ตอนนี้คุณอยู่ที่ >> หน้าแรก >> หน้ารวม รีวิวมือถือ mobile review >> รีวิวมือถือ Mobile Review
   
Date : 10/08/2022


 

รีวิว OPPO Reno8 Z 5G สมาร์ทโฟน The Portrait Expert ถ่ายคนสวยเป็นธรรมชาติ บนตัวเครื่องสีใหม่ สีทอง Dawnlight Gold ดีไซน์ขอบเหลี่ยมสุดหรู ในราคาเอื้อมถึง

10 สิงหาคม 2022 - สำหรับ OPPO Reno Series ถือเป็นไลน์ผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนที่มักจะมีความโดดเด่นด้านดีไซน์ที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยฝาหลังที่มีความเพรียวบาง และบอดี้ที่มีความเงางามระยิบระยับ อีกทั้ง Reno Series ยังเป็นมือถือที่ขึ้นชื่อด้านการถ่ายภาพบุคคล หรือภาพพอร์ตเทรต (Portrait) ได้อย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ ด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ OPPO ได้ตั้งใจพัฒนาขึ้นมาเพื่อการถ่ายภาพด้วยมือถือให้สวยงามได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้ว

ล่าสุดวันนี้ OPPO Reno Series ก็ได้เดินทางมาถึง OPPO Reno 8 Series 5G เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยหนึ่งในรุ่นเด่นของซีรีส์นี้ และมีราคาที่จับต้องได้ง่ายที่สุดก็คือ OPPO Reno8 Z 5G ที่มีจุดเด่นด้านกล้องถ่ายภาพพอร์ตเทรตตามสโลแกน “The Portrait Expert” สมาร์ทโฟน 5G ที่ถ่ายภาพคนได้สวยเป็นธรรมชาติที่สุด

นอกจากกล้องถ่ายภาพ Portrait แล้ว OPPO Reno8 Z 5G ยังได้มีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่น OPPO Reno7 Z 5G ทั้งในเรื่องของดีไซน์ และคุณสมบัติภายใน ด้วยบอดี้ขอบเหลี่ยมสุดเรียบหรู บนฝาหลังที่ครอบทับด้วยกระจก anti-glare ที่บางเฉียบเพียง 0.5 มิลลิเมตร และสีตัวเครื่องใหม่ล่าสุดกับสีทอง Dawnlight Gold ที่ให้เฉดสีที่รู้สึกสดชื่น และหรูหราโดดเด่น

ด้านประสิทธิภาพการทำงาน และคุณสมบัติโดยรวมก็ถือว่าครบเครื่องด้วยชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdraogn 695 5G Mobile Platform ผสานแบตเตอรี่ขนาด 4500mAh ที่มีระบบชาร์จไว 33W SUPERVOOC ซึ่งใช้เวลาชาร์จเพียง 5 นาที ก็สามารถสนทนาได้นานต่อเนื่องถึง 3.4 ชั่วโมง หรือจะชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม 100% ก็ใช้เวลาเพียง 63 นาทีเท่านั้น

สำหรับตัวเครื่องจริงของ OPPO Reno8 Z 5G จะมีความสวยงามเพียงใด และจะมีฟีเจอร์อะไรที่น่าสนใจบ้างนั้น ไปติดตามรีวิวฉบับเต็มจากทีมงาน Thaimobilecenter กันได้เลยครับ


รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์

OPPO Reno8 Z 5G มาพร้อมกับ กล่องผลิตภัณฑ์สีฟ้าอมเขียวซึ่งเป็นสีที่ใช้กับ Reno Series มาอย่างยาวนาน โดยที่ด้านบนจะมีการพิมพ์ชื่อรุ่นพร้อมเลข 8 ให้เห็นเด่นชัดมาแต่ไกล


อุปกรณ์ที่มาพร้อมชุดจำหน่ายมาตรฐาน ได้แก่ ตัวเครื่อง, อะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่แบบ 33W SUPERVOOC, สาย USB Type-C, เคสกันกระแทก, เข็มถอดถาดซิมการ์ด, คู่มือความปลอดภัย และคู่มือการใช้งานแบบด่วน


สำหรับ OPPO Reno8 Z 5G มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Punch-Hole AMOLED FHD+ Display ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ บนดีไซน์หน้าจอแบบเจาะรู ซึ่งมีพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องที่ 90.8% พร้อมรองรับการแสดงสีสันตามขอบเขตสีแบบ NTSC color saturation และ DCI-P3 color gamut นอกจากนี้ยังผ่านการรับรองมาตรฐาน SGS Eye Care Display ที่มั่นใจได้ในเรื่องการช่วยถนอมสายตา รวมถึง Amazon Prime Video HD และ Netflix HD อีกด้วย

ที่ด้านบนของหน้าจอแสดงผลมาพร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด ถัดมาจะเป็นลำโพงเสียงสำหรับสนทนา


ที่ด้านล่างของหน้าจอแสดงผลมาพร้อมกับปุ่มควบคุมแบบสัมผัสบนหน้าจอ ประกอบไปด้วย ปุ่ม Recent Apps สำหรับเรียกดูแอปพลิเคชันที่เปิดใช้งานล่าสุด, ปุ่ม Home สำหรับย้อนกลับไปยังหน้าโฮมสกรีน และปุ่ม Back สำหรับย้อนกลับ นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่สำหรับติดตั้งเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแสดงผลแบบ Smart Backlight In-Display Fingerprint Unlock

ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่มปรับระดับเสียง และถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot


ที่ด้านบนมาพร้อมกับไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวนขณะสนทนา


ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อกหน้าจอแสดงผล

ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วยพอร์ตหูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และลำโพงเสียงตัวหลัก


ที่ด้านหลังของตัวเครื่องเรียกได้ว่ามาพร้อมกับดีไซน์ที่สวยงาม และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยในรุ่น OPPO Reno8 Z 5G เป็นสมาร์ทโฟน OPPO เครื่องแรกที่มาพร้อมกับฝาหลังกระจก anti-glare ที่บางเฉียบเพียง 0.5 มิลลิเมตร ซึ่งการใช้กระจกแบบ anti-glare จะช่วยให้ฝาหลังของสมาร์ทโฟนสามารถเล่นกับแสงได้อย่างเนียนตา เห็นสีสันแห่งดีไซน์แบบ OPPO Glow ที่มีลวดลายกลิตเตอร์เปล่งเป็นประกายได้อย่างสวยงาม โดยสีที่ทุกท่านกำลังรับชมในรีวิวนี้คือ สีทอง Dawnlight Gold ซึ่งเป็นการเคลือบผิวแบบไล่ระดับทำให้เกิดเอฟเฟกต์สีรุ้ง ผสานกับสีเหลืองอันอบอุ่น สร้างสีม่วง, สีฟ้า, สีทอง และสีชมพู ที่จะเปลี่ยนสีสันไปตามการหักเหของแสงตามมุมต่าง ๆ ให้ความรู้สึกคล้ายกับแสงดวงอาทิตย์แห่งรุ่งอรุณที่ตกกระทบบนมหาสมุทรที่มีสีสันต่างออกไปตามชั้นของเมฆนั่นเอง


ที่ด้านบนมาพร้อมกับชุดกล้องหลังจำนวน 3 ตัว (AI Triple Camera) และไฟแฟลช LED ที่จัดเรียงอยู่ในกรอบโมดูลมันวาว ซึ่งจะใช้โทนสีที่ตัดกับสีบอดี้ได้อย่างลงตัวสวยงาม โดยกล้องแต่ละตัวประกอบไปด้วย 

- กล้อง 64MP AI Portrait Camera พร้อมรูรับแสงขนาด f1.7, มุมรับภาพ 79 องศา (ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร), โครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์, ระบบโฟกัสอัตโนมัิติแบบ PDAF และมอเตอร์โฟกัสแบบ Open-Loop
- กล้อง Depth (Mono) ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89 องศา และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89 องศา, ระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์


นอกจากนี้ทาง OPPO ยังได้ติดตั้งไฟแจ้งเตือนแบบ Dual Orbit Lights บริเวณโมดูลกล้องคู่ ซึ่งเป็นไฟแจ้งเตือนสีฟ้า Baby Blue และ Light Blue ที่จะสว่างขึ้นตามสถานการณ์ต่าง ๆ ได้แก่ มีการแจ้งเตือน, มีสายเรียกเข้า, มีการเปิดเครื่อง, มีการชาร์จแบตเตอรี่ ไปจนถึงขณะเล่นเกม ซึ่งเสริมความโดดเด่นด้านดีไซน์ และความล้ำไปอีกระดับ


สำหรับตัวเครื่องของ OPPO Reno8 Z 5G นั้นเลือกใช้ดีไซน์แบบ Ultra Slim Retro Design โดยตัวเครื่องจะมีลักษณะเป็นขอบเหลี่ยมเพรียวบาง ที่ช่วยให้จับถือได้อย่างถนัดมือ ซึ่งจะมีความบางเฉียบเพียง 7.6 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักเบาประมาณ 181 กรัมเท่านั้น


ภายใต้ตัวเครื่องสวย ๆ แบบนี้มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 4500mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็วแบบ 33W SUPERVOOC รวมทั้งตัวเครื่องของ OPPO Reno8 Z 5G ยังผ่านการรับรองมาตรฐานคุณภาพจาก OPPO เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าตัวเครื่องจะมีคุณภาพ มีความคงทน แข็งแรง และปลอดภัย ด้วยการทดสอบแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบการตกหล่นกว่า 28,000 ครั้ง, การทดสอบการกดปุ่มเปิด-ปิดกว่า 500,000 ครั้ง หรือการทดสอบความทนต่ออุณหภูมิสูง และความชื้นสูงเป็นเวลากว่า 14 วัน


การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ

มาดูที่กล้องถ่ายภาพกันบ้าง สำหรับ OPPO Reno Series เป็นสมาร์ทโฟนที่ขึ้นชื่อด้านการถ่ายภาพบุคคล หรือการถ่ายภาพ Portrait ได้อย่างสวยงามเป็นธรรมชาติตามสโลแกน The Portrait Expert ซึ่งในรุ่น OPPO Reno8 Z 5G ก็ยังคงสานต่อความโดดเด่นนี้เอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยชุดกล้องหลังจำนวน 3 ตัวที่มีความละเอียดสูงถึง 64 ล้านพิกเซล พร้อมโหมดการถ่ายภาพที่น่าสนใจได้แก่


Bokeh Flare Portrait โหมดการถ่ายภาพบุคคลที่จะช่วยถ่ายภาพบุคคลแบบหน้าชัดหลังละลายได้อย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ พร้อมปรับดวงไฟโบเก้ให้มีดวงกลมสวยราวกับการถ่ายด้วยกล้องโปร ซึ่งการถ่ายภาพด้วยโหมดนี้แนะนำให้ผู้ใช้ถ่ายคู่กับฉากหลังที่มีแสงลอดผ่าน หรือมีการสะท้อนของแสง เช่น ต้นไม้, ริมแม่น้ำ เป็นต้น หรือถ่ายในตอนกลางคืนที่มีการเปิดไฟเป็นฉากหลัง ซึ่งจะช่วยให้การถ่ายภาพด้วย Bokeh Flare Portrait มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น

 

AI Portrait Retouching  ฟีเจอร์ที่ช่วยปรับใบหน้า, โทนผิว และแต่งหน้าให้ตัวแบบได้อย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ ด้วยอัลกอริทึมลบฝ้าด้วย AI พร้อมกับลบเลือนจุดต่าง ๆ บนใบหน้า เช่นสิว, รอยแผลเป็นจากสิว หรือจุดด่างดำ เป็นต้น แต่ยังคงรักษาความสวยงามตามธรรมชาติของใบหน้าผู้ใช้เอาไว้


โหมด Night สามารถถ่ายภาพกลางคืน หรือสถานที่แสงน้อยได้อย่างสว่างคมชัดโดยไม่จำเป็นต้องตั้งค่าใด ๆ


นอกจากนี้ กล้องหลังยังมาพร้อมกับโหมดการถ่ายภาพ และวิดีโอที่น่าสนใจอย่างเช่น Flash Snapshot ที่สามารถถ่ายภาพได้อย่างคมชัดแม้ว่าวัตถุ หรือตัวแบบกำลังเคลื่อนไหว, Ultra-Clear 108MP Image สำหรับถ่ายภาพเต็มความละเอียด 108 ล้านพิกเซล เหมาะกับผู้ที่ต้องการนำภาพไป Crop ใช้งานเฉพาะจุด ไปจนถึง Dual-View Video ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถบันทึกวิดีโอจากกล้องหน้า และกล้องหลังได้พร้อมกัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องนำไปตัดต่อในแอปพลิเคชันอื่น ๆ


ด้านการถ่ายวิดีโอ รองรับการบันทึกไฟล์ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD ที่เฟรมเรท 30FPS พร้อมทั้งสามารถเปิดใช้งานฟิลเตอร์เพื่อเปลี่ยนโทนสี ของวิดีโอได้อย่างง่าย ๆ

มาดูที่กล้องหน้ากันบ้าง ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์การถ่ายภาพที่น่าสนใจ และจัดเต็มไม่แพ้กล้องหลัง ไม่ว่าจะเป็น โหมดการถ่ายภาพเซลฟี่ Portrait ซึ่งเป็นการถ่ายภาพเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังละลาย และสามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์ Bokeh Flare Portrait สำหรับปรับโบเก้ให้มีดวงกลมสวยราวกับกล้องโปร


รวมถึง AI Color Portrait สำหรับดูดสีของฉากหลังให้เป็นสีขาวดำในขณะที่ยังคงสีของตัวแบบเอาไว้อย่างโดดเด่น, ฟีเจอร์ AI Portrait Retouching สำหรับปรับแต่งใบหน้าให้สวยงามเป็นธรรมชาติด้วย AI  และ Selfie HDR สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่แบบย้อนแสง หรือการถ่ายภาพเซลฟี่ในสภาวะแสงน้อย โดยที่ยังคงรายละเอียดของใบหน้า รวมถึงฉากหลังได้อย่างครบถ้วน


โหมด Night สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่ในตอนกลางคืน หรือสภาวะแสงน้อยได้อย่างสว่างคมชัด โดยสามารถเปิดฟังก์ชัน Retouch เพื่อช่วยปรับผิวให้ดูเรียบเนียนเป็นธรรมชาติได้


ด้านการบันทึกวิดีโอ รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD ที่เฟรมเรท 30FPS พร้อมทั้งสามารถเปิดฟังก์ชัน Retouch เพื่อช่วยปรับผิวให้ดูเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ


ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) ความละเอียดระดับ 64+2+2 ล้านพิกเซลของ OPPO Reno8 Z 5G











ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องตัวหลัก

 






ตัวอย่างภาพถ่ายแบบ Macro









ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Night

 

ภาพถ่ายเปรียบเทียบการเปิดใช้งานฟังก์ชัน AI Portrait Retouching

 

ภาพเปรียบเทียบการเปิดใช้งานโหมด Bokeh Flare Portrait


ภาพเปรียบเทียบการเปิดใช้งานโหมด Portrait และ Bokeh Flare Portrait









ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Bokeh Flare Portrait


ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซลของ OPPO Reno8 Z 5G

ภาพถ่ายเปรียบเทียบระหว่างโหมดปกติ และ Selfie HDR


ภาพถ่ายเปรียบเทียบระหว่างโหมดปกติ และ Selfie HDR พร้อมเปิดโหมด Portrait





ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Bokeh Flare Portrait


เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่าง ๆ

OPPO Reno8Z 5G มาพร้อมกับระบบปฏิบัคิการ Android 12 ครอบทับด้วย ColorOS เวอร์ชัน 12.1 ใหม่ล่าสุด ที่อัดแน่นไปด้วยฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะเพื่อให้การใช้งานสมาร์ทโฟนในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องที่ง่ายมากยิ่งขึ้น


ในหน้าโอมสกรีนมีการจัดเรียงแอปพลิเคชันทั้งหมด ในตัวเครื่องเพื่อให้เลือกใช้งานได้อย่างสะดวก และยังมีการจัดหมวดหมู่ของแอปพลิเคชันเพื่อให้เป็นระเบียบ ง่ายต่อการใช้งาน


เมื่อลากนิ้วจากบนลงล่างจะพบกับ Quick Setting ซึ่งเป็นหน้าที่รวบรวมคีย์ลัดสำหรับตั้งค่าตัวเครื่องแบบเร่งด่วน


รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 5G ทั้งสองซิมการ์ด และรองรับฟีเจอร์ Smart 5G เพื่อสลับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G และ 5G ให้แบบอัตโนมัติเพื่อประหยัดการใช้พลังงานแบตเตอรี่


สามารถปรับเปลี่ยนธีม, วอลเปเปอร์, รูปแบบของ Always-on Display, ไอคอน และไอคอนในหน้า Quick Setting ได้ที่เมนู Personalizations


รองรับการปรับธีมการแสดงผลเป็น Dark Mode เพื่อช่วยประหยัดการใช้พลังงาน และช่วยให้ใช้งานได้อย่างสบายตา


มาพร้อมกับระบบเสียง Real Sound Technology ที่สามารถปรับรูปแบบการเล่นเสียงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ค่าง ๆ ทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่


- Smart : ปรับแต่งการเล่นเสียงให้เหมาะสมกับคอนเทนต์ที่กำลังเล่นอยู่
- Movie : ปรับการเล่นเสียงให้เหมาะสมกับการรับชมภาพยนตร์ โดยปรับเสียงพูดให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
- Game : ปรับการเล่นเสียงให้เหมาะสมกับการเล่นเกม
- Music : ปรับการเล่นเสียงให้เหมาะกับการรับฟังเพลง โดยเน้นไปที่เสียงคนร้องที่สมจริง และเสียงเครื่องดนตรีที่มีความชัดเจน


มาพร้อมกับ Power Saving Mode สำหรับช่วยประหยัดการใช้งานแบตเตอรี่ และ Super power saving mode สำหรับช่วยประหยัดการใช้พลังงานแบตเตอรี่ในระดับสูงสุด โดยตัวเครื่องจะตัดการใช้งานของแอปพลิเคชันพื้นหลัง และเปิดใช้งานเฉพาะฟังก์ชันที่จำเป็นเท่านั้น


Special features แหล่งรวมฟีเจอร์พิเศษสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้โดยเฉพาะ เริ่มตั้งแต่ Split Screen สำหรับแบ่งการทำงานแอปพลิเคชันออกเป็นสองหน้าจอ, Flexible windows สำหรับเปิดแอปพลิเคชันแบบหน้าต่างลอย หรือจะเป็น Smart Sidebar สำหรับเข้าถึงคีย์ลัด และแอปพลิเคชันต่าง ๆ แบบเร่งด่วน เพียงลากแถบที่ด้านข้างของหน้าจอ


มาพร้อมกับฟีเจอร์ Air Gestures ฟังก์ชันควบคุมสมาร์ทโฟนเพียงแค่ใช้มือโบกโดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ โดยมีฟังก์ชันการใช้งานดังนี้

- ยกฝ่ามือหันไปทางหน้าจอเพื่อเล่น หรือหยุดวิดีโอใน YouTube
- ปัดขึ้น หรือลง เพื่อรับสาย หรือปิดเสียงสายเรียกเข้า
- ปัดมือเพื่อเลื่อนหน้าจอขึ้นหรือลงในแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียยอดนิยม เช่น Facebook, Instagram, TikTok และ YouTube


OPPO Reno8 Z 5G รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ โดยสามารถบันทึกลายนิ้วมือได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือ และรองรับการสแกนใบหน้า


ทางด้านฟีเจอร์เกี่ยวกับความปลอดภัยก็ครบเครื่อง โดยมาพร้อมกับฟังก์ชัน App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันที่ต้องการ, Hide Apps สำหรับซ่อนแอปพลิเคชัน และ Private Safe สำหรับเก็บไฟล์ภาพ และวิดีโอไว้ในตู้เซฟแบบเสมือน ซึ่งจะมีเพียงผู้ที่รู้รหัสเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงฟังก์ชันการใช้งานเหล่านี้ได้


ด้านประสิทธิภาพการทำงานของ OPPO Reno8 Z 5G มาพร้อมกับชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 695 5G Mobile Platform ที่ทำงานคู่กับหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB ที่มีฟีเจอร์ RAM Expansion สำหรับช่วยขยายขนาด RAM ด้วย ROM (Virtual RAM) เพิ่มเติมได้สูงสุด 5 GB พร้อมหน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 12 ที่ถูกครอบทับด้วย ColorOS เวอร์ชัน 12.1


เมื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของตัวเครื่องด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu พบว่า OPPO Reno8 Z 5G สามารถทำคะแนนได้ทั้งหมด 395,547 คะแนน


เมื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 5 พบว่า OPPO Reno8 Z 5G ทำคะแนนการประมวลผลแบบแกนเดี่ยว (Single-Core) ได้ทั้งหมด 687 คะแนน และทำคะแนนการประมวลผลแบบหลายแกน (Multi-Core) ได้ทั้งหมด 1,960 คะแนน


เมื่อทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลของหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark ในฉาก Wild Life พบว่า OPPO Reno8 Z 5G ทำคะแนนได้ทั้งหมด 1,207 คะแนน





เมื่อลองนำไปทดสอบการเล่นเกมยอดนิยมต่าง ๆ อย่างเช่น Fifa Mobile หรือ PUBG Mobile โดยปรับกราฟิกอยู่ในระดับกลางก็พบว่า OPPO Reno8 Z 5G สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหลเลยทีเดียว โดยจะมีอาการสะสมความร้อนให้พบเห็นบ้างเมื่อเล่นติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นอาการปกติของสมาร์ทโฟนที่มีการประมวลผลหนักอยู่ตลอดเวลา



ส่วนเกมที่มีกราฟิกหนัก ๆ อย่าง Seven Knight 2 ก็สามารถเล่นได้เช่นเดียวกัน แต่แนะนำให้ปรับกราฟิกอยู่ในระดับเริ่มต้น หรือระดับกลาง เพื่อรักษาเฟรมเรทให้เล่นได้อย่างลื่นไหลต่อเนื่อง


สามารถระบุตำแหน่ง และใช้ระบบนำทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการรองรับระบบดาวเทียมชั้นนำของโลกครบครัน ทั้ง GPS+A-GPS, Glonass, BeiDou, Galileo และ QZSS

 

สรุปผลการทดสอบของ OPPO Reno8 Z 5G

เรียกได้ว่า OPPO Reno8 Z 5G รุ่นใหม่นี้ยังคงสานต่อความโดดเด่นด้านการถ่ายภาพบุคคลของ OPPO Reno Series เอาไว้ได้เป็นอย่างดีสมกับสโลแกน The Portrait Expert ด้วยฟีเจอร์การถ่ายภาพที่อัดแน่น ตอบโจทย์การถ่ายภาพบุคคลในทุกสภาวะแสง ไม่ว่าจะเป็น Bokeh Flare Portrait สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังละลาย พร้อมปรับดวงไฟโบเก้ให้กลมสวยราวกับกล้อง DSLR, Selfie HDR สำหรับการถ่ายภาพเซลฟี่แบบย้อนแสง และในสภาวะแสงน้อยได้อย่างสว่างคมชัด, AI Portrait Retouching สำหรับปรับแต่งใบหน้าของตัวแบบให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ไปจนถึง AI Color Portrait ที่ช่วยให้ถ่ายภาพแบบดูดสีพื้นหลังโดยที่ไม่จำเป็นต้องนำไปปรับแต่งต่อในแอปพลิเคชันอื่น ๆ

ด้านการดีไซน์ของ OPPO Reno8 Z 5G เรียกได้ว่ามีความสวยงาม และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยมาพร้อมกับดีไซน์แบบ Ultra Slim Retro Design ซึ่งตัวเครื่องถูกออกแบบมาให้มีขอบเหลี่ยมดูเรียบหรูพรีเมียม พร้อมความบางเฉียบเพียง 7.6 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักเบาราว 181 กรัมเท่า นั้น จึงช่วยให้จับถือได้อย่างกระชับมือ รวมทั้ง OPPO Reno8 Z 5G ยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของ OPPO ที่มาพร้อมกับการครอบทับด้านหลังด้วยกระจกแบบ anti-glare ที่บางเฉียบเพียง 0.5 มิลลิเมตร ซึ่งจะช่วยให้การสะท้อนของเฉดสีฝาหลังเครื่องมีความนุ่มนวล ผสานรวมกับฝาหลังแบบ OPPO Glow Design ที่แกะสลักพื้นผิวแบบสองเลเยอร์ พร้อมกระบวนการเคลือบผิวที่ให้ความมัมวาว โดดเด่น และทนต่อรอยนิ้วมือ ที่สำคัญ OPPO Reno8 Z 5G ยังมาพร้อมกับเฉดสีใหม่กับสีทอง Dawnlight Gold ที่มอบเอฟเฟกต์สีรุ้งจากการเคลือบผิวแบบไล่ระดับ สร้างแสงสีม่วง, สีฟ้า, สีทอง และสีชมพู ซึ่งจะเปลี่ยนสีไปตามการหักเหของแสงจากมุมต่าง ๆ


อีกหนึ่งความน่าสนใจด้านงานดีไซน์ของ OPPO Reno8 Z 5G คือ Dual Orbit Lights ซึ่งเป็นไฟแจ้งเตือนที่ติดตั้งอยู่บริเวณโมดูลกล้องหลัง ที่จะส่องสว่างเมื่อมีการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่าง ๆ ทำให้ผู้ใช้ไม่พลาดทุกการแจ้งเตือนแม้จะคว่ำหน้าจอลง รวมทั้งไฟ Dual Orbit Lights ยังส่องสว่างขณะชาร์จแบตเตอรี่ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลูกเล่นที่หาได้ยากในสมาร์ทโฟนยุคปัจจุบัน


ด้านประสิทธิภาพการทำงาน OPPO Reno8Z 5G ถือว่าครบเครื่องทุกการใช้งานด้วยหน้าแสดงผลแบบ Punch-Hole AMOLED FHD+ Display ขนาด 6.43 นิ้ว ที่ผ่านการรับรองมาตราน Amazon Prime Video HD รวมถึง Netflix HD ทำให้การรับชมคอนเทนต์จะเป็นไปอย่างเต็มอารมณ์ พร้อมระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอช่วยให้ปลดล็อกเข้าใช้งานตัวเครื่องได้อย่างรวดเร็ว ภายในขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 695 5G Mobile Platform ที่ทำงานประสานกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB ซึ่งมีฟีเจอร์ RAM Expansion ที่ช่วยเพิ่ม RAM แบบเสมือน (Virtual RAM) ได้สูงสุด 5GB และหน่วยความจำภายในตัวเครื่องขนาด 128GB พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 4500mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็วแบบ 33W SUPERVOOC


สำหรับ OPPO Reno8 Z 5G เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยที่ 12,990 บาท พร้อมโปรโมชันสำหรับผู้ที่สั่งซื้อล่วงหน้า (Pre-Order) ระหว่างวันที่ 4-18 สิงหาคม 2565 จะได้รับของสมนาคุณมูลค่ารวม 7,499 บาท ได้แก่ E-VIP Card มูลค่า 5,000 บาท สำหรับรับประกันจอแตก, การรับประกันตัวเครื่อง และ RENO BACKPACK มูลค่า 2,499 บาท สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณ OPPO ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง OPPO Reno8 Z 5G มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ


จุดเด่นของ OPPO Reno8 Z 5G

- ดีไซน์ตัวเครื่องขอบเหลี่ยมเบาบางแบบ Ultra Slim Retro Design โดยมีน้ำหนักเพียงแค่ประมาณ 181 กรัม พร้อมความบางของตัวเครื่องประมาณ 7.66 มิลลิเมตร
- ฝาหลังเคลือบผิวแบบ OPPO Glow Design ที่สามารถเปล่งประกายได้อย่างระยิบระยับ ผสานกระจกฝาหลังแบบใหม่ anti-glare ที่มีความบางเพียง 0.5 มิลลิเมตร ซึ่งช่วยให้สะท้อนสีสันได้อย่างนุ่มนวล
- สีสันตัวเครื่องแบบใหม่ Dawnlight Gold ที่ให้เอฟเฟกต์สีรุ้งแบบไล่ระดับผสมผสานกับสีเหลืองอันอบอุ่น
- ไฟวงแหวนคู่แบบ Dual Orbit Lights รอบเลนส์กล้องหลักที่ด้านหลังตัวเครื่อง ที่ส่องสว่างได้นานต่อเนื่องสูงสุด 40,000 ชั่วโมง พร้อมรองรับการแจ้งเตือนการโทร, ข้อความ และอื่น ๆ
- จอแสดงผลแบบ Punch-Hole AMOLED FHD+ Display ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ พร้อมพื้นที่แสดงผล 90.80%, ได้รับการรับรอง Netflix HD / Amazon Prime Video HD Certification, ได้รับการรับรองมาตรฐาน SGS Eye Care Display และครอบทับด้วยกระจก SCHOTT Xensation Up
- ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 695 5G Mobile Platform (SM6375) ความเร็ว 2.2 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 619
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4x ขนาด 8GB
- ระบบ RAM Expansion สำหรับช่วยขยายขนาด RAM ด้วย ROM (Virtual RAM) เพิ่มเติมได้สูงสุด 5 GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.2 ขนาด 128GB
- รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD ได้สูงสุดที่ขนาด 1 TB
- แบตเตอรี่ความจุ 4500mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 33W SUPERVOOC ที่ชาร์จแบตเตอรี่ได้ 100% ภายในเวลา 63 นาที
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ ColorOS 12.1 (พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Android 12) 

--------------------------------------------------

กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) แบ่งออกเป็น

- กล้อง 64MP AI Portrait Camera พร้อมรูรับแสงขนาด f1.7, มุมรับภาพ 79 องศา (ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร), โครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์, ระบบโฟกัสอัตโนมัิติแบบ PDAF และมอเตอร์โฟกัสแบบ Open-Loop
- กล้อง Depth (Mono) ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89 องศา และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89 องศา, ระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์

รวมทั้งมีคุณสมบัติเด่นอื่น ๆ ดังนี้

- ไฟแฟลชในตัว (LED Flash)
- โหมดการถ่ายภาพแบบ Bokeh Flare Portrait สำหรับถ่ายภาพ บุคคลแบบหน้าชัดหลังเบลอ พร้อมปรับดวงไฟโบเก้ให้มีความสวยงามราวกับถ่ายด้วยกล้อง DSLR
- โหมดการถ่ายภาพแบบ Selfie HDR สำหรับการถ่ายเซลฟี่แบบย้อนแสงให้สามารถเก็บรายละเอียดได้ครบถ้วนสวยงามทั้งส่วนมืด และส่วนสว่าง
- ฟังก์ชัน AI Portrait Retouching สำหรับใช้ปัญญาประดิษฐ์วิเคราะห์ฉากเพื่อปรับแต่งใบหน้าของผู้ใช้ให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ
- ฟังก์ชัน AI Palette สำหรับปรับฟิลเตอร์สีของภาพถ่ายให้มีความโดดเด่น
- รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080P FHD (30 fps)

กล้องดิจิทัลด้านหน้า ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล

พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 79 องศา, ฟีเจอร์ Selfie HDR และรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 1080P FHD (30 fps)

--------------------------------------------------

- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแสดงผล (Smart Backlight In-Display Fingerprint Unlock)
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ WiFi, 5G, 4G LTE, 3G, EDGE และ GPRS
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.1
- ระบุตำแหน่ง และนำทางด้วยระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, BeiDou, Galileo และ QZSS
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C พร้อมรองรับการใช้งาน USB OTG (USB On-The-Go)
- พอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร


จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO Reno8 Z 5G

- หน้าจอแสดงผลมีอัตราการรีเฟรช (refresh rate) สูงสุดที่ 60Hz
- ลำโพงเสียงเป็นแบบเดี่ยว
- มีให้เลือกเพียงรุ่นความจุเดียวคือ 128GB
- ไม่มีกล้องมุมกว้างพิเศษ (Ultra Wide) หรือกล้องเทเล (Telephoto) แต่ทดแทนด้วยกล้อง Macro สำหรับถ่ายภาพระยะใกล้ และกล้อง Depth สำหรับช่วยถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังละลาย
- กล้องหลังไม่รองรับการบันทึกวิดีโอที่เฟรมเรท 60 fps รวมทั้งวิดีโอแบบ 4K
- ถาดใส่ซิมการ์ดเป็นแบบ Hybrid Slot


สรุปคุณสมบัติเครื่อง

ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ OPPO Reno8 Z 5G ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้

สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ OPPO Reno8 Z 5G

 

โปรดทราบ

* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบ หรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *


วันที่ : 10/08/2022

Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy