเทคโนโลยี OSIE Vision Effect พร้อมครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 765G (Octa-Core) ความเร็ว 2.4 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Adreno 620
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 2.1 ขนาด 128GB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 พร้อมครอบทับด้วย realme UI 1.0
กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera)
- กล้องตัวหลัก (Main) ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์ และรูรับแสงขนาด F/1.8
- กล้อง Ultra-Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
พร้อมโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์, รูรับแสงขนาด F/2.3, มุมรับภาพ 119
องศา และระบบป้องกันการสั่นแบบ UIS Max
- กล้อง B&W Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
พร้อมโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์, รูรับแสงขนาด F/2.4
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมโครงสร้างแบบ 3
ชิ้นเลนส์, รูรับแสงขนาด F/2.4 และถ่ายภาพระยะใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร
รองรับโหมดถ่ายภาพกลางคืน NightScape 3.0 เวอร์ชันใหม่, โหมด Chroma Boost
สำหรับเพิ่มสีสันให้ภาพถ่าย, โหมด Portrait ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ
สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ 0-100%, AI Beauty ปรับผิวให้เนียนสวย
พร้อมเลือกระดับได้ 0-100%, โหมด 48MP ถ่ายภาพความละเอียดสูง, ฟังก์ชัน AI
Scene Recognition ในการตรวจจับซีนต่างๆ พร้อมปรับภาพให้สวยงามแบบอัตโนมัติ
และโหมดสำหรับถ่ายวิดีโอแบบครบครัน ทั้ง Ultra-Wide ในมุมกว้าง,
หน้าชัดหลังเบลอ Real-Time Bokeh Effect, โหมดกันสั่นแบบ Ultra Steady และ
SLO-MO พร้อมความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K 30fps
กล้องดิจิทัลด้านหน้าคู่ฝังบนจอแบบ Dual In-Display Selfie
- กล้องตัวหลักความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX471, โครงสร้างแบบ 5
ชิ้นเลนส์, รูรับแสงขนาด F/2.0 และมุมรับภาพ 79.3 องศา
- กล้องตัวที่สองแบบ Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
และรูรับแสงขนาด F/2.4
โดยรองรับเทคโนโลยี AI Beauty, โหมด Portrait พร้อม Bokeh Effect, โหมด
NightScape 3.0 ถ่ายเซลฟี่เวลากลางคืน และฟังก์ชันการถ่ายวิดีโอแบบ SLO-MO
Selfie รวมถึง Real-Time Bokeh Effect Video
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านข้างตัวเครื่อง (Capacitive Side-Mounted Fingerprint)
ที่สามารถปลดล็อกหน้าจอได้ในเวลาเพียง 0.25 วินาที
- ฟีเจอร์ปลดล็อกด้วยใบหน้า (Facial Unlock)
- ฟังก์ชัน App Encryption และ Private Safe เพื่อความเป็นส่วนตัว รวมถึง
Kids Space การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก
- ฟังก์ชัน Full Screen Multitasking สำหรับเปิดแอปพลิเคชันอื่นๆ
ขณะใช้งานในโหมดการแสดงผลเต็มหน้าจอ เช่น การเล่นเกม หรือการชมวิดีโอต่างๆ
- แบตเตอรี่ความจุ 4200 mAh พร้อมเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ
30W Dart Charge ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ความจุ 0-100% ได้ภายในเวลาเพียง 55
นาที และเทคโนโลยี Flash Charging ที่ช่วยลดอุณหภูมิในกรณีที่ชาร์จไฟไปพร้อมกับการใช้งานเครื่อง
- การใช้งาน Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังแอปพลิเคชันต่างๆ ให้เป็นสีดำ
- โหมด Focus สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก
- Multiple Mode สามารถสลับการใช้งานจากผู้ใช้หลายคนได้
โดยข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน และการรักษาความปลอดภัยต่างๆ
จะถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
- ฟังก์ชัน Game Assistant ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง
พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม
- ฟังก์ชัน Game Space ที่สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ
รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอขณะเล่นเกมได้
- ฟังก์ชัน App Cloner สำหรับใช้งานแอปพลิเคชัน Facebook ได้พร้อมกัน 2
แอคเคานท์
- ฟังก์ชัน Split Screen สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ
- ฟีเจอร์ Multi-screen Interaction
สำหรับแชร์หน้าจอจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลที่หน้าจอทีวี หรือจอมอนิเตอร์อื่นๆ
โดยไม่ต้องใช้สาย
- ระบบ GPS+A-GPS ในตัว พร้อมรองรับการใช้งานร่วมกับระบบดาวเทียม Glonass, Beidou, Galileo และ QZSS
- รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่าย 5G, 4G LTE, 3G, EDGE และ
GPRS
- รองรับการใช้งานร่วมกับเครือข่าย 5G ได้ทั่วโลก พร้อมเทคโนโลยี Smart 5G สำหรับสลับเครือข่าย 5G/4G แบบอัตโนมัติเพื่อประหยัดพลังงาน
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac : 2.4/5.0GHz, Bluetooth
5.1 และ NFC
- รองรับเทคโนโลยี Dual Wi-Fi Acceleration และ Dual Channel Acceleration (Wi-Fi+5G)
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- ลำโพงเสียงแบบ 1216 Super Linear พร้อมรองรับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos และ Hi-Res Audio
- มี 2 สีมาตรฐานให้เลือก ได้แก่ Ice Silver และ Jungle Green
- ราคา 12,990 บาท
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ
realme X50 5G
- ไม่รองรับการใส่การ์ดหน่วยความจำแบบ microSD หรือแบบอื่นๆ เพิ่มเติม
- ไม่รองรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย
- ตัวเครื่องมีน้ำหนักพอสมควร
- ลำโพงเสียงเป็นแบบเดี่ยว
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริง บ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
วันที่ : 31/07/2020