หน้าแรกมือถือ > รวมข่าวมือถือ > หน้าบทความ ข่าวมือถือ
   
Date : 7/1/2562

คู่มือการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนประจำปี 2019 ควรดูที่อะไรบ้าง? เราสรุปมาให้แล้ว!

 

เริ่มต้นปีใหม่แบบนี้ หลายท่านน่าอาจจะมีคำถามว่า ปีนี้ควรเลือกซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นไหนดี? ซื้อรุ่นเก่ายังคุ้มหรือไม่? และหากจะซื้อรุ่นใหม่ๆ ควรต้องพิจารณาที่อะไร? เพื่อเป็นการคลายข้อสงสัย ทางทีมงานจึงจัดทำ "คู่มือการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนช่วงครึ่งแรกของปี 2019" เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้แก่ทุกท่าน โดยสาเหตุที่ใช้คำว่าครึ่งแรกนั้น ก็เพราะว่า ณ วันที่เขียนบทความ ยังมีสมาร์ทโฟนหลายรุ่นที่ยังไม่เปิดตัว และอาจต้องรอจนถึงช่วงกลางปีจนกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่เปิดตัวในต่างประเทศจะเข้าไทย ดังนั้นคู่มือนี้จึงเหมาะกับผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนในช่วงครึ่งปีแรก

สำหรับ Guideline การเลือกซื้อสมาร์ทโฟนนั้น ทางทีมงานแนะนำให้พิจารณาการเลือกซื้อโดยดูที่ 3 ปัจจัยใหญ่ๆ ได้แก่ ชิปเซ็ตประมวลผล, หน่วยความจำ RAM และหน่วยความจำภายใน โดยทีมงานจะแบ่งการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ สมาร์ทโฟนระดับท็อป, สมาร์ทโฟนระดับกลาง และสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้น ซึ่งแต่ละกลุ่มก็จะมีความแตกต่างกันออกไปในเรื่องของชิปเซ็ตที่เลือกใช้, ฟีเจอร์เสริม และราคาวางจำหน่าย หากพร้อมแล้ว ไปติตดามกันได้เลยครับ

 

สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกซื้อสมาร์ทโฟน Android ระดับท็อป

หน้าจอแสดงผล

  • การแสดงผลควรมีความคมชัดอย่างน้อยในระดับ Full HD+
  • ควรรองรับมาตรฐานการแสดงผลอย่างน้อยหนึ่งมาตรฐาน เช่น HDR10 หรือ Dolby Vision เป็นต้น
  • ควรมีกระจก Gorilla Glass 5 ขึ้นไป

 

CPU

  • ชิปเซ็ตค่าย Snapdragon : Snapdragon 835, 845*, 855*
  • ชิปเซ็ตค่าย Kirin : Kirin 970 / 980*
  • ชิปเซ็ตค่าย Samsung : Exynos 9810*, 9820*

 

RAM

  • ควรเป็นแบบ LPDDR4x ขนาดอย่างน้อย 6GB ขึ้นไป

 

ROM

  • ควรเป็นแบบ UFS 2.0 / 2.1 ความจุ 128GB ขึ้นไป

 

ระบบชาร์จ

  • ควรมีระบบชาร์จเร็ว เช่น Quick Charge 3.0, Quick Charge 4.0, Quick Charge 4+, Dash Charge, SuperCharge, SuperCharge 40W, SuperVOOC

 

ระบบความปลอดภัย

  • ควรมีระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ หรือระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าแบบ 3 มิติ หรือสแกนหน้าในที่แสงน้อย (Infrared Camera)

 

ระบบการเชื่อมต่อ

  • รองรับ 4G ทั้งสองซิมการ์ด และ VoLTE ทั้งสองซิมการ์ด
  • รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac ความถี่ 2.4GHz และ 5GHz (Dual Band)
  • รองรับ Bluetooth 5.0
  • รองรับ NFC

 

ฟีเจอร์อื่นๆ สำหรับการพิจารณาเพิ่มเติม

  • จอความละเอียด 2K+ ถึง 4K
  • ระบบระบายความร้อน
  • บริการหลังการขาย
  • สิทธิประโยชน์จากร้านค้า หรือบริการด้านอื่นๆ
  • ระบบชาร์จไร้สาย
  • ชิปเสียงแยก
  • ระบบเสียงรอบทิศทาง
  • ลำโพงคู่
  • รองรับ 4.5G
  • คุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่น

 

ใครเหมาะกับมือถือเรือธงบ้าง?

