รีวิว (Review) realme narzo 20 Pro
เกมมิ่งโฟนพลังชาร์จ 65W กับจอลื่น 90Hz และ 4 กล้อง 48MP ในราคาแค่หลักพัน ด้วยจอ Ultra Smooth 90Hz ใหญ่ 6.5 นิ้ว, แบตเตอรี่ 65W SuperDart Charge จุใจ 4500 mAh, กล้อง AI Quad Camera 48MP ผสานกล้องหน้า In-Display Selfie, ชิปเซ็ต Helio G95 เพื่อคอเกม และ RAM 8GB+ROM 128GB บนตัวเครื่องดีไซน์ Victory ที่ไม่กลัวร้อน ในราคา 8,499 บาท
10 พฤศจิกายน 2020 - ที่ผ่านมา realme
มีไลน์ผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 ตระกูล 4 ซีรีส์ ได้แก่ realme Series, Pro Series,
X Series และ C Series เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้งานที่แตกต่างกันออกไป
และล่าสุดทาง realme ประเทศไทยก็ได้ทำการอัปเดตซีรีส์ใหม่อีกครั้ง ด้วยการนำเอาสมาร์ทโฟน realme
ซีรีส์ใหม่อย่าง narzo Series เข้ามาวางจำหน่ายในบ้านเราด้วย กับรุ่นประเดิมอย่าง realme narzo 20 Pro ที่เรานำมารีวิวให้ทุกท่านได้ชมกันในวันนี้นั่นเอง
สำหรับสมาร์ทโฟนตระกูล narzo จะเน้นเจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้งานวัยรุ่นเป็นหลัก โดยมาพร้อมกับจุดเด่นด้านความเร็วของการประมวลลผล, คุณสมบัติด้านการใช้งานที่ครบเครื่อง, แบตเตอรี่ที่ใช้ได้ยาวนาน, ระบบชาร์จเร็ว, กล้องถ่ายภาพ ไปจนถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยสมาร์ทโฟนจากซีรีส์ narzo ที่เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นรุ่นแรก ก็คือ realme narzo 20 Pro สมาร์ทโฟนตระกูล Narzo ตัวท็อป ที่มาพร้อมกับจุดเด่นด้านหน้าจอแสดงผลที่มีค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz ช่วยให้ใช้งานได้อย่างลื่นไหล, พลังชาร์จไว 65W SuperDart Charge ที่ช่วยเติมแบตเตอรี่จาก 0-14% ได้ในเวลาเพียง 3 นาทีเท่านั้น รวมทั้งยังมาพร้อมกับชิปเซ็ตซีรีส์เกมมิ่งอย่าง MediaTek Helio G95 ที่มีความเร็วแรง ตอบโจทย์เหล่าเกมเมอร์ได้เป็นอย่างดี
ด้านการถ่ายภาพก็ถือว่าครบทุกระยะทำการของการใช้งานในยุคนี้ ด้วยกล้องหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) ความละเอียดสูงสุด 48 ล้านพิกเซล ผสานกับกล้องหน้าแบบ In-Display Selfie ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ที่ฝังอยู่ในหน้าจออย่างสวยงามแนบเนียน พร้อมดีไซน์ตัวเครื่องด้านหลังแบบ Victory ที่สะท้อนแสงเป็นรูปตัว V เมื่อมีแสงตกกระทบ
realme narzo 20 Pro เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยที่ 8,499 บาท ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนในราคาไม่ถึง 10,000 บาท ที่น่าสนใจอีกหนึ่งรุ่นเลยทีเดียว โดยตัวเครื่องจริงของ realme narzo 20 Pro จะเป็นอย่างไร และจะมีฟีเจอร์เด่นอะไรที่น่าสนใจบ้างนั้น ไปติดตามพร้อมกันได้เลยครับ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
realme narzo 20 Pro มาพร้อมกับกล่องผลิตภัณฑ์สีเหลืองอันเป็นเอกลักษณ์ของ realme พร้อมพิมพ์ชื่อรุ่น narzo 20 Pro ที่ด้านหน้าให้เห็นแบบเด่นชัด
สำหรับอุปกรณ์ภายในกล่องผลิตภัณฑ์ของ realme narzo 20 Pro ประกอบไปด้วย เคสใส, เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด, คู่มือการใช้งาน, อแดปเตอร์จ่ายไฟ และสายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C สำหรับโอนถ่ายข้อมูล และเชื่อมต่อกับอแดปเตอร์จ่ายไฟ
สำหรับอแดปเตอร์จ่ายไฟของ realme narzo 20 Pro รองรับกำลังกายจ่ายไฟสูงสุดที่ 10V/6.5A (65W) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการชาร์จเร็วแบบ 65W SuperDart Charge ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-14% ได้ในเวลา 3 นาที และสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-100% ได้ในเวลาเพียง 38 นาทีเท่านั้น
