รีวิว (Review) HUAWEI Mate 40 Pro 5G
เรือธงตัวท็อปแห่งปี ดีสุดของค่าย ได้กล้องยืนหนึ่ง สเปกแรง จอลื่น ดีไซน์ใหม่หมดจด ด้วยชิปเรือธงอัจฉริยะ Kirin 9000, จอ 90Hz OLED Horizon Display ใหญ่ 6.76 นิ้ว, กล้อง Leica Ultra Vision Cine 50MP + ซูม 50 เท่า ผสานกล้องหน้าคู่, แบตเตอรี่ 66W SuperCharge จุใจ 4400 mAh, ลำโพงคู่ และนวัตกรรมไฮเอนด์จัดเต็ม บนบอดี้กระจกกันน้ำดีไซน์ Space Ring ในราคา 34,990 บาท
31 ธันวาคม 2020 - สมาร์ทโฟนในตระกูลเรือธงรุ่นใหญ่สุดของค่ายอย่าง HUAWEI Mate Series
ถือว่าเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีมาโดยตลอด ซึ่งหากย้อนกลับไปในปี 2014 ทาง
Huawei ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเจ้าแรกของโลกอย่างแท้จริง
(Worlds 1st) เริ่มตั้งแต่ รุ่น Mate 7 ที่มาพร้อมกับระบบ One Touch
Fingerprint Unlock หรือระบบแตะเพื่อสแกนลายนิ้วมือได้ในขั้นตอนเดียว
ต่อมาในรุ่น Mate 8 ก็เป็นมือถือรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมกับชิปเซ็ตระดับ 16
นาโนเมตร ขณะที่รุ่น Mate 9
เป็นมือถือรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมกับระบบชาร์จเร็วแบบ 22.5W SuperCharge
ทางด้านรุ่น Mate 10 เป็นมือถือรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมกับชิปเซ็ตอัจฉริยะ
Mobile AI รวมทั้งยังเป็นมือถือรุ่นแรกของโลกที่รองรับ Dual 4G และ Dual
VOLTE
ต่อมาในรุ่น Mate 20 Series ทาง Huawei ก็สามารถผลิตสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับชิปเซ็ตระดับ 7 นาโนเมตร ได้เป็นแบรนด์แรกของโลก รวมทั้งสมาร์ทโฟนในตระกูล Mate20 Series ยังเป็นรุ่นแรกของโลกที่มีเทคโนโลยี Reverse Charging Charge สำหรับปล่อยพลังงานแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์อื่นๆ ได้แบบไร้สาย ส่วนทางด้านรุ่น HUAWEI Mate X ก็เป็นมือถือรุ่นแรกของโลกที่รองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 5G แบบ NSA และ SA ขณะที่รุ่น Mate 30 Series ก็เป็นมือถือรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมกับชิปเซ็ต (SoC) ที่มีโมเด็ม 5G ฝังมาให้ภายในตัว และที่สำคัญยังเป็นมือถือรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมกับกล้อง Cine Camera สำหรับถ่ายวิดีโอคุณภาพสูงโดยเฉพาะ
ความเป็น Worlds 1st ของ Huawei ไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะในรุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปอย่าง HUAWEI Mate 40 Pro 5G ก็ยังคงรักษาความเป็นเบอร์หนึ่งของโลกด้านผู้นำเทคโนโลยีเอาไว้เช่นเดิม โดยมาพร้อมกับขุมพลัง Kirin 9000 ชิปเซ็ตมือถือระดับ 5 นาโนเมตร รุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมกับโมเด็ม 5G ภายในตัว (Worlds 1st 5 nanometer 5G SoC) พร้อมทั้งยังเป็นมือถือรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมกับหน่วยประมวลผลกราฟิกแบบ Mali-G78 ที่มีแกนประมวลผลมากถึง 24 Core
นอกเหนือจากการเป็นเจ้าแรกของโลกแล้ว Huawei ยังเลือกใส่เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในวงการมือถือ ณ ตอนนี้ให้กับ HUAWEI Mate 40 Series แบบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น ระบบซูม Optical 10 เท่าที่ดีที่สุด ในรุ่น Mate 40 Pro+ (The Best 10x Optical Zoom), ระบบกล้อง Ultra Wide แบบคู่ที่ดีที่สุด (Best Dual Ultra-Wide) ด้วยกล้องหน้าที่มีองศารับภาพกว้าง 100 องศา และกล้องหลังที่มีองศาในการรับภาพกว้างเกินกว่า 100 องศา
สำหรับตัวเครื่องจริงของ HUAWEI Mate 40 Pro 5G จะมีความสวยหรูพรีเมียมอย่างไร และจะมีเจอร์อะไรที่น่าสนใจบ้าง สามารถติดตามรับชมรีวิวฉบับเจาะลึกจากทีมงาน Thaimobilecenter พร้อมกันได้เลยครับ
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์
HUAWEI Mate 40 Pro 5G เลือกใช้กล่องผลิตภัณฑ์สีดำตัดด้วยตัวอักษรสีทองอันเป็นเอกลักษณ์ประจำมือถือเรือธง ตระกูล Mate Series (มือถือตระกูล P Series จะใช้กล่องผลิตภัณฑ์สีขาวตัดด้วยตัวอักษรสีทอง) โดยที่ด้านหน้าของกล่องผลิตภัณฑ์ประทับชื่อรุ่น HUAWEI Mate 40 Pro 5G พร้อมพื้นหลังรูปทรงกลม ซึ่งเป็นการสื่อถึงดีไซน์การจัดวางเรียงกล้องแบบใหม่ของ HUAWEI Mate 40 Pro 5G ที่มีชื่อเรียกว่า Space Ring Design ครับ
สำหรับอุปกรณ์ภายในกล่องประกอบไปด้วย หูฟังแบบ EarBuds พร้อมพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C สำหรับโอนถ่ายข้อมูล หรือใช้งานร่วมกับอแดปเตอร์จ่ายไฟ, เคสใส, เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด, คู่มือการใช้งาน และอแดปเตอร์จ่ายไฟ
สำหรับอแดปเตอร์จ่ายไฟของ HUAWEI Mate 40 Pro 5G รองรับกำลังการจ่ายไฟสูงสุดที่ 66W ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการชาร์จความเร็วสูงรูปแบบใหม่ของ Huawei ในชื่อ 66W SuperCharge นั่นเอง ซึ่งนอกเหนือจากจะชาร์จแบตเตอรี่แบบเสียบสายได้อย่างรวดเร็วแล้ว HUAWEI Mate 40 Pro 5G ยังรองรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย Wireless SuperCharge ได้สูงถึง 50W เลยทีเดียว
ตัวอย่างภาพการสวมใส่เคสใสที่แถมมาให้ภายใน กล่อง
มาดูที่ตัวเครื่องกันบ้าง HUAWEI Mate 40 Pro 5G มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Flex OLED ขนาด 6.76 นิ้ว ความละเอียดระดับ 2772x1344 พิกเซล บนดีไซน์แบบ HUAWEI Horizon Display หรือดีไซน์จอขอบโค้งแบบ 88 องศาเหมือนกับรุ่น HUAWEI Mate30 Pro พร้อมรองรับค่า Refresh Rate สูงสุดระดับ 90Hz พร้อมค่า Touch Sampling Rate ระดับ 240Hz รวมทั้งยังรองรับการแสดงผลตามขอบเขตสีแบบ DCI-P3 HDR เพื่อตอบโจทย์ด้านความบันเทิงได้อย่างเต็มอารมณ์
ที่ด้านบนของหน้าจอแสดงผล มาพร้อมกับชุดกล้องหน้าคู่แบ่งออกเป็น กล้องตัวหลักแบบ Ultra Vision Selfie Camera ซึ่งเป็นกล้องเลนส์มุมกว้างความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 และกล้อง 3D Depth Sensing Camera ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจจับการเคลื่อนไหวของมือผู้ใช้งาน รวมทั้งยังถูกใช้สำหรับระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าแบบ 3 มิติ และใช้งานร่วมกับระบบ Attention Aware สำหรับปลุกหน้าจอแสดงผลอัตโนมัติ เมื่อผู้ใช้มองหน้าจอ
ที่ด้านล่างของหน้าจอมาพร้อมกับปุ่มควบคุมแบบ สัมผัส ประกอบไปด้วย ปุ่ม Recent Apps สำหรับเรียกดูแอปพลิเคชันทั้งหมดที่กำลังเปิดใช้งาน, ปุ่ม Home สำหรับย้อนกลับไปยังหน้าโฮมสกรีน และปุ่ม Back สำหรับย้อนกลับ
ที่ด้านบนของตัวเครื่องมาพร้อมกับลำโพงเสียงตัว ที่สอง, IR Blaster และไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน
ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องไม่มีปุ่มควบคุมใดๆ
ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่มควบคุม แบบ Physical ได้แก่ ปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิด เครื่อง หรือล็อกหน้าจอแสดงผล ซึ่งแม้ว่าในรุ่น Mate 40 Pro จะมีการติดตั้งปุ่มสำหรับสั่งการข้างตัวเครื่องมาให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ผู้ใช้ที่คุ้นชินกับวิธีเพิ่มลดเสียงด้วยการแตะที่ขอบด้านข้างตัวเครื่อง (Side-Touch) เหมือนกับที่เคยมีอยู่ในรุ่น Mate30 Pro ก็ยังสามารถใช้งานได้เช่นเดิม
ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วย ถาดใส่ซิมการ์ด, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และลำโพงเสียงตัวหลักของตัวเครื่อง
ที่ด้านหลังของตัวเครื่องมาพร้อมกับบอดี้กระจก ที่มีความสวยหรูพรีเมียม สามารถสะท้อนเล่นกับแสงได้อย่างสวยงามลงตัว พร้อมคุณสมบัติป้องกันน้ำ และฝุ่นที่ระดับ IP68
ที่ด้านบนมาพร้อมกับดีไซน์กล้องแบบสมมาตร (Symmetry Design) ในชื่อ Space Ring Design โดยเป็นการวางกล้อง และไฟแฟลช อยู่ในกรอบโมดูลวงกลมคล้ายกับวงแหวนของดาวเคราะห์บนอวกาศ โดยกล้องจำนวน 3 ตัว (Triple Camera) ของ HUAWEI Mate 40 Pro 5G มีรายละเอียดดังนี้
- กล้อง Ultra Vision (Super Sensing Wide) ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพแบบ RYYB ขนาด 1/1.28 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f1.9 และระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ Octa PDAF (Octa PD Autofocus) + Laser Autofocus
- กล้อง Ultra Wide Cine ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.8 และระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ PDAF
- กล้อง Periscope Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f3.4, ซูมแบบ Optical Zoom สูงสุด 5 เท่า, ซูมแบบ Hybrid Zoom
สูงสุด 10 เท่า, ซูมแบบ Digital Zoom สูงสุด 50 เท่า, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ
สำหรับกล้องหลังของ HUAWEI Mate 40 Pro 5G
ยังคงพัฒนาร่วมกับแบรนด์กล้องชั้นนำระดับโลกอย่าง Leica เช่นเคย
โดยเลือกใช้เลนส์แบบ Leica Vario-Summilux-H ที่มีระยะในการรับภาพตั้งแต่
18-125 มิลลิเมตร พร้อมค่ารูรับแสงระหว่าง f/1.8-3.4 และยังมีเทคโนโลยี ASPH
ซึ่งเป็นชิ้นเลนส์แบบ Aspherical Lens เพื่อช่วยให้ถ่ายภาพได้คมชัดทั้งภาพ
ซึ่งแม้ว่า HUAWEI Mate 40 Pro 5G จะมีการปรับลดจำนวนกล้องลงจากรุ่นที่แล้ว
แต่ก็สามารถทำคะแนนทดสอบประสิทธิภาพกล้องถ่ายภาพจาก DxOMark ได้สูงถึง 136
คะแนน จะเป็นรองก็เพียงแค่ HUAWEI Mate 40 Pro 5G+ ที่ครองแชมป์อันดับ 1
อยู่ในขณะนี้เท่านั้น
เปิดเครื่องใช้งาน พร้อมการทดสอบฟังก์ชัน และแอปพลิเคชันต่างๆ
HUAWEI Mate 40 Pro 5G มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android OS เวอร์ชัน 10 ครอบทับด้วย EMUI เวอร์ชัน 11.0.0 ตั้งแต่แกะกล่อง
ในส่วนของ App Gallery ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันของระบบ HUAWEI Mobile Services (HMS) ก็เริ่มมีแอปพลิเคชัน Local ให้ดาวน์โหลดใช้งานอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Line, K Plus, เป๋าตัง หรือ Tiktok เป็นต้น รวมไปถึงแอปพลิเคชันเกม นอกจากนี้ ยังสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพิ่มเติมที่ไม่มีใน App Gallery ผ่านทาง Petal Search ได้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจาก HUAWEI Mate 40 Pro 5G รองรับเฉพาะบริการ HMS จึงอาจทำให้ไม่สามารถแอปพลิเคชันที่ต้องการ Google Mobile Services (GMS) ได้อย่างสมบูรณ์
ในหน้าโฮมสกรีน มีการจัดเรียงไอคอนแอปพลิเคชันทั้งหมดที่ถูกติดตั้งภายในตัวเครื่อง โดยผู้ใช้สามารถใช้สองนิ้วหุบเข้าหากัน เพื่อปรับเปลี่ยนการจัดเรียงของไอคอน หรือจัดหมวดหมู่ไอคอนได้ด้วยตนเอง
เมื่อปัดไปที่ด้านซ้ายจากหน้าโฮมสกรีน จะพบกับ HUAWEI Assistant Today ซึ่งเป็นการรวบรวมข่าวสารประจำวัน, คีย์ลัดสำหรับเข้าถึงฟีเจอร์ภายในตัวเครื่อง รวมถึงข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับผู้ใช้ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถอัปเดตข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
ผู้ใช้สามารถแตะที่เมนู More เพื่อปรับแต่งคีย์ลัดสำหรับเข้าถึงแอปพลิเคชันต่างๆ บนหน้า HUAWEI Assistant Today ได้ด้วยตนเอง
เมื่อลากนิ้วจากขอบด้านบนลงมายังด้านล่าง จะพบกับ Sort switches ซึ่งเป็นหน้าศูนย์รวมคีย์ลัดสำหรับตั้งค่าตัวเครื่อง โดยสามารถปรับแต่งการจัดเรียงของไอคอนคีย์ลัดได้อย่างง่ายๆ เพียงแตะที่ไอคอนรูปดินสอบริเวณมุมขวา
มาพร้อมกับฟีเจอร์ Optimizer สำหรับปรับแต่งการทำงานของสมาร์ทโฟนให้มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับสูงที่สุด โดยผู้ใช้สามารถแตะที่ปุ่ม Optimize เพื่อให้สมาร์ทโฟนปรับแต่งการทำงานแบบอัตโนมัติ
HUAWEI Mate 40 Pro 5G รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด โดยในส่วนของซิมการ์ดที่ 2 นั้น สามารถเลือกใช้ได้ซิมการ์ดแบบ Physical และซิมการ์ดแบบ eSIM นอกจากนี้ HUAWEI Mate 40 Pro 5G ยังรองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 5G ในประเทศไทยทันที
สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลของหน้า Always On Display และวอเปเปอร์ล็อกหน้าจอได้ด้วยตนเอง
นอกจากนี้ ยังสามารถปรับเปลี่ยนธีม และวอลเปเปอร์หน้าโฮมสกรีนได้อีกด้วยผ่านแอปพลิเคชัน Themes
สามารถปรับเปลี่ยนหน้าล็อกสกรีนเป็นแบบ Magazine Unlock ซึ่งระบบจะทำการเปลี่ยนภาพหน้าล็อกสกรีนทุกครั้งเมื่อผู้ใช้ปลุกหน้าจอแสดงผล
สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดเรียงไอคอนบนหน้า โฮมสกรีนได้ทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ Standard สำหรับเรียงแอปพลิเคชันทั้งหมดเอาไว้ในหน้าโฮมสกรีน และ Drawer สำหรับเรียงแอปพลิเคชันทั้งหมดเอาไว้ใน App Drawer ซึ่งสามารถเรียกใช้ได้ด้วยการลากนิ้วจากด้านล่างขึ้นมาด้านบนจากหน้าโฮมสกรีน
สามารถปรับสีสันการแสดงผลได้ทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ Normal และ Vivid นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอได้ตามต้องการ
รองรับเฟีเจอร์ Eye Comfort สำหรับลดแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา พร้อมกับปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอให้อยู่ในโทนอุ่น เพื่อลดอาการล้าของสายตา
พร้อมรองรับ Dark Mode สำหรับปรับเปลี่ยนการแสดงผลของหน้า UI ให้อยู่ในโทนสีดำ-เทา เพื่อช่วยประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น
สามารถปรับเปลี่ยนขนาดของตัวอักษรได้ทั้งหมด 5 ระดับ และสามารถปรับขนาดของการแสดงผลได้ทั้งหมด 4 ระดับ
สามารถปรับเปลี่ยนความละเอียดของหน้าจอได้ทั้ง หมด 3 แบบ ได้แก่ High, Standard และ Low ส่วนใครที่ไม่ต้องการปรับตั้งเอง ก็สามารถเลือกใช้ฟีเจอร์ Smart Resolution ซึ่งเป็นการปรับความละเอียดของหน้าจอให้เหมาะสมกับคอนเทนต์ที่กำลังใช้งาน เพื่อช่วยประหยัดพลังงานแบตตอรี
สามารถปรับค่า Refresh Rate ได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Dynamic สำหรับปรับค่า Refresh Rate แบบอัตโนมัติ, Ultra สำหรับปรับค่า Refresh Rate สูงสุดที่ 90Hz เพื่อการใช้งานที่ลื่นไหล และ Standard สำหรับปรับค่า Refresh Rate ในระดับ 60Hz เพื่อการประหยัดพลังงาน
มาพร้อมกับฟีเจอร์ Sound Booster สำหรับเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเป็นไมโครโฟนรับเสียง และส่งเสียงต่อไปยังหูฟังบลูทูธแบบไร้สายที่กำลังใช้งานอยู่ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถได้ยินเสียงรอบนอกได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ในส่วนของแบตเตอรี่ มาพร้อมกับฟีเจอร์ Performance Mode สำหรับรีดประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่องให้อยู่ในระดับสูงสุด ตอบโจทย์การเล่นเกม หรือการประมวลผลหนักๆ ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Wireless Reverse Charging สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์อื่นๆ ได้แบบไร้สาย เพียงแค่นำมาวางไว้หลังตัวเครื่อง HUAWEI Mate 40 Pro 5G เท่านั้น
ในยุคปัจจุบันที่มือถือเป็นอุปกรณ์สำคัญที่อยู่ ติดตัวผู้ใช้ตลอด ทำให้หลายท่านอาจละเลยหาเวลาพักการใช้สมาร์ทโฟนให้กับตนเอง Huawei จึงได้พัฒนาฟีเจอร์ที่เรียกว่า Digital Balance เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบปริมาณการใช้งานสมาร์ทโฟนในแต่ละวันได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งยังมีฟีเจอร์เพื่อช่วยควบคุมปริมารณการใช้งานสมาร์ทโฟนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ เช่น Screen Time สำหรับกำหนดจำนวนชั่วโมงที่สามารถใช้งานสมาร์ทโฟนได้ในแต่ละวัน หรือ App Limits จำกัดระยะเวลาการใช้งานแอปพลิเคชัน เป็นต้น
ในด้านลูกเล่นการใช้งาน ยังจัดเต็มเช่นเคย โดยมาพร้อมกับฟีเจอร์ Shortcuts & Gestures ซึ่งเป็นการสั่งการสมาร์ทโฟนด้วยท่าทาง เช่น ใช้ข้อนิ้วเคาะสองครั้งเพื่อบันทึกภาพหน้าจอม, Wake Screen สำหรับปลุกหน้าจอแบบอัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาในระดับพร้อมใช้งาน หรือ Answer Calls สำหรับรับสายเรียกเข้าแบบอัตโนมัติเมื่อยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาแนบหู เป็นต้น
AI Voice สำหรับสั่งงานด้วยเสียงผ่านผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Celia เช่น สอบถามสภาพอากาศ, ตั้งนาฬิกาปลุก, โทรออกหาผู้ติดต่อที่ต้องการ หรือส่งข้อความ เป็นต้น โดยในเบื้องต้นรองรับการสั่งการเฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้น ซึ่งคาดว่าในอนาคตทาง Huawei จะมีการอัปเดตให้รองรับภาษาอื่นๆ รวมถึงภาษาไทย
Smart Sensing อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่รองรับการสั่งการด้วยท่าทางเช่นเดียวกัน แต่จะทำงานร่วมกับกล้อง 3D Depth Sensing ที่อยู่บริเวณชุดกล้องหน้าคู่ โดยมาพร้อมกับฟังก์ชันปลุกหน้าจอแบบอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้มองหน้าจอแสดงผล, ลดเสียงอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้มองหน้าจอ
Air Scroll สำหรับสั่งการสมาร์ทโฟนแบบไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ โดยใช้ฝ่ามือโบกบนอากาศเพื่อควบคุมสมาร์ทโฟน เช่น ปัดมือไปด้านบนเพื่อเลื่อนขึ้น หรือกำมือ เพื่อบันทึกภาพหน้าจอ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับ Air Press สำหรับรับพักสายสนทนา หรือหยุดเล่นสื่อโดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ โดยให้ผู้ใช้ยกมือค้างไว้บนอากาศ และขยับมือเข้าใกล้หน้าจอเล็กน้อยเมื่อมีไอคอนรูปมือปรากฏขึ้น
รองรับการใช้งานแบบ 2 หน้าจอผ่านฟีเจอร์ Multi-Window
และรองรับการใช้งานร่วมกับปากกา Stylus แบบ HUAWEI M-Pen
รองรับฟีเจอร์ App Twin สำหรับโคลนแอปพลิเคชันประเภทโซเชียลมีเดียเพื่อใช้งานแบบ 2 แอคเคานท์
ในส่วนของฟีเจอร์ที่เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว HUAWEI Mate 40 Pro 5G มาพร้อมกับฟีเจอร์ Safe สำหรับเก็บไฟล์ และข้อมูลส่วนตัวที่ต้องการเอาไว้ในตู้เซฟเสมือน โดยผู้ที่จะเข้าใช้งานได้มีเพียงแค่ผู้ที่รู้รหัสผ่าน หรือผู้ที่ลงทะเบียนลายนิ้วมือเอาไว้เท่านั้น
รองรับฟีเจอร์ App Lock สำหรับล็อกแอปพลิเคชันที่ต้องการ ผู้ใช้จำเป็นต้องใส่รหัสผ่าน หรือยืนยันตัวตนก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้ เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว
ฟีเจอร์ Private Space สำหรับสร้างพื้นที่สำหรับเก็บข้อมูล, แอปพลิเคชัน รวมถึงข้อมูลความเป็นส่วนตัว ทำให้ผู้ใช้เหมือนมีสมาร์ทโฟน 2 เครื่องที่สามารถเก็บข้อมูล หรือลงแอปพลิเคชันแบบแยกการทำงานออกจากกันได้นั่นเอง
พร้อมรองรับระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ และระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าแบบ 3 มิติ (3D Face Recognition)
ข้ามมาดูที่ประสิทธิภาพการทำงานกันบ้าง HUAWEI Mate 40 Pro 5G มาพร้อมกับชิปเซ็ตตัวใหม่ล่าสุดในชื่อ Kirin 9000 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตระดับ 5 นาโนเมตร ที่มีการฝังชิปโมเด็ม 5G เอาไว้ใน SoC (System-on-Chip) เป็นรุ่นแรกของโลก โดยจะทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Mali-G78 จำนวน 24 Core พร้อมความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB และหน่วยความจำภายในความจุ 256GB พร้อมรันด้วยระบบปฏิบัติการ Android OS 10 ครอบทับด้วย EMUI 11.0 ตั้งแต่แกะกล่อง
ทดสอบการประมวลผลโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu พบว่า HUAWEI Mate 40 Pro 5G ทำคะแนนได้ทั้งหมด 647,786 คะแนน
ทดสอบการประมวลผลของ CPU ด้วยแอปพลิเคชัน GeekBench 5 พบว่า สามารถทำคะแนนแบบ Single-Core ได้ทั้งหมด 996 คะแนน และสามารถทำคะแนนแบบ Multi-Core ได้ทั้งหมด 3,392 คะแนน
ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลของ GPU ด้วยแอปพลิเคชัน 3D Mark ในด่าน Wild Life พบว่า ทำคะแนนได้ทั้งหมด 6,591 คะแนน ซึ่งนับว่าเป็นคะแนนที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ บนท้องตลาด และยังสามารถควบคุมความร้อนได้อยู่ในระดับ 35-36 องศาตลอดการทดสอบ
ทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยความจำภายใน (ROM) ด้วยแอปพลิเคชัน AndroBench พบว่า สามารถทำความเร็วในการอ่านได้ทั้งหมด 1971.15 MB/s ซึ่งแน่นอนว่าเป็นความเร็วของหน่วยความจำภายในแบบ UFS 3.x นั่นเองครับ
แน่นอนว่าด้วยประสิทธิภาพตัวเครื่องที่อยู่ใน ระดับสูง ส่งผลให้ HUAWEI Mate 40 Pro 5G สามารถเล่นเกมกราฟิกความละเอียดสูงได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด ซึ่งจากที่ทีมงานได้ลองทดสอบด้วยเกมที่มีให้ดาวน์โหลดใน App Gallery อย่าง Honkai Impact พร้อมปรับกราฟิกในระดับสูงสุด ก็พบว่า HUAWEI Mate 40 Pro 5G เล่นได้อย่างสบาย และค่อนข้างจะมีอาการสะสมความร้อนให้เห็นค่อนข้างน้อยครับ
นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์เหล่าเกมเมอร์โดยเฉพาะอย่าง Game Assistant ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปิดการแจ้งเตือน, ตั้งค่าปุ่ม L/R, บันทึกภาพหน้าชัด, บันทึกวิดีโอขณะเล่นเกม ไปจนถึงรีดประสิทธิภาพการเล่นเกมให้อยู่ในระดับสูงสุด
ส่วนการจับสัญญาณ GPS ในที่โล่งแจ้ง มีความแม่นยำคลาดเคลื่อนเพียง +- 3 เมตร
การใช้งานกล้องสำหรับถ่ายภาพ และวิดีโอ
สำหรับ UI กล้องถ่ายภาพของ HUAWEI Mate 40 Pro 5G ยังคงมีการจัดวางเมนูต่างๆ ให้ใช้งานได้อย่างง่ายดายเช่นเดิม โดยมีการวางแถบคีย์ลัดสำหรับตั้งค่ากล้องแบบเร่งด่วนเอาไว้ที่ด้านบน ไม่ว่าจะเป็น การเปิดใช้งาน Master AI สำหรับให้ระบบปัญญาประดิษฐ์ปรับแต่งภาพถ่ายให้มีความสวยงามแบบอัตโนมัติ, เปิดใช้งานไฟแฟลช รวมถึงการเปิดใช้งานฟิลเตอร์สีจาก LEICA
รองรับฟีเจอร์ Moving Picture สำหรับบันทึกภาพเป็นไฟล์เคลื่อนไหว
สามารถซูมภาพได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่เลื่อนแถบทางด้านขวา โดยรองรับการซูมภาพแบบ Optical Zoom ที่ระดับ 5 เท่า, Hybrid Zoom ที่ระดับ 10 เท่า และรองรับการซูมภาพแบบ Digital Zoom ที่ระดับ 50 เท่า
ส่วนที่ด้านล่างเป็นโหมดถ่ายภาพแบบต่างๆ เริ่มตั้งแต่ โหมด Pro สำหรับปรับแต่งค่าต่างๆ ของกล้องถ่ายภาพด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็น ระยะโฟกัส, ค่าความไวแสง (ISO), ค่าสปีดชัตตเตอร์ (S), ค่าชดเชยแสง (EV), รูปแบบการโฟกัสภาพ (AF) และค่าสมดุลแสงสีขาว (WB)
นอกจากนี้ยังสามารถเปิดใช้งาน AF Assist Light, โทนสีภาพแบบ LEICA รวมถึงเปิดใช้งานฟอร์แม็ตภาพถ่ายแบบไฟล์ RAW ได้ด้วย
โหมด Night สำหรับถ่ายภาพกลางคืนให้มีความสว่างคมชัดโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง ซึ่งผู้ใช้สามารถตั้งค่า ISO รวมถึง Speed Shutter และโทนสีของภาพถ่ายจาก LEICA ได้ด้วยตนเอง
โหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ โดยผู้ใช้สามารถปรับระดับการซูมภาพได้ทั้งหมด 3 ระดับ เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ของภาพถ่าย
รวมทั้งยังสามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์ Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าให้มีความสวยงามเป็นธรรมชาติได้ทั้งหมด 10 ระดับ
และยังสามารถเปิดใช้งานเอฟเฟกต์การละลายฉากหลังได้หลากหลายรูปแบบ เช่น Swirl สำหรับถ่ายภาพแบบโบเก้วน รือ Hearts สำหรับถ่ายภาพแบบโบเก้รูปหัวใจ เป็นต้น
โหมด Aperture สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอผ่านการจำลองค่ารูรับแสงได้ระหว่าง f/0.95 - f/16
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะ HUAWEI Mate 40 Pro 5G ยังมีฟีเจอร์การถ่ายภาพที่น่าสนใจที่ถูกจัดเก็บเอาไว้ในแถบ More เช่น การถ่ายภาพมุมกว้างแบบพาโนรามา
การถ่ายภาพขาวดำแบบ Monochrome
การถ่ายภาพแบบ Light Painting สำหรับเปิดหน้าชัตเตอร์ให้นานขึ้น เหมาะแก่การถ่ายภาพแสงไฟบนท้องถนน, ถ่ายดาวแบบวน รวมไปถึงการถ่ายภาพน้ำตก เพื่อช่วยให้ภาพถ่ายมีลูกเล่นที่สวยงาม
ด้านการถ่ายวิดีโอ รองรับการบันทึกไฟล์ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K พร้อมรองรับการถ่ายวิดีโอแบบมุมกว้าง พร้อมรองรับการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Beauty สำหรับปรับแต่งใบหน้าให้สวยงามได้ถึง 10 ระดับ
นอกจากนี้ ยังรองรับฟีเจอร์ Steady Shot สำหรับป้องกันการสั่นไหวขณะถ่ายวิดีโอ และ Tracking Shot สำหรับจับโฟกัสตามติด Subject ที่ต้องการ เพื่อป้องกันไม่ให้หลุดเฟรม
ที่สำคัญยังรองรับการเปิดใช้งานฟิลเตอร์เพื่อ ปรับโทนสีของภาพถ่าย พร้อมรองรับการถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ รวมถึงการถ่ายวิดีโอแบบดูดสีเฉพาะ Subject
มาพร้อมกับฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอแบบ Slo-Mo ซึ่งสามารถปรับค่าเฟรมเรทของการถ่ายวิดีโอได้สูงถึง 3840fps
ที่สำคัญยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Story Creator ซึ่งเป็นการถ่ายวิดีโอในรูปแบบต่างๆ ตามที่ระบบกำหนดไว้ จากนั้นระบบจะทำการตัดต่อ, ใส่ Transition และเสียงเพลงให้แบบอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้สามารถนำไปแชร์ต่อบนโลกออนไลน์ได้ทันที
ด้านกล้งหน้าเซลฟี่มีการจัดเรียงหน้า UI ที่คล้ายกับกล้องหลัง โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งการตั้งค่าเกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพได้ที่แถบไอคอนด้านบน และสามารถปรับมุมมองการถ่ายภาพของกล้องหน้าเซลฟี่ได้ทั้งหมด 3 ระดับ ตอบโจทย์การถ่ายภาพเซลฟี่มุมกว้าง หรือการถ่ายภาพเซลฟี่กลุ่มได้เป็นอย่างดี
รองรับการเปิดใช้งาน Beauty ที่สามารถปรับความเรียบเนียนของใบหน้าได้ทั้งหมด 10 ระดับ
รองรับการเปิดใช้งานฟิลเตอร์สำหรับเปลี่ยนโทนสี ของภาพถ่าย
ส่วนที่ด้านล่างเป็นโหมดถ่ายภาพในรูปแบบต่างๆ เริ่มตั้งแต่ โหมด Portrait สำหระบถ่ายภาพเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอ
ผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์ Beauty ขณะใช้งานโหมด Portrait ได้ด้วย แต่จะมีความพิเศษกว่ากล้องหลังตรงที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งส่วนต่างๆ ของใบหน้าได้อย่างละเอียด รวมทั้งยังสามารถปรับโทนสีของสีผิวได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์การถ่ายภาพอื่นๆ ที่ถูกจัดเก็บไว้ในแถบ More เช่น Panorama สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่มุมกว้างแบบพาโนรามา
การถ่ายวิดีโอแบบ Dual-View ซึ่งจะบันทึกวิดีโอจากกล้องหน้า และกล้องหลังพร้อมกัน
Stickers สำหรับติดสติกเกอร์แบบน่ารักๆ ให้กับภาพถ่ายโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องนำไปปรับแต่งในแอปพลิเคชันอื่นๆ
ด้านการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้า รองรับการบันทึกไฟล์ภาพที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K พร้อมรองรับการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Beauty สำหรับปรับใบหน้าให้มีความสวยงามได้ทั้งหมด 10 ระดับ
พร้อมรองรับการเปิดใช้งานฟิลเตอร์สำหรับปรับโทน สีของการถ่ายวิดีโอได้อย่างหลากหลาย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง 3 ตัว (LEICA Ultra Vision Cine Triple Camera) ความละเอียดระดับ 50+20+12 ล้านพิกเซล ของ HUAWEI Mate 40 Pro 5G
ภาพถ่ายจากโหมดปกติ
ภาพถ่ายจากกล้องเลนส์มุมกว้าง Ultra Wide Cine
ภาพถ่ายจากโหมด Night
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait
เปรียบเทียบภาพถ่ายในระยะต่างๆ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล + 3D Depth Sensing (TOF 3D) ของ HUAWEI Mate 40 Pro 5G
ภาพถ่ายจากโหมดปกติในระยะต่างๆ
ภาพถ่ายจากโหมดปกติพร้อมเปิดเอฟเฟกต์ Beauty
ภาพถ่ายจากโหมด Portrait พร้อมเปิดเอฟเฟกต์ Beauty
สรุปผลการทดสอบของ HUAWEI Mate 40 Pro 5G
การกลับมาของ HUAWEI Mate Series ในครั้งนี้ถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว เพราะทาง Huawei ยังคงก้าวนำด้านนวัตกรรมไปอีกขั้นตามสโลแกนประจำตัวของ HUAWEI Mate 40 Pro 5G อย่าง Leap Further Ahead ด้วยการมาพร้อมกับชิปเซ็ต Kirin 9000 บนสถาปัตยกรรมการผลิตระดับ 5 นาโนเมตร พร้อมการได้ใช้ชิปกราฟิก Mali-G78 แบบ 24 Core เป็นครั้งแรกของโลก
นอกจากนี้ HUAWEI Mate 40 Pro 5G ยังพกพาความล้ำมาแบบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแสดงผลขอบโค้ง 88 องศา แบบ Horizon Display ขนาดใหญ่เต็มตา 6.76 นิ้ว พร้อมค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz ช่วยให้แสดงผลได้อย่างลื่นไหลเนียนตา และตอบสนองอย่างฉับไวด้วยค่า Touch Sampling Rate ระดับ 240Hz รวมไปถึงแบตเตอรี่ขนาด 4400mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็วแบบผ่านสายด้วยกำลังไฟสูงถึง 66W และยังสามารถชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายด้วยกำลังไฟสูงถึง 50W ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่ชาร์จแบตเตอรี่ทั้งแบบใช้สาย และไร้สายได้ไวที่สุดรุ่นหนึ่งบนท้องตลาดเลยก็ว่าได้
ด้านการถ่ายภาพ HUAWEI Mate 40 Pro 5G ยังคงความจัดเต็มด้วยกล้องถ่ายภาพที่พัฒนาร่วมกับ LEICA เช่นเคย แม้ว่าในปีนี้ทาง Huawei จะมีการปรับลดจำนวนกล้องถ่ายภาพลงจากรุ่น Mate30 Pro แต่ในด้านประสิทธิภาพแล้ว ถือว่ามีการพัฒนาขึ้นอย่างมาก โดยมาพร้อมกับกล้องตัวหลัก Ultra Vision 50 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสงกว้าง f/1.9 ตอบโจทย์การถ่ายภาพในทุกสภาวะแสง พร้อมกล้อง Ultra Wide Cine Camera ที่ตอบโจทย์การถ่ายภาพมุมกว้าง กับการถ่ายวิดีโอได้เป็นอย่างดี ไปจนถึงกล้อง Periscope Telephoto ที่รองรับการซูมได้ไกล และคมชัดกว่าที่เคย นอกจากนี้ กล้องหน้าเซลฟี่ก็ยังโดดเด่นด้วยกล้องหน้าเลนส์ Wide สำหรับเก็บภาพเซลฟี่แบบกลุ่มได้โดยไม่หลุดเฟรม พร้อมทั้งยังมีเทคโนโลยี 3D Depth Sensing Camera ที่ช่วยถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ รวมถึงการปลดล็อกใบหน้า 3 มิติได้อย่างสุดล้ำ
ในส่วนของลูกเล่นต่างๆ ก็มีการอัปเกรดขึ้นไปอีกขั้น เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น ผู้ช่วยอัจฉริยะ Celia, เทคโนโลยี Eyes on Display สำหรับเรียกดูการแจ้งเตือนเมื่อผู้ใช้มองหน้าจอแสดงผล, ลำโพงเสียงแบบคู่ ไปจนถึงระบบปฏิบัติการ EMUI 11 ที่ได้รับการปรับแต่งให้ทำงานได้อย่างรวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม อย่างไรก็ดีสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องทราบอย่างหนึ่งก็คือ Mate 40 Series นั้นไม่ได้มาพร้อมกับ Google Mobile Services (GMS) แต่มี Huawei Mobile Services (HMS) ติดตั้งมาให้ใช้งานแทน
HUAWEI Mate 40 Pro 5G เปิดราคาทางการในประเทศไทยที่ 34,990 บาท กับตัวเลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ Mystic Silver และ Black โดยเริ่มวางจำหน่ายแล้ววันนี้ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ และพิเศษสำหรับผู้ที่สั่งซื้อ HUAWEI Mate 40 Pro 5G ในระหว่างวันที่ 3 - 31 ธันวาคมนี้ รับฟรีของสมนาคุณมูลค่ารวมกว่า 7,970 บาท ได้แก่ HUAWEI M-Pen 2 (2,490 บาท), HUAWEI Ring Light Case (2,490 บาท) และ HUAWEI SuperCharge Wireless Charger Stand (2,990 บาท) พร้อมโปรโมชั่นพิเศษร่วมกับเครือข่ายทั้ง 3 ค่ายใหญ่ เริ่มต้นเพียง 14,990 บาทเท่านั้น พร้อมรับของแถมมูลค่ารวม 7,970 บาท เช่นกัน
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Huawei ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง HUAWEI Mate 40 Pro 5G มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ
จุดเด่นของ HUAWEI Mate 40 Pro 5G
- ดีไซน์ตัวเครื่องใหม่แบบ Space Ring บนเทคโนโลยีการผลิตตัวเครื่องแบบ Metal-Glass ด้วยกรอบตัวเครื่องอะลูมิเนียม ผสานกับกระจกที่ด้านหน้า และด้านหลัง
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นในระดับ IP68
- หน้าจอแสดงผลแบบ 90Hz OLED Horizon Display ขนาด 6.76 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ (2772x1344 พิกเซล) พร้อมขอบโค้ง 88 องศา, ค่า Touch Sensitivity สูงสุด 240Hz, รองรับการแสดงผลคอนเทนต์แบบ HDR10 และฟีเจอร์ Eye Comfort สำหรับตัดแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ พร้อมระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าด้วยกล้องหน้าแบบ 3D Face Unlock
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Kirin 9000 Octa-Core ความเร็วสูงสุด
3.13 GHz พร้อมสถาปัตยกรรมการผลิตระดับ 5nm
- ชิปเซ็ตประมวลผลแยก NPU Dual Big Core + Tiny Core NPUs สำหรับประมวลผลระบบปัญญาประดิษฐ์
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Mali-G78 24-Core
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) แบบ UFS 3.1 ขนาด 256GB
- รองรับการเพิ่มหน่วยความจำแบบ NM Card ความจุสูงสุด 256GB
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 พร้อมครอบทับด้วย EMUI 11
- ฟังก์ชัน Floating Windows และ Multi-Window
กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว แบบ Leica Ultra Vision Cine Triple Camera ความละเอียด 50+20+12 ล้านพิกเซล ประกอบไปด้วย
> กล้อง Ultra Vision (Super Sensing Wide) ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพแบบ RYYB ขนาด 1/1.28 นิ้ว, รูรับแสงขนาด f1.9 และระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ Octa PDAF (Octa PD Autofocus) + Laser Autofocus
> กล้อง Ultra Wide Cine ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.8 และระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ PDAF
> กล้อง Periscope Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f3.4, ซูมแบบ Optical Zoom สูงสุด 5 เท่า, ซูมแบบ Hybrid Zoom
สูงสุด 10 เท่า, ซูมแบบ Digital Zoom สูงสุด 50 เท่า, ระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS และระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ
พร้อมดีไซน์แบบ Space Ring, เทคโนโลยี XD Fusion HDR Video สำหรับช่วยประมวลผลการถ่ายภาพวิดีโอ
เพื่อเก็บรายละเอียดต่างๆ, เทคโนโลยี Multi Exposure, ฟังก์ชัน Steady Shot สำหรับช่วยลดอาการสั่นไหวขณะถ่ายวิดีโอ, ฟังก์ชัน Tracking Shot สำหรับถ่ายวิดีโอแบบโฟกัสตามติดเฉพาะ Subject
ที่ต้องการ, รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K (60fps), รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Slow Motion ที่ความเร็วสูงสุด 3840 fps (720P), ฟังก์ชัน Master AI
สำหรับประมวลผลภาพถ่ายให้สวยงามผ่านการวิเคราะห์โดยปัญญาประดิษฐ์ และโหมดถ่ายภาพกลางคืนแบบไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง
สามารถใช้งานได้กับกล้องทุกระยะ
กล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบคู่ ด้วยกล้องตัวหลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f2.4 + กล้อง 3D Depth Sensing (TOF 3D)
พร้อมรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K (60fps), รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Slow Motion แบบ 1080P ที่ความเร็วสูงสุด 240fps และโหมดถ่ายวิดีโอแบบคู่พร้อมกันทั้งกล้องหน้า-กล้องหลัง
- แบตเตอรี่ความจุ 4400 mAh พร้อมเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 66W HUAWEI
SuperCharge, เทคโนโลยี 50W Wireless HUAWEI SuperCharge และเทคโนโลยี 5W Reverse Wireless Charging
- ลำโพงเสียงคู่แบบ 3D Audio พร้อมรองรับระบบเสียง HUAWEI Histen
- รองรับการสั่งการผ่านผู้ช่วยอัจฉริยะ Celia
- รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 5G, 4G LTE, 3G, EDGE, GPRS และ
WiFi
- เทคโนโลยี 5G Super Uplink
- เทคโนโลยี Wi-Fi 6+ พร้อม WLAN 2.4/5 GHz, 802.11 a/b/g/n/ac/ax, 2x2 MIMO, HE160,1024 QAM และ 8 Spatial-Stream Sounding MU-MIMO
- รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.2, NFC และ Infrared
- ระบบ GPS Dual Band (L1+L5) พร้อมรองรับระบบดาวเทียม GLONASS
ของประเทศรัสเซีย, ระบบ Beidou ของประเทศจีน (B1I + B1B + B1C + B2a Quad-Band), ระบบ GALILEO ของสหภาพยุโรป (E1 + E5a + E2b Tri-Band),
ระบบ QZSS ของประเทศญี่ปุ่น (L1 + L5 Dual-Band) และ NavIC ของประเทศอินเดีย
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C (USB 3.1 GEN1) พร้อมรองรับฟังก์ชัน OTG (USB On-the-Go)
- บริการ HUAWEI Mobile Services และ AppGallery
ที่เริ่มมีแอปพลิเคชันให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย
- ราคาเปิตดัวในประเทศไทย 34,990 บาท
จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ
HUAWEI Mate 40 Pro 5G
- ไม่สามารถใช้งาน Google Mobile Services (GMS) ได้ โดยต้องใช้ HUAWEI Mobile Services (HMS) แทน
- มีให้เลือกเพียงความจุเดียวคือ 256GB
- ฝาหลังเป็นกระจกผิวสัมผัสมันเงา
จึงทำให้เกิดคราบเปื้อนของรอยนิ้วมือได้ง่ายหากไม่ใส่เคสป้องกัน
- หน้าจอมีความโค้งมากกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป
อาจจำเป็นต้องใส่เคสที่มีขอบหนาเพื่อป้องกัน
- ไม่มีพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางผู้ผลิต เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
วันที่ : 31/12/2020