รีวิว OPPO Reno8 T 5G รุ่นใหม่! สมาร์ตโฟนกล้องพอร์ตเทรต 108MP พร้อมพลังชาร์จ 67W SUPERVOOCTM และจอโค้ง 3 มิติ 120Hz บนดีไซน์ Dual Micro-Curved พรีเมียมไร้รอยต่อ
OPPO Reno Series เป็นอีกหนึ่งตระกูลสมาร์ตโฟนยอดนิยมในบ้านเราที่ขายดี และมีรุ่นใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดก็มีการเปิดตัวรุ่นใหม่อย่าง OPPO Reno8 T 5G มาตีตลาดในเซกเมนต์ระดับราคาหมื่นต้น ๆ และมากับคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ซึ่งเราก็ถือโอกาสนำมารีวิวให้ทุกท่านได้ชมกันเหมือนเช่นเคยครับ
แม้จะใช้ชื่อว่า Reno8 Series แต่ก็มีความแตกต่างจากรุ่นอื่นพอสมควร ด้วยคุณสมบัติที่เปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง รวมถึงดีไซน์ที่หรูหราขึ้น โดยมีการนำบางฟีเจอร์ที่มีอยู่ในรุ่น Find X Series มาใส่ในรุ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผลพันล้านสีขอบโค้ง หรือกล้อง Microlens นอกจากนี้ยังมีระบบชาร์จไว 67W SUPERVOOCTM เป็นรุ่นแรกของ Reno Series อีกด้วย ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่ 4800mAh ได้จนเต็ม 100% ภายในเวลา 44 นาทีเท่านั้น
สำหรับคุณสมบัติทั่วไป OPPO Reno8 T 5G ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 695 5G ซึ่งเป็นชิปเซ็ตระดับกลางรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง มาในตัวเครื่องดีไซน์สวยงามตามสไตล์ของ OPPO ด้วยเทคนิคการเคลือบฝาหลังแบบ OPPO Glow อันเป็นเอกลักษณ์ โดยคราวนี้มาในสีทองใหม่อย่าง Sunrise Gold และสีคลาสสิกอย่างสีดำ Midnight Black อีกทั้งยังเบาบางแบบ Ultra-Slim ด้วยความหนาเพียง 7.7 มิลลิเมตร และน้ำหนักเพียง 171 กรัม ถือใช้งานสะดวกทุกอิริยาบถ
ด้านหน้าของ OPPO Reno8 T 5G เป็นจอแสดงผลขอบโค้ง 3 มิติแบบ AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ รองรับความลึกสีในระดับ 10 bit นั่นคือแสดงผลสีสันได้กว่า 1.07 พันล้านสี โดยมีอัตราการรีเฟรช 120Hz นับว่าเป็นจอที่พรีเมียมมาก ๆ เมื่อเทียบกับสมาร์ตโฟนระดับกลางรุ่นอื่น ๆ จะใช้ดูหนัง หรือเล่นเกมก็เต็มอรรถรสอย่างแน่นอน
ส่วนการถ่ายภาพนั้นก็น่าสนใจเช่นกัน โดยมากับชุดกล้องหลัง 3 ตัว นำโดยกล้องหลักความละเอียด 108MP, กล้อง Depth ความละเอียด 2MP และกล้อง 40x Microlens หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นราวกับกล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายมากเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับที่เคยใส่เข้ามาในเรือธง OPPO Find X3 Pro นั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่ทำให้เราได้สัมผัสฟีเจอร์ระดับเรือธงหลายอย่างในราคาแค่หมื่นต้น ๆ เท่านั้น
มาถึงตรงนี้ทุกท่านคงอยากจะดูรีวิวเต็ม ๆ กันแล้ว เพราะฉะนั้นเราไปชมรายละเอียดเพิ่มเติมใน รีวิว OPPO Reno8 T 5G โดยทีมงาน Thaimobilecenter กันได้เลยครับ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
