เทียบ Xiaomi Mi 11 Ultra vs Samsung Galaxy S21 Ultra ศึกเรือธงรุ่น Ultra กับสเปกไฮเอนด์สุดในทุกด้าน รุ่นไหนจัดเต็มกว่า มาดูกัน
ล่าสุดนี้ทาง Xiaomi ได้เปิดตัวเรือธงตัวท็อปใหม่ล่าสุดอย่าง Xiaomi Mi 11 Ultra ออกมาเพิ่มเติม โดยมาพร้อมกับการดีไซน์โฉมใหม่ และมีฟีเจอร์ไฮเอนด์จัดเต็มแบบขั้นสุดในทุกด้าน โดยเฉพาะการถ่ายภาพ ในวันนี้ทางทีมงานจึงนำ Xiaimi Mi 11 Ultra มาเปรียบเทียบสเปกกับรุ่น Samsung Galaxy S21 Ultra 5G อีกหนึ่งเรือธงรุ่น Ultra ที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ซึ่งแต่ละรุ่นจะจัดเต็มกันขนาดไหน หากพร้อมแล้วไปชมกันเลยค่ะ
เปรียบเทียบดีไซน์ของ Xiaomi Mi 11 Ultra และ Samsung Galaxy S21 Ultra 5G
เริ่มกันที่เรือธงรุ่นล่าสุดอย่าง Xiaomi Mi 11 Ultra ที่มาในดีไซน์จอขอบโค้งขนาดใหญ่ 6.8 นิ้ว เจาะรูกล้องหน้าที่มุมบนซ้ายแบบ 2K AMOLED four-curved Flexible Screen ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus พร้อมกล้องหลังดีไซน์ใหม่ ที่มีหน้าจอรองขนาดเล็กอยู่ที่ด้านหลังตัวเครื่อง สำหรับแสดงเวลา, สถานะแบตเตอรี่ หรือแจ้งเตือนโทรเข้า รวมถึงมีฝาหลังผลิตจากวัสดุเซรามิก และกรอบตัวเครื่องอะลูมิเนียม มีการติดตั้งกล้องทั้งหมด 3 ตัว นอกจากนี้ตัวเครื่องยังรองรับคุณสมบัติการป้องกันน้ำมาตรฐาน IP68
ทางด้าน Samsung Galaxy S21 Ultra 5G มากับหน้าจอแสดงผลขอบโค้งแบบ Edge Dynamic AMOLED 2X Infinity-O Display ขนาดใหญ่เต็มตา 6.8 นิ้ว ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus ทั้งด้านหน้า - หลัง บนดีไซน์ตัวเครื่องสวยหรูพรีเมียมใหม่หมดจดแบบ Contour-Cut Metal Camera กับกล้องหลังทั้งหมด 4 ตัว และมีคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP68
เปรียบเทียบสเปกของ Xiaomi Mi 11 Ultra และ Samsung Galaxy S21 Ultra 5G
จากตารางข้างต้นสามารถสรุปการเปรียบเทียบ Xiaomi Mi 11 Ultra และ Samsung Galaxy S21 Ultra 5G ในแต่ละด้านได้ดังนี้
หน้าจอแสดงผล
Xiaomi Mi 11 Ultra ใช้งานหน้าจอลงขอบโค้งแบบ 2K AMOLED four-curved Flexible Screen ขนาดใหญ่ 6.81 นิ้ว มีความคมชัดระดับ 2K QHD+ (1440x3200 พิกเซล) ที่รองรับค่า Refresh Rate ระดับสูงสุด 120Hz ผสานค่า Touch Sampling Rate ระดับ 480Hz ที่มากกว่ามือถือรุ่นทั่วไป ซึ่งช่วยให้การตอบสนองต่อการสัมผัสดีตามไปด้วยนั่นเอง อีกทั้งยังรองรับมาตรฐานการแสดงผล HDR10+ และ Dolby Vision รวมถึงหน้าจอขนาดเล็กที่ด้านหลังตัวเครื่องสำหรับแสดงการแจ้งเตือนต่างๆ อีกด้วย
Samsung Galaxy S21 Ultra 5G มาพร้อมกับหน้าจอแบบ Edge Dynamic AMOLED 2X Infinity-O Display ขนาดใหญ่เท่ากันที่ 6.8 นิ้ว กับความคมชัดระดับ 2K QHD+ (1440x3200 พิกเซล) โดยรองรับเทคโนโลยี Refresh Rate 120Hz Adaptive ที่สามารถแสดงผลตามค่า Refresh Rate ได้ตั้งแต่ 10-120Hz ตามคอนเทนต์ที่กำลังใช้งานอยู่ เพื่อช่วยประหยัดการใช้พลังงานแบตเตอรี่ พร้อมมาตรฐาน HDR10+ และฟังก์ชัน Always-On Display นอกจากนี้ยังอัปเกรดมาให้รองรับการใช้งานร่วมกับปากกา S-Pen ได้เป็นครั้งแรกของตระกูล Galaxy S Series อีกด้วย
หน่วยประมวลผล
Xiaomi Mi 11 Ultra มากับชิปเซ็ตรุ่นใหม่ล่าสุดของค่ายทาง Qualcomm อย่าง Snapdragon 888 ที่ผลิตบนเทคโนโลยีระดับ 5nm มีความเร็วในการประมวลผล 3.0 GHz พร้อมกับหน่วยประมวลผลกราฟิก GPU Adreno 660 โดยจับคู่กับ RAM แบบ LPDDR5 เทคโนโลยีล่าสุด พร้อม ROM มาตรฐาน มีความจุให้เลือกใช้งานทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ 8GB+256, 12GB+256GB และ 12GB+512GB ซึ่งไม่รองรับการเพิ่มหน่วยความจำภายนอก
ทางด้าน Samsung Galaxy S21 Ultra 5G มากับชิปเซ็ตเทคโนโลยี 5nm จากทาง Samsung เองอย่าง Exynos 2100 รุ่นท็อปใหม่ล่าสุด กับความเร็วในการประมวลผลที่ 2.9 GHz ที่มีประสิทธิภาพ CPU โดยรวมทุกด้านดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนแบบ 7nm ประมาณ 10% พร้อมประหยัดพลังงานกว่าเดิมราว 20% พร้อม CPU Mali-G78 ที่แสดงผลกราฟิกได้ดีขึ้นราว 40% ผสานเทคโนโลยี AI ร่วมกับการทำงานด้านต่างๆ ทั้งการประมวลผลภาพ กล้องถ่ายภาพ รวมไปถึงการเล่นเกม ซึ่งจับคู่กับ RAM แบบ LPDDR5 ขนาดสูงสุดถึง 16GB และ ROM มาตรฐาน UFS 3.1 โดยมีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ 12GB+128GB, 12GB+256GB และ 16GB+512GB ซึ่งไม่รองรับการเพิ่มหน่วยความจำภายนอกเช่นเดียวกัน
กล้องถ่ายภาพ
จุดขายสำคัญของ Xiaomi Mi 11 Ultra ก็คือกล้องถ่ายภาพ ที่สามารถคว้าอันดับ 1 จากการจัดอันดับของทาง DxOMark ไปเป็นที่เรียบร้อย โดยมีกล้องหลังทั้งหมด 4 ตัว ประกอบไปด้วย
- กล้อง Wide Angle (Main) ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Samsung GN2 รุ่นแรกของโลก ขนาด 1/1.12 นิ้ว เทคโนโลยี 4-in-1 Pixel ทางยาวโฟกัส 24 มม. มีรูรับแสงขนาด f1.95 รองรับระบบกันสั่นแบบ OIS เทคโนโลยี Dual Pixel Pro Autofocus และระบบการโฟกัสภาพแบบ dToF ที่มีจุดในการโฟกัสด้วยเลเซอร์ถึง 64 จุด
- กล้อง Periscope Telephoto ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ทางยาวโฟกัส 120 มม. รองรับระบบกันสั่นแบบ OIS รองรับการซูมแบบ 5x Optical Zoom, 10x Hybrid Optical Zoom และ 120x Digital Zoom
- กล้อง Ultra-Wide Camera ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ทางยาวโฟกัส 12 มม. มีรูรับแสงขนาด f2.2
เป็นมือถือรุ่นแรกของโลกที่ใช้เซ็นเซอร์รับภาพ Samsung GN2 Sensor รองรับเทคโนโลยี Dual Pixel Pro Autofocus ที่ช่วยให้การโฟกัสภาพถ่ายเป็นไปอย่างรวดเร็ว และระบบโฟกัสภาพแบบใหม่อย่าง dToF ที่มีจุดในการโฟกัสด้วยเลเซอร์ถึง 64 จุด, โหมดถ่ายภาพกลางคืน Ultra Night Photos ที่ทาง Xiaomi พัฒนาอัลกอริทึมขึ้นมาใหม่, ซูมภาพระยะไกลถึง 120 เท่าแบบ Digital Zoom, รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 8K ระดับ 24 fps จากกล้องทุกเลนส์ รองรับโหมด Super Telephoto Video และฟีเจอร์ถ่าย Slow Motion Video ที่ระดับ 1920 fps
Samsung Galaxy S21 Ultra 5G มีกล้องหลัง 4 ตัว (Quad Camera) โดยประกอบไปด้วย
- กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.2, มุมรับภาพ 120 องศา (13 มิลลิเมตร), เม็ดพิกเซลขนาด 1.4 ไมครอน และระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ Super Speed Dual Pixel AF กับ Laser Autofocus
- กล้อง Wide Angle (Main) ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f1.8, มุมรับภาพ 83 องศา (24 มิลลิเมตร), เซนเซอร์รับภาพขนาด 1/1.33 นิ้ว, เม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน, ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ PDAF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Telephoto ตัวที่ 1 ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f2.4, มุมรับภาพ 35 องศา (70 มิลลิเมตร), เม็ดพิกเซลขนาด 1.22 ไมครอน, ซูมภาพแบบ Optical สูงสุด 3 เท่า, ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ Dual Pixel AF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
- กล้อง Telephoto ตัวที่ 2 แบบ Periscope ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f4.9, มุมรับภาพ 10 องศา (240 มิลลิเมตร), เม็ดพิกเซลขนาด 1.22 ไมครอน, ซูมภาพแบบ Optical สูงสุด 10 เท่า, เทคโนโลยีซูมภาพแบบ Space Zoom สูงสุด 100 เท่า, ระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ Dual Pixel AF และระบบป้องกันการสั่นแบบ OIS
พร้อมเซนเซอร์ 108 ล้านพิกเซลรุ่นที่ 2 (2nd Gen), เทคโนโลยี 9-in-1 Nona-Binning, เทคโนโลยี AI ISP Algorithm, ระบบการซูมภาพแบบ Dual Optical Zoom ระดับ 3 เท่า และ 10 เท่า, เทคโนโลยี Super Resolution AI สำหรับการซูมระยะไกล, ฟังก์ชัน Intelligent Zoom Lock, รองรับการถ่ายภาพไฟล์ดิบแบบ 12-bit RAW, โหมดถ่ายภาพ Portrait สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ, โหมดถ่ายภาพกลางคืนแบบไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง สามารถใช้งานได้กับกล้องทุกระยะ, ระบบป้องกันการสั่นแบบ Super Steady สำหรับช่วยลดอาการสั่นไหวขณะถ่ายวิดีโอ, ฟังก์ชัน Director's View สำหรับสลับพรีวิวภาพจากกล้องทุกเลนส์ขณะถ่ายวิดีโอได้แบบ Realtime, รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดระดับ 8K (24fps) ที่กล้องหลัง, รองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 4K (60fps) ได้ทุกกล้อง, รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ HDR10+, โหมดการถ่ายวิดีโอแบบ Portrait Video สำหรับถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ และโหมดการถ่ายวิดีโอแบบ Pro Video สำหรับตั้งค่าต่างๆ เกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพได้อย่างอิสระ
แบตเตอรี่
ทั้ง Xiaomi Mi 11 Ultra และ Samsung Galaxy S21 Ultra 5G มีแบตเตอรี่ความจุเท่ากันที่ 5000 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว ซึ่งทาง Mi 11 Ultra จะได้เปรียบกว่าด้วยกำลังไฟมากถึง 67 วัตต์ ขณะที่ S21 Ultra 5G รองรับสูงสุดที่ 25 วัตต์
ด้านการชาร์จแบบไร้สาย Xiaomi Mi 11 Ultra รองรับกำลังไฟเท่ากับแบบใช้สายชาร์จที่ 67 วัตต์ ส่วนทาง S21 Ultra 5G รองรับที่กำลังไฟ 15 วัตต์ ซึ่งอาจจะดูน้อยไปสักเล็กน้อยสำหรับเรือธงในปี 2021
นอกจากนี้ทั้งสองรุ่นยังสามารถแปลงเป็นแท่นชาร์จไร้สายให้กับอุปกรณ์อื่นได้ โดย Xiaomi Mi 11 Ultra สามารถปล่อยกำลังไฟได้สูงสุดที่ 10 วัตต์ ส่วนทาง S21 Ultra 5G ปล่อยได้สูงสุดที่ 9 วัตต์
ราคา
Samsung Galaxy S21 Ultra 5G มีตัวเลือกมากถึง 5 สี พร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ววันนี้ โดยแบ่งออกเป็น 3 รุ่นย่อย ดังนี้
- 12GB+128GB : 39,900 บาท
- 12GB+256GB : 41,900 บาท
- 16GB+512GB : 45,900 บาท
สำหรับ Xiaomi Mi 11 Ultra โดยแบ่งออกเป็น 3 รุ่นย่อย ดังนี้
- 8GB+256GB : 5,999 หยวน (ประมาณ 28,500 บาท)
- 12GB+256GB : 6,499 หยวน (ประมาณ 30,800 บาท)
- 12GB+512GB : 6,999 หยวน (ประมาณ 33,200 บาท)
ซึ่งหากมีการนำ Xiaomi Mi 11 Ultra เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทย ก็คาดว่าจะมีการปรับราคาขึ้นอีกราว 2 - 3,000 บาท เมื่อพิจารณาของราคา Mi 11 ที่มีราคาเริ่มต้นในประเทศจีนที่ 3,999 หยวน (ประมาณ 18,500 บาท) ในรุ่น 8GB+128GB เมื่อมีการนำเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยมีราคาเริ่มที่ 21,990 บาท
จากการเปรียบเทียบข้างต้น ทางทีมงานไม่สามารถบอกได้ว่ารุ่นใดที่ดีสุด หรือคุ้มค่าที่สุด ทั้งนี้จึงขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้เอง ว่ามีความชื่นชอบสมาร์ทโฟนรุ่นใดมากที่สุด ทั้งในด้านการดีไซน์ว่าสวยถูกใจขนาดไหน และฟีเจอร์ด้านในสามารถพร้อมตอบโจทย์การใช้งานของตนเองได้ครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งหากว่าได้ทดลองใช้งานในเบื้องต้น แล้วเกิดความพึงพอใจ ก็ถือได้ว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนั้นคุ้มค่าแก่การจับจองเป็นเจ้าของแล้วค่ะ สำหรับวันนี้ทางทีมงานต้องขอลาไปก่อน พบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีค่ะ
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 1/04/2564
