รีวิว realme 9 Pro Series สมาร์ทโฟนกล้องเรือธง ในราคา Mid-Range พร้อมชิปแรง จอลื่น ชาร์จไว บนดีไซน์ฝาหลังเปลี่ยนสีได้
1 มีนาคม 2022 - เรียกว่าเปิดตัวแบบเล่นใหญ่โดนใจแฟน ๆ realme เป็นอย่างยิ่ง กับคู่หูสมาร์ทโฟน 5G รุ่นใหม่จากตระกูลยอดนิยมอย่าง realme 9 Pro Series โดยมาพร้อมกัน 2 รุ่น ได้แก่ realme 9 Pro 5G และ realme 9 Pro+ 5G ภายใต้สโลแกน Capture The Light ซึ่งเน้นการถ่ายภาพเวลากลางคืนด้วยกล้องระดับเรือธงครั้งแรกบนมือถือระดับกลาง (Mid-Range) (รุ่น 9 Pro+ 5G)
realme 9 Pro Series โดดเด่นที่การดีไซน์โฉมใหม่หมดจด ด้วยหน้าจอไร้ขอบเจาะรูกล้องหน้าแบบ Punch-Hole พร้อมฝาหลังเงางามแบบใหม่ล่าสุดด้วยดีไซน์แบบ Light Shift Design ที่สามารถเปลี่ยนสีได้เมื่อโดนแสงแดด (เฉพาะตัวเลือกสีฟ้า Sunrise Blue) รวมถึงการจัดเรียงกล้องหลัง 3 ตัวแบบใหม่ โดยรุ่น realme 9 Pro 5G จะมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านข้างตัวเครื่อง พร้อมประทับความละเอียดของกล้องหลักไว้ที่ 64MP ส่วนรุ่น realme 9 Pro+ 5G เลือกใช้เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ ที่สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ พร้อมระบุความละเอียดกล้องหลังที่ 50MP พร้อม OIS ไว้อย่างชัดเจน
สำหรับ realme 9 Pro+ 5G ถือเป็นมือถือระดับกลางรุ่นแรก ๆ ที่นำกล้องถ่ายภาพระดับเรือธงมาใช้งาน ซึ่งเป็นการนำเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX766 ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ที่ใช้ในรุ่นเรือธงมาติดตั้งไว้ภายใน และยังมีระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS ที่ช่วยให้การถ่ายภาพนิ่งคมชัดยิ่งกว่าเดิม โดยประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต Dimensity 920 5G พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber Cooling System ในตัว พร้อม Dynamic RAM Expansion ขนาดสูงสุด 13GB และรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ 60W SuperDart Charge รวมถึงหน้าจอสวยลื่นแบบ 90Hz Super AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว
realme 9 Pro 5G ส่วนในด้านของ realme 9 Pro 5G มากับชิปเซ็ต 5G รุ่นใหม่ล่าสุดของทาง Qualcomm อย่าง Snapdragon 695 5G ที่ผลิตบนเทคโนโลยีระดับ 6 nm จับคู่ Dynamic RAM Expansion ขนาดสูงสุด 13GB และแบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ 33W Dart Charge รวมถึงหน้าจอที่ลื่นไหลแบบ 120Hz Ultra Smooth Display ขนาดใหญ่เต็มตา 6.6 นิ้ว ซึ่งทั้งสองรุ่นมาพร้อมโหมดการถ่ายภาพแนวสตรีทใหม่ล่าสุดอย่าง Street Photography 2.0 ที่มาพร้อมฟังก์ชัน Smart Long Exposure โดยทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ realme UI 3.0 เวอร์ชันล่าสุด บนพื้นฐานของ Android 12
จากข้อมูลในข้างต้นก็กล่าวได้ว่า realme 9 Pro 5G และ realme 9 Pro+ 5G มีจุดเด่นที่น่าสนใจในหลายด้าน กับราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเริ่มที่ 8,999 บาท และ 12,999 บาท ตามลำดับ ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านรับชมรีวิว realme 9 Pro Series ไปพร้อมกันได้เลยค่ะ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
realme 9 Pro 5G และ realme 9 Pro+ 5G มาในแพ็กเกจสีเหลืองตัดดำอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ พร้อมระบุชื่อรุ่นไว้อย่างชัดเจน
ภายในกล่องมีอุปกรณ์พื้นฐานมาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น เคส, อะแดปเตอร์, สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, เข็มสำหรับถอดถาดซิมการ์ด และคู่มือการใช้งาน
โดยในรุ่น realme 9 Pro 5G จะมาพร้อมอะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 33W Dart Charge (11V/3A)
ส่วนรุ่น realme 9 Pro+ 5G มาพร้อมอะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge (10V/6.5A)
ภาพตัวอย่างการสวมเคสที่แถมมาในแพ็กเกจ
realme 9 Pro Series มาในดีไซน์จอไร้ขอบ ไร้รอยบาก เจาะรูกล้องหน้าที่มุมบนซ้ายเหมือนกัน โดยรุ่น realme 9 Pro+ 5G จะมีขนาดรูกล้องหน้าเล็กกว่า
โดย realme 9 Pro 5G มีหน้าจอแสดงผลแบบ 120Hz Ultra Smooth Display (IPS LCD) ขนาด 6.6 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (2412x1080 พิกเซล : 400 ppi) พร้อมค่า Refresh Rate ระดับ 120Hz และค่า Touch Sampling Rate ระดับ 240Hz บนตัวเครื่องขนาด 164.3x75.6x8.5 มิลลิเมตรที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย และมีน้ำหนัก 195 กรัม
ส่วนรุ่น realme 9 Pro+ 5G มีหน้าจอแสดงผลแบบ 90Hz Super AMOLED Display ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (2400x1080 พิกเซล : 411 ppi) พร้อมค่า Refresh Rate ระดับสูงสุดที่ 90Hz และค่า Touch Sampling Rate ระดับ 360Hz บนตัวเครื่องขนาด 160.2x73.3x7.99 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 182 กรัม
ที่ด้านบนหน้าจอมีลำโพงสำหรับสนทนา และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ สำหรับกล้องหน้าฝังบนจอแบบ In-Display Selfie มีความละเอียดเท่ากันที่ 16 ล้านพิกเซล
ด้านหน้าส่วนล่างใช้ปุ่มกดแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent Apps, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ (ค่าเริ่มต้น) หรือเลือกใช้งานวิธีควบคุมแบบ Gestures ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ด้วย
โดย realme 9 Pro 5G มาพร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านข้างตัวเครื่อง (Side-Fingerprint Scanner)
ส่วน realme 9 Pro+ 5G ใช้งานเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint)
ที่สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้
ด้านบนของตัวเครื่อง realme 9 Pro Series มีไมโครโฟนตัวที่สอง