realme เปิดเผยว่า การชาร์จแบเตตอรี่ให้กับ relame narzo 20 Pro เพียง 3 นาที ก็เพียงพอต่อการใช้งานโทรศัพท์นานสูงสุดถึง 5.7 ชั่วโมง, เล่นเกมได้ 3 รอบ หรือฟังเพลงได้นานถึง 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว
มาดูที่ตัวเครื่องกันบ้าง สำหรับ realme narzo 20 Pro มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ IPS LCD ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (2400x1080 พิกเซล) ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass พร้อมค่า Refresh Rate ลื่นไหลระดับ 90Hz ซึ่งทาง realme เรียกหน้าจอชนิดนี้ว่า 90Hz Ultra Smooth Display
ที่ด้านบนของหน้าจอแสดงผลมาพร้อมกับกล้องหน้า
เซลฟี่เลนส์มุมมองกว้าง แบบ In-Display Selfie ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX471 และรูรับแสงกว้าง f/2.1
ถัดมาเป็นพื้นที่สำหรับติดตั้งลำโพงเสียงสนทนา และเซ็นเซอร์สำคัญต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น Ambient Light Sensor
สำหรับปรับแสงสว่างของหน้าจอแสดงผลให้เหมาะสมกับแสงโดยรอบ และ Proximity
Sensor สำหรับดับหน้าจอแสดงผลแบบอัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาแนบหู
ที่ด้านล่างของหน้าจอแสดงผล มาพร้อมกับปุ่มควบคุมบนหน้าจอ ประกอบไปด้วย ปุ่ม Recent Apps สำหรับเรียกดูแอปพลิเคชันทั้งหมดที่เปิดใช้งานอยู่เบื้องหลัง, ปุ่ม Home สำหรับย้อนกลับไปยังหน้าโฮมสกรีน และปุ่ม Back สำหรับย้อนกลับ
ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ 3-Card Slot (Triple Slot) รองรับการใช้งานซิมการ์ดแบบ nanoSIM จำนวน 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการเพิ่มหน่วยความจำเสริมแบบ microSD Card ความจุสูงสุด 256GB ได้ในเวลาเดียวกัน
ที่ด้านบนของตัวเครื่องไม่มีไมโครโฟนตัวที่ สอง หรือปุ่มควบคุมใดๆ
ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่ม Power สำหรับล็อกหน้าจอแสดงผล หรือเปิด-ปิดการทำงานของสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ ปุ่ม Power ของ realme narzo 20 Pro ยังมีการติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเอาไว้ด้านใต้ ช่วยให้ผู้ใช้ปลดล็อกได้อย่างรวดเร็วเมื่อจับถือสมาร์ทโฟนในตำแหน่งพร้อมใช้งาน
ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วย
ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ
USB Type-C และลำโพงเสียงตัวหลัก
ที่ด้านหลังของตัวเครื่องได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวอักษร V ที่มาจากคำว่า Victory หรือชัยชนะ โดยบอดี้ของ realme narzo 20 Pro จะมีความมันเงา และสามารถสะท้อนเล่นกับแสงเป็นรูปตัวอักษร V ได้อย่างสวยงาม โดยมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 2 เฉดสี ได้แก่ สีดำ Black Ninja และสีขาว White Knight ซึ่งเป็นสีที่ทุกท่านกำลังได้รับชมในรีวิวฉบับนี้ครับ
ภายในตัวเครื่องสวยๆ ของ realme narzo 20 Pro ยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 4500mAh พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ Carbon Fiber Cooling System ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายเทความร้อนออกจากตัวเครื่องได้มากกว่าเดิมถึง 8.6%
ที่ด้านบนมาพร้อมกับระบบกล้องหลัง 4 ตัว ที่มีระบบปัญญาประดิษฐ์สำหรับช่วยประมวลผลภาพถ่ายในตัว (AI Quad Camera) ประกอบไปด้วย
- กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด
f/2.3 และมุมรับภาพ 119 องศา (ทางยาวโฟกัส 16 มิลลิเมตร)