OPPO Reno8 T 5G มากับหน้าจอแสดงผล AMOLED ขอบโค้งขนาด 6.7 นิ้ว พร้อมขอบเครื่องบางเป็นพิเศษ และบางเท่ากันทุกด้าน ต่างจากสมาร์ตโฟนระดับกลางทั่วไปที่ขอบล่างมักจะหนากว่าด้านอื่น ๆ ทำให้มีพื้นที่แสดงผลมากถึง 93% นอกจากนี้ หน้าจอยังรองรับอัตราการรีเฟรชสูงสุด 120Hz และรองรับการแสดงผลแบบ 10-bit จึงสามารถแสดงผลได้กว่าพันล้านสี (1.07 พันล้านสี) เทียบได้กับสมาร์ตโฟนเรือธงบางรุ่น ส่วนความสว่างของหน้าจอสามารถสู้แสงในที่กลางแจ้งได้ค่อนข้างดี พร้อมทั้งรองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอด้วย และสำหรับกล้องหน้าของ OPPO Reno8 T 5G นั้นจะเป็นแบบเจาะรูฝังใต้จอ โดยเป็นกล้องความละเอียด 32MP ที่มีขนาดของรูรับแสงที่ f2.4
สำหรับเครื่องที่นำมารีวิวนี้เป็นสีทอง Sunrise Gold ซึ่งเป็นฝาหลังผิวด้านเหลือบแสง สามารถแสดงสีสันได้หลายเฉด ตั้งแต่สีฟ้า, สีชมพู, สีส้ม ไปจนถึงสีทอง และป้องกันรอยนิ้วมือได้ดี
สำหรับการถ่ายภาพ และวิดีโอ OPPO Reno8 T 5G จะใช้ชุดกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ดังนี้ :
- กล้องตัวหลัก (Main) ความละเอียด 108MP พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1.67 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.92 ไมครอน, เทคโนโลยี NanoPixel Plus, รูรับแสงขนาด f1.7, มุมรับภาพ 84°, ระบบโฟกัสอัตโนมัติ และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Depth ความละเอียด 2MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89°, ระบบโฟกัสอัตโนมัติ และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Microlens ความละเอียด 2MP พร้อมกำลังขยาย 40 เท่า, รูรับแสงขนาด f3.3, มุมรับภาพ 65° และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
ขอบเครื่องของ OPPO Reno8 T 5G มีความโค้งมนทุกด้าน จึงดูหรูหราพรีเมียมมากกว่ารุ่นทั่วไป พร้อมช่วยให้จับถือถนัดมือยิ่งขึ้น โดยปุ่มล็อกหน้าจอจะอยู่ทางขวา ส่วนปุ่มปรับระดับเสียงจะอยู่ทางซ้าย
ด้านบนของตัวเครื่องมีการติดตั้งไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนเอาไว้ ส่วนพอร์ตต่าง ๆ จะอยู่ด้านล่างทั้งหมด ซึ่งได้แก่ช่องใส่ซิมการ์ด, ไมโครโฟนหลัก, พอร์ต USB Type-C และช่องลำโพง อีกหนึ่งความพิเศษก็คือ ลำโพงเสียงจะเป็นระบบสเตอริโอ (ลำโพงคู่ Ultra Linear) โดยเสียงจะออกที่ลำโพงหลักด้านล่าง และลำโพงสนทนาด้านบน จึงสามารถสร้างอรรถรสด้านเสียงได้เป็นอย่างดี
ช่องใส่ซิมการ์ดเป็นแบบ Hybrid-Slot ซึ่งสามารถใส่ซิมการ์ดแบบ Nano SIM ได้ 2 ช่อง และช่องหนึ่งจะใส่การ์ดหน่วยความจำแบบ microSD ได้ด้วย
ส่วนอุปกรณ์ภายในกล่องประกอบด้วยเคส TPU, สาย USB Type-C, อะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ SUPERVOOCTM, เข็มถอดถาดซิมการ์ด และคู่มือการใช้งาน
เปิดเครื่อง พร้อมทดสอบการใช้งานด้านซอฟต์แวร์
OPPO Reno8 T 5G มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 13 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ครอบทับด้วย ColorOS 13 ดี ไซน์ของอินเทอร์เฟซดูนุ่มนวลสบายตา หากใครเคยใช้สมาร์ตโฟนของ OPPO มาก่อนก็คงจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว
หากต้องการปรับหน้าตาของอินเทอร์เฟซให้เป็น ไปตามสไตล์ของเรา สามารถกดค้างบนที่ว่างในหน้าจอโฮมเพื่อเข้าสู่โหมดการตั้งค่าได้ ซึ่งสามารถเลือกเปลี่ยนได้อย่างอิสระไม่ว่าจะเป็นวอลเปอร์, ไอคอน, วิดเจ็ต, แอนิเมชันการเปลี่ยนหน้า และอื่น ๆ
หรือถ้าต้องการธีมสวย ๆ ก็สามารถดาวน์โหลดได้จากแอป ร้านค้าธีม ซึ่งมีให้เลือกมากมายหลายแบบ โดยมีราคาอยู่ที่ประมาณ 20 บาทขึ้นไป
แน่นอนว่ารุ่นนี้มี โหมดกลางคืน และ โหมดถนอมสายตา ให้ใช้งาน สามารถตั้งเวลาเปิด-ปิดอัตโนมัติได้
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งค่าปลีกย่อยอื่น ๆ เช่น การปรับโหมดสีและอุณหภูมิสีของจอ, ปรับขนาดตัวอักษร และปรับอัตราการรีเฟรชหน้าจอได้ 2 ระดับคือ 60Hz กับ 120Hz
นอกจากการตั้งค่าทั่วไป ยังมี ตัวจัดการโทรศัพท์ ที่ช่วยล้างไฟล์ขยะ, ปิดกั้นเบอร์แปลก, สแกนไวรัส และตรวจสอบการใช้ดาต้า เป็นต้น สามารถกดปุ่ม เพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อให้ระบบจัดการทุกอย่างในคราวเดียวได้แบบง่าย ๆ
ส่วนฟังก์ชันพื้นฐานอย่างการโทร มีอินเทอร์เฟซที่สะอาด เข้าใจง่าย ไม่ได้มีฟังก์ชันพิเศษหรือหวือหวา
ในส่วนของฟังก์ชันด้านความปลอดภัย OPPO Reno8 T 5G รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และการสแกนใบหน้า
และยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง การ
ล็อกแอป ที่จะต้องยืนยันตัวตนด้วยรหัสผ่านก่อนเข้าใช้งาน
โดยรหัสผ่านจะถูกตั้งขึ้นมาใหม่และไม่ซ้ำกับรหัสล็อกหน้าจอ และฟีเจอร์
ซ่อนแอป ที่จะทำให้แอปซ่อนตัวโดยไม่แสดงบนหน้าจอ,
ไม่ถูกเก็บในประวัติการเปิดล่าสุด และไม่แสดงแจ้งเตือน
โดยผู้ใช้จะต้องกดรหัสจากหน้าการโทรเพื่อแสดงแอปที่ซ่อนอยู่
เพิ่มความเป็นส่วนตัวขึ้นไปอีกระดับ
สำหรับฟังก์ชันความบันเทิง OPPO Reno8 T 5G จะมีแอปสำหรับเล่นเพลงมาให้แล้ว พร้อมฟีเจอร์ Real Sound ช่วยปรับ EQ ให้เข้ากับคอนเทนต์รูปแบบต่าง ๆ และหากใครชอบฟังเพลงแบบกระหึ่มก็มีฟีเจอร์ Ultra-Volume Mode ที่ จะทำให้ลำโพงดังทะลุขีดจำกัดไปอีกหนึ่งระดับ สามารถเปิดใช้งานได้ตลอดเวลาเพียงแค่กดปุ่มเพิ่มเสียงจนสุด แล้วกดปุ่มเพิ่มเสียงอีกครั้ง
ส่วนวิดีโอก็มีแอปมาให้แล้วเช่นกัน แต่ก็มีเพียงฟังก์ชันพื้นฐานให้ใช้งาน
ส่วนการเล่นเกม OPPO Reno8 T 5G มีฟีเจอร์เสริมสำหรับการเล่นเกมมาให้พร้อม โดยมีแอปสำหรับรวมเกมทุกเกมที่ติดตั้งในเครื่องไว้ในที่เดียว พร้อมแสดงสถิติการเล่นของเราในช่วงที่ผ่านมา
เมื่ออยู่ในเกมสามารถเรียกเมนูตัวช่วยในการเล่นเกมออกมาได้ด้วยการปัดนิ้ว จากขอบจอด้านซ้าย โดยจะมีตัวเลือกให้ปิดกั้นการโทรและการแจ้งเตือน, เปลี่ยนโหมดประสิทธิภาพ, เพิ่มฟิลเตอร์ภาพในเกม และอื่น ๆ การใช้งานทั่วไปจะเหมือนกับใน ColorOS เวอร์ชันก่อน ๆ แต่มีการปรับปรุงอินเทอร์เฟซให้ดูดียิ่งขึ้น
หรือถ้าใครต้องการเล่นเกมโดยไม่มีอะไรมาขัดก็มี โหมดโฟกัสเกม ให้ใช้งาน ซึ่งจะปิดกั้นกิจกรรมทุกอย่างที่อาจรบกวนการเล่น ไม่ว่าจะเป็นแจ้งเตือน, สายโทรเข้า หรือแม้กระทั่งนาฬิกาปลุก และปิดการใช้งานตัวช่วยในการเล่นเกมไปด้วยเพื่อไม่ให้เผลอปัดมือไปโดน
สำหรับการทดสอบเล่นเกม เราได้ทดสอบด้วยเกมที่ได้รับความนิยม 3 เกม ได้แก่ RoV, PUBG Mobile และ Genshin Impact โดยตั้งค่ากราฟิกของแต่ละเกม ไว้ดังนี้ :
การตั้งค่าเกม RoV
การตั้งค่าเกม PUBG Mobile
การตั้งค่าเกม Genshin Impact
สำหรับการเล่นเกม OPPO Reno8 T 5G ทำ ได้ดีทีเดียว โดยสามารถรันทุกเกมข้างต้นได้อย่างราบรื่น ซึ่งตัวชิปเซ็ต Snapdragon 695 5G นั้นก็ถือว่ามีประสิทธิภาพค่อนข้างสูงจึงรองรับเกมทั่วไปได้หมด แม้กระทั่งเกมที่กินทรัพยากรอย่าง Genshin Impact ก็ยังเล่นได้ลื่น ๆ บนการตั้งค่าระดับต่ำถึงระดับกลาง เฟรมเรตโดยรวมค่อนข้างนิ่ง ไม่กระตุกให้หงุดหงิดใจ ส่วนการตอบสนองต่อการควบคุมก็มีความแม่นยำ ฉับไวไม่มีปัญหา เหมาะสำหรับการเล่นเกมทั่ว ๆ ไป ส่วนเกมที่กินสเปกสูง ๆ ก็พอเล่นได้ แต่อาจต้องปรับการตั้งค่ากราฟิกลงมาเพื่อให้เฟรมเรตอยู่ในระดับที่น่าพอใจครับ
มาดูในส่วนของการทดสอบประสิทธิภาพเชิงเทคนิคกันบ้างครับ เริ่มกันที่ผลการทดสอบ Benchmark บน AnTuTu ของ OPPO Reno8 T 5G ซึ่งอยู่ที่ 407720 คะแนน
และผลการทดสอบ benchmark บน Geekbench 5 อยู่ที่ single-core 687 คะแนน multi-core 1998 คะแนน
OPPO Reno8 T 5G ใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 695 5G แบบ 8-แกน (Octa-Core) ซึ่งมีหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 619 พร้อมด้วยหน่วยความจำแรม RAM ขนาด 8 GB และหน่วยความจำภายในขนาด 128 GB
สำหรับเซนเซอร์ในเครื่อง OPPO Reno8 T 5G ประกอบด้วย Accelerometer Sensor, Light Sensor, Proximity Sensor, Sound Sensor, Magnetic Sensor, Orientation Sensor ส่วนหน้าจอแสดงผลรองรับการสัมผัสได้พร้อมกันอย่างน้อย 10 จุด
ประสิทธิภาพของการระบุตำแหน่ง หรือนำทางนั้นถือว่ามีความรวดเร็วแม่นยำ ด้วยการรองรับระบบดาวเทียมชั้นนำของโลกครบครัน ทั้ง GPS+A-GPS, Glonass, BeiDou, Galileo และ QZSS
การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
โหมดการถ่ายภาพหลักจะเป็นโหมด รูปถ่าย ซึ่งมีระบบ AI Dazzling Color ช่วยเพิ่มความสดใสให้สีสันในภาพ ซึ่งจะเปิดหรือปิดใช้งานก็ได้ พร้อมกันนี้ยังมีฟิลเตอร์ และเอฟเฟกต์บิวตี้ให้ใช้งาน
ในการถ่ายภาพความละเอียดสูง 108MP สามารถเปิดใช้งานได้ที่แถบเมนูการตั้งค่าด้านบน
โหมด รูปคน สามารถปรับความเบลอของฉากหลัง พร้อมกับเปิดเอฟเฟกต์บิวตี้และฟิลเตอร์ได้ หากต้องการให้ไฟโบเก้ชัดขึ้น ให้เลือกฟิลเตอร์ "ถ่ายภาพด้วยแสงแบ็คกราวด์"
โหมด กลางคืน นอกจากจะเป็นการถ่ายภาพ จะมีฟิลเตอร์ให้เลือก 3 แบบ ซึ่งจะให้อารมณ์ของภาพที่แตกต่างกันไป
โหมด กล้องจุลทรรศน์ เป็นโหมดพิเศษของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ เป็นการถ่ายภาพในระยะใกล้มากด้วยกำลังขยาย 20-40 เท่า ทำให้เห็นรายละเอียดมากกว่าการถ่ายแบบมาโคร
โหมด โปร จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ตั้งค่าการถ่ายรูปได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นค่า ISO, Shutter Speed, การชดเชยแสง, หรือ White Balance
สำหรับการถ่ายวิดีโอ จะมีเอฟเฟกต์บิวตี้และฟิลเตอร์ให้ใช้งาน เลือกความละเอียดได้ระหว่าง 720p (HD) กับ 1080p (FHD) และสามารถถ่ายวิดีโอแบบมุมมองคู่ ที่จะเปิดใช้กล้องหน้าและกล้องหลังพร้อมกันได้
ส่วนกล้องหน้าของ OPPO Reno8 T 5G จะมีโหมดการถ่ายรูปทั่วไป, โหมดพอร์ตเทรต และโหมดกลางคืนให้ใช้งาน โดยในโหมดพอร์ตเทรตจะมีฟิลเตอร์ AI Colour Portrait ที่ดูดสีฉากหลังออกด้วย ส่วนโหมดวิดีโอจะรองรับความละเอียด 720p (HD) กับ 1080p (FHD)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลังของ
OPPO Reno8 T 5G
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดอัตโนมัติ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดอัตโนมัติที่ความละเอียด 108MP
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดกลางคืน
หน้าจอ OLED สมาร์ตโฟน
ตัวอักษรบนกระดาษที่พิมพ์ด้วยพรินเตอร์
เนื้อผ้าไมโครไฟเบอร์
ใบไม้
ตัวอักษรบนปุ่มคีย์บอร์ด
เกสรดอกไม้
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดจุลทรรศน์ (Microlens)
ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่จากกล้องหน้าความละเอียด 32MP ของ OPPO Reno8 T 5G
สรุปผลการทดสอบของ OPPO Reno8 T 5G
จากที่มีโอกาสได้ใช้งาน OPPO Reno8 T 5G มาระยะหนึ่ง ก็พอจะสรุปได้ว่านี่เป็นการยกระดับของ Reno Series ขึ้นไปอีกขั้น ทั้งประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และการนำฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่เคยอยู่ในสมาร์ตโฟนระดับเรือธงมาให้สัมผัสกันในช่วงราคาหมื่นต้น ๆ
ในเรื่องดีไซน์ แน่นอนว่า OPPO ไม่เคยทำให้ผิดหวัง โดยคราวนี้มาในสีใหม่ สีทอง Sunrise Gold ที่ทั้งดูสวยงามละมุนละไม และป้องกันคราบรอยนิ้วมือไปด้วยในตัว เมื่อรวมกับหน้าจอขอบโค้งและตัวเครื่องที่บางเบายิ่งเสริมให้ตัวเครื่องดูพรีเมียมยิ่งขึ้น เรียกว่าให้สัมผัสในการใช้งานแบบเดียวกับสมาร์ตโฟนเรือธงเลยทีเดียว
หน้าจอแสดงผลก็เป็นจุดเด่นของรุ่นนี้เช่นกัน โดยเป็นจอขอบโค้ง 3 มิติแบบ AMOLED ขนาด 6.7 นิ้วที่ครบเครื่อง ทั้งรองรับสีสันระดับพันล้านสี (ความลึกสีระดับ 10 bit) และมีอัตราการรีเฟรช 120Hz ทำให้ประสบการณ์การรับดูหนังและเล่นเกมดีมากสำหรับสมาร์ตโฟนระดับกลาง และยังช่วยให้ประสบการณ์การใช้งานโดยรวมดีขึ้นด้วย
ในเชิงประสิทธิภาพ OPPO Reno8 T 5G เลือกใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Snapdragon 695 5G ซึ่งแม้จะอยู่ในตระกูล 600 series แต่ก็เป็นรุ่นใหม่ และมีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง อีกทั้งยังรองรับ 5G สามารถรับมือกับการใช้งานได้ทุกรูปแบบในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่ว ๆ ไป, ดูหนัง-ฟังเพลง หรือการเล่นเกม แม้กระทั่งเกมที่กินสเปกเครื่องสูง ๆ ก็ยังเล่นได้บนการตั้งค่ากราฟิกที่เหมาะสม ขณะเดียวกันตัวชิปเซ็ตก็ควบคุมความร้อนได้ดี และไม่ค่อยกินแบตเตอรี่เท่าไหร่
กล้องของ OPPO Reno8 T 5G มีจุดเด่นอยู่ที่การถ่ายภาพพอร์ตเทรตความละเอียดสูงด้วยกล้อง 108MP โดยมีกล้อง Depth 2MP เป็นตัวช่วย ทำให้เก็บรายละเอียดได้มากกว่าภาพพอร์ตเทรตทั่วไป และยังมีฟีเจอร์ครบเครื่องทั้ง AI Portrait Retouching สำหรับปรับให้หน้าเนียนสวย, Bokeh Flare สำหรับเอฟเฟกต์ดวงไฟโบเก้ที่เด่นชัด และ AI Colour Portrait สำหรับดูดสีฉากหลัง ส่วนกล้องหน้าก็โดดเด่นไม่แพ้กันด้วยความละเอียดสูงถึง 32MP ที่มาพร้อม Selfie HDR ช่วยให้ถ่ายเซลฟี่ย้อนแสงได้โดยไม่ต้องกลัวหน้ามืด เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ตโฟน "ตัวจบ" เรื่องการถ่ายคนในราคาหมื่นต้น ๆ แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มีกล้อง Ultra Wide ติดตั้งมาให้ ทำให้ตัวเลือกในการถ่ายภาพนั้นน้อยลง
ส่วนกล้อง Microlens ที่ให้มาจะไม่เหมือนกับกล้องของ Find X3 Pro เสียทีเดียว ยังมีข้อจำกัดบางอย่าง นั่นคือจะถ่ายอยู่ในเฟรมวงกลมเท่านั้น และคุณภาพของรูปก็ไม่ดีเท่า จึงหาโอกาสใช้งานค่อนข้างยาก กล่าวคือเหมาะกับการถ่ายภาพสนุก ๆ หรือให้ดูแปลกใหม่มากกว่าจะนำไปใช้อย่างจริงจัง
โหมดอื่น ๆ อย่างโหมดกลางคืนก็อยู่ในระดับที่น่าประทับใจ โดยสามารถดึงเอาความสดใสของแสงไฟและรายละเอียดต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่ในเงามืดได้ดี อีกทั้งยังช่วยลด Noise ในภาพไปด้วยในตัว แต่ทั้งนี้โหมดกลางคืนจะไม่ทำงานหากสภาพแวดล้อมโดยรอบไม่มืดพอ
สำหรับการถ่ายวิดีโอจะมีเอฟเฟกต์บิวตี้ให้ใช้งาน และมีโหมดมุมมองคู่ที่จะถ่ายภาพจากกล้องหน้า และกล้องหลังพร้อมกัน โดยมีตัวเลือกการจัดวางจอได้ 3 แบบ หากเป็นคนที่ชอบถ่าย Vlog ก็น่าจะชอบฟีเจอร์นี้
จากทั้งหมดที่กล่าวมา OPPO Reno8 T 5G ถือเป็นสมาร์ตโฟนระดับกลางที่มีรูปลักษณ์พรีเมียมเกินราคา จอสวย เล่นเกมได้ลื่น ๆ และโดดเด่นด้านการถ่ายภาพพอร์ตเทรต เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ตโฟนราคาไม่เกิน 14,000 บาทครับ
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณ OPPO ประเทศไทย
ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง OPPO Reno8 T 5G
มาให้ทางทีมงานได้รีวิวกันในโอกาสนี้ด้วยครับ
รายละเอียดการวางจำหน่าย และโปรโมชัน
OPPO Reno8 T 5G สีทอง Sunrise Gold และสีดำ Midnight Black มีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่นความจุ ได้แก่รุ่น RAM 8GB + ROM 128GB ราคา 13,990 บาท และรุ่น RAM 8GB + ROM 256GB ราคา 14,990 บาท
ผู้ที่สนใจสามารถสั่งจองได้แล้วตั้งแต่วันที่ 9-16 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ OPPO Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการ พร้อมรับของสมนาคุณสุดพิเศษมูลค่ารวม 7,599 บาท ประกอบด้วย
- บัตร E-VIP Card สิทธิ์ประกันจอแตก 1 ปี จำนวน 1 ครั้ง
และรับประกันตัวเครื่อง 1 ปี มูลค่า 5,500 บาท
- ชุดของขวัญ Reno Gift Set ได้แก่เคสซิลิโคน, ขาตั้งมือถือ และลำโพงบลูทูธ
มูลค่ารวม 2,099 บาท
จุดเด่นของ OPPO Reno8 T 5G
- ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ Dual Micro-Curved Design ที่ไร้รอยต่อ, เรียบเนียน, บางเบา และมีความพรีเมียม
- หน้าจอครอบทับด้วยกระจกขอบโค้ง AGS DT-Star2
- ตัวเครื่องบางเฉียบเพียง 7.7 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนักเพียง 171 กรัม
- มี 2 มาตรฐานให้เลือก ได้แก่ สีดำ (Midnight Black) และสีทอง (Sunrise Gold)
-----------------------------------------
- จอแสดงผลขอบโค้ง 3 มิติ แบบ 3D Flexible AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2412x1080 พิกเซล : 394 PPI)
- อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุด 120Hz
- อัตราการตอบสนองต่อระบบสัมผัส (Touch Sampling Rate) สูงสุด 360Hz
- แสดงผลสีได้สูงสุด 1.07 พันล้านสี
- แสดงช่วงสีแบบ DCI-P3 ได้ 100%
- แสดงช่วงสีแบบ sRGB ได้ 100%
- ความสว่างสูงสุด 950 nits
- พื้นที่แสดงผล 93%
- ฟีเจอร์ AI Adaptive Eye
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (In-Display Fingerprint Scanner) พร้อมระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock)
-----------------------------------------
- ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 695 ความเร็ว 2.2 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 619
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8 GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.2 ขนาด 128 GB หรือ 256 GB
- รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมแบบ microSD
- แบตเตอรี่ความจุ 4800mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 67W SUPERVOOCTM ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม 100% ได้ภายในเวลา 44 นาที
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ ColorOS 13 (พัฒนาบนพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Android 13)
-----------------------------------------
กล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย
- กล้องตัวหลัก (Main) ความละเอียด 108MP พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1.67 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.92 ไมครอน, เทคโนโลยี NanoPixel Plus, รูรับแสงขนาด f1.7, มุมรับภาพ 84°, ระบบโฟกัสอัตโนมัติ และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Depth ความละเอียด 2MP พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89°, ระบบโฟกัสอัตโนมัติ และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Microlens ความละเอียด 2MP พร้อมกำลังขยาย 40 เท่า, รูรับแสงขนาด f3.3, มุมรับภาพ 65° และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
รวมทั้งมีฟีเจอร์ AI Portrait Super Resolution, AI Deep Learning, Stylish Portraits, Bokeh Flare Portrait, AI Colour Portrait, AI Portrait Retouching และ Flash Snapshot
กล้องหน้าความละเอียด 32MP
พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89°, ฟีเจอร์ Selfie HDR และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
-----------------------------------------
- ลำโพงเสียง Ultra Linear แบบคู่ (Dual Stereo Speakers) พร้อมฟีเจอร์ Ultra Volume (สูงสุด 200%)
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ Wi-Fi 5, 5G, 4G LTE, 3G WCDMA และ 2G EDGE/GPRS
- รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual Nano SIM : Dual Standby) บนถาดซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.1 และ NFC
- ระบุตำแหน่ง และนำทางด้วยระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, BeiDou, Glonass, Galileo และ QZSS
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO
Reno8 T 5G
- หน้าจอขอบโค้งอาจไม่เหมาะกับผู้ใช้บางกลุ่ม
- ไม่มีกล้องมุมกว้างพิเศษ (Ultra Wide) มาให้ใช้งาน
- ไม่รองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 4K หรือ 2K
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้ เป็นเครื่องทดสอบจากผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริง รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจถูกแก้ไขให้ดีขึ้นแล้วในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบ หรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองเพื่อความมั่นใจ *
วันที่ : 09/02/2023