  • ผู้ที่อยากได้มือถือสเปกแรง ใช้งานทุกแอปพลิเคชันได้แบบลื่นไหล
  • ผู้ที่ชื่นชอบการเล่นเกมกราฟิกหนักๆ ปรับสุดทุกอย่างเท่าที่เกมจะอนุญาตให้ปรับ
  • ผู้ที่ต้องการใช้งานมือถือแบบเต็มประสิทธิภาพโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ
  • ผู้ที่ต้องการซื้อครบจบในเครื่องเดียว
  • ผู้ที่อยากลองฟีเจอร์ล้ำๆ หรืออะไรใหม่ๆ ก่อนใคร
  • ผู้ที่ต้องการมือถือที่ใช้ได้นาน

 

สำหรับสมาร์ทโฟนระดับเรือธง แน่นอนว่าสเปกควรจะอยู่ในระดับท็อปสุด เพื่อรองรับการใช้งานรอบด้านทั้งการทำงาน หรือการเล่นเกม ดังนั้นสิ่งแรกที่ผู้ใช้ควรนำมาพิจารณาคือชิปเซ็ตประมวลผล โดยชิปเซ็ตของค่าย Qualcomm ที่ดูเหมาะสมกับสมาร์ทโฟนช่วงครึ่งแรกของปี 2019 คือ Snapdragon 845 เนื่องจากสมาร์ทโฟนที่ใช้ชิปเซ็ตรุ่นดังกล่าวบนท้องตลาดมมีให้เลือกอย่างหลากหลาย แต่หากใครที่ไม่รีบร้อนก็อาจลองมองสมาร์ทโฟนที่ใช้ชิปเซ็ตตัวใหม่กว่าอย่าง Snapdragon 855 ที่เพิ่งเปิดตัวไปก็ได้เช่นเดียวกัน แต่อาจต้องรอถึงช่วงกลางปีกว่าที่จะเริ่มมีมือถือ Android ที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 855 เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทย เนื่องจาก ณ วันที่เขียนบทความมีมือถือที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 855 เพียงรุ่นเดียวนั่นก็คือ Lenovo Z5 GT ส่วนมือถือรุ่นอื่นๆ ที่จะได้ใช้ชิปเซ็ตรุ่นดังกล่าว จะมีการเปิดตัวให้เห็นในต่างประเทศตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป  หรือหากใครที่อยากใช้สมาร์ทโฟนเรือธงราคาประหยัด ชิปเซ็ต Snapdragon 835 ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะในปัจจุบันยังถือว่าใช้งานได้อย่างลื่นไหล

 

สำหรับคนที่มองหามือถือที่ใช้ชิปเซ็ตของค่าย Kirin แนะนำให้มองเป็นรุ่น Kirin 980 เนื่องจากมีการปรับสถาปัตยกรรมการผลิตไปใช้ที่ระดับ 7 นาโนเมตร ทำให้ประหยัดไฟยิ่งกว่าเดิม รวมทั้งยังมีการเพิ่มหน่วยประมวลผล Dual-NPU หรือชิป AI แบบคู่ ซึ่งจะทำให้การประมวลผลต่างๆ ที่เกี่ยกับปัญญาประดิษฐ์ทำได้เร็วยิ่งขึ้น โดยชิปรุ่นดังกล่าวเริ่มมีการนำมาใช้แล้วบน Huawei Mate 20 Series, Honor View 20 และมีข่าวว่าอาจถูกนำไปใช้กับ Huawei P30 Series ด้วย ส่วนใครที่งบไม่ถึง Kirin 970 ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะมือถือเรือธงรุ่นเด่นที่ใช้ Kirin 970 ก็เริ่มมีการปรับลดราคาแล้ว เช่น Huawei P20 Series, Huawei Mate 10 Series หรือ Honor 10 เป็นต้น

 

ส่วนใครที่มองหามือถือที่ใช้ชิปเซ็ต Exynos ของค่าย Samsung แนะนำให้เลือกสมาร์ทโฟนที่ใช้ชิปเซ็ต Exynos 9810 เป็นอย่างน้อย ซึ่งจะพบได้บนสมาร์ทโฟนรุ่น Samsung Galaxy S9 Series และ Galaxy Note 9 Series ส่วนชิปเซ็ตที่น่าจับตามองในปีนี้คือ Exynos 9820 ที่เพิ่งเปิดตัวไป เพราะปรับไปใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 8 นาโนเมตร ช่วยให้แรงขึ้น และประหยัดพลังงานยิ่งขึ้น โดยมีการคาดการณ์ว่าจะถูกนำมาใช้บน Galaxy S10 Series ที่มีข่าวเปิดตัวช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่กำลังจะถึงนี้ และอาจมีการนำไปใช้บน Galaxt Note รุ่นใหม่ที่มักจะเปิดตัวเป็นประจำในช่วงปลายปีด้วย

สิ่งต่อมาที่ควรพิจารณาคือหน่วยความจำ RAM สำหรับสมาร์ทโฟนเรือธง ควรเป็นแบบ LPDDR4X ขนาด 6GB ขึ้นไป เนื่องจากมีความเร็วที่สูง และเพียงพอต่อการเปิดใช้งานแอปพลิเคชันแบบแบ่งหน้าจอ หรือการสลับแอปพลิเคชันที่ลื่นไหล แต่หากสมาร์ทโฟนรุ่นใดที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Pure Android หรือเป็นสมาร์ทโฟนโครงการ Android One หน่วยความจำ RAM ขนาด 4GB ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งาน

สำหรับหน่วยความจำภายใน แนะนำว่าควรเป็นขนาด 128GB ขึ้นไป เนื่องจากสมาร์ทโฟนระดับท็อปส่วนมากมักจะมีราคาวางจำหน่ายที่ค่อนข้างสูงกว่าสมาร์ทโฟนกลุ่มอื่นๆ และมักจะเป็นสมาร์ทโฟนเครื่องหลักของใครหลายๆ คน ดังนั้น หน่วยความจำควรมีขนาดที่เพียงพอต่อการใช้งานในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น การลงแอปพลิเคชัน, การเก็บไฟล์ข้อมูล รวมถึงการเก็บภาพถ่าย และวิดีโอ แต่สำหรับใครที่ไม่ได้ลงแอปพลิเคชันในตัวเครื่องมากนัก หรือแบ็คอัพรูปภาพ และคลิปต่างๆ เอาไว้บนคลาวด์เป็นประจำอยู่แล้ว ความจุ 64GB ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะโดยปกติจะเป็นรุ่นเริ่มต้นที่มีราคาวางจำหน่ายถูกที่สุด

 

ส่วนคุณสมบัติด้านอื่นๆ เช่น คุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่น, จอความละเอียดสูง หรือระบบชาร์จไร้สาย คงต้องขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์การใช้งานในชีวิตประจำวันแต่ละคนว่าตอบโจทย์หรือไม่

สำหรับสมาร์ทโฟนเรือธงบนท้องตลาดที่วางขายอยู่ ณ ปัจจุบัน ก็มีให้เลือกตั้งแต่ราคา 10,000 บาท ไปจนถึง 60,000 บาท ขึ้นอยู่กับแบรนด์ และฟีเจอร์

 

สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกซื้อสมาร์ทโฟน Android ระดับกลาง

 

หน้าจอแสดงผล

  • การแสดงผลควรมีความคมชัดอย่างน้อยในระดับ Full HD+
  • ควรมีกระจก Gorilla Glass 3 ขึ้นไป

 

CPU

  • ชิปเซ็ตค่าย Snapdragon : Snapdragon 632, 636 (ระดับกลาง) | 660, 670*, 675* (ระดับกลางบน) 710* (รองท็อป)
  • ชิปเซ็ตค่าย Kirin : Kirin 710 (ระดับกลางบน)
  • ชิปเซ็ตค่าย Samsung : Exynos 7885 (ระดับกลาง), 9610 (รองท็อป)
  • ชิปเซ็ตค่าย MediaTek : Helio P23, Helio P30, P35 (ระดับกลาง) | Helio P60, Helio P70, (ระดับกลางบน) Helio P90 (รองท็อป)

 

RAM

  • ควรมีขนาดอย่างน้อย 4GB ขึ้นไป

 

ROM

  • ควรมีขนาด 64GB ขึ้นไป และควรเพิ่มความจุภายนอกแบบ microSD Card ได้

 

ระบบความปลอดภัย

  • ควรมีระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ และระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า

 

ระบบการเชื่อมต่อ

  • ควรรองรับ 4G ทั้งสองซิมการ์ด และควรรองรับ VoLTE
  • ควรรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n ความถี่ 2.4GHz
  • ควรรองรับ Bluetooth 4.2 ขึ้นไป

 

ฟีเจอร์อื่นๆ สำหรับการพิจารณาเพิ่มเติม

  • ระบบปฏิบัติการควรเป็น Android เวอร์ชัน 8.0
  • ควรมีระบบชาร์จเร็ว โดยเฉพาะรุ่นที่มีแบตเตอรี่มากกว่า 4000mAh
  • พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
  • ตัวเครื่องผลิตมาจากวัสดุประเภทโลหะ
  • ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Triple-Slot
  • รองรับ Wi-Fi แบบ Dual Band

 

ใครเหมาะกับมือถือระดับกลางบ้าง?

  • ผู้ที่อยากได้มือถือสเปกครบ ในราคาช่วงหลักพันไปจนถึงหมื่นต้นๆ
  • ผู้ที่ไม่ได้มีความต้องการใช้ฟีเจอร์ล้ำๆ แบบระดับไฮเอนด์ เช่น สแกนหน้า 3 มิติ, สแกนนิ้วใต้จอ ชาร์จไร้สาย ฯลฯ
  • ผู้ที่ชอบเปลี่ยนสมาร์ทโฟนทุกปี


สำหรับชิปเซ็ตระดับกลางของค่าย Qualcomm ทีมงานขอแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ สมาร์ทโฟนระดับกลาง,ระดับกลางบน และระดับรองท็อป ซึ่งจะมีความแตกต่างกันออกไปตามซีรีส์ของชิปเซ็ตที่เลือกใช้ โดยชิปเซ็ตที่อยู่ในระดับกลางของค่าย Qualcomm และมีความน่าสนใจในช่วงครึ่งแรกของปี 2019 ได้แก่ Snapdragon 632 และ Snapdragon 636 โดยในรุ่น Snapdragon 632 จะเน้นไปในเรื่องของการประหยัดพลังงาน ใช้งานได้อย่างยาวนาน ส่วน Snapdragon 636 มีการอัปเกรดประสิทธิภาพการประมวลผลทั้ง CPU และกราฟิกให้เร็วแรงยิ่งขึ้น

ส่วนซีรีส์ระดับกลางบนของค่าย Qualcomm แนะนำว่าอย่างน้อยควรเป็น Snapdragon 660 ขึ้นไป เนื่องจากมีจุดเด่นในการการประมวลผลที่แรง ตอบโจทย์การใช้งาน และการเล่นเกม 3 มิติยอดนิยมได้อย่างลื่นไหล ส่วน Snapdragon 675 เป็นชิปเซ็ตระดับกลางรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง เพราะมีข่าวว่าจะใช้กับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ในปีนี้ ส่วนใครที่อยากได้มือถือรองท็อปที่มีความเร็วแรงขั้นสุด แนะนำให้มองหาชิปเซ็ต Snapdragon 710 เพราะเป็นชิปตัวใหม่ในซีรีส์รองท็อป และมีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับชิปรุ่นเรือธงอย่าง Snapdragon 845 แต่ถูกตัดคุณสมบัติบางส่วนที่มีอยู่ในรุ่นเรือธงออกไป

 

ส่วนชิปเซ็ต Kirin ที่น่าสนใจในช่วงครึ่งแรกของปีนี้คือ Kirin 710 เนื่องจากมีการปรับปรุงขึ้นจากรุ่น Kirin 659 หลายด้าน ทั้งการประหยัดพลังงานที่ดีขึ้น และประมวลผลได้เร็วยิ่งขึ้น

 

ขณะที่ค่าย Exynos ของ Samsung แนะนำว่าอย่างน้อยควรเป็น Exynos 7885 ส่วนชิปเซ็ต Exynos รุ่นใหม่อย่าง Exynos 9610 เป็นรุ่นที่น่าจับตามองในช่วงครึ่งแรกของปี 2019 เนื่องจากมีการปรับเทคโนโลยีการผลิตไปใช้ในระดับ 10 นาโนเมตร เทียบชั้นกับชิปเซ็ตรุ่นเรือธง แต่ยังไม่มีสมาร์ทโฟนที่ใช้ชิปเซ็ตรุ่นดังกล่าววางขายบนท้องตลาด

 

ค่าย MediaTek จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มเช่นเดียวกันกับ Snapdragon โดยชิปเซ็ตซีรีส์ระดับกลางที่น่าสนใจในช่วงครึ่งแรกของปี 2019 คือ Helio P30 ส่วน P23 เป็นชิปเน้นการประหยัดพลังงาน และเปิดตัวมาราวหนึ่งปีกว่าแล้ว ทางด้านซีรีส์ระดับกลางตัวแรงในช่วงