รวมมือถือสเปกแรง 2022 ราคาไม่เกิน 15,000 บาท ที่น่าสนใจ มีรุ่นเด่นจากแบรนด์ใดบ้าง มาดูกัน
เรียกได้ว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชื่อดังจากทั่วทุกมุมโลก ได้ส่งสมาร์ทโฟนรุ่นเด่น พร้อมฟีเจอร์ล้ำหน้าออกมาแข่งขันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร และมีราคาวางจำหน่ายที่ถูกลงเรื่อยๆ ซึ่งก็ส่งผลดีกับผู้ใช้อย่างเราๆ ที่สามารถเลือกซื้อสมาร์ทโฟนฟีเจอร์ระดับท็อปได้หลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถตอบโจทย์การใช้งานตามไลฟ์สไตล์ และงบประมาณของแต่ละท่านได้มากที่สุด ดังนั้นทางทีมงาน Thaimobilecenter จึงทำการรวบรวมมือถือสเปกแรง 2022 ราคาไม่เกิน 15,000 บาทมาให้ได้ชมกัน (อัปเดตล่าสุดวันที่ 21 มกราคม 2565) เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนประสิทธิภาพดี พร้อมตอบโจทย์การทำงานได้อย่างครบครัน ในราคาที่จับต้องได้ ซึ่งจะมีสมาร์ทโฟนรุ่นเด่นจากแบรนด์ใดบ้าง เชิญติดตามชมไปพร้อมกันได้เลยค่ะ
Samsung Galaxy A53 5G : 14,499 บาท
5G | Exynos 1280 | 120Hz Super AMOLED 6.5" | Quad Camera 64MP + OIS | IP67
มือถือ Galaxy A Series รุ่นใหม่ป้ายแดงที่อัปเกรดด้วยชิปเซ็ต Exynos 1280 รุ่นล่าสุด จับคู่กับ RAM 8GB + ROM 128GB มีหน้าจอ Super AMOLED Infinity-O Display ขนาด 6.5 นิ้ว คมชัดระดับ Full HD+ รองรับค่า Refresh Rate ระดับ 120Hz และมีกล้องหลัง 4 ตัว ประกอบด้วย กล้องหลัก 64MP รองรับ OIS + กล้อง Ultra-Wide 12MP + กล้อง Depth 5MP + กล้อง Macro 5MP ส่วนกล้องหน้าสำหรับเซลฟี่ให้มาที่ 32MP บนตัวเครื่องรองรับคุณสมบัติป้องกันน้ำ- ฝุ่นมาตรฐาน IP67 โดยรองรับการใช้งานตลอดวันด้วยแบตเตอรี่ขนาด 5000mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็วระดับ 25W บนระบบปฏิบัติการ Android 12 ครอบทับด้วย One UI 4.1 ใหม่ล่าสุด
สรุปคุณสมบัติตัวเครื่องในเบื้องต้นของ Samsung Galaxy A53 5G
- หน้าจอแสดงผล Super AMOLED Infinity-O Display ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 407 ppi) อัตราส่วน 20:9 รองรับค่า Refresh Rate ระดับสูงสุดที่ 120Hz
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Exynos 1280
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB รองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD สูงสุด 1TB
- กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว (Quad Camera) ประกอบด้วย
- กล้องตัวหลัก 64 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด F/1.8 รองรับระบบกันสั่นแบบ OIS
- กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด F/2.2
- กล้อง Depth ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด F/2.4
- กล้อง Macro ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด F/2.4
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด F/2.2
- แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จไว 25W Super Fast Charging
- ระบบปฏิบัติการ Android 12 ครอบทับด้วย One UI 4.1
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ
- คุณสมบัติป้องกันน้ำ-ฝุ่นมาตรฐาน IP67
- รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 5G NR / 4G LTE
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac (2.4G+5GHz), Bluetooth 5.1
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
iPhone SE 3 (2022) : เริ่ม 15,900 บาท
5G | A15 Bionic | Retina HD 4.7" | TouchID | IP67
ไอโฟนราคาประหยัดรุ่นอัปเกรดปี 2022 ที่ยังคงมาพร้อมกับดีไซน์เดิม โดยมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Retina HD ขนาด 4.7 นิ้ว ที่มีปุ่ม Home พร้อมรองรับ Touch ID อัปเกรดด้วยการรองรับ 5G จากชิปเซ็ตตัวแรงใหม่ล่าสุดอย่าง Apple A15 Bionic ตัวเดียวกันกับที่ใช้บน iPhone 13 Series และรองรับการชาร์จไวเมื่อใช้งานร่วมกับอแดปเตอร์ 20W ขึ้นไป สามารถชาร์จจาก 0-50% ได้ในเวลา 30 นาที สำหรับกล้องหลังเป็นแบบเดี่ยวความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมฟีเจอร์ช่วยถ่ายภาพแบบจัดเต็ม
สรุปคุณสมบัติตัวเครื่องในเบื้องต้นของ iPhone SE 3 (2022)
- ตัวเครื่องมีขนาด 138.4x67.3x7.3 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 144 กรัม
- หน้าจอแสดงผล Retina HD (LCD) ขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334x750 พิกเซล : 326 PPI
- รองรับเทคโนโลยี True Tone สำหรับปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยรอบอัตโนมัติ
- ค่าความสว่างหน้าจอสูงสุด 625 นิต
- ชิปเซ็ตประมวลผล (CPU) แบบ Apple A15 Bionic