ที่ด้านล่างตัวเครื่องประกอบไปด้วยลำโพงเสียง ตัวหลัก, พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา และช่องเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีถาดใส่ซิมการ์ด พร้อมปุ่มปรับระดับเสียง
โดย realme 9 Pro 5G มีถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid-Slot
ส่วน realme 9 Pro+ 5G มีถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Dual nanoSIM ที่ไม่รองรับการเพิ่มหน่วยความจำภายนอก
ที่ด้านขวาตัวเครื่อง realme 9 Pro Series มีปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อกหน้าจอ โดยในรุ่น realme 9 Pro 5G จะเป็นเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือในตัว
ฝาหลังของ realme 9 Pro Series มีความโดดเด่นที่ความเงางาม พร้อมการไล่เฉดสี และถือเป็นครั้งแรกกับการดีไซน์แบบ Photochromism ด้วยกระบวนการเคลือบ 3 ชั้น ทำให้สีสันเป็นประกายเจิดจ้า พร้อมแสงแบบแนวตั้งที่ให้ความเงางาม
โดย realme 9 Pro 5G ที่ทางทีมงานนำมารีวิวให้ได้ชมกันเป็นสีเขียว (Aurora Green)
สำหรับ realme 9 Pro+ 5G เป็นสีฟ้า (Sunrise Blue) ตัวเลือกเดียวที่สามารถเปลี่ยนสีฝาหลังได้เมื่อโดนแดด ด้วยการดีไซน์แบบ Light Shift Design
realme 9 Pro 5G มีกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย
- กล้อง Wide (Main) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.79, มุมรับภาพ 79 (ทางยาวโฟกัส 25.18 มิลลิเมตร) และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 119 (ทางยาวโฟกัส 15.62 มิลลิเมตร) และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 88.8 (ทางยาวโฟกัส 21.88 มิลลิเมตร), ระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
โดยรองรับโหมด Super Nightscape สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืน / ที่แสงน้อย พร้อมเพิ่ม Nightscape filter เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ของภาพ รวมถึงโหมด Pro ที่ปรับตั้งค่าอื่น ๆ ได้เพิ่มเติม, โหมดการถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ทั้งในเวลากลางวัน - กลางคืน ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ พร้อมรูปแบบ Bokeh ให้เลือกใช้หลากหลาย, โหมด Street Photography 2.0 ที่มาพร้อมฟังก์ชัน Smart Long Exposure ทั้งหมด 4 รูปแบบ รวมถึงฟีเจอร์ Peak and Zoom ในการควบคุมการซูมภาพ พร้อมโฟกัสได้เพียงลากนิ้วไปมาที่ปุ่มชัตเตอร์ และการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD 1080p พร้อมฟีเจอร์ AI Highlight Video, โหมด Movie และ Dual-View Video
realme 9 Pro+ 5G มีกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย
- กล้อง Wide (Main) ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX766 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 2.0 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.8, มุมรับภาพ 84.4 องศา (ทางยาวโฟกัส 23.6 มิลลิเมตร), ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 119 องศา (ทางยาวโฟกัส 15.4 มิลลิเมตร) และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 88.8 องศา (ทางยาวโฟกัส 21.8 มิลลิเมตร), ระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
โดยรองรับโหมด Super Nightscape สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืน / ที่แสงน้อย พร้อมเพิ่ม Nightscape filter เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ของภาพ รวมถึงโหมด Pro ที่ปรับตั้งค่าอื่น ๆ ได้เพิ่มเติม, โหมดการถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ทั้งในเวลากลางวัน - กลางคืน ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ พร้อมรูปแบบ Bokeh ให้เลือกใช้หลากหลาย, โหมด Street Photography 2.0 ที่มาพร้อมฟังก์ชัน Smart Long Exposure ทั้งหมด 4 รูปแบบ รวมถึงฟีเจอร์ Peak and Zoom ในการควบคุมการซูมภาพ พร้อมโฟกัสได้เพียงลากนิ้วไปมาที่ปุ่มชัตเตอร์ และการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD พร้อมฟีเจอร์ AI Highlight Video, โหมด Movie และ Dual-View Video
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่าง ๆ
realme 9 Pro Series มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ realme UI 3.0 เวอร์ชันใหม่ บนพื้นฐานของ Android 12 เวอร์ชันล่าสุด กับดีไซน์หน้า User Interface ที่เรียบหรู และดูสบายตามากขึ้น พร้อมรองรับเทคโนโลยี Dynamic RAM Expansion ที่สามารถเพิ่ม RAM เสมือนจาก ROM ได้สูงสุด 5GB
โดยรองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย 5G ได้ทั้งสองซิมการ์ดแบบ Dual 5G SIM ซึ่งสามารถใช้งานได้ทันทีหลังแกะกล่อง
เมื่อกดค้างที่หน้าจอจะเป็นการเข้าสู่เมนูการ ปรับแต่งหน้าจอ โดยผู้ใช้สามารถปรับตำแหน่งของไอคอน พร้อมตั้งค่า Home ต่างๆ ได้แก่ เปลี่ยนภาพพื้นหลัง, จัดการไอคอน, ปรับรูปแบบ Layout และเลือกรูปแบบ Animation ขณะเปลี่ยนหน้าจอ
เมื่อลากจากขอบด้านบนของหน้าจอลงมาจะพบกับ Toggle Switch ปุ่มลัดสำหรับการเปิด-ปิดฟังก์ชันต่างๆ มากมาย เช่น การใช้งานอินเทอร์เน็ต, Bluetooth หรือการหมุนหน้าจออัตโนมัติ รวมถึง Notification Center แถบการแจ้งเตือนต่างๆ
โดยสามารถปรับตำแหน่งของคีย์ลัดต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ
เมื่อปัดไปทางด้านขวาจากหน้าโฮมสกรีนจะพบกับ Google Discover หน้าที่รวบรวมข่าวสารที่ได้รับความนิยมในโลกออนไลน์ โดยอ้างอิงจากการค้นหาของผู้ใช้
สามารถปรับตั้งค่าการแสดงผลของหน้าจอได้อย่าง หลากหลาย ได้แก่ การปรับความสว่างแบบอัตโนมัติ พร้อม Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังให้กลายเป็นสีดำ
โหมด Eye Comfort ช่วยถนอมสายตาเวลาใช้งานในที่แสงน้อย หรือเวลากลางคืน
realme 9 Pro+ 5G สามารถเลือกใช้งานค่า Refresh Rate สูงสุดที่ระดับ 90Hz (ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 60Hz)
พร้อมรองรับเทคโนโลยี 01 Ultra Vision Engine ที่ช่วยปรับแต่งคอนเทนต์ประเภทวิดีโอลงลึกในระดับฮาร์ดแวร์ ทำให้วิดีโอมี Dynamic Range ที่กว้างขึ้น สามารถมองเห็นรายละเอียดในที่มืด และสว่างได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังช่วยให้การแสดงผลมีความชัดเจน พร้อมสีสันที่คมชัดสดใส และเลือกปรับโทนสีของหน้าจอได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ Natural (ค่าเริ่มต้น), Vivid และ Pro Mode รวมถึงการปรับอุณหภูมิของสี
สำหรับ realme 9 Pro 5G สามารถเลือกใช้งานค่า Refresh Rate สูงสุดที่ระดับ 120Hz (ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 60Hz) พร้อมรองรับเทคโนโลยี 01 Ultra Vision Engine เช่นเดียวกัน
และเลือกปรับ โทนสีของหน้าจอได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ Natural (ค่าเริ่มต้น) และ Vivid
สามารถเลือกใช้งานปุ่ม Navigation Buttons ที่สามารถปรับตามความถนัดของผู้ใช้ หรือเลือกใช้งานวิธีควบคุมแบบ Navigation Gestures ซึ่งเป็นการลาก และปัดบริเวณขอบหน้าจอเพื่อสั่งการได้ ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้
บันทึกหน้าจอได้ง่ายๆ เพียงใช้ 3 นิ้วลากจากด้านบนลงมา หรือกดปุ่ม Power และปุ่มลดเสียงพร้อมกัน
โดยที่สามารถบันทึกภาพสกรีนช็อตแบบยาวได้ด้วย
realme 9 Pro+ 5G มาพร้อมกับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่อยู่ใต้หน้าจอ (In-Display fingerprint)
และรองรับการวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ด้วย
ส่วน realme 9 Pro 5G เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือจะอยู่ที่ด้านข้างตัวเครื่อง (Side-Fingerprint Scanner
โดยสามารถตั้งค่าการใช้งานเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้ว มือสำหรับปลุกการทำงานของ เครื่อง หรือปลดล็อกหน้าจอได้ พร้อมทั้งสามารถเพิ่มลายนิ้วมือได้มากกว่า 1 ลายนิ้วมือ ซึ่งจากการทดสอบตัวเซ็นเซอร์ก็สามารถปลดล็อกหน้าจอได้รวดเร็วทันใจ
และทั้งคู่มีระบบการปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock) ที่สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถลงทะเบียนได้เพียง 1 ใบหน้าเท่านั้น
มีฟังก์ชัน Split Screen ที่สามารถแบ่งหน้าจอเพื่อใช้งานสองแอปพลิเคชันได้พร้อม ๆ กัน โดยรองรับทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน
realme 9 Pro 5G มีแบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 33W Dart Charge ที่ช่วยย่นระยะเวลาในการชาร์จ
สำหรับ realme 9 Pro+ 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh และรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 60W SuperDart Charge ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ระดับ 1-50% ได้ในเวลา 15 นาที (อะแดปเตอร์ที่แถมมาในแพ็กเกจมีกำลังไฟ 65W)
โดยสามารถเปิดใช้งานในโหมดประหยัดพลังงานอย่าง Power saving mode ที่ช่วยจัดการพลังงานให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น โดยเมื่อกดใช้งานแถบแบตเตอรี่บนหน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
และประหยัดพลังงานขั้นสุดด้วย Super power saving mode เพื่อยืดระยะเวลาในการใช้งานให้นานยิ่งขึ้น แต่แลกมากับฟังก์ชันการใช้งานระดับพื้นฐานเท่านั้น
มีโหมด High Performance เพื่อการประมวลผลในระดับสูงสุด โดยเมื่อเปิดใช้งานตัวเครื่องจะใช้ทรัพยากรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง และอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกตินั่นเอง (เมื่อเปิดใช้งานจะมีสัญลักษณ์แบตเตอรี่สีเขียวที่ด้านซ้าย ถัดจากเวลา)
ทั้งสองรุ่นรองรับฟีเจอร์ App Cloner สำหรับโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน ซึ่งในเบื้องต้นนั้นสามารถโคลนนิ่งได้เฉพาะแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook และ Line จึงทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกันถึง 2 แอคเคานท์
ท่านที่ใช้งาน realme 9 Pro Series เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่แล้วอยากย้ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเดิม ก็สามารถโอนย้ายข้อมูลด้วยแอปพลิเคชัน Clone Phone ได้ทันที
realme 9 Pro+ 5G มาพร้อมกับลำโพงเสียง Stereo แบบคู่ รองรับการเล่นเพลง และไฟล์เสียงต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Music และสามารถเปิดใช้งานระบบเสียง Dolby Atmos ที่ให้เสียงแบบรอบทิศทาง 360 องศา (ระบบเสียง Dolby Atmos จะต้องใช้งานร่วมกับหูฟังเท่านั้น)
ทางด้าน realme 9 Pro 5G มากับระบบลำโพงเสียงแบบเดี่ยว และสามารถเปิดใช้งานระบบเสียง Real Sound HD ด้วยระบบ Dirac 2.0 ได้ โดยผู้ใช้สามารถสามารถปรับรูปแบบอีควอไลเซอร์ได้หลากหลาย (ระบบเสียง Dirac 2.0 จะต้องใช้งานร่วมกับหูฟังเท่านั้น)
สำหรับเซนเซอร์ในเครื่องนั้นประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor และ Magnetic Sensor
สามารถจับสัญญาณดาวเทียม GPS ในที่กลางแจ้งได้ และนำทางสามารถใช้งานได้ดี มีความรวดเร็วแม่นยำ ด้วยระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass และ BeiDou
realme 9 Pro 5G มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 695 5G ระดับ 6nm แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.2 GHz โดยมีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 619, หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB (รุ่นที่วางจำหน่ายจริงมีทั้งขนาด 6GB และ 8GB) พร้อมเทคโนโลยี Dynamic RAM Expansion ในการเพิ่ม RAM เสมือนได้สูงสุด 5GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 2.2 ขนาด 128GB รองรับการเพิ่มหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 12 ซึ่งถูกครอบทับด้วย User Interface แบบ realme UI 3.0
realme 9 Pro+ 5G มาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Dimensity 920 5G ระดับ 6nm แบบ 8-แกน (Octa-Core) ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดที่ 2.5 GHz โดยมีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G68 MC4, หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB พร้อมเทคโนโลยี Dynamic RAM Expansion ในการเพิ่ม RAM เสมือนได้สูงสุด 5GB, หน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 2.1 ขนาด 128GB (รุ่นที่วางจำหน่ายจริงมีความจุ 256GB) โดยไม่รองรับการเพิ่มหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 12 ซึ่งถูกครอบทับด้วย User Interface แบบ realme UI 3.0
realme 9 Pro 5G มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 402,723 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 5 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 689 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 2,004 คะแนน
realme 9 Pro+ 5G มีผลทดสอบจากแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ที่ 490,478 คะแนน และผลทดสอบจาก Geekbench 5 ในด้านการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ที่ 817 คะแนน และในด้านการประมวลผลหลายแกน (Multi-Core) ที่ 2,317 คะแนน
realme 9 Pro 5G มีกับการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ OpenGL ES 3.1 ได้คะแนนการทดสอบที่ 2,957 คะแนน
ส่วน realme 9 Pro+ 5G ทำการทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark แบบ OpenGL ES 3.1 ได้คะแนนการทดสอบที่ 4,250 คะแนน
realme 9 Pro Series รองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด
realme 9 Pro Series ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์สำหรับเกมเมอร์ตัวจริงอย่าง Game Assistant ที่ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม และ Game Focus Mode ที่ผู้ใช้สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่าง ๆ ขณะเล่นเกม รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอได้
จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสาม มิติอย่าง Marvel Future Fight, Cookie Run : Kingdom และ Hundred Soul : The Last Savior พร้อมเปิดการแสดงผลระดับสูง ที่ระดับ 60 fps ก็พบว่าทั้งสองรุ่นสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างไหลลื่น และไม่พลาดช่วงเหตุการณ์สำคัญ ด้วยหน้าจอที่มีค่า Refresh Rate ระดับสูง โดยไม่มีอาการหน่วง หรือกระตุก แต่ก็มีการสะสมความร้อนให้เห็นบ้าง
และด้วย realme 9 Pro+ 5G มีระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber Cooling System ขนาดใหญ่พิเศษที่ช่วยลดอุณหภูมิ core ตัวเครื่องได้มากถึง 10 องศาเซลเซียส ซึ่งช่วยให้ตัวเครื่องไม่ร้อนจนเกินไป แม้ใช้งาน หรือเล่นเกมติดต่อกันเป็นเวลานาน
realme 9 Pro+ 5G สามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ ด้วยหน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ที่มีความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 411 ppi) พร้อมเทคโนโลยี 01 Ultra Vision Engine ที่ช่วยปรับแต่งคอนเทนต์ประเภทวิดีโอลงลึกในระดับฮาร์ดแวร์ ทำให้วิดีโอมี Dynamic Range ที่กว้างขึ้น สามารถมองเห็นรายละเอียดในที่มืด และสว่างได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังช่วยให้การแสดงผลมีความชัดเจน พร้อมสีสันที่คมชัดสดใส
สำหรับ realme 9 Pro 5G มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.6 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2412 พิกเซล : 400 ppi) จึงสามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดระดับ Full HD 1080p ได้อย่างคมชัดเต็มอรรถรส และให้มุมมองที่กว้างเต็มตาเป็นพิเศษ แต่ด้วยหน้าจอแบบ LCD จึงอาจจะใช้งานกลางแดดได้ไม่ดีเท่ารุ่น realme 9 Pro+ 5G
การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
เนื่องจาก realme 9 Pro+ 5G ถือเป็นสมาร์ทโฟนระดับ Mid-Range รุ่นแรก ๆ ของวงการที่มาพร้อมกล้องตัวหลักระดับเรือธง ทางทีมงานจึงขอเน้นไปที่รุ่นนี้ ซึ่งมีชุดกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย
- กล้อง Wide (Main) ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX766 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 2.0 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.8, มุมรับภาพ 84.4 องศา (ทางยาวโฟกัส 23.6 มิลลิเมตร), ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 119 องศา (ทางยาวโฟกัส 15.4 มิลลิเมตร) และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 88.8 องศา (ทางยาวโฟกัส 21.8 มิลลิเมตร), ระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
โดย Interface ของแอปพลิเคชันกล้องมีการดีไซน์เรียบหรู สบายตา และมีเมนูให้ได้เลือกใช้อย่างชัดเจน โดยสามารถเลือกถ่ายภาพในมุมปกติ (1x) พร้อมมุมกว้างแบบ Ultra-Wide (0.6x) โดยสามารถซูมสูงสุดที่ 20 เท่า (20x Digital Zoom) พร้อมฟังก์ชันเปิด-ปิด ไฟแฟลช, โหมด HDR, ฟังก์ชัน AI Scene enhancement, สัดส่วนภาพถ่าย และการตั้งค่าอื่น ๆ เพิ่มเติม
มีโหมด Retouch ในการปรับผิวเนียน โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0 - 100%
รองรับโหมดถ่ายบุคคล (Portrait) ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ที่ f0.95 - f16 (ค่าเริ่มต้นอยู่ที่ f2.8)
พร้อมโหมด Retouch ในการปรับผิวเนียน โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0 - 100% และเลือกเอฟเฟ็กต์ Bokeh แบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Dynamic Bokeh, AI Color Portrait และ Bokeh Flare Portrait
