ตอนนี้คุณอยู่ที่ >> หน้าแรก >> หน้ารวม รีวิวมือถือ mobile review >> รีวิวมือถือ Mobile Review
   
Date : 28/02/2024
รีวิว OPPO Watch X

รีวิว OPPO Watch X สมาร์ตวอทช์แฟลกชิป สวยแกร่งพรีเมียม แบตอึดชาร์จไว ใส่ว่ายน้ำได้ พร้อมแทร็คการวิ่งแม่นยำด้วย GPS ความถี่คู่ โดนใจทั้งสายฟิตเนส และสายแฟชั่น ในราคา 11,990 บาท


หลายปีมานี้วงการสมาร์ตวอทช์บ้านเราเติบโตขึ้นมาก สังเกตได้จากตัวเลือกในตลาดที่มีมากมายหลายแบบหลายราคา OPPO ในฐานะแบรนด์ใหญ่ตลาดมือถือโลก รวมทั้งในไทย ก็มีสมาร์ตวอทช์ของตัวเองเช่นกัน ซึ่งล่าสุดก็ได้เปิดตัวรุ่นแฟลกชิปอย่าง OPPO Watch X ไปเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา เพื่อลุยตลาดสมาร์ตวอทช์พรีเมียมอย่างเต็มตัว

OPPO Watch X นับว่าเป็นรุ่นต่อยอดโดยตรงของ OPPO Watch รุ่นแรกที่เปิดตัวออกมาเมื่อ 3 ปีก่อน โดยได้รับการยกเครื่องใหม่หมดทั้งดีไซน์, สเปก และฟีเจอร์ภายใน โดยมากับคุณสมบัติเด่น ๆ หลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นกระจกหน้าปัดคริสตัลแซฟไฟร์ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ, บอดี้สแตนเลสกันน้ำระดับ 5ATM, ระบบ GPS ความถี่คู่ที่สามารถแทร็คเส้นทางการวิ่งได้อย่างแม่นยำ, โหมดการออกกำลังกายเฉพาะทาง พร้อมแบตเตอรี่สุดอึดที่ใช้งานได้นานสุดถึง 100 ชั่วโมง และฟีเจอร์การติดตามข้อมูลสุขภาพครบครัน ตั้งแต่อัตราการเต้นของหัวใจ, ออกซิเจนในเลือด, การนอน และความเครียด เรียกได้ว่าตอบโจทย์ทุกความต้องการได้ในเรือนเดียว ไม่จะสายฟิตเนสที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย หรือสายแฟชั่นที่อยากได้สมาร์ตวอทช์ที่ใส่แล้วดูดี

และในโอกาสนี้ OPPO Watch X ตัวจริงเสียงจริงก็ได้มาอยู่ในมือของทีมงาน Thaimobilecenter เรียบร้อยแล้ว ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร การใช้งานจริงจะตอบโจทย์ได้ดีขนาดไหน เราไปชม รีวิว OPPO Watch X พร้อมกันได้เลยครับ


จุดเด่นในเบื้องต้น

จุดที่ต้องพิจารณาในเบื้องต้น

  • ดีไซน์สวยงาม ทนทาน กันน้ำลึก วัสดุพรีเมียม

  • มีโหมดออกกำลังกายเฉพาะทาง

  • แบตเตอรี่อึด ชาร์จไว

  • GPS ความถี่คู่ (L1+L5) ติดตามเส้นทางได้แม่นยำยิ่งขึ้น

  • มีแค่ขนาด 46 มิลลิเมตร อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีข้อมือเล็ก

  • ยังไม่รองรับการใช้งานร่วมกับ iPhone

  • ไม่รองรับ eSIM หากต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ต หรือโทรศัพท์ ต้องเชื่อมต่อกับมือถือผ่าน Bluetooth


ดีไซน์ และงานประกอบภายนอก


OPPO Watch X มาในดีไซน์ที่ดูเรียบง่าย ทะมัดทะแมง แต่ก็มีความสปอร์ตในเวลาเดียวกันที่ OPPO เรียกว่า “ดีไซน์คอสมอส” ซึ่งผสมผสานนาฬิกาสไตล์โมเดิร์น และสไตล์คลาสสิกเข้าด้วยกัน เหมาะกับการใส่ออกกำลังกาย หรือจะใส่เพื่อเป็นแฟชั่นเฉย ๆ ก็ไม่ดูขัดเขิน และยังเป็นดีไซน์ที่เหมาะกับทั้งคุณผู้ชาย และคุณผู้หญิง