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 พร้อมรองรับการถ่ายภาพเซลฟี่หน้าชัดหลังเบลอ
- กล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.8 รองรับการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ และการถ่ายวิดีโอระดับ 4K
- รองรับระบบชาร์จไว 20W (อแดปเตอร์ต้องซื้อแยก) ชาร์จจาก 0-50% ในเวลา 30 นาที
- รองรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย Qi
- รองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 5G, 4G LTE
- มาตรฐานการน้ำแบบ IP67 กันน้ำได้ลึก 1 เมตร เป็นเวลา 30 นาที
- ลำโพงคู่สเตอริโอ
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ Touch ID ฝังที่ปุ่มโฮม
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ iOS 15 ตั้งแต่แกะกล่อง
- รุ่นความจุ 64GB ราคา 15,900 บาท
- รุ่นความจุ 128GB ราคา 17,900 บาท
- รุ่นความจุ 256GB ราคา 21,900 บาท
OPPO Reno7 Z 5G : 12,999 บาท
5G | Snapdragon 695 | Triple Camera 64MP | 33W SUPERVOOC | IPX4
สเปก OPPO Reno7 Z 5G | รีวิว OPPO Reno7 Z 5G
มือถือ “The Portrait Expert : เป็นตัวเองได้ไม่จำกัดด้วยพอร์ตเทรต” รุ่นล่าสุด เน้นไปที่การถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ด้วยกล้องหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย กล้องตัวหลัก 64MP (f1.7) + กล้อง Macro 2MP (f2.4) + กล้อง Depth 2MP (f2.4) พร้อมการดีไซน์โฉมใหม่แบบ OPPO Glow Design กับตัวเครื่องทรงเหลี่ยม Ultra Slim Retro Design แบบใหม่ที่มีความบางเบา ผสานลูกเล่นที่น่าสนใจอย่าง Dual Orbit Lights ไฟแจ้งเตือนรูปแบบใหม่อยู่ที่กล้องหลัง นอกจากนี้ยังรองรับคุณสมบัติป้องกันน้ำมาตรฐาน IPX4 โดยมีหน้าจอแบบ Punch-Hole AMOLED Display ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล) พร้อมเซนซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint) และมากับชิปเซ็ต 5G รุ่นใหม่อย่าง Qualcomm Snapdragon 695 ระดับ 6nm จับคู่กับ RAM ขนาด 8GB + เทคโนโลยี RAM Expansion เพิ่ม RAM เสมือนได้สูงสุด 5GB พร้อม ROM มาตรฐาน UFS 2.2 ขนาด 128GB และมีแบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 33W SUPERVOOC บนระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย ColorOS 12 ซึ่งได้รับการรับรองระดับสูงสุดด้านความเร็วเมื่อใช้งานแล้ว 36 เดือน จาก TÜV SÜD
สรุปคุณสมบัติตัวเครื่องในเบื้องต้นของ OPPO Reno7 Z 5G
- สี Cosmic Black ตัวเครื่องขนาด 159.85x73.17x7.49 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 173 กรัม
- สี Rainbow Spectrum ตัวเครื่องขนาด 159.85x73.17x7.55 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 173 กรัม
- หน้าจอแสดงผล Punch-Hole AMOLED Display ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 409 ppi) ในอัตราส่วนในการแสดงผลแบบ 20:9 รองรับค่า Refresh Rate ระดับสูงสุด 90Hz ผสานค่า Touch Sampling Rate ระดับ 180Hz
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 695 5G ที่มีความเร็ว 2.2 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 619
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB พร้อมเทคโนโลยี RAM Expansion ที่ช่วยเพิ่มขนาดของแรมได้สูงสุด 5 GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 2.2 ความจุ 128GB รองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD Card
- กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย
- กล้อง Wide (Main) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.7, มุมรับภาพ 79 องศา, ระบบโฟกัสอัตโนมัติ, มอเตอร์ Open-Loop และโครงสร้างแบบ 6 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89 องศา, ระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
- กล้อง Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 89 องศา และโครงสร้างแบบ 3 ชิ้นเลนส์
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าฝังบนจอ (In-Display Selfie) ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh พร้อมเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 33W SUPERVOOC
- ระบบปฏิบัติการ Android 11 พร้อมครอบทับด้วย ColorOS 12
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint)
- รองรับการเชื่อมต่อ 5G NR, 4G LTE, Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac (Dual Band) และ Bluetooth 5.2
- ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid-Slot
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- ช่องเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มม.
realme 9 Pro+ 5G : 12,999 บาท
5G | Dimensity 920 | 50MP ProLight Camera + OIS| 90Hz Super AMOLED 6.4" | 60W SuperDart
สเปก realme 9 Pro+ 5G | รีวิว realme 9 Pro Series
จัดเต็มด้วยกล้องหลัก 50MP เซนเซอร์ใหม่อย่าง Sony IMX766 พร้อมกล้อง Super Wide 8MP และกล้อง Macro 2MP โดยมีฟังก์ชันการถ่ายภาพจัดเต็มเทียบชั้นกล้องโปร ประมวลผลด้วยชิปเซ็ตรุ่นใหม่อย่าง Dimensity 920 5G ระดับ 6nm จับคู่กับ RAM ขนาด 8GB + เทคโนโลยี Dynamic RAM Expansion ที่สามารถเพิ่ม RAM เสมือนได้อีก 5GB โดยจะมี RAM สูงสุดถึง 13GB โดยมี ROM มาตรฐาน UFS 2.2 ขนาด 256GB พร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 60W SuperDart Charge (มีอะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge แถมมาให้ในแพ็กเกจ) และมีมอเตอร์แบบ X-axis Linear รวมถึงลำโพง Stereo แบบคู่ พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos นอกจากนี้ยังมีหน้าจอไร้ขอบแบบ 90Hz Super AMOLED Display ขนาด 6.4 นิ้ว คมชัดระดับ Full HD+ รองรับค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz พร้อมครอบทับด้วยกระจกแบบ Gorilla Glass 5 และมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint)
สรุปคุณสมบัติตัวเครื่องในเบื้องต้นของ realme 9 Pro+ 5G
- ตัวเครื่องมีขนาด 160.2x73.3x7.99 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 182 กรัม
- หน้าจอแสดงผล 90Hz Super AMOLED Display ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล) มีพื้นที่การแสดงผล 90.8% พร้อมรองรับค่า Refresh Rate ระดับสูงสุด 90Hz ผสานค่า Touch Sampling Rate ระดับ 360Hz และครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5
- ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Dimensity 920 5G
- หน่วยประมวลผลกราฟิก GPU Mali-G68 MC4
- ระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber Cooling System แบบ 5 ชั้น ที่สามารถลดอุณหภูมิ core ได้สูงสุด 10 องศาเซลเซียส
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB / 8GB พร้อมเทคโนโลยี Dynamic RAM Expansion ที่สามารถเพิ่ม RAM เสมือนจาก ROM ได้อีก 5GB
-หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง (ROM) มาตรฐาน UFS 2.2 ขนาด 128GB / 256GB
- กล้องหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย
- กล้องหลัก 50MP Street Photography 2.0 Camera (f1.8) เซนเซอร์รับภาพ Sony IMX766 ขนาด 1/1.56 นิ้ว รองรับระบบกันสั่นแบบ OIS
- กล้อง Super Wide 8MP (f2.2) เก็บภาพมุมกว้างสุด 119 องศา
- กล้อง Macro 2MP (f2.4) ถ่ายภาพระยะใกล้สุดที่ 4 เซนติเมตร
- กล้องหน้า In-Display Selfie 16MP (f2.4)
- แบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 60W SuperDart Charge
- ระบบปฏิบัติการ Android 12 คอรบทับด้วย realme UI 3.0
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint) พร้อมวัดอัตราการเต้นหัวใจได้
- X-axis Linear Motor
- ลำโพง Stereo แบบคู่ พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos
- รองรับการเชื่อมต่อ 5G / 4G LTE / Wi-Fi6 (Dual-Band) และ Bluetooth 5.2
- พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- ช่องเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
realme GT Neo2 5G : 13,990 บาท
120Hz E4 AMOLED| 5G | Snapdragon 870 | 65W SuperDart Charge
สเปก realme GT Neo2 5G | รีวิว realme GT Neo2 5G
สมาร์ทโฟนสเปกแรงจาก realme อย่าง realme GT Neo 2 เจ้าของฉายา นักฆ่าเรือธง คนใหม่ล่าสุด โดยมาพร้อมกับสเปกแรงระดับเรือธงในราคาที่เอื้อมถึงได้ง่าย เริ่มตั้งแต่ หน้าจอแสดงผลแบบ E4 AMOLED ที่มีค่า Refresh Rate ระดับ 120Hz, ขับเคลื่อนการทำงานด้วยชิปเซ็ตประมวลผล Snapdragon 870, แบตเตอรี่ขนาด 5000mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็วแบบ 65W SuperDart Charge ไปจนถึงกล้องหลังความละเอียด 64 ล้านพิกเซล ซึ่งสเปกทั้งหมดนี้ทาง realme อัดแน่นมาด้วยราคาวางจำหน่ายเพียง 13,990 บาทเท่านั้น
สรุปคุณสมบัติตัวเครื่องในเบื้องต้นของ realme GT Neo2
- หน้าจอแสดงผล E4 AMOLED ขนาด 6.62 นิ้ว Full HD+ (1080x2520 พิกเซล)
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 870 5G
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 650
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบด้วย
- กล้องตัวหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล
- กล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ความจุ 5000 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย realme UI 2.0
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอแสดงผล
- รองรับเครือข่าย 5G / 4G LTE
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 และ Bluetooth 5.2
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C 3.1
vivo V23e 5G : 12,999 บาท
5G | Ultra HD 44MP Selfie | Triple Camera 50MP | 44W FlashCharge
สเปก vivo V23e 5G | รีวิว vivo V23e 5G
มือถือ 5G รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาจุดเด่นอย่างกล้องหน้าคมชัดสูง Ultra HD 44MP รองรับระบบการโฟกัสดวงตา (Eye Autofocus) พร้อมโหมด Natural Portrait และ AI Extreme Night ผสานกล้องหลัง 3 ตัว ได้แก่ กล้องหลัก 50MP + กล้อง Super Wide 8MP + กล้อง Super Macro 2MP โดยรองรับโหมดการถ่ายภาพที่น่าสนใจครบครัน ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Dimensity 810 รองรับ 5G Dual Mode (SA/NSA) แบบ 2 ซิม (Dual 5G SIM) จับคู่ RAM 8GB + เทคโนโลยี Extended RAM 2.0 ที่สามารถขยาย RAM เพิ่มได้อีก 4GB และรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 44W vivo FlashCharge รวมถึงหน้าจอไร้ขอบแบบ Halo Fullview Display (AMOLED) ขนาด 6.44 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล) ที่มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังใต้จอ (In-Display Fingerprint)
สรุปคุณสมบัติตัวเครื่องในเบื้องต้นของ vivo V23e 5G
- ตัวเครื่องสี Sunshine Coast มีขนาด 160.87x74.28x7.41 มิลลิเมตร
- ตัวเครื่องสี Moonlight Shadow มีขนาด 160.87x74.28x7.36 มิลลิเมตร
- หน้าจอแสดงผล Halo Fullview Display (AMOLED) ขนาด 6.44 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 408 ppi) พร้อมค่า Refresh Rate ระดับ 60Hz และครอบทับด้วยกระจกขอบนูนแบบ 2.5D
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core MediaTek Dimensity 810
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G57 MC2
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB พร้อมเทคโนโลยี Extended RAM 2.0 ที่สามารถขยาย RAM เพิ่มได้อีก 4GB ด้วย Internal Storage (ROM)
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ความจุ 128GB พร้อมรองรับหน่วยควาจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 1TB
- กล้องดิจิทัลด้านหน้า Ultra HD ความละเอียด 44 ล้านพิกเซล รองรับระบบการโฟกัสดวงตา (Eye Autofocus), โหมด Face Beauty ปรับผิวให้สวยเป็นธรรมชาติ พร้อม Pose Master ในการแนะนำท่าโพสที่สวยงามให้กับผู้ถ่าย, โหมดถ่ายภาพบุคคล Portrait พร้อม Portrait Light Effect ทั้งหมด 6 รูปแบบ, ฟีเจอร์ AI Extreme Night สำหรับถ่ายเซลฟี่เวลากลางคืน หรือที่แสงน้อย พร้อมทำงานร่วมกับโหมด Beauty และการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ Full HD 1080P พร้อมระบบกันสั่นแบบ Steadiface selfie VDO, โหมด Face Beauty และโหมด Dual-View Video 3.0 ในการบันทึกวิดีโอทั้งจากกล้องหน้า และกล้องหลังได้พร้อม ๆ กัน
- กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) ประกอบด้วย
- กล้องตัวหลัก (Main) ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.8, ทางยาวโฟกัส 26 มิลลิเมตร และระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF
- กล้อง Super Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, รูรับแสงขนาด f2.2 และมุมรับภาพ 120 องศา (16 มิลลิเมตร)
- กล้อง Super Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4
- แบตเอตรี่ความจุ 4050 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 44W Vivo FlashCharge
- ระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย Funtouch OS 12
- เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint Scanner)
- ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Wake)
- รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 5G NR แบบ Dual-Mode (SA/NSA) และ 4G LTE
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac (2.4 / 5.0 GHz) และ Bluetooth 5.1
- พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
OnePlus Nord CE 2 5G : 14,990 บาท
5G | Dimensity 900 | 90Hz AMOLED Fluid 6.43" | 65W SUPERVOOC
มือถือ Lite Flagship รุ่นใหม่ของค่าย OnePlus มากับการดีไซน์พรีเมียมด้วยหน้าจอไร้ขอบแบบ 90Hz AMOLED Fluid Display ขนาด 6.43 นิ้ว คมชัดระดับ Full HD+ รองรับค่า Refresh Rate ระดับ 90Hz พร้อมฝาหลังเงางามสวยเทียบชั้นรุ่นเรือธง ที่มีตัวเครื่องบางเฉียบเพียง 7.8 มิลลิเมตร ติดตั้งกล้องหลัง 3 ตัวจัดเรียงแบบใหม่ ประกอบด้วย กล้องหลัก 64MP (f1.79) รองรับ EIS + กล้อง Ultra-Wide 8MP (f2.2) + กล้อง Macro 2MP (f2.4) และมีช่องเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มม. ซึ่งประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Dimensity 900 5G จับคู่กับ RAM 8GB + ROM 128GB พร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 65W SUPERVOOC และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย OxygenOS
สรุปคุณสมบัติตัวเครื่องในเบื้องต้นของ OnePlus Nord CE 2 5G
- ตัวเครื่องมีขนาด 160.6x73.2x7.8 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 173 กรัม
- หน้าจอแสดงผล 90Hz AMOLED Fluid Display ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2400 พิกเซล : 409 ppi) ในอัตราส่วน 20:9 รองรับค่า Refresh Rate ระดับสูงสุด 90Hz พร้อมรองรับการแสดงผลคอนเทนต์ HDR10+ และครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core MediaTek Dimensity 900 5G
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G68 MC4
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4X ขนาด 8GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 2.2 ขนาด 128GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD
- กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (AI Triple Camera) ประกอบด้วย
- กล้องตัวหลัก Wide (Main) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล โครงสร้าง 6 ชิ้นเลนส์ เทคโนโลยี 4-in-1 Pixel มีรูรับแสงขนาด f1.79 และรองรับระบบกันสั่นแบบ EIS
- กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มีรูรับแสงขนาด f2.2 ถ่ายภาพมุมกว้างสุด 119 องศา และรองรับระบบกันสั่นแบบ EIS
- กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล มีรูรับแสงขนาด f2.4
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ Sony IMX471 รูรับแสงขนาด f2.4 และรองรับระบบกันสั่นแบบ EIS
- แบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 65W SUPERVOOC
- ระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย OxygenOS
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint)
- ระบบสแกนใบหน้า (Facial Unlock)
- รองรับการเชื่อมต่อ 5G, 4G, Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax (Dual Band), Bluetooth 5.2 และ NFC
- ช่องเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
- พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
ZTE Axon 30 5G : เริ่ม 12,990 บาท
5G | Snapdragon 870 | Under Display Camera 16MP | 120Hz AMOLED 6.92" | 65W Fast Charge
มือถือรุ่นท็อปที่มีจุดเด่นอย่างกล้องหน้าใต้จอ (Under Display Camera) คมชัด 16MP พร้อมหน้าจอ AMOLED แสดงผลพันล้านสีแบบ 10-bit ใหญ่เต็มตาไร้รอยบาก หรือรูกล้องหน้า ที่ขนาด 6.92 นิ้ว คมชัดระดับ Full HD+ รองรับค่า Refresh Rate ระดับสูงสุด 120Hz โดยมีกล้อง 4 ตัว ประกอบด้วย กล้องตัวหลัก 64 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ Sony IMX682 + กล้อง Ultra-Wide 8 ล้านพิกเซล + กล้อง Macro 5 ล้านพิกเซล + กล้อง Depth 5 ล้านพิกเซล และประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 870 5G พร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4200 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จไว 65W บนระบบปฏิบัติการ Android 11 ที่ครอบทับด้วย ZTE MyOS 11
สรุปคุณสมบัติตัวเครื่องในเบื้องต้นของ ZTE Axon 30 5G
- ตัวเครื่องมีขนาด 170.2x77.8x7.8 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 189 กรัม
- หน้าจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.92 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2460 พิกเซล : 400 PPI) รองรับค่า Refresh Rate ระดับสูงสุด 120Hz ผสานค่า Touch Sampling Rate ระดับ 360Hz, รองรับการแสดงผล 1.07 พันบ้านสี (10-bit), ขอบเบตของสี DCI-P3 100% และครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 2.5D
- หน้าจอบริเวณเหนือกล้องหน้ามีความละเอียดพิกเซล 400PPI
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 870
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 650
- ระบบระบายความร้อน 3 แบบ ได้แก่ Large Vapor Chamber, Graphene copper matrix composite material และ High-power heat-transmitting gel
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ขนาด 8GB / 12GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 3.1 ความจุ 128GB / 256GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว (AI Quad Camera) ประกอบด้วย
- กล้องตัวหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์รับภาพ Sony IMX682 มีรูรับแสงขนาด f1.8
- กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ถ่ายภาพมุมกว้างสุด 120 องศา
- กล้อง Macro ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล โฟกัสวัตถุระยะใกล้สุดที่ 3 เซนติเมตร
- กล้อง Depth ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
- กล้องหน้าใต้จอ (Under Display Camera) เวอร์ชันอัปเกรดใน Gen2 ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล มีรูรับแสงขนาด f2.045
- แบตเอตรี่ความจุ 4200 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ 65W
- ระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย MyOS 11
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ (In-Display Fingerprint)
- รองรับการเชื่อมต่อ 5G, 4G, Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, Bluetooth 5.1 และ NFC
- พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- รุ่น 8GB+128GB ราคา 12,990 บาท
- รุ่น 12GB+256GB ราคา 17,990 บาท
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่มาแรงที่สุด ณ ชั่วโมงนี้ ในราคาไม่เกิน 15,000 บาท ที่ทางทีมงานได้รวบรวมมาให้ได้ชมกัน จะเห็นได้ว่าแต่ละรุ่นล้วนแต่เป็นรุ่นไฮไลท์ใหม่ล่าสุดของแต่ละแบรนด์ ที่มีความโดดเด่นที่แตกต่างกันออกไป โดยมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่พร้อมตอบโจทย์การใช้งานได้ในทุกระดับ ทั้งนี้จึงขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้เอง ว่ามีความชื่นชอบสมาร์ทโฟนรุ่นใดมากที่สุด ทั้งในด้านการดีไซน์ว่าสวยถูกใจขนาดไหน และฟีเจอร์ด้านในสามารถพร้อมตอบโจทย์การใช้งานของตนเองได้ครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งหากว่าได้ทดลองใช้งานในเบื้องต้น แล้วเกิดความพึงพอใจ ก็ถือได้ว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนั้นคุ้มค่าแก่การจับจองเป็นเจ้าของแล้วค่ะ สำหรับวันนี้ทางทีมงานต้องขอลาไปก่อน พบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีค่ะ
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 4/04/2565