โหมดถ่ายภาพกลางคืนแบบ Super Nightscape พร้อมเทคโนโลยี ProLight Imaging ที่เก็บแสงได้ดีขึ้น ผสานเทคโนโลยี AI Noise Reduction Engine 3.0 ลดการเกิด noise ในภาพ และรองรับระบบกันสั่นแบบ OIS จึงช่วยให้ภาพที่ได้มีความคมชัดกว่าที่เคย โดยรองรับการถ่ายภาพมุมกว้างแบบ Ultra-Wide (0.6x)
และโหมด Pro ที่สามารถตั้งค่าอื่น ๆ ได้อย่างครบถ้วน
พร้อม Nightscape filter ฟิลเตอร์สำหรับปรับโทนสีของภาพให้มีความน่าสนใจมากขึ้น ทั้งหมด 5 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่
- Modern Gold - ถ่ายภาพโดยเน้นโทนสีทอง และสีดำ
- Cyberpunk - ถ่ายภาพโดยเน้นโทนสีม่วง และน้ำเงิน คล้ายกับโลกอนาคต
- Flamingo - ถ่ายภาพโดยเน้นโทนสีส้ม และสีแดง
- Astral - ถ่ายภาพโดยเน้นโทนสีเขียว และสีส้ม
- Dazzle - ถ่ายภาพโดยเน้นให้สีสันมีความสดใสมากขึ้น
อีกหนึ่งโหมดล่าสุดบน realme 9 Pro+ 5G ได้แก่ Street Photography 2.0 สำหรับการถ่ายภาพแนวสตรีท ที่มาพร้อมฟังก์ชัน Smart Long Exposure ทั้งหมด 4 รูปแบบ
รวมถึงฟีเจอร์ Peak and Zoom ในการควบคุมการซูมภาพ พร้อมโฟกัสได้เพียงลากนิ้วไปมาที่ปุ่มชัตเตอร์
พร้อมฟิลเตอร์ที่น่าสนใจอย่าง 90s Pop
การถ่ายวิดีโอบน realme 9 Pro+ 5G รองรับความละเอียดสูงสุดในโหมดปกติที่ระดับ 4K UHD (30 fps) สามารถเลือกถ่ายภาพในมุมปกติ (1x), แบบมุมกว้าง Ultra-Wide (0.6x), ซูมสูงสุดที่ 10 เท่า (10x Digital Zoom) พร้อมฟังก์ชัน AI Highlight และรองรับการโหมดป้องกันการสั่นไหวแบบ EIS
พร้อมโหมดถ่ายวิดีโอแบบ Portrait ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ระหว่าง f0.95 - f16
ที่สามารถเลือกรูปแบบ Bokeh ได้
และโหมด Retouch ในการปรับผิวเนียน โดยสามารถเลือกระดับความเนียนได้ตั้งแต่ 0 - 100%
กล้องหน้าของ realme 9 Pro+ 5G ฝังบนหน้าจอ (In-Display Selfie) ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสง f2.4
โดยมีหน้าตา Interface ที่สามารถใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งแสดงไอคอนเอาไว้ให้ใช้งานได้ทันที ได้แก่ เปิดปิดไฟแฟลช, ฟังก์ชัน HDR, การตั้งเวลาถ่ายภาพ, สัดส่วนภาพถ่าย และการตั้งค่าอื่น ๆ เพิ่มเติม
รองรับเทคโนโลยี AI Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ผ่านการวิเคราะห์โดยปัญญาประดิษฐ์ โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งแต่ละส่วนบนใบหน้าได้อย่างอิสระ ซึ่งสามารถเลือกระดับได้ตั้งแต่ 0-100% (ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ 30%)
สำหรับโหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) สามารถปรับระดับความเบลอได้ระหว่าง f0.95 - f16 (ค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ f5) พร้อมรองรับเทคโนโลยี AI Beauty ที่สามารถปรับแต่งโครงสร้างบนใบหน้าได้อย่างอิสระ
รวมถึงโหมดการถ่ายเซลฟี่ในเวลากลางคืนอย่าง Night ที่เปิดใช้งาน AI Beauty ร่วมได้ด้วย
สำหรับการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าของ realme 9 Pro+ 5G รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD 1080p (30 fps) พร้อมฟังก์ชัน AI Highlight
พร้อมโหมดถ่ายวิดีโอแบบ Portrait ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ระหว่าง f0.95 - f16 และสามารถเลือกรูปแบบ Bokeh ได้
และโหมด AI Beauty ในการปรับค่าผิวให้ดูเนียนสวยขึ้น ตั้งแต่ระดับ 0 - 100%
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ความละเอียด 50+8+2 ล้านพิกเซล
ของ realme 9 Pro+ 5G
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายมุมกว้างแบบ Ultra-Wide
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายมุมกว้างแบบ Ultra-Wide
ภาพถ่ายจากโหมด Ultra Macro
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait
ภาพถ่ายจากโหมด Street Photography 2.0 แบบ Rush hour พร้อมฟิลเตอร์แบบ 90's Pop
ภาพถ่ายจากโหมด Street Photography 2.0 แบบ Light trail Portrait
ภาพถ่ายจากโหมด Street Photography 2.0 แบบ Neon trail
ภาพถ่ายจากโหมด Super Nightscape
ภาพถ่ายจากโหมด Super Nightscape มุมกว้างแบบ Ultra-Wide
ภาพถ่ายจากโหมด Super Nightscape
ภาพถ่ายจากโหมด Super Nightscape มุมกว้างแบบ Ultra-Wide
ภาพถ่ายจากโหมด Super Nightscape
ภาพถ่ายจากโหมด Super Nightscape มุมกว้างแบบ Ultra-Wide
ภาพถ่ายเวลากลางคืนจากโหมด Super Nightscape พร้อม Nightscape filter แบบต่าง ๆ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซลของ realme 9 Pro+ 5G
ภาพถ่ายเซลฟี่ในโหมดปกติ
ภาพถ่ายเซลฟี่ในโหมด Face Beauty
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait
สรุปผลการทดสอบของ realme 9 Pro Series
จากที่มีโอกาสได้ใช้งาน realme 9 Pro Series มาระยะหนึ่ง ทั้ง realme 9 Pro และ realme 9 Pro+ ก็พอจะสรุปได้ว่านี่คือคู่หูสมาร์ทโฟน 5G ที่มีความครบเครื่องในทุกด้าน และน่าสนใจไม่แพ้คู่แข่งในระดับราคาเดียวกันในชั่วโมงนี้ เริ่มตั้งแต่การดีไซน์ที่พรีเมียมเทียบชั้นเรือธง ครั้งแรกกับการดี ไซน์แบบ Photochromism ด้วยกระบวนการเคลือบแบบ 3 ชั้นที่ช่วยให้สีสันสวยงาม พร้อมแสงแบบแนวตั้งที่ส่องประกายแวววาว อีกทั้งยังมีความพิเศษที่ตัวเลือกสีฟ้า (Sunrise Blue) ที่สามารถเปลี่ยนสีฝาหลังได้เมื่อโดนแดด ด้วยการดีไซน์แบบ Light Shift Design ที่เป็นลูกเล่นที่น่าสนใจ
realme 9 Pro Series ชูโรงที่การถ่ายภาพในเวลากลางคืน หรือในที่แสงน้อย ซึ่งทำได้ดีทีเดียวสำหรับมือถือระดับกลาง โดยเฉพาะรุ่น realme 9 Pro+ 5G ที่ได้ใช้เซนเซอร์กล้องระดับเรือธงอย่าง Sony IMX766 ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ที่รับแสงได้ดีกว่าเดิม พร้อมรองรับระบบกันสั่นแบบ OIS ที่ช่วยให้ภาพที่ได้คมชัดกว่าเดิมนั่นเอง และยังมีลูกเล่นอย่างการเพิ่มฟิลเตอร์เพื่อเปลี่ยนอารมรณ์ของภาพอีกด้วย สำหรับ realme 9 Pro 5G แม้จะไม่มี OIS แต่ก็สามารถเก็บภาพเวลากลางคืนได้ในระดับที่น่าพอใจ
นอกจากการถ่ายภาพกลางคืนแล้ว realme 9 Pro Series ยังมาพร้อมโหมดใหม่ล่าสุดอย่าง Street Photography 2.0 ที่มาพร้อมฟังก์ชัน Smart Long Exposure ทั้งหมด 4 รูปแบบ ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพแนวสตรีทเป็นอย่างดี รวมถึงฟีเจอร์ Peak and Zoom ในการควบคุมการซูมภาพ พร้อมโฟกัสได้เพียงลากนิ้วไปมาที่ปุ่มชัตเตอร์
realme 9 Pro+ 5G ตอบโจทย์การใช้งานในระดับสูงได้ดี ด้วยชิปเซ็ตตัวใหม่อย่าง Dimensity 920 5G พร้อม RAM ขนาด 8GB + เทคโนโลยี Dynamic RAM Expansion ที่สามารถเพิ่ม RAM เสมือนจาก ROM ได้สูงสุด 5GB จึงสามารถใช้งานต่าง ๆ ได้ลื่นไหล ไม่มีสะดุด และรองรับระบบระบายความร้อนในตัวที่ช่วยให้ใช้งานนาน ๆ โดยเฉพาะเล่นเกมได้ยาวนานโดยไม่ต้องกังวลว่าตัวเครื่องจะร้อนเกินไป รวมถึงมีแบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 60W SuperDart Charge (มีอะแดปเตอร์ 65W แถมมาในแพ็กเกจ) ที่ช่วยย่นระยะการชาร์จได้เป็นอย่างดี แม้ realme 9 Pro+ 5G จะไม่รองรับหน่วยความจำเสริม แต่ด้วย ROM ที่ให้มา 256GB ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานในปัจจุบัน
สำหรับ realme 9 Pro 5G ก็ไม่น้อยหน้า มากับชิปเซ็ต 5G รุ่นใหม่ของทาง Qualcomm อย่าง Snapdragon 695 5G พร้อม RAM ขนาด 8GB + เทคโนโลยี Dynamic RAM Expansion ที่สามารถเพิ่ม RAM เสมือนจาก ROM ได้สูงสุด 5GB และมี ROM ขนาด 128GB ที่สามารถเพิ่ม microSD Card ได้ อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้ยาวนานด้วยแบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 33W Dart Charge ซึ่งทั้งสองรุ่น ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 12 ที่ครอบทับด้วย realme UI 3.0 เวอร์ชันล่าสุด และหากต้องการใช้งานแบบในโหมดประสิทธิภาพสูงสุดของตัวเครื่อง realme 9 Pro Series ทั้งสองรุ่นก็มีโหมด High Performance ให้ใช้งานด้วย สำหรับเร่งการประมวลผลด้านต่าง ๆ ให้เร็ว และแรงกว่าเดิม โดยเมื่อเปิดใช้งานตัวเครื่องจะใช้ทรัพยากรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง และอาจทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกตินั่นเอง
realme 9 Pro+ 5G ยังโดดเด่นด้วยหน้าจอ 90Hz Super AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว คมชัดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 411 ppi) รองรับค่า Refredh Rate ระดับสูงสุด 90Hz พร้อมเทคโนโลยี 01 Ultra Vision Engine ที่ช่วยปรับแต่งคอนเทนต์ประเภทวิดีโอลงลึกในระดับฮาร์ดแวร์ ทำให้วิดีโอมี Dynamic Range ที่กว้างขึ้น สามารถมองเห็นรายละเอียดในที่มืด และสว่างได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังช่วยให้การแสดงผลมีความชัดเจน พร้อมสีสันที่คมชัดสดใส และด้วยลำโพงเสียง Stereo แบบคู่ พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos ยิ่งทำให้ realme 9 Pro+ 5G ยืนหนึ่งทั้งการเล่นเกม หรือชมซีรีส์เรื่องโปรด นอกจากนี้ยังมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint) ที่รองรับการวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้
ในด้านของ realme 9 Pro 5G ก็ตอบโจทย์สายคอนเทนต์ได้ดีเช่นเดียวกัน ด้วยหน้าจอ 120Hz Ultra Smooth Display (IPS LCD) ขนาดใหญ่ 6.6 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2412 พิกเซล : 400 ppi) มีค่า Refresh Rate ระดับสูงสุดที่ 120Hz และรองรับเทคโนโลยี 01 Ultra Vision Engine แต่อาจจะใช้งานที่กลางแจ้งได้ไม่ดีเท่า realme 9 Pro+ 5G เนื่องจากหน้าจอเป็นเทคโนโลยี LCD
สำหรับ realme 9 Pro Series มีตัวเลือก 2 สี ได้แก่ สีเขียว (Aurora Green) และสีฟ้า (Sunrise Blue) โดยจะเปิดให้สั่งจองล่วงหน้า (Pre-Order) ในวันที่ 1-11 มีนาคม 2565 พร้อมรับฟรีของสมนาคุณรวมมูลค่ากว่า 6,298 บาท ได้แก่
- realme E-VIP Card มูลค่า 4,000 บาท
- realme Special Gift มูลค่า 1,299 บาท
- realme Smart Scale มูลค่า 999 บาท
- กระเป๋า Jet Black Bag มูลค่า 1,899 บาท (เฉพาะ realme Brand Shop)
- สิทธิ์ผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 6 เดือน และประกันจอแตกนานสูงสุด 1 ปี
โดย realme 9 Pro 5G วางจำหน่าย 2 รุ่นย่อย ได้แก่
- รุ่น 6GB+128GB ราคา 8,999 บาท (Lazada Exclusive) (โปรโมชั่น Early Bird ราคาพิเศษ 8,499 บาท เฉพาะทาง Lazada วันที่ 3-5 มีนาคม 2565)
- รุ่น 8GB+128GB ราคา 9,999 บาท (โปรโมชั่น Early Bird ราคาพิเศษ 9,499 บาท เฉพาะทาง Lazada วันที่ 3 - 11 มีนาคม 2565)
ส่วน realme 9 Pro+ 5G วางจำหน่ายเพียงรุ่นความจุเดียวคือ 8GB+256GB ในราคา 12,999 บาท (โปรโมชั่น Early Bird ราคาพิเศษ 12,499 บาท เฉพาะทาง JD Central วันที่ 3-11 มีนาคม 2565)
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง realme ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง realme 9 Pro 5G และ realme 9 Pro+ 5G มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน และขอขอบคุณสถานที่สวย ๆ ของร้านลาภปาก (Laappaak Dining room) สำหรับวันนี้ทางทีมงานต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ
จุดเด่นของ
realme 9 Pro+ 5G
- ดีไซน์แบบ Photochromism ด้วยกระบวนการเคลือบ 3 ชั้น
ทำให้สีสันเป็นประกายเจิดจ้า พร้อมแสงแบบแนวตั้งที่ให้ความเงางาม
- สีฟ้า (Sunrise Blue)
เป็นตัวเลือกเดียวที่สามารถเปลี่ยนสีฝาหลังได้เมื่อโดนแดด ด้วยการดีไซน์แบบ
Light Shift Design
- ระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber Cooling System
- ตัวเครื่องขนาด 160.2x73.3x7.99 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 182 กรัม
- หน้าจอแสดงผล 90Hz Super AMOLED Display ขนาด 6.4 นิ้ว
ความละเอียดระดับ Full HD+ (2400x1080 พิกเซล : 411 ppi) พร้อมอัตราส่วนในการแสดงผลแบบ 20:9, สัดส่วนจอแสดงผลกับตัวเครื่องที่ 90.8%, ค่า Refresh Rate ระดับสูงสุดที่ 90Hz, ค่า Touch Sampling Rate
ระดับ 360Hz, ความสว่างสูงสุด 1000 nits และครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor) พร้อม Heart Rate Monitor และระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock)
- ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Dimensity 920 5G ความเร็ว 2.5 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G68 MC4
- ระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber Cooling System แบบ 5 ชั้น
ที่สามารถลดอุณหภูมิ Core ได้สูงสุด 10 องศาเซลเซียส
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB พร้อมเทคโนโลยี Dynamic RAM
Expansion ในการเพิ่ม RAM เสมือนจากพื้นที่ตัวเครื่อง (ROM) ได้สูงสุด 5GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.2 ขนาด 256GB
- แบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 60W SuperDart Charge
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 12 พร้อมครอบทับด้วย realme UI 3.0
กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบ
ด้วย
- กล้อง Wide (Main) ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX766 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 2.0 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.8, มุมรับภาพ 84.4 องศา (ทางยาวโฟกัส 23.6 มิลลิเมตร), ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS, ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 119 องศา (ทางยาวโฟกัส 15.4 มิลลิเมตร) และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 88.8 องศา (ทางยาวโฟกัส 21.8 มิลลิเมตร), ระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
โดยรองรับโหมด Super Nightscape สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืน กับที่แสงน้อย
พร้อมเพิ่ม Nightscape Filter เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ของภาพ รวมถึงโหมด Pro
ที่ปรับตั้งค่าอื่น ๆ ได้เพิ่มเติม, โหมดการถ่ายภาพบุคคล (Portrait)
ทั้งในเวลากลางวัน - กลางคืน ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ พร้อมรูปแบบ
Bokeh ให้เลือกใช้หลากหลาย, โหมด Street Photography 2.0 ที่มาพร้อมฟังก์ชัน
Smart Long Exposure ทั้งหมด 4 รูปแบบ รวมถึงฟีเจอร์ Peak and Zoom
ในการควบคุมการซูมภาพ พร้อมโฟกัสได้เพียงลากนิ้วไปมาที่ปุ่มชัตเตอร์
และการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD พร้อมฟีเจอร์ AI Highlight
Video, โหมด Movie และ Dual-View Video
กล้องดิจิทัลด้านหน้าฝังบนจอ (In-Display Selfie) ความละเอียด 16
ล้านพิกเซล
พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, รองรับเทคโนโลยี AI Beauty, โหมดถ่ายบุคคล
(Portrait) ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้, โหมด Night
สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่เวลากลางคืน
และการบันทึกวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอที่สามารถปรับระดับความเบลอได้
รวมถึงเปลี่ยนรูปแบบของ Bokeh
- ลำโพงเสียงแบบคู่ พร้อมระบบเสียงแบบ Dolby Atmos
- มอเตอร์ระบบสั่นแบบ X-Axis Linear Motor (X-Axis Tactile Engine)
- ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi 6, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual SIM : Nano SIM + Nano SIM)
- ระบุตำแหน่ง และนำทางด้วยระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass และ BeiDou
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.2
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- พอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
- ฟังก์ชัน App Lock และ Private Safe เพื่อความเป็นส่วนตัว รวมถึง Kid Space
การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก
- ฟังก์ชัน Full Screen Multitasking สำหรับเปิดแอปพลิเคชันอื่นๆ
ขณะใช้งานในโหมดการแสดงผลเต็มหน้าจอ เช่น การเล่นเกม หรือการชมวิดีโอต่างๆ
- การใช้งาน Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังแอปพลิเคชันต่างๆ ให้เป็นสีดำ
- โหมด Focus สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก
- ฟังก์ชัน Game Assistant ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง
พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม
- ฟังก์ชัน Game Space ที่สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ
รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอขณะเล่นเกมได้
- ฟังก์ชัน App Cloner สำหรับใช้งานแอปพลิเคชัน Facebook ได้พร้อมกัน 2
แอคเคานท์
- ฟังก์ชัน Split Screen สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ
- ฟีเจอร์ Multi-Screen Interaction
สำหรับแชร์หน้าจอจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลที่หน้าจอทีวี หรือจอมอนิเตอร์อื่นๆ
โดยไม่ต้องใช้สาย
- ราคาคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม
จุดเด่นของ
realme 9 Pro 5G
- ดีไซน์แบบ Photochromism ด้วยกระบวนการเคลือบ 3 ชั้น
ทำให้สีสันเป็นประกายเจิดจ้า พร้อมแสงแบบแนวตั้งที่ให้ความเงางาม
- สีฟ้า (Sunrise Blue)
เป็นตัวเลือกเดียวที่สามารถเปลี่ยนสีฝาหลังได้เมื่อโดนแดด ด้วยการดีไซน์แบบ
Light Shift Design
- ระบบระบายความร้อนแบบ Liquid Cooling System
- ตัวเครื่องขนาด 164.3x75.6x8.5 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 195 กรัม
- หน้าจอแสดงผล 120Hz Ultra Smooth Display (LCD) ขนาด 6.6 นิ้ว
ความละเอียดระดับ Full HD+ (2412x1080 พิกเซล : 400 ppi)
พร้อมอัตราส่วนในการแสดงผลแบบ 20:9, สัดส่วนจอแสดงผลกับตัวเครื่องที่ 90.8%, ค่า Refresh Rate ระดับสูงสุดที่ 120Hz และค่า Touch Sampling Rate
ระดับ 240Hz
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 695 5G ความเร็ว 2.2 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 619
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 6GB หรือ 8GB พร้อมเทคโนโลยี Dynamic
RAM Expansion ในการเพิ่ม RAM เสมือนจากพื้นที่ตัวเครื่อง (ROM) ได้สูงสุด
5GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.2 ขนาด 128GB
- รองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD Card
- แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 33W Dart Charge (11V/3A)
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 12 พร้อมครอบทับด้วย realme UI 3.0
กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera)
ประกอบด้วย
- กล้อง Wide (Main) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.79, มุมรับภาพ 79 (ทางยาวโฟกัส 25.18 มิลลิเมตร) และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 119 (ทางยาวโฟกัส 15.62 มิลลิเมตร) และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 88.8 (ทางยาวโฟกัส 21.88 มิลลิเมตร), ระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
โดยรองรับโหมด Super Nightscape สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืน กับที่แสงน้อย
พร้อมเพิ่ม Nightscape filter เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ของภาพ รวมถึงโหมด Pro
ที่ปรับตั้งค่าอื่น ๆ ได้เพิ่มเติม, โหมดการถ่ายภาพบุคคล (Portrait)
ทั้งในเวลากลางวัน - กลางคืน ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้ พร้อมรูปแบบ
Bokeh ให้เลือกใช้หลากหลาย, โหมด Street Photography 2.0 ที่มาพร้อมฟังก์ชัน
Smart Long Exposure ทั้งหมด 4 รูปแบบ รวมถึงฟีเจอร์ Peak and Zoom
ในการควบคุมการซูมภาพ พร้อมโฟกัสได้เพียงลากนิ้วไปมาที่ปุ่มชัตเตอร์
และการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD 1080p พร้อมฟีเจอร์ AI
Highlight Video, โหมด Movie และ Dual-View Video
กล้องดิจิทัลด้านหน้าฝังบนจอ (In-Display Selfie) ความละเอียด 16
ล้านพิกเซล
พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 รองรับเทคโนโลยี AI Beauty พร้อมโหมดถ่ายบุคคล
(Portrait) ที่สามารถปรับระดับความเบลอได้, โหมด Night
สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่เวลากลางคืน และโหมดป้องกันการสั่นไหวขณะบันทึกวิดีโอ
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านข้างตัวเครื่อง (Ultra-Fast Side Mounted Fingerprint Sensor) พร้อมระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock)
- รองรับไฟล์เสียงความละเอียดสูง (Hi-Res)
- ระบบเสียง Real Sound HD พร้อม Dirac 2.0
- ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ Wi-Fi (2.4/5 GHz), 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual SIM : Nano SIM + Nano SIM) บนถาดแบบ Hybrid Slot
- ระบุตำแหน่ง และนำทางด้วยระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass และ BeiDou
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.1
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- พอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
- ฟังก์ชัน App Lock และ Private Safe เพื่อความเป็นส่วนตัว รวมถึง Kid Space
การจัดการแอปพลิเคชันสำหรับเด็ก
- ฟังก์ชัน Full Screen Multitasking สำหรับเปิดแอปพลิเคชันอื่นๆ
ขณะใช้งานในโหมดการแสดงผลเต็มหน้าจอ เช่น การเล่นเกม หรือการชมวิดีโอต่างๆ
- การใช้งาน Dark Mode ในการเปลี่ยนพื้นหลังแอปพลิเคชันต่างๆ ให้เป็นสีดำ
- โหมด Focus สำหรับช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก
- ฟังก์ชัน Game Assistant ช่วยในเรื่องของภาพให้ออกมาสมจริง
พร้อมเพิ่มอรรถรสเวลาเล่นเกม
- ฟังก์ชัน Game Space ที่สามารถบล็อกการแจ้งเตือน Pop-up ต่างๆ
รวมถึงการล็อกระดับความสว่างของหน้าจอขณะเล่นเกมได้
- ฟังก์ชัน App Cloner สำหรับใช้งานแอปพลิเคชัน Facebook ได้พร้อมกัน 2
แอคเคานท์
- ฟังก์ชัน Split Screen สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 หน้าจอ
- ฟีเจอร์ Multi-screen Interaction
สำหรับแชร์หน้าจอจากสมาร์ทโฟนไปแสดงผลที่หน้าจอทีวี หรือจอมอนิเตอร์อื่นๆ
โดยไม่ต้องใช้สาย
- ราคาคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณสมบัติโดยรวม
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ realme 9 Pro+ 5G
- ตัวเครื่องมีพื้นผิวที่เงางาม จึงเกิดรอยนิ้วมือได้ง่าย
- ตัวเครื่องไม่มีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ หรือป้องกันฝุ่น
- ไม่รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card หรือแบบอื่น ๆ
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ realme 9 Pro 5G
- ลำโพงเสียงเป็นแบบเดี่ยว
- หน้าจอแสดงผลยังไม่ใช่เทคโนโลยี AMOLED
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือไม่ใช่แบบฝังใต้หน้าจอ
- ตัวเครื่องมีพื้นผิวที่เงางาม จึงเกิดรอยนิ้วมือได้ง่าย
- ตัวเครื่องไม่มีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ หรือป้องกันฝุ่น
สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด
ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ realme 9 Pro และ realme 9 Pro+ ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้
สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ realme 9 Pro 6GB+128GB
สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ realme 9 Pro 8GB+128GB
สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ realme 9 Pro+ 8GB+256GB
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบ หรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
วันที่ : 01/03/2022