- กล้องตัวหลัก (Main) ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/1.8, เซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2 นิ้ว และทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร
- กล้อง B&W Portrait พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.4 และ 6 ฟิลเตอร์
- กล้อง Macro พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร
เปิดเครื่องใช้งาน
พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ
realme narzo 20 Pro มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 10 ครอบทับด้วย realme UI เวอร์ชัน 1.0 ตั้งแต่แกะกล่อง
ในหน้าโฮมสกรีนมีการจัดเรียงไอคอนแอปพลิเคชัน พื้นฐานของตัวเครื่อง รวมถึงแอปพลิเคชันพื้นฐานจาก Google ไม่ว่าจะเป็น Google Chrome, Google Assistant, YouTube หรือ Google Photos
ส่วนแอปพลิเคชันทั้งหมดที่ติดตั้งเอาไว้ในตัว เครื่อง จะถูกซ่อนอยู่ใน App Drawer ซึ่งผู้ใช้สามารถเรียกได้ใช้ได้อย่างง่ายๆ เพียงลากนิ้วจากขอบด้านล่างของหน้าจอแสดงผลขึ้นมายังด้านบน
เมื่อลากนิ้วจากขอบด้านบนของหน้าจอแสดงผลลงมา ยังด้านล่าง จะพบกับ Toggle Switch ซึ่งเป็นศูนย์รวมคีย์ลัดสำหรับตั้งค่าสมาร์ทโฟนแบบเร่งด่วน โดยสามารถปรับแต่งการจัดเรียงไอคอนคีย์ลัดได้ด้วยตนเอง ผ่านการแตะที่ไอคอนรูปดินสอ
ถัดลงมาด้านล่างคือ Notification Center หรือศูนย์รวมการแจ้งเตือนจากระบบ และแอปพลิเคชันภายในตัวเครื่อง โดยสามารถเคลียร์การแจ้งเตือนได้ง่ายๆ เพียงแค่ปัดไปทางซ้าย หรือขวาอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากปัดไปทางซ้าย หรือขวา และค้างไว้ จะพบกับเมนูการตั้งค่าทั้งหมด 3 อย่างได้แก่ ปิดการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันนั้นๆ ตามระยะเวลาที่กำหนด, ลบการแจ้งเตือน และตั้งค่าการแจ้งเตือน
เมื่อปัดไปทางขวาจากหน้าโฮมสกรีนจะพบกับ Google Discover ซึ่งเป็นศูนย์รวมข่าวสารอัปเดตใหม่ล่าสุดที่คัดสรรมาให้ผู้ใช้แต่ละท่านโดยเฉพาะ
มาดูที่ลูกเล่นด้านการใช้งานกันบ้าง realme narzo 20 Pro รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G LTE รวมถึงเทคโนโลยี VoLTE (Voice over LTE) ทั้งสองซิมการ์ด
รองรับการใช้งานร่วมกับ Dark Mode ซึ่งเป็นการปรับสีของ UI ให้อยู่ในโทนสีเทา-ดำ เพื่อช่วยให้ใช้งานได้อย่างสบายตามากยิ่งขึ้น
รองรับฟีเจอร์ Eye Comfort สำหรับปรับการแสดงผลของหน้าจอให้อยู่ในโทนสีอุ่น ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบการอ่านคอนเทนต์ หรือการอ่านหนังสือบนสมาร์ทโฟนได้เป็นอย่างดี
สามารถปรับค่า Refresh Rate ของหน้าจอแสดงผลได้ทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ Auto Select สำหรับปรับค่า Refresh Rate ให้เหมาะสมกับคอนเทนต์ที่กำลังแสดงผลอยู่แบบอัตโนมัติ, 90Hz สำหรับปรับการแสดงผลให้มีค่า Refresh Rate ระดับสูงสุด เพื่อช่วยให้ใช้งานได้อย่างลื่นไหล และ 60Hz สำหรับปรับค่า Refresh Rate ในระดับปกติ เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน
มาพร้อมกับฟีเจอร์ OSIE Visual Effect สำหรับปรับการแสดงสีสันของคอนเทนต์ประเภทวิดีโอให้มีความสดใสมากยิ่งขึ้น
สามารถปรับขนาดของตัวอักษรได้ทั้งหมด 5 ระดับ และรองรับการปรับขนาดของการแสดงผลได้ทั้งหมด 3 ระดับ
รองรับเทคโนโลยี Real Sound สำหรับปรับแต่งเสียงให้มีความกระหึ่มมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังปรับแต่ง Equalizer ได้ด้วยตนเอง โดยเป็นเทคโนโลยีที่ทาง realme ได้พัฒนาร่วมกับ Dirac Research AB
Smart Driving ฟีเจอร์ที่ออกแบบสำหรับการขับขี่โดยเฉพาะ โดยเมื่อผู้ใช้เปิดใช้งาน Smart Driving พร้อมกับเชื่อมต่อบลูทูธเข้ากับรถยนต์ ระบบจะทำการปิดเสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชัน เหลือไว้เพียงแค่เสียงเรียกเข้าเท่านั้น เพื่อให้ผู้ใช้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับการขับขี่ และ Riding Mode ซึ่งทำงานในลักษณะคล้ายกัน แต่จะตอบโจทย์ผู้ที่ขับขี่จักรยานยนต์มากกว่า
Convenience Tools ศูนย์รวมเครื่องมืออำนวยความสะดวกด้านการใช้งาน เช่น กดปุ่ม Power ค้างเพื่อเรียกใช้งาน Google Assistant, การเปลี่ยนรูปแบบการควบคุมสมาร์ทโฟนจากปุ่มควบคุมบนหน้าจอแสดงผล ไปเป็นแบบ Gestures ซึ่งเป็นการลากนิ้วจากขอบด้านข้างเพื่อสั่งการตัวเครื่อง
Smart Sidebar แถบลัดสำหรับเข้าถึงคีย์ลัด และแอปพลิเคชันแบบเร่งด่วน โดยจะซ่อนอยู่บริเวณขอบด้านขวาของตัวเครื่อง สามารถเรียกใช้งานได้ตลอดเวลา
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับ Screen-off Gestures สำหรับสั่งการสมาร์ทโฟนขณะที่ล็อกหน้าจอแสดงผลอยู่ เช่น แตะสองครั้งเพื่อปลุกหน้าจอ, วาดตัวอักษร O เพื่อเปิดแอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ หรือวาดตัวอักษร V เพื่อเปิดใช้งานไฟฉาย เป็นต้น
รองรับการใช้สามนิ้วลากลงมาด้านล่าง เพื่อบันทึกภาพหน้าจอแสดงผลอย่างรวดเร็ว รวมทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Raise to wake สำหรับปลุกหน้าจออัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาในระดับพร้อมใช้งาน, Auto ear pickup calls สำหรับรับสายเรียกเข้าอัตโนมัติ เมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาแนบหู, Auto switch to ear receiver เปลี่ยนไปใช้ลำโพงสนทนาแบบอัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาแนบหู และ Flip to mute incoming calls สำหรับปิดเสียงเรียกเข้าอัตโนมัติเมื่อคว่ำหน้าจอแสดงผล
ด้านระบบยืนยันตัวตนแบบ Biometric รองรับการปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือด้วยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบริเวณด้านขวาของตัว เครื่อง โดยสามารถบันทึกลายนิ้วมือได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือ และรองรับการปลดล็อกด้วยใบหน้าแบบ 2 มิติ
Private Safe ฟีเจอร์สำหรับเก็บไฟล์ที่ต้องการเอาไว้ในตู้เซฟเสมือน โดยผู้ที่จะเข้าถึงไฟล์สำคัญเหล่านี้ได้นั้น จำเป็นที่จะต้องใส่รหัสผ่าน หรือยืนยันตัวตนแบบ Biometric ก่อน
App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันที่ต้องการ โดยผู้ใช้จะต้องสแกนลายนิ้วมือ หรือใส่รหัสผ่านทุกครั้งก่อนใช้งานแอปพลิเคชันนั้นๆ
มาพร้อมกับฟีเจอร์ App Cloner สำหรับโคลนแอปพลิเคชันเพื่อทำงานแยกกันอย่างอิสระ ช่วยให้สามารถใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้แบบ 2 บัญชี
Game Space ฟีเจอร์ที่ออกแบบมาสำหรับเหล่าเกมเมอร์โดยเฉพาะ โดยผู้ใช้สามารถตั้งค่าการทำงานของตัวเครื่องได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Competition Mode สำหรับรีดประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่องในระดับสูงสุด, Balanced Mode สำหรับปรับการทำงานของตัวเครื่องให้อยู่ในระดับสมดุล และ Low Power Mode สำหรับปรับการทำงานของตัวเครื่องโดยเน้นการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานเป็นหลัก
นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกปิดการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันทั้งหมด หรือปฏิเสธการรับสายเรียกเข้า ขณะอยู่ในโหมด Game Space ได้อีกด้วย
และที่สำคัญยังมาพร้อมกับแอปพลิเคชัน Soloop ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตัดต่อวิดีโอแบบมืออาชีพได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ปลายนิ้ว
และยังมาพร้อมกับ Kid Space ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ออกแบบมาสำหรับเด็กๆ โดยเฉพาะ ผู้ใช้สามารถกำหนดจำนวนแอปพลิเคชันที่ต้องการให้เด็กๆ ให้งาน รวมทั้งยังสามารถตั้งค่าปิดใช้งานอินเทอร์เน็ต ไปจนถึงตั้งเวลาการใช้งานสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย
มาดูที่ประสิทธิภาพการทำงานกันบ้าง realme narzo 20 Pro มาพร้อมกับชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Helio G95 ประกบคู่การทำงานร่วมกับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB พร้อมระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 10 ครอบทับด้วย realme UI 1.0 ตั้งแต่แกะกล่อง
ทดสอบประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu พบว่า realme narzo 20 Pro สามารถทำคะแนนได้ทั้งหมด 301,226 คะแนน
ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลของ CPU ด้วยแอปพลิเคชัน GeekBench 5 พบว่า realme narzo 20 Pro สามารถทำคะแนนการประมวลผลแกนเดี่ยว (Single-Core) ได้ทั้งหมด 536 คะแนน และทำคะแนนการประมวลผลแบบหลายแกน (Multi-Core) ได้ทั้งหมด 1,697 คะแนน
ทดสอบการประมวลผลของ GPU ด้วยแอปพลิเคชัน 3DMark ด้วยด่าน Wild Life พบว่า realme narzo 20 Pro สามารถทำคะแนนได้ทั้งหมด 1,465 คะแนน
เมื่อนำ realme narzo 20 Pro ไปเล่นเกมที่มีกราฟิกในระดับสูงอย่าง LOL : Wild Rift แบบปรับกราฟิกในระดับสูงสุด ก็พบว่าสามารถเล่นได้ลื่นแม้จะปรับกราฟิกในระดับสูง แต่ relame narzo 20 Pro จะมีอาการสะสมความร้อนจนพอสังเกตได้เล็กน้อยเมื่อเล่นเกมที่กราฟิกสูงต่อ เนื่องเป็นระยะเวลานาน
ส่วนการเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดสูง ก็สามารถทำได้อย่างลื่นไหลไม่แพ้กัน
ด้านการจับสัญญาณ GPS พบว่า realme narzo 20
Pro มีความแม่นยำคลาดเคลื่อน +- ไม่เกิน 2 เมตร
การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
สำหรับ UI กล้องถ่ายภาพของ realme narzo 20 Pro ยังคงจัดวางไอคอนต่างๆ เหมือนกับสมาร์ทโฟน realme ซีรีส์อื่นๆ โดยวางไอคอนคีย์ลัดสำหรับตั้งค่ากล้องถ่ายภาพเอาไว้ที่ด้านบน ไม่ว่าจะเป็น การเปิด-ปิด ไฟแฟลช, การเปิด-ปิด HDR หรือ การเปิดใช้งาน Chroma Boost
นอกจากนี้ ยังมีฟิลเตอร์สำหรับปรับเปลี่ยนโทนสีของภาพถ่ายให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย
สามารถซูมภาพ หรือสลับเลนส์กล้องถ่ายภาพได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่แตะค้างที่ไอคอน 1x ด้านล่าง และเลื่อนไปทางซ้าย หรือขวา
รองรับฟีเจอร์ Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของผู้ใช้ให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติผ่านการวิเคราะห์โดยปัญญา ประดิษฐ์ (AI) โดยสามารถปรับระดับความเรียบเนียนของใบหน้าได้สูงสุดถึง 100 ระดับ
ส่วนที่ด้านล่างจะเป็นโหมดการถ่ายภาพในรูปแบบ ต่างๆ เริ่มตั้งแต่ โหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ โดยสามารถปรับระดับการเบลอของฉากหลังได้มากถึง 100 ระดับ รวมทั้งยังสามารถเลือกใช้งานฟิลเตอร์ได้อีกด้วย
โหมด 48MP สำหรับถ่ายภาพเต็มความละเอียด 48 ล้านพิกเซลของเซ็นเซอร์กล้องตัวหลัก ตอบโจทย์การนำไฟล์ไปขยายเป็นภาพขนาดใหญ่ โดยผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์ Chroma Boost สำหรับปรับสีสันให้มีความจัดจ้านได้ด้วย
Super Nightscape สำหรับถ่ายภาพกลางคืนโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง หรือตั้งค่าสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้สามารถเลือกใช้งาน Super Nightscape ได้กับกล้องทุกระยะ
นอกจากนี้
ยังสามารถเปลี่ยนฟิลเตอร์สำหรับการถ่ายภาพกลางคืนได้ทั้งหมด 4 รูปแบบ
นอกจากนี้ ยังมีโหมดการถ่ายภาพในรูปแบบอื่นๆ ถูกซ่อนเอาไว้ในแถบ More เช่น Ultra Macro สำหรับถ่ายภาพระยะใกล้ โดยสามารถโฟกัสวัตถุได้ในระยะใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร โดยผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนฟิลเตอร์ขณะใช้งานโหมดดังกล่าวได้ด้วย
Pano สำหรับถ่ายภาพมุมกว้างแบบ Panorama
รวมถึงโหมดถ่ายภาพแบบ Expert ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการตั้งค่าต่างๆ ของกล้องถ่ายภาพได้ด้วยตนเอง
ด้านการถ่ายวิดีโอ รองรับการบันทึกไฟล์ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K ที่ 30FPS พร้อมรองรับการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Ultra Steady และ Ultra Steady Max ซึ่งเป็นระบบกันสั่นขณะถ่ายวิดีโอ เพื่อให้ภาพที่ออกมามีความนิ่งเป็นพิเศษราวกับกล้อง Action Camera แต่จะรองรับการบันทึกไฟล์วิดีโอความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD เท่านั้น
สามารถปรับเปลี่ยนฟิลเตอร์ขณะใช้งานโหมดวิดีโอ ได้
รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse
และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Slow-Mo ที่ระดับ 240FPS
มาดูที่กล้องถ่ายภาพด้านหน้ากันบ้าง โดยผู้ใช้สามารถเข้าถึงคีย์ลัดการตั้งค่าการถ่ายภาพได้ที่แถบด้านบน ได้แก่ การเปิด-ปิด ไฟแฟลช, การเปิด-ปิด HDR รวมถึงการเปิดใช้งานฟิลเตอร์
รองรับฟีเจอร์ Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าให้มีความสวยงามถึง 100 ระดับเหมือนกับกล้องหลัง แต่พิเศษกว่าตรงที่ผู้ใช้สามารถเลือกปรับส่วนต่างๆ ของใบหน้าได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็น การปรับความเรียบเนียนของผิว, ขนาดดวงตา หรือขนาดจมูก เป็นต้น
มาพร้อมกับโหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอ โดยสามารถปรับระดับการละลายของฉากหลังได้สูงสุดที่ 100 ระดับ
โดยผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์ Beauty และฟิลเตอร์สำหรับปรับโทนสีของภาพถ่ายขณะใช้งานโหมด Portrait ได้ด้วย
โหมด Pano สำหรับเซลฟี่แบบมุมกว้าง
โหมด Nightscape สำหรับเซลฟี่ในที่แสงน้อยให้มีความสว่างคมชัด โดยไม่ต้องตั้งค่าใดๆ
รองรับการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าด้วยความ ละเอียดสูงสุดระดับ Full HD
ในส่วนของการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้า ก็มีฟิลเตอร์ให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลายเช่นเดียวกัน
รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Slow-Mo
และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Time-Lapse
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 4 ตัว (AI
Quad Camera) ความละเอียดระดับ 48+8
ล้านพิกเซล พร้อมกล้อง B&W Portrait และกล้อง Macro ของ realme narzo
20 Pro
ภาพถ่ายด้วยโหมดปกติ
ภาพถ่ายด้วยกล้องเลนส์มุมกว้าง Ultra Wide-angle
ภาพถ่ายจากโหมด Ultra Macro
ภาพถ่ายจากโหมด Super Nightscape
ภาพถ่ายจากโหมด Super Nightscape พร้อมปรับฟิลเตอร์สี
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าแบบ In-Display Selfie ความละเอียด 16
ล้านพิกเซลของ realme
narzo 20 Pro
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ พร้อมปรับฟีเจอร์ AI Beauty
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait
สรุปผลการทดสอบของ realme narzo 20 Pro
แม้ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนซีรีส์ใหม่แกะกล่องของแบรนด์ realme แต่ในด้านคุณสมบัติการใช้งานแล้ว ถือว่า realme narzo 20 Pro พกพาความสามารถที่น่าสนใจมาอย่างครบถ้วนไม่แพ้สมาร์ทโฟน realme ซีรีส์อื่นๆ เลยทีเดียว ในราคาที่จับต้องได้ง่าย บนดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์แบบ Victory Design ไม่ว่าจะเป็นการใช้หน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ 6.5 นิ้ว ที่มีค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz ที่ช่วยให้ใช้งานได้อย่างลื่นไหลเนียนตามากยิ่งขึ้น หรือจะเป็นการเลือกใช้ชิปเซ็ตซีรีส์เกมมิ่งอย่าง MediaTek Helio G95 ที่ทำงานผสานกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB ซึ่งแม้ว่า Helio G95 จะไม่ใช่ชิปเซ็ตระดับเรือธง แต่ก็มาพร้อมกับความเร็วแรงเหลือเฟือต่อใช้งานในชีวิตประจำวัน รวมถึงการเล่นเกมใหม่ๆ ในปัจจุบัน
ด้านของกล้องถ่ายภาพก็ถือว่าตอบโจทย์การถ่ายภาพในทุกสถานการณ์ ด้วยชุดกล้องหลังจำนวน 4 ตัว (AI Quad Camera) ที่มีกล้องตัวหลักความละเอียดสูง 48 ล้านพิกเซล ซึ่งรองรับโหมดถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) และโหมดถ่ายภาพกลางคืนแบบ Super Nightscape พร้อมกล้องมุมกว้างพิเศษแบบ Ultra Wide Angle ที่มีองศาในการรับภาพกว้างถึง 119 องศา ตอบโจทย์การเก็บภาพวิวทิวทัศน์ได้อย่างครบถ้วนโดยไม่หลุดเฟรม และที่สำคัญยังรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K อีกด้วย
realme narzo 20 Pro ยังถือเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางรุ่นแรกๆ ของ realme ที่มาพร้อมกับระบบชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge เหมือนกับสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงของค่ายอย่าง realme X50 Pro 5G ช่วยเติมแบตเตอรี่จาก 0-14% ได้ในเวลาเพียง 3 นาที หรือ 0-100% ในเวลาเพียง 38 นาที เท่านั้น ซึ่งด้วยแบตเตอรี่เพียง 14% ข้างต้น ถือว่าเป็นปริมาณแบตเตอรี่ที่เพียงพอต่อการใช้งานท่องอินเทอร์เน็ต, ฟังเพลง หรือเล่นเกมได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง
นอกจากนี้ realme narzo 20 Pro ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง Carbon Fiber Cooling System ที่ออกแบบมารองรับการทำงานร่วมกับชิปเซ็ตเกมมิ่ง MediaTek Helio G95 เพื่อช่วยถ่ายเทความร้อนออกจากตัวเครื่องได้อย่างรวดเร็ว เมื่อผู้ใช้เล่นเกมกราฟิกระดับสูง หรือมีการประมวลผลอย่างหนักหน่วง, หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB ที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป หรือจะเพิ่มหน่วยความจำด้วยการ์ดแบบ microSD อีกก็ได้เช่นกัน และเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านข้างตัวเครื่อง
หากพิจารณาจากราคาวางจำหน่ายที่ 8,499 บาท แล้ว
ก็พอจะสรุปได้ว่า realme narzo 20 Pro
เป็นสมาร์ทโฟนที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมือถือระดับกลางสเปกคุ้มค่าคุ้มราคา ในงบไม่เกิน 10,000 บาท
ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกการใช้งานได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม, การถ่ายภาพ, ความบันเทิง, การใช้งานโซเชียลมีเดีย และอื่นๆ
สำหรับ realme narzo 20 Pro เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยที่ 8,499 บาท เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป ผ่านช่องทางออนไลน์เฉพาะ Lazada เท่านั้น
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทาง realme ประเทศไทย
ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง realme narzo 20 Pro
มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน
สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ
จุดเด่นของ realme narzo 20 Pro
- ดีไซน์ฝาหลังแบบ Victory Design สามารถสะท้อนเล่นกับสีสันเป็นรูปตัวอักษร
V ได้อย่างสวยงาม
- ระบบระบายความร้อนแบบ Carbon Fiber Cooling System
- หน้าจอแสดงผล Ultra Smooth 90Hz Display ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+
(2400x1080 พิกเซล : 405ppi)
พร้อมพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องที่ 90.5% และครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านข้างของตัวเครื่อง พร้อมระบบสแกนใบหน้า (Face Recognition)
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core MediaTek Helio G95 ความเร็ว 2.05 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Mali-G76 MC4
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB
- รองรับหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ
microSD Card ได้สูงสุด 256GB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 10 ครอบทับด้วย realme UI
1.0
- ฟังก์ชัน App Cloner
สำหรับใช้งานแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์
กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) แบ่งออกเป็น
> กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด
f/2.3 และมุมรับภาพ 119 องศา (ทางยาวโฟกัส 16 มิลลิเมตร)
> กล้องตัวหลัก (Main) ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/1.8, เซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2 นิ้ว และทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร
> กล้อง B&W Portrait พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.4 และ 6 ฟิลเตอร์
> กล้อง Macro พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร
พร้อมฟีเจอร์ Super Nightscape
สำหรับถ่ายภาพกลางคืนโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง และ Night Filters
สำหรับปรับเปลี่ยนสีฟิลเตอร์ของภาพถ่ายกลางคืน, รองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 4K (30fps) และระบบป้องกันการสั่นแบบ Ultra Steady
และ Ultra Steady Max
กล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบเจาะรูบนหน้าจอ (In-Display Selfie) ความละเอียดระดับ 16
ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX471 และรูรับแสงขนาด f/2.1
- แบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ 65W SuperDart Charge
สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-100% ได้ในเวลา 38 นาที
- รองรับการใช้งานระบบ Dual SIM ด้วยถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot (Nano SIM + Nano SIM + microSD Card)
- รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, EDGE, GPRS และ
WiFi 2.4/5 GHz
- เทคโนโลยีเชื่อมต่อไร้สายแบบ Bluetooth 5.0
- ระบบ GPS+A-GPS ในตัว พร้อมรองรับการใช้งานร่วมกับระบบดาวเทียม GLONASS ของรัสเซีย และ
BeiDou ของประเทศจีน
- มี 2 สีมาตรฐานให้เลือก (White Knight และ Black Ninja)
- ราคา 8,499 บาท ถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ
realme narzo 20 Pro
- ไม่มีระบบสแกนนิ้วบนหน้าจอ (มีเซนเซอร์สแกนนิ้วด้านข้างตัวเครื่อง)
- วางจำหน่ายเฉพาะช่องทางออนไลน์เท่านั้น
- ไม่มีหูฟังแถมมาในกล่องผลิตภัณฑ์
- ลำโพงเสียงเป็นแบบเดี่ยว
- พื้นผิวตัวเครื่องมีความมันวาว จึงอาจเกิดรอยนิ้วมือ หรือคราบเปื้อนได้ง่าย
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริง บ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
วันที่ : 10/11/2020