หน้าปัดนาฬิกามีขนาด 46 มิลลิเมตร เป็นจอแสดงผล OLED ขนาด 1.43 นิ้ว ความละเอียด 466x466 พิกเซล ตัวกระจกเป็นคริสตัลแซฟไฟร์ มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ และสามารถกันรอยขีดข่วนได้ดีเมื่อเทียบกับกระจกนิรภัยทั่วไปในสมาร์ตวอทช์รุ่นอื่น อีกทั้งหน้าจอสามารถเร่งความสว่างได้สูงสุด 1,000 nits สามารถสู้แสงแดดกลางแจ้งได้สบาย ๆ

สำหรับตัวเรือนเป็นวัสดุสแตนเลสสตีล ทนทานหายห่วงด้วยมาตรฐานทางการทหาร MIL-STD-810H ทนต่ออุณภูมิต่ำสุด -20 องศาเซลเซียส และสูงสุด 55 องศาเซลเซียส ไม่ว่าจะลุยขนาดไหนก็เอาอยู่


ขณะเดียวกัน ตัวเรือนยังมีคุณสมบัติกันน้ำ IP68 และทนต่อแรงดัน 5ATM สามารถใส่ว่ายน้ำได้เลย


บนตัวเรือนของ OPPO Watch X จะมีปุ่มให้ใช้งาน 2 ปุ่ม คือปุ่มเม็ดมะยม และปุ่มฟังก์ชัน มีการจัดวางเข้ากับส่วนโค้งเว้าของตัวเรือนอย่างพอดี สามารถกดใช้งานได้สะดวก

- ปุ่มเม็ดมะยม : กดเพื่อเรียกดูแอป หรือกลับหน้าโฮม
- ปุ่มฟังก์ชัน : กดเพื่อเข้าสู่โหมดออกกำลังกายอย่างรวดเร็ว หรือจะตั้งค่าให้เปิดฟังก์ชันอื่น ๆ ก็ได้

ทั้งนี้ใต้ปุ่มเม็ดมะยมจะมีช่องไมโครโฟนเล็ก ๆ ส่วนช่องลำโพงจะอยู่อีกด้านหนึ่ง


สายรัดที่ติดมากับตัวนาฬิกาจะเป็นสายยางฟลูออรีน ซึ่งมีความยืดหยุ่น แห้งไว ไม่เหม็นอับ เหมาะกับการใส่ออกกำลังกาย สำหรับเครื่องที่นำมารีวิวเป็นสี Mars Brown ซึ่งมีสายสีน้ำตาลอิฐ และตัวเรือนสีเงิน ให้อารมณ์หรูหราพรีเมียม สามารถใส่เข้ากับชุดหล่อชุดสวยไปออกงานได้อย่างลงตัว

ส่วนอีกสีหนึ่งที่มีให้เลือกคือ Platinum Black ซึ่งเป็นสีดำทั้งสาย และตัวเรือน ให้อารมณ์สปอร์ต


หากไม่ชอบสายรัดที่มีมาให้ก็สามารถถอดเปลี่ยนได้ โดยกดที่สลักบริเวณปลายสาย ซึ่ง OPPO ก็มีสายแบบตรงรุ่นมาให้เลือกมากมายหลายแบบ หรือจะใช้สายนาฬิกาทั่วไปที่มีขนาดเท่ากันก็ได้เช่นกัน


ใต้ตัวเรือนจะเป็นที่อยู่ของเซนเซอร์ต่าง ๆ สำหรับวัดข้อมูลทางสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเต้นของหัวใจ, ออกซิเจนในเลือด, ชีพจร และอื่น ๆ และมีพินแม่เหล็กสำหรับชาร์จแบตเตอรี่


สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่อง นอกจากตัวนาฬิกาแล้วจะมีสายชาร์จ, แท่นชาร์จแม่เหล็ก และคู่มือการใช้งาน


การเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟน

OPPO Watch X สามารถใช้งานร่วมกับสมาร์ตโฟนระบบ Android ได้ทุกรุ่นที่เป็นระบบปฏิบัติการ Android 8.0 ขึ้นไป โดยเชื่อมต่อผ่านสัญญาณ Bluetooth และแอปพลิเคชัน OHealth ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากบน Google Play Store ส่วนสมาร์ตโฟน Android (Go Edition) และ iOS ยังไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ในขณะนี้

 

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น OHealth


เมื่อติดตั้ง OHealth เสร็จแล้วให้เปิดแอปขึ้นมาแล้วแตะที่ อุปกรณ์ > เพิ่มอุปกรณ์ > อื่น ๆ แล้วเลือก OPPO Watch X จากนั้นทำตามคำแนะนำที่ปรากฏขึ้น ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาทีก็พร้อมใช้งาน


ภายในแอปพลิเคชัน OHealth เราสามารถดูข้อมูลทางสุขภาพ และบันทึกการออกกำลังกายที่เชื่อมกับ OPPO Watch X ได้ รวมถึงสามารถปรับแต่งสไตล์หน้าปัด และอัปเดตเฟิร์มแวร์

 

ประสิทธิภาพทรงพลังด้วยชิปประมวลผลคู่

OPPO Watch X เป็นสมาร์ตวอทช์รุ่นแรกของโลกที่มีชิปเซ็ตประมวลผล 2 ตัว (Dual Chipset) โดยเป็นชิปประมวล Qualcomm Snapdragon W5 Gen 1 และชิป BES2700 ซึ่งชิปทั้งสองตัวนอกจากจะมีประสิทธิภาพสูงแล้ว ยังออกแบบมาให้ประหยัดพลังงานเป็นพิเศษอีกด้วย

นอกจากนี้ OPPO Watch X ยังมีหน่วยความจำภายใน ได้แก่ RAM 2GB และ ROM 32GB สามารถเก็บรูปถ่าย และเพลงไปเปิดดูหรือเปิดฟังได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนตลอดเวลา แถมยังเชื่อมต่อกับหูฟัง Bluetooth ได้ด้วย


ส่วนระบบปฏิบัติการจะเป็น Google Wear OS 4 เวอร์ชันล่าสุด เชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนได้อย่างรวดเร็ว และรองรับแอปพลิเคชันสุขภาพชื่อดังต่าง ๆ ได้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น Strava, Adidas Running, MyFitnessPal หรือ AllTrails เป็นต้น และยังรองรับ Google Health Connect ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันเก็บข้อมูลสุขภาพของ Google เอง ทำให้โอนย้ายข้อมูลไปยังสมาร์ตวอทช์เครื่องอื่นได้ง่าย


โหมดกีฬากว่า 100 โหมด และกีฬาเฉพาะทาง

OPPO Watch X ใช้อัลกอริทึม OPPO Sense ทำงานร่วมกับเซนเซอร์ต่าง ๆ ในการแทร็คข้อมูลการออกกำลังกายอย่างแม่นยำ โดยมีโหมดการออกกำลังการแบบจัดเต็มกว่า 100 แบบ ครอบคลุมทั้งในร่ม และกลางแจ้ง แถมยังมีโหมดกีฬาเฉพาะทาง Professional Sports Modes อีก 11 โหมดด้วยกัน ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลเฉพาะของกีฬานั้น ๆ ได้ เช่น โหมดแบดมินตัน ที่มีการแทร็คจำนวนการตีลูก หรือโหมดเทนนิสที่มีการแทร็กการตีทั้งการเสิร์ฟ, โฟร์แฮนด์ และแบ็คแฮนด์ เป็นต้นช่วยให้เราเก็บสถิติการออกกำลังกายได้แม่นยำกว่าเดิม

หรือถ้าไม่ได้เล่นกีฬาอะไรเป็นพิเศษ ก็ยังมีโหมดออกกำลังกายแบบฟรีสไตล์ให้ใช้งานเหมือนกัน


ส่วนใครที่กลัวว่าจะลืมเปิดโหมดการออกกำลังกาย OPPO Watch X ก็มีระบบตรวจจับการออกกำลังกายโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะเริ่มแทร็กทันทีที่มีกิจกรรมเกิดขึ้น ต่อให้เราลืมก็ยังมีการบันทึกให้เราอยู่ดี จึงไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้เลยครับ


เพื่อนแท้นักวิ่ง ด้วย GPS ความถี่คู่ และการแทร็กแบบเจาะลึก

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ OPPO Watch X ที่บรรดานักวิ่งจะต้องชอบอย่างแน่นอนก็คือระบบ GPS ความถี่คู่ โดยรองรับทั้ง L1 และ L5 ต่างจากสมาร์ตวอทช์ทั่วไปที่มักจะรองรับแค่ L1 ช่วยให้แทร็คเส้นทาง และความเร็วในการวิ่งได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น แม้จะวิ่งในเมืองที่มีตึกสูง หรือในสวนสาธารณะที่มีต้นไม้หนาทึบ


สำหรับนักวิ่ง มาดูกันว่านาฬิกา OPPO Watch X เดี่ยว ๆ ที่ไม่ได้พึ่งพาอุปกรณ์เสริมใด ๆ ให้ข้อมูลการวิ่งได้ละเอียด และลึกแค่ไหน (หน่วยวัดสามารถตั้งค่าได้) รวมทั้งข้อมูลแต่ละอย่างนั้นหมายถึงอะไร และมีประโยชน์อย่างไร

 

 

ข้อมูลพื้นฐาน

1. แผนที่
2. ระยะทาง (km)
3. อัตราการเผาผลาญพลังงาน (kcal)
4. ระยะเวลาทั้งหมด (min)
5. ความเร็วเฉลี่ย (min/km) ทั้งหมด พร้อมความเร็วในแต่ละกิโลเมตร
6. รอบขาเฉลี่ย (steps/min) ทั้งค่าเฉลี่ย และค่าสูงสุด
7. จำนวนก้าว (steps)
8. ความยาวช่วงก้าว (m) ทั้งค่าเฉลี่ย และค่าสูงสุด
9. อัตราการเต้นของหัวใจเฉลี่ย (bpm) พร้อมบอกระยะเวลาของแต่ละโซนหัวใจ

 

 

ข้อมูลระดับสูง

10. GCT Balance (left/right) หรือ Ground Contact Time Balance ซึ่งเป็นค่าที่บอกความสมดุลของเท้าซ้าย-เท้าขวาที่สัมผัสพื้นขณะวิ่ง โดยค่าในอุดมคติคือ 50%/50% นั่นคือออกแรงเท้าซ้าย-เท้าขวาเท่ากันโดยสมบูรณ์ แต่โดยปกติจะมีการเบี่ยงเบนเล็กน้อยเช่น 49.5%/50.5% ซึ่งไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้ามากกว่านี้ก็ต้องมาปรับกัน เพราะไม่เช่นนั้นก็อาจเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ

11. AVG GCT (ms) หรือ Average Ground Contact Time ซึ่งเป็นค่าระยะเวลาที่เท้าสัมผัสพื้นขณะวิ่งโดยเฉลี่ย ยิ่งระยะเวลาสัมผัสพื้นน้อย ก็ยิ่งประหยัดแรง สำหรับนักวิ่งทั่วไป ถ้าต่ำกว่า 300ms ก็ถือว่าโอเคแล้ว

12. AVG VO (cm) หรือ Average Vertical Oscillation ซึ่งเป็นค่าระยะการเด้งตัวขณะวิ่งในแนวดิ่ง ค่านี้ยิ่งน้อยยิ่งดี เพราะยิ่งตัวเราเด้งขึ้น-ลงสูงมาก ก็จะยิ่งสูญเสียพลังงานไปโดยไม่จำเป็น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากแรงกระแทก ในขณะที่ถ้าเด้งขึ้น-ลงน้อย ก็จะช่วยให้ความยาวช่วงก้าวของเราเพิ่มขึ้นได้ด้วย

13. AVG VR (%) หรือ Average Vertical Ratio ซึ่งเป็นค่าสัดส่วนของการเด้งตัวในแนวดิ่ง กับการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า นั่นหมายความว่ายิ่งค่านี้ต่ำเท่าไหร่เราก็จะยิ่งวิ่งด้วยการใช้พลังงานที่น้อยลงเท่านั้น เพราะการวิ่งที่ประสิทธิภาพเราต้องเน้นเคลื่อนที่ไปข้างหน้ามากกว่านั่นเอง

14. AVG Power (w) หรือ Average Power ซึ่งเป็นค่ากำลังเฉลี่ยที่ใช้ในการวิ่ง มีหน่วยเป็นวัตต์ (w) ที่มีประโยชน์สำหรับการฝึกซ้อม หรือวางแผนการแข่งขัน ทำให้เรารู้ว่าระยะทางเท่านี้ เราต้องวิ่งประคองไปด้วยกำลังกี่วัตต์จึงจะไม่หมดแรงก่อนถึงเส้นชัย ทำให้ไม่ต้องวิ่งเกินกำลังของตัวเอง

และจากค่าเหล่านี้ นาฬิกาก็จะประเมินให้ได้ด้วยว่ามันอยู่ในระดับที่ดี หรือไม่ดีอย่างไร ตั้งแต่ระดับแย่มาก (Very Poor), แย่ (Poor), ปกติ (Normal), ดี (Good) และยอดเยี่ยม (Excellent)

 

 

ข้อมูลวิเคราะห์อื่น ๆ

15. Aerobic Effectiveness หรือระดับผลลัพธ์ของการฝึกฝนด้วยการใช้ระบบพลังงานแบบ Aerobic
16. Cardio Fitness หรือค่า VO2 Max ซึ่งบ่งบอกถึงปริมาณของออกซิเจนสูงสุดที่ร่างกายของเราสามารถนำมาใช้งานได้ในขณะออกกำลังกาย หรือพูดภาษาง่าย ๆ ก็คือค่าความฟิตนั่นเอง
17. Energy Recovery Time หรือระยะเวลาที่แนะนำให้พักหลังออกกำลังกาย เพื่อให้ได้พลังงานกลับคืนมาเต็มที่อีกครั้ง
18. Heart Rate Recovery หรือค่าการฟื้นตัวของอัตราการเต้นของหัวใจ

 

ซึ่งจะเห็นว่าข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้มาแบบเรียลไทม์ระหว่างการวิ่ง และหลังการวิ่งมีความลึก และละเอียดใกล้เคียงกับนาฬิกาวิ่งชั้นนำเลยทีเดียว และสามารถทำได้ในตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริมใด ๆ แม้จริง ๆ แล้วการใช้อุปกรณ์เสริมเฉพาะทางอย่าง Running Dynamics Pod (RD Pod) หรือสายคาดอกสำหรับวิ่งโดยเฉพาะ น่าจะให้ค่าที่แม่นยำมากกว่า แต่สำหรับนักวิ่งทั่วไป แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการวิ่งโดยรวมของตัวเอง


ฟังก์ชันการติดตามสุขภาพครบครัน


นอกจากเรื่องการออกกำลังกายแล้ว OPPO Watch X ยังรองรับการติดตามข้อมูลสุขภาพอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเต้นของหัวใจ, ออกซิเจนในเลือด, ตรวจจับการนอนหลับ, ตรวจจับการกรน และการตรวจจับความเครียด พร้อมแจ้งเตือนให้ผ่อนคลาย และที่สำคัญคือมีฟีเจอร์แจ้งเตือนเมื่อตรวจพบความเสี่ยงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับอีกด้วย


สำหรับการใช้งานทั่วไป OPPO Watch X ซิงค์การแจ้งเตือนจากสมาร์ตโฟนได้รวดเร็ว ส่วนคุณภาพการโทรก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ เสียงดังฟังชัดทั้งต้นสาย และปลายสาย ลำโพงของตัวนาฬิกามีเสียงดังพอสมควร ได้ยินชัดแม้อยู่กลางแจ้ง แต่สำหรับ OPPO Watch X นั้นไม่รองรับ eSIM ในตัว ดังนั้นหากต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ต หรือโทรศัพท์ ต้องเชื่อมต่อกับมือถือผ่าน Bluetooth

 

แบตเตอรี่สุดอึด ใช้ได้นานสูงสุด 100 ชั่วโมง

OPPO Watch X มากับแบตเตอรี่ขนาด 500 mAh ซึ่งด้วยการจัดสรรพลังงานที่ดีของชิปประมวลผลทั้งสองตัวข้างต้น ทำให้สามารถใช้งานได้นานถึง 4 วัน หรือ 100 ชั่วโมง และเท่านั้นยังไม่พอ หากเปิดโหมดประหยัดพลังงาน (Power Saver) จะสามารถอยู่ได้นานสุดถึง 12 วันเลยทีเดียว

จากการทดสอบใช้งานจริงโดยใช้งานแบบปกติทั้งวัน ตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม พบว่าแบตเตอรี่ของ OPPO Watch X ลดไปแค่ 8% เท่านั้น หลังจากใช้งานไป 3 วัน แบตเตอรี่เหลือ 49% นับว่าแบตอึดมากเมื่อเทียบกับสมาร์ตวอทช์หลาย ๆ รุ่นในตลาด การันตีว่าไม่ต้องชาร์จทุกวันแน่นอน อย่างไรก็ตาม ความอึดของแบตเตอรี่ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานด้วย หากใช้โหมดออกกำลังกายบ่อย หรือใช้โทร และเปิดเพลง ก็อาจจะใช้งานได้สั้นลง

ส่วนการชาร์จนั้น OPPO Watch X รองรับระบบชาร์จไว VOOC สามารถชาร์จจนเต็ม 100% ได้ในเวลาแค่ 60 นาทีเท่านั้น หรือถ้าไม่มีเวลาจริง ๆ จะชาร์จแค่ 10 นาทีก็มีแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ถึง 24 ชั่วโมง เรียกได้ว่าไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่ หรือการชาร์จแม้แต่น้อย

 

ราคา, โปรโมชัน และการวางจำหน่าย

OPPO Watch X วางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ววันนี้ที่ OPPO Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศในราคา 11,990 บาท โดยมีให้เลือก 2 สี คือ Platinum Black และ Mars Brown

สำหรับผู้ที่สั่งซื่อ OPPO Watch X ระหว่างวันที่ 29 กุมภาพันธ์-31 มีนาคม 2567 เลือกรับสายนาฬิกามูลค่า 599 บาท ฟรี! และสามารถใช้คะแนนแลกรับคูปองส่วนลดเพิ่มได้อีก 2,000 บาท นอกจากนี้ หากซื้อร่วมกับสมาร์ตโฟน หรือแท็บเล็ต OPPO รับส่วนลดเพิ่มอีก 1,000 บาท

 

สรุปประสบการณ์หลังใช้งาน OPPO Watch X

หลังจากที่มีโอกาสใช้งาน OPPO Watch X มาราว 1 สัปดาห์ โดยสรุปแล้วในเรื่องของดีไซน์ และงานประกอบ OPPO Watch X ถือว่าเป็นสมาร์ตวอทช์ที่พรีเมียมอีกรุ่นหนึ่ง โดยมาในดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่สวยหรู ผสมผสานความโมเดิร์น และความคลาสสิกได้อย่างลงตัว สามารถสวมใส่ได้ทั้งในเชิงแฟชั่น และการออกกำลังกาย

เรื่องความทนทาน OPPO Watch X มีงานประกอบที่ประณีต แน่นหนา และกันน้ำได้ ตัวเรือนเป็นสแตนเลส ส่วนกระจกเป็นคริสตัลแซฟไฟร์ จึงทนทานต่อรอยขีดข่วน และแรงกระแทกได้ดี ส่วนสายรัดข้อมือที่ติดมากับตัวเครื่องก็มีความเหนียว ทนทาน และไม่อับชื้น จึงใส่ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างคล่องตัวมั่นใจ ไม่ว่าจะในร่ม หรือกลางแจ้ง แถมยังทำความสะอาดง่ายอีกด้วย

หน้าจอแสดงผลของ OPPO Watch X เป็นจอ OLED มีสีสันที่สดใส และสู้แสงแดดกลางแจ้งได้ดี ไม่มีปัญหาในการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ขณะเดียวกัน ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ถึง 1.43 นิ้ว ทำให้มีพื้นที่ในการแสดงข้อมูลต่าง ๆ ค่อนข้างกว้าง จึงอ่านแจ้งเตือนได้ง่าย และแตะใช้งานได้สะดวก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ OPPO Watch X มีแค่หน้าปัดขนาด 46 มิลลิเมตรให้เลือกเท่านั้น ซึ่งอาจจะใหญ่ไปหน่อยสำหรับคนที่มีข้อมือเล็ก โดยเฉพาะคุณผู้หญิง

 

จุดเด่นของ OPPO Watch X คือการตอบโจทย์สายฟิตเนสอย่างจริงจัง ด้วยโหมดการออกกำลังกายที่มีให้เลือกเยอะมาก รวมแล้วกว่า 100 แบบ ซึ่งน่าจะครอบคลุมการออกกกำลังกายทั้งหมดเท่าที่เราจะหาเล่นได้ในบ้านเรา (มีแม้กระทั่งสกี) บางโหมดจะมีการเก็บข้อมูลเฉพาะทางของกีฬานั้น ๆ เช่น การตีลูก ทำให้เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น และนำไปใช้คำนวณอัตราการเผาผลาญแคลอรีได้แม่นยำขึ้น ซึ่งดีกว่าสมาร์ตวอทช์ทั่ว ๆ ไป

สำหรับระบบ GPS ความถี่คู่ เท่าที่ทดสอบในเบื้องต้น มีความแม่นยำสูงทีเดียวทั้งด้านระยะทาง และความเร็ว เหมาะกับนั่งวิ่ง และนักปั่น ไม่ว่าจะเป็นมือสมัครเล่นหรือมืออาชีพ โดยเฉพาะการวิ่งที่มีการแทร็กข้อมูลอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็น GCT, Pace, อัตราการก้าว, ความยาวในการก้าว และความชัน ทำให้เรานำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับปรุงการวิ่งในคราวต่อ ๆ ไปได้ ถูกใจนักวิ่งสายฮาร์ดคอร์แน่นอน

ทั้งนี้ OPPO Watch X มีคุณสมบัติของการกันน้ำในระดับ 5ATM ในทางทฤษฎีแล้วสามารถทนต่อแรงดันน้ำได้เทียบเท่าความลึกระดับ 50 เมตร หมายความว่าเราสามารถใส่ OPPO Watch X ดำน้ำได้ แต่เนื่องจากเราไม่มีโอกาสได้ทดสอบการดำน้ำลึก จึงไม่ค่อยแนะนำให้ใส่ดำน้ำเท่าไหร่ แต่การใส่ว่ายน้ำ หรือดำน้ำตื้นแบบมีสน็อกเกิ้ล สามารถทำได้ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน

 

ส่วนใครที่ไม่ใช่สายออกกำลังกาย OPPO Watch X ก็ตอบโจทย์ในเชิงแฟชั่นเช่นกัน โดยสามารถปรับแต่งหน้าปัด และสายนาฬิกาได้หลากหลาย เนื่องจากใช้สายนาฬิกาขนาด 22 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในขนาดมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป จึงสามารถใช้ร่วมกับสายนาฬิกาอื่น ๆ ได้หมด ไม่จำเป็นต้องเป็นสายของ OPPO Watch และยังมีหน้าปัดให้เลือกเปลี่ยนอีกหลายรูปแบบ ทำให้เราสามารถ “Mix & Match” หน้าปัดและสายออกมาได้แบบไม่มีเบื่อ

ด้านการใช้งานทั่วไป OPPO Watch X สามารถรับการแจ้งเตือนต่าง ๆ จากสมาร์ตโฟนได้รวดเร็ว และสามารถพิมพ์ หรือส่งข้อความเสียงกลับได้จากตัวนาฬิกา ช่วยให้เราตอบกลับแบบเร็ว ๆ ได้ในตอนที่เราไม่สะดวกหยิบสมาร์ตโฟน ส่วนการโทรก็ถือว่ามีคุณภาพที่ดี มีสัญญาณที่เสถียร และเสียงดังฟังชัดทั้งต้นสาย และปลายสาย ลำโพงของตัวนาฬิกามีเสียงดังพอสมควร ได้ยินชัดแม้อยู่กลางแจ้ง แต่น่าเสียดายเล็กน้อยที่ OPPO Watch X นั้นไม่รองรับ eSIM ดังนั้นหากต้องการใช้งานฟีเจอร์เหล่านี้ ต้องเชื่อมต่อกับมือถือผ่าน Bluetooth

ปิดท้ายกันด้วยเรื่องแบตเตอรี่ ถือว่า OPPO Watch X ทำได้ดีทีเดียว โดยมีแบตเตอรี่อึดกว่าสมาร์ตวอทช์ของแบรนด์อื่น ๆ หลายรุ่น แถมยังชาร์จไวแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ใครที่กำลังมองหาสมาร์ตวอทช์แบตเตอรี่อึด ๆ รุ่นนี้ไม่ทำให้ผิดหวังครับ

โดยสรุปแล้ว OPPO Watch X เป็นสมาร์ตวอทช์ระดับพรีเมียมที่มีดีไซน์สวยงาม ทนทาน และงานประกอบดี มีจุดเด่นอยู่ที่ความอึดของแบตเตอรี่ และระบบ GPS ความถี่คู่ที่จับเส้นทางได้อย่างแม่นยำ ตอบโจทย์คนที่ชอบการออกกำลังกาย โดยเฉพาะกิจกรรมการวิ่ง ที่กำลังได้รับความนิยมมากในยุคนี้ครับ


สรุปคุณสมบัติเด่นของ OPPO Watch X

  • ขนาดตัวเครื่อง 47×46.6×12.1 มิลลิเมตร

  • น้ำหนัก 49 กรัม (เฉพาะตัวเรือน) / 80 กรัม (รวมสาย)

  • หน้าปัดขนาด 46 มิลลิเมตร มีพื้นที่แสดงข้อมูลค่อนข้างมาก

  • คุณสมบัติกันน้ำ-กันฝุ่นมาตรฐาน IP68

  • คุณสมบัติทนแรงดันน้ำระดับ 5ATM สามารถใส่ว่ายน้ำ หรือดำน้ำได้

  • ได้รับการรับรองมาตรฐานความทนทานทางการทหาร MIL-STD-810H

  • สายรัดข้อมือยางฟลูออรีน ยืดหยุ่น เบา ไม่เหม็นอับ

  • หน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 1.43 นิ้ว ความละเอียด 466x466 พิกเซล ความหนาแน่นพิกเซล 326 PPI เร่งความสว่างได้สูงสุด 1,000 nits สู้แสงแดดกลางแจ้งได้ดีเยี่ยม

  • โครงสร้างแบบชิปประมวลผลคู่ (Dual Chipset) ประกอบด้วย :

    • Qualcomm Snapdragon W5 Gen 1 (4 นาโนเมตร)

    • BES2700 MCU

  • รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi, Bluetooth และ NFC

  • หน่วยความจำ RAM 2GB + ROM 32GB

  • ชุดเซนเซอร์ :

    • เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ 8 แชนเนล

    • เซนเซอร์วัดระดับออกซิเจนในเลือด 16 แชนเนล

    • ไจโรสโคป

    • เซนเซอร์วัดความเร่ง

    • เซนเซอร์ตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

    • เซนเซอร์ตรวจจับความสว่างตามสภาพแวดล้อม

    • เซนเซอร์วัดความดันบรรยากาศ

  • ระบบปฏิบัติการ Wear OS + RTOS เวอร์ชันใหม่ล่าสุด

  • กล้องหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย : 

  • แบตเตอรี่ความจุ 500 mAh รองรับระบบชาร์จไว Watch VOOC

  • ระบุตำแหน่งด้วยระบบดาวเทียม GPS, BEIDOU, GLONASS, GALILEO, QZSS (L1+L5)


สรุปจุดเด่นของ OPPO Watch X

  • ดีไซน์สวยงาม เหมาะกับการสวมใส่ในทุกโอกาส

  • วัสดุ และงานประกอบมีความทนทาน พร้อมลุยทุกกิจกรรม

  • มีโหมดกำลังกายให้เลือกมากกว่า 100 แบบ และมีโหมดออกกำลังกายเฉพาะทาง

  • แบตเตอรี่ค่อนข้างอึด สามารถใช้งานได้ประมาณ 4 วัน (ประมาณ 100 ชั่วโมง) ภายใต้การใช้งานปกติ และ 12 วันในโหมดประหยัดพลังงาน

  • มีระบบชาร์จไว ซึ่งชาร์จเต็ม 100% ได้ในเวลาแค่ 60 นาที

  • รองรับ GPS ความถี่คู่ (L1+L5) ทำให้ติดตามเส้นทางได้แม่นยำยิ่งขึ้น

  • แทร็คข้อมูลการวิ่งอย่างละเอียด เหมาะสำหรับนักวิ่งมืออาชีพ

  • ฟังก์ชันครบครันทั้งการออกกำลัง, ติดตามข้อมูลสุขภาพ และการใช้งานทั่วไป ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน

 

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO Watch X

  • หน้าปัดค่อนข้างใหญ่ และมีให้เลือกเพียงขนาดเดียว อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีข้อมือเล็ก

  • ยังไม่รองรับการใช้งานร่วมกับ iPhone และสมาร์ตโฟนระบบ Android (Go Edition)

  • ไม่รองรับ eSIM หากต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ต หรือโทรศัพท์ ต้องเชื่อมต่อกับมือถือผ่าน Bluetooth


วันที่ : 28/02/2024

Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy