รีวิว OPPO Reno6 5G สุดยอดสมาร์ทโฟนสายวิดีโอพอร์ตเทรต ดีไซน์โดดเด่น ขอบเหลี่ยม ชาร์จเร็ว 65W ชิปแรง จอลื่น ครบจบทุกการใช้งาน
17 กันยายน 2021 - หลังจากที่ทางทีมงานได้เคยทำการรีวิวรุ่นใหญ่อย่าง OPPO Reno6 Pro 5G ไปแล้วก่อนหน้านี้ ล่าสุดทาง OPPO ก็ได้มีการนำสมาร์ทโฟนในตระกูล Reno6 Series เข้ามาให้ผู้ใช้ในประเทศไทยได้จับจองกันอีกหนึ่งรุ่นในชื่อ OPPO Reno6 5G ซึ่งมาพร้อมกับความโดดเด่นด้านการถ่ายวิดีโอพอร์ตเทรตตามสโลแกน "อารมณ์ไหน ก็พอร์ตเทรต"
สำหรับ OPPO Reno6 5G เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่น่าสนใจในชั่วโมงนี้ เพราะจัดเต็มด้านคุณสมบัติมาให้แบบครบถ้วนทุกการใช้งาน เริ่มตั้งแต่หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ที่มีค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz ช่วยให้ใช้งานได้อย่างลื่นไหล พร้อมรองรับการชมสตรีมมิ่งคุณภาพสูงระดับ HD จาก Netflix และ Amazon Prime Video, ชิปเซ็ต 5G ที่มีความเร็วแรงจากแบรนด์ MediaTek อย่าง Dimensity 900 ทำงานควบคู่กับหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB ที่สามารถเพิ่ม RAM เสมือนด้วยระบบ RAM Expansion ได้สูงสุด 5GB รวมถึงแบตเตอรี่ที่มาพร้อมกับระบบชาร์จเร็วระดับเรือธงแบบ 65W SuperVOOC 2.0
ในด้านกล้องถ่ายภาพก็นับว่าเป็นจุดขายสำคัญเลยทีเดียว เพราะจัดเต็มมาให้กับกล้องหลังความละเอียดสูง 64 ล้านพิกเซล และกล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียดสูง 32 ล้านพิกเซล พร้อมฟีเจอร์การถ่ายภาพ และวิดีโอที่น่าสนใจอย่าง Bokeh Flare Portrait สำหรับถ่ายภาพ หรือวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ พร้อมกับปรับดวงไฟโบเก้ให้มีความสวยงามระยิบระยับ, Focus Tracking สำหรับโฟกัสติดตามวัตถุ หรือตัวแบบที่ต้องการ ไปจนถึง AI Highlight Video ที่ช่วยให้การถ่ายวิดีโอย้อนแสง รวมถึงการถ่ายวิดีโอกลางคืน มีความสว่างคมชัดมากยิ่งขึ้นกว่าที่เคย
สำหรับตัวเครื่องจริงของ OPPO Reno6 5G จะมีความสวยงามเพียงใด และจะมีฟีเจอร์อะไรที่น่าสนใจบ้างนั้น ไปติดตามรีวิวฉบับเต็มจากทีมงาน Thaimobilecenter กันได้เลยครับ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
มาดูที่ตัวเครื่องกันบ้าง OPPO Reno6 5G มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลเจาะรู AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ ที่มีค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz เพื่อช่วยให้แสดงผลได้อย่างลื่นไหล พร้อมค่า Touch Sampling Rate ระดับ 180Hz เพื่อตอบสนองต่อการสัมผัสได้อย่างฉับไว พร้อมรองรับรับการสตรีมมิ่งระดับ HD จากแพลตฟอร์มชื่อดังอย่าง Netflix และ Amazon Prime Video รวมทั้งยังผ่านการรับรองมาตรฐาน SGS Eye Care Display เพื่อป้องกันดวงตาจากแสงสีฟ้าที่อาจเป็นอันตราย เพื่อช่วยให้ใช้งานได้อย่างสบายตามากยิ่งขึ้น และที่สำคัญ OPPO Reno6 5G ยังมาพร้อมกับเซนเซอร์จับแสงแบบ 360° Light-sensing เพื่อทำการปรับแสงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมซึ่งใช้เซนเซอร์จำนวน 2 ตัวในการวัดแสง โดยเซนเซอร์ตัวแรกจะถูกฝังอยู่ใต้หน้าจอ ส่วนเซนเซอร์อีกตัวคือ เซนเซอร์อุณหภูมิสี ที่ติดตั้งบริเวณชุดกล้องถ่ายภาพด้านหลังนั่นเอง
ที่ด้านบนของหน้าจอแสดงผลประกอบไปด้วย กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4 และลำโพงเสียงสำหรับสนทนา
ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่มปรับระดับเสียง
ที่ด้านบนของตัวเครื่องติดตั้งไมโครโฟนตัวที่ สองสำหรับตัดเสียงรบกวน
ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อกหน้าจอแสดงผล
ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วย ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Dual Nano SIM, ลำโพงเสียงตัวหลัก และพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C โดยอแดปเตอร์ที่มากับชุดจำหน่ายมาตรฐานนั้นรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 65W SuperVOOC 2.0 ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่ขนาด 4300 mAh ของ OPPO Reno6 5G ได้เต็ม 100% ภายในเวลาเพียง 28 นาที และใช้เวลาชาร์จเพียง 5 นาที ก็เพียงพอต่อการดูวิดีโอต่อเนื่องยาวนานถึง 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว
OPPO Reno6 5G ถูกออกแบบมาตามคอนเซ็ปต์ Ultra-slim Retro Design ที่มาพร้อมกับกรอบตัวเครื่องแบบเรียบหรู จับถือได้อย่างถนัดมือ พร้อมตัวเครื่องบางเฉียบเพียง 7.59 มิลลิเมตร และน้ำหนักเบาเพียง 182 กรัม
ที่ด้านหลังมาพร้อมกับบอดี้แบบ Reno Glow อันเป็นเอกลักษณ์ของ OPPO Reno Series โดยเป็นบอดี้ที่มีเอฟเฟกต์แสงระยิบระยับ พร้อมป้องกันรอยนิ้วมือ โดยมีให้เลือกทั้งหมด 2 เฉดสี ได้แก่
Aurora สีที่ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดย เป็นการผสมผสานระหว่างแสง และสีที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากจินตนาการที่อยู่มุมลึกสุดของเรา ซึ่งเปรียบเสมือนกับแสงเหนืออันเป็นประกายระยิบระยับ นอกจากนี้ ภายใต้เอฟเฟกต์ Reno Glow ยังมีการใช้กระบวนการ Diamond Spectrum แบบใหม่ที่ช่วยให้ OPPO Reno6 5G มีสีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อมองจากมุม หรือแสงที่แตกต่างกัน
Stellar Black สีดำที่เปล่งประกายที่สุด โดยทาง OPPO ได้เพิ่มมุมมองใหม่ให้กับสีดำคลาสสิกด้วยเอฟเฟกต์แบบไดนามิก พร้อมความระยิบระยับ โปร่งใส และเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
ที่ด้านบนมาพร้อมกับกล้องหลังจำนวน 3 ตัวแบบ 64MP AI Triple Camera
ประกอบไปด้วย
- กล้องตัวหลัก (Main)
ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.7 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.7, ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 81 องศา), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF, มอเตอร์ Closed-Loop Focus และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 120 องศา และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89 องศา และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่าง ๆ
OPPO Reno6 5G มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย ColorOS 11.3 เวอร์ชันใหม่ล่าสุดที่ได้รับการพัฒนาด้านประสิทธิภาพการทำงานในชีวิตประจำวัน สามารถใช้งานได้ง่าย พร้อมดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ และมีเทคโนโลยี RAM Expansion ที่เปลี่ยนความจุภายในบางส่วนให้กลายเป็นหน่วยความจำ RAM เสมือนขนาดสูงสุด 5GB
มาพร้อมกับ Artist Wallpapers ซึ่งเป็นชุดวอลเปเปอร์ที่แสดงออกให้เห็นถึงความงามของวิทยาศาสตร์ โดยเป็นการใช้เทคนิคการถ่ายภาพความเร็วสูงผ่านกล้องจุลทรรศน์ เพื่อจับภาพปฏิกิริยาเคมี ทำให้เกิดภาพวอลเปเปอร์ที่ผสมผสานระหว่างศิลปะ และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน
รวมถึงแอปพลิเคชัน O Relax ที่มีเสียงที่ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกผ่อนคลาย รวมถึงมินิเกมที่สามารถช่วยบรรเทากังวล ซึ่งฟีเจอร์ทั้งหมดนี้ก็ถูกพัฒนาออกมาเพื่อช่วยลดความตึงเครียดในชีวิตประจำวันของ ผู้ใช้นั่นเอง
รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด พร้อมรองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 5G ในซิมการ์ดที่ 1
สามารถปรับเปลี่ยนธีม, วอลเปเปอร์, รูปแบบ Always-on Display, ไอคอน, การจัดเรียแอปพลิเคชัน, รูปแบบการสแกนลายนิ้วมือ, ธีมสีของเมนูภายในตัวเครื่อง, ขนาดฟอนต์, ไอคอนของหน้าคีย์ลัดการแจ้งเตือน (Notification Drawer) รวมถึง Edge lighting
รองรับ Dark Mode สำหรับปรับเปลี่ยนโทนสีของเมนูต่าง ๆ ภายในตัวเครื่องให้อยู่ในโทนสีดำ เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน และช่วยให้สบายตามากยิ่งขึ้น
รองรับ Eye Comfort สำหรับ ปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอให้อยู่ในโทนอุ่น เพื่อช่วยให้ใช้งานได้อย่างสบายตา
สามารถปรับสีสันของการแสดงผลได้ทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ Vivid สำหรับแสดงสีสันตามขอบเขตสีแบบ DCI-P3 เพื่อช่วยให้สีสันมีความสดใส และ Gentle สำหรับแสดงสีสันตามขอบเขตสีแบบ sRGB เพื่อช่วยให้สีสันดู เป็นธรรมชาติ
มาพร้อมกับ O1 Ultra Vision Engine สำหรับ ปรับการแสดงผลของคอนเทนต์ผ่านฟีเจอร์ Video color enhancer ที่ช่วยปรับสีสันของวิดีโอให้มีความสดใสมากยิ่งขึ้น
ระบบเสียง Dolby Atmos ที่ผู้ใช้สามารถปรับรูปแบบการเล่นเสียงได้ทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ Environment Profile ซึ่งเป็นการปรับการเล่นเสียงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม และ Scenario-specific Profile ซึ่งเป็นการปรับการเล่นเสียงให้เหมาะสมกับสถานการณ์
สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการควบคุมสมาร์ทโฟนได้ ทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ Gestures ซึ่งเป็นการลากนิ้วจากขอบด้านล่าง หรือขอบด้านข้างตัวเครื่องเพื่อสั่งการ และ Navigation Buttons สำหรับใช้ปุ่มควบคุมแบบเสมือนบนหน้าจอเพื่อสั่งการ
Smart Sidebar สำหรับเข้าถึงแอปพลิเคชัน และคีย์ลัดการตั้งค่าสมาร์ทโฟนได้อย่างรวดเร็วเพียงลากแถบจากด้านขวาของหน้าจอ
พร้อมรองรับการทำงานแบบ 2 หน้าต่างพร้อมกัน (Split Screen) โดยใช้ 3 นิ้วลากขึ้นด้านบน, แตะค้างที่ปุ่ม Recent Apps, แตะเลือกเมนู Split Screen เมื่ออยู่ในหน้า Recent Apps หรือลากแอปพลิเคชันที่ต้องการจาก Smart Sidebar มายังตรงกลางหน้าจอ
มาพร้อมกับโหมด Super Power Saving Mode ที่ช่วยขยายระยะเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่ให้มากที่สุดผ่านการปิดการใช้งานแอปพลิเค ชันที่ไม่จำเป็น ตอบโจทย์สถานการณ์ที่แบตเตอรี่ใกล้จะหมด แต่ยังต้องการสมาร์ทโฟนเพื่อติดต่อสื่อสาร
นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ Super Nighttime Standby ที่ข่วยลดการใช้พลังงานแบตเตอรี่ในเวลากลางคืนระหว่างที่ผู้ใช้นอนหลับ เพื่อให้มีแบตเตอรี่พร้อมใช้งานในตอนเช้า พร้อมฟีเจอร์ Optimized night charging ที่เรียนรู้พฤติกรรมการชาร์จแบตเตอรี่ระหว่างวัน พร้อมกับควบคุมปริมาณการจ่ายไฟเมื่อชาร์จแบตเตอรี่ตอนกลางคืน เพื่อป้องกันอาการ overcharging
มาพร้อมกับแอปพลิเคชัน Game ที่ ช่วยให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างเต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้นด้วยฟีเจอร์ที่อัดแน่นมา สำหรับเหล่าเกมเมอร์โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น Game Focus Mode ที่ลดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เล่นเกมได้อย่างต่อเนื่องบ รวมถึง Vibration Enhancement ที่เป็นการเปิดประสบการณ์การเล่นเกมที่สมจริงมากยิ่งขึ้นด้วยมอเตอร์สั่นที่ตอบสนอง ได้อย่างสมจริง โดยเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง Z-axis Linear Motor และฟีเจอร์ 4D Vibration
ในส่วนของระบบความปลอดภัย OPPO Reno6 5G รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และระบบสแกนใบหน้า
พร้อมรองรับฟีเจอร์ App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันที่ต้องการ และ Private Safe สำหรับ เก็บไฟล์ต่าง ๆ เอาไว้ในตู้เซฟเสมือน ซึ่งทั้งสองฟีเจอร์นี้จำเป็นต้องใส่รหัส หรือยืนยันตัวตนแบบ Biometrics ก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้
ด้านประสิทธิภาพการทำงาน OPPO Reno6 5G มาพร้อมกับชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Dimensity 900 ประกบ คู่กับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB และหน่วยความจำภายใน ขนาด 128GB พร้อมระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบ ทับด้วย ColorOS 11.3
ทดสอบประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu พบว่า ทำคะแนนได้ทั้งหมด 397,031 คะแนน
ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลของหน่วยประมวลผล กลาง (CPU) ด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench 5 พบว่า ทำคะแนนการประมวลผลแบบ Single-Core ได้ทั้งหมด 646 คะแนน และ Multi-Core ได้ทั้งหมด 1,924 คะแนน
ทดสอบการจับสัญญาณ GPS ในที่โล่งแจ้ง พบว่ามีความแม่นยำ +- ไม่เกิน 3 เมตร โดยรองรับทั้งระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, Galileo, BeiDou และ QZSS
เมื่อลองนำไปทดสอบเล่นเกมยอดนิยมบนท้องตลาด อย่าง PUBG : Mobile ก็พบว่า สามารถปรับกราฟิก และเฟรมเรทได้ในระดับสูง พร้อมเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล แทบไม่มีอาการสะสมความร้อนให้พบเจอ ซึ่งเมื่อประกอบกับ Z-axis Linear Motor และฟีเจอร์ 4D Vibration ก็ช่วยให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างสมจริง และเต็มอารมณ์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ด้วยดีไซน์ของ OPPO Reno6 5G ที่กรอบมีความแบน ทำให้การจับถือ และการวางนิ้วในการออกสกิลต่าง ๆ เป็นไปอย่างสะดวก
การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
มาดูที่ไฮไลท์เด่นของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ อย่างกล้องถ่ายภาพกันบ้าง สำหรับ OPPO Reno6 5G ก็ถือว่าเป็นตัวจริงของการถ่ายวิดีโอพอร์ตเทรตตามคอนเซ็ปต์ AI Portrait Video Phone โดยมาพร้อมกับโหมดการถ่ายวิดีโอแบบ Bokeh Flare Portrait Video ที่เป็นการถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ พร้อมสร้างเอฟเฟกต์ดวงไฟโบเก้ระยิบระยับราวกับกล้องระดับมืออาชีพ
Bokeh Flare Portrait Video เป็นฟีเจอร์อัจฉริยะที่ใช้อัลกอริทึม AI ที่สามารถระบุแหล่งกำเนิดแสงจริงของพื้นหลัง พร้อมกับสร้างดวงไฟโบเก้ที่มีความตื้นลึกที่แตกต่างกัน และที่สำคัญกระบวนการประมวลผลภาพตัวอย่างก่อนถ่ายใช้เวลาเพียง 10 มิลลิวินาที หรือไม่ถึง 1 วินาทีเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า ภาพที่เราเห็นคือภาพที่เราจะได้นั่นเองครับ
นอกเหนือจากการถ่ายวิดีโอแล้ว Bokeh Flare Portrait ยังสามารถใช้ถ่ายภาพนิ่งให้ละลายฉากหลังพร้อมสร้างดวงไฟโบเก้ให้สวยงามเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายภาพในเวลากลางวันหรือกลางคืน
ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ AI Highlight Video ที่ช่วยให้การถ่ายวิดีโอพอร์ตเทรตในที่ย้อนแสง หรือในที่แสงน้อยมีความสว่างคมชัดมากยิ่งขึ้นด้วยอัลกอริทึม Live HDR ที่ช่วยดึงแสงสีในส่วนที่มืดออกมา ในขณะที่ยังคงสีสัน และรายละเอียดที่แท้จริงเอาไว้
ส่วนใครที่ไม่อยากให้วิดีโอหลุดโฟกัส OPPO Reno6 5G ก็มาพร้อมกับฟีเจอร์ Focus Tracking ที่แตะสอง ครั้งบนหน้าจอที่ตัวบุคคล หรือวัตถุ กล้องก็จะทำการติดตามสิ่งที่เราต้องการโฟกัสแบบอัตโนัติไม่ว่าจะขยับไปในทิศทางไหนก็ ตาม
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีฟีเจอร์ Portrait Beautification Video ที่ช่วยให้การถ่ายวิดีโอพอร์ตเทรตเป็นไปอย่างคมชัด พร้อมปรับโทนผิวของใบหน้าให้มีตวามสวยงามเป็นธรรมชาติ รวมถึงการปรับความสดใสของดวงตา เพื่อให้ตัวบุคคลดูมีชีวิตชีวา และมีความพิเศษมากยิ่งขึ้น
พร้อมโหมด Movie ที่ช่วยให้ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการตั้งค่าของกล้องได้อย่างอิสระ ตอบโจทย์การถ่ายวิดีโอระดับมืออาชีพ
และโหมด Dual-View Video ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถบันทึกวิดีโอจากกล้องหน้า และกล้องหลังพร้อมกันโดยที่ไม่จำเป็นต้องนำไปตัดต่อในแอปพลิเคชันอื่น ๆ
มาดูที่โหมดการถ่ายภาพนิ่งกันบ้าง OPPO Reno6 5G มาพร้อมกับฟีเจอร์ Flash Snapshot ที่ทำงานร่วมกันระหว่าง Image Clear Engine และเซนเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิสี ช่วยให้ผู้ช้สามารถจับภาพได้ตั้งแค่เริ่มเปิดกล้อง ทำให้ภาพมีความนิ่ง และคมชัดอยู่เสมอ
ฟีเจอร์การถ่ายภาพที่น่าสนใจอย่าง Ultra-Clear 108MP ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพความละเอียดสูง ระดับ 108 ล้านพิกเซล สามารถเปิดใช้งานได้ผ่านโหมด Extra HD
โหมด Expert ที่ช่วยให้ผู้ ใช้สามารถปรับแต่งกาารตั้งค่าของกล้องถ่ายภาพได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็น ค่าความไวแสง (ISO), ค่าความไวชัตเตอร์ Speed Shutter, ค่าสมดุลแสงสีขาว White Balance, ระยะโฟกัส และค่าชดเชยแสงสีขาว (EV)
รวมถึงโหมดการถ่ายภาพกลางคืน (Night) ที่ช่วยให้การถ่ายภาพกลางคืนมีความสว่างคมชัดผ่านมากยิ่งขึ้น โดยจะใช้เวลาถ่ายภาพประมาณ 5 วินาที และหากต้องการให้ภาพมีความสว่างมากยิ่งขึ้นก็สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์ Night Tripod Mode ที่จะเป็นการเปิดหน้าชัตเตอร์กล้องเป็นเวลานานสูงสุด 45 วินาที โดยแนะนำว่าควรใช้ร่วมกับขาตั้งกล้องเพื่อให้ภาพถ่ายมีความคมชัดมากที่สุด
มาดูที่กล้องหน้ากันบ้าง OPPO Reno6 5G จัดเต็มด้านโหมดการถ่ายภาพไม่แพ้กล้องหลัง โดยมาพร้อมกับโหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ ที่สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์ Bokeh Flare Portrait สำหรับละลายฉากหลังได้อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมสร้างดวงไฟโบเก้ระยิบระยับ
รวมทั้งยังมีฟีเจอร์ AI Beautification สำหรับปรับแต่งส่วนต่าง ๆ ของใบหน้าให้มีความสวยงาม โดยผู้ใช้สามารถเลือกปรับได้เองไม่ว่าจะเป็น โทนสีผิว, แก้ม, ขนาดดวงตา หรือจมูก เป็นต้น
รองรับการถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ (Bokeh) ซึ่งสามารถปรับระดับการเบลอของฉากหลังได้ถึง 100 ระดับ และสามารถปรับแต่งส่วนต่าง ๆ ของใบหน้าให้มีความสวยงามได้ด้วย
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Bokeh Flare Portrait Video เหมือนกับกล้องหลัง ช่วยให้การถ่ายวิดีโอหน้าชัดหลังเบลอมีความสวยงาม พร้อมสร้างเอฟเฟกต์โบเก้ราวกับกล้องระดับมืออาชีพ
รวมทั้งยังรองรับฟีเจอร์ AI Highlight Video ที่ช่วยให้การถ่ายวิดีโอเซลฟี่ด้วยกล้องหน้าแบบย้อนแสง หรือการถ่ายในสภาวะแสงน้อย มีความสว่างคมชัด
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) ความละเอียด 64+8+2 ล้านพิกเซล ของ OPPO Reno6 5G
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากกล้องเลนส์มุมกว้าง Wide Angle
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อมเปิดเอฟเฟกต์ Bokeh Flare Portrait
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซลของ OPPO Reno6 5G
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อมเปิดเอฟเฟกต์ Bokeh Flare Portrait
สรุปผลการทดสอบของ OPPO Reno6 5G
จากที่มีโอกาสได้ใช้งานมาระยะหนึ่งก็พอจะสรุปได้ว่า OPPO Reno6 5G รุ่นนี้มีจุดเด่นในเรื่องของการถ่ายวิดีโอพอร์ตเทรต เรียกว่าเอาใจบรรดาสายวิดีโอคอนเทนต์เป็นพิเศษ โดยมาพร้อมกับฟีเจอร์ Bokeh Flare Portrait Video ที่ทำให้วิดีโอมีความละมุน ดูสวยสะดุดตา รวมทั้งช่วยให้ตัวแบบดูโดดเด่น ส่วนด้านการถ่ายภาพก็นับว่ามีดีไม่แพ้กัน ด้วยกล้องหลักที่มีความเอียดสูงถึง 64 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมฟีเจอร์ Bokeh Flare Portrait ซึ่งสามารถถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอได้อย่างสวยงามราวกับกล้องระดับโปร ไปจนถึงฟีเจอร์ AI Highlight Video ที่ช่วยให้การถ่ายย้อนแสง หรือการถ่ายภาพในที่แสงน้อยเป็นไปอย่างสว่างคมชัด รวมทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์การถ่ายภาพที่น่าสนใจอย่าง Ultra-Clear 108MP Image ที่ช่วยเก็บภาพความละเอียดสูงสุดถึง 108 ล้านพิกเซล อีกทั้งกล้องหน้าก็ยังมีความละเอียดถึง 32 ล้านพิกเซล ซึ่งยังคงโดนใจสายเซลฟี่ตามสไตล์ OPPO เช่นเคย
ด้านของดีไซน์ยังคงความสวยงามพรีเมียมตามเอกลักษณ์ของ OPPO Reno Series โดยครั้งนี้มาพร้อมกับดีไซน์แบบใหม่ในชื่อ Ultra-slim Retro Design ที่มีความบางเฉียบเพียง 7.59 มิลลิเมตร และเบาเพียง 182 กรัม พร้อมฝาหลังแบบ Reno Glow ที่เปล่งประกายระยิบระยับให้ความรู้สึกพรีเมียมสะดุดตา
ในส่วนของประสิทธิภาพการทำงาน ก็มาพร้อมกับชิปเซ็ต 5G ทรงพลังอย่าง MediaTek Dimensity 900 ซึ่งทำงานควบคู่กับหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB ที่มีฟีเจอร์ RAM Expansion ที่ช่วยขยายขนาด RAM ให้มากขึ้นอีก 5GB พร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4300 mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็วระดับท็อปอย่าง 65W SuperVOOC 2.0 ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% ได้ในเวลาเพียง 28 นาทีเท่านั้น
ไม่เพียงเท่านี้ คุณสมบัติด้านการแสดงผลก็นับว่าดีเลยทีเดียว ด้วยหน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาดใหญ่ 6.4 นิ้ว ที่มีค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz กับค่า Touch Sampling Rate ที่ 180Hz ดังนั้นจึงสามารถแสดงผลคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้อย่างสวยงามลื่นไหลเนียนตา และตอบสนองได้อย่างฉับไว อีกทั้งยังมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor) ติดตั้งมาให้อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ ColorOS 11.3 ที่มีพื้นฐานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 11 นั่นเอง ดังนั้นโดยรวมแล้วสำหรับ OPPO Reno6 5G ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีในช่วงราคานี้
สำหรับ OPPO Reno6 5G เปิดราคาอย่างเป็นทางการในบ้านเรามาแล้วที่ 17,990 บาท มีตัวเลือก 2 ได้แก่ Aurora และ Stellar Black โดยพร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้เป็นวันแรก (17 กันยายน 2564) ที่ OPPO Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
พิเศษสำหรับท่านที่ซื้อ OPPO Reno5 5G ระหว่างวันที่ 17 กันยายน - 17 ตุลาคม 2564 รับฟรีของสมนาคุณมูลค่ารวม 9,398 บาท ประกอบด้วยลำโพง Bluetooth Speaker, เครื่องชั่งน้ำหนัก Smart Scale และบัตร E-VIP Card (เฉพาะร้านค้าที่ร่วมรายการ และของสมนาคุณมีจำนวนจำกัด)
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง OPPO ประเทศไทย
ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง OPPO Reno6 5G
มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน
สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครั
จุดเด่นของ OPPO Reno6 5G
- ดีไซน์ตัวเครื่องบางเฉียบแบบ Ultra-slim Retro Design ด้วยความบางเพียง 7.59
มิลลิเมตร และน้ำหนักเบาเพียง 182 กรัม
- ฝาหลังแบบ Reno Glow ที่ได้รับการเคลือบผิวด้วยฟิล์มหลายชั้น
สามารถสะท้อนสีสันได้แบบระยิบระยับ กับตัวเลือก 2 เฉดสีได้แก่ Aurora และ Stellar
Black
- ระบบระบายความร้อนแบบ Multi-Cooling
- จอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2400x1080 พิกเซล : 410 PPI) พร้อมอัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 90Hz, อัตราการตอบสนองของระบบสัมผัส (Touch Sampling Rate) สูงสุดที่ 180Hz, เซนเซอร์ตรวจจับแสงแบบ 360° Light-Sensing, รองรับช่วงสีแบบ DCI-P3 ได้สูงสุด 93.28% กับแบบ sRGB ได้สูงสุด 135.13% (โหมดแสดงผลแบบ Vivid), ค่า Contrast Ratio ที่ 1,000,000:1, ความสว่างสูงสุด 750 nits และครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Sensor) พร้อมระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock)
- ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 900 (MT6877) ความเร็ว 2.4 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G68 MC4
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB
- ฟีเจอร์ RAM Expansion สำหรับเพิ่มหน่วยความจำ RAM เสมือนได้สูงสุด 5GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 2.1 ขนาด 128GB
- แบตเตอรี่ Li-Ion ความจุ 4300 mAh พร้อมระบบชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 65W SuperVOOC 2.0 ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็ม 100% ภายในเวลา 28 นาที
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 11 พร้อมครอบทับ ColorOS 11.3
กล้องดิจิทัลด้านหลังทั้งหมด 3 ตัว (AI Triple Camera) ประกอบด้วย
- กล้องตัวหลัก (Main)
ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.7 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f1.7, ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 81 องศา), ระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF, มอเตอร์ Closed-Loop Focus และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 120 องศา และโครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89 องศา และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
- เซนเซอร์วัดอุณหภูมิสี (Color Temperature Sensor)
- ระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวแบบ Ultra Steady
- ฟังก์ชัน AI Highlight Video
สำหรับปรับระดับความสว่างของวิดีโอให้มีความคมชัดทุกสภาวะแสง
- ฟังก์ชัน Bokeh Flare Portrait สำหรับถ่ายภาพนิ่ง-วิดีโอ
แบบหน้าชัดหลังเบลอพร้อมกับปรับเอฟเฟ็กต์โบเก้ให้มีความสวยงามราวกับกล้องมืออาชีพ
- ฟังก์ชัน Ultra-Clear 108MP Image สำหรับถ่ายภาพบนความละเอียดสูงสุด 108
ล้านพิกเซล
- โหมดถ่ายวิดีโอแบบ Dual-View Video สำหรับถ่ายวิดีโอจากกล้องหน้า
และกล้องหลังพร้อมกัน
- รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K UHD (60 fps)
- ฟีเจอร์ Focus Tracking สำหรับโฟกัสติดตามวัตถุ หรือตัวแบบ
- โหมดถ่ายภาพกลางคืนแบบไม่ต้องใช้ขาตั้ง พร้อมฟีเจอร์ Tripod Mode
กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล
พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/2.8 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.4, ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร (มุมรับภาพ 85 องศา) และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดระดับ 1080P FHD (30 fps)
- ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบเครือข่าย Wi-Fi 6 (Dual Band 2.4/5 GHz), 5G, 4G LTE, 3G WCDMA, EDGE และ GPRS
- รองรับการใช้งานระบบซิมคู่ (Dual SIM : Nano SIM + Nano SIM)
- รองรับการระบุตำแหน่ง และนำทางผ่านระบบดาวเทียม GPS+A-GPS, Glonass, Galileo, BeiDou และ QZSS
- เชื่อมต่อข้อมูลแบบไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.2 และ NFC
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C (USB 2.0)
- ระบบเสียงแบบ Dolby Atmos
- ฟีเจอร์ O Relax
- มอเตอร์ระบบสั่นแบบ Z-Axis Linear
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ OPPO
Reno6 5G
- ไม่มีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
- ลำโพงเสียงเป็นแบบเดี่ยว
- ไม่รองรับการใส่การ์ดหน่วยความจำแบบ microSD หรือแบบอื่น ๆ
สรุปคุณสมบัติเครื่อง
ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ OPPO Reno6 5G ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้
สรุปคุณสมบัติ (สเปก) และราคา ของ OPPO Reno6 5G
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบ หรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
วันที่ : 17/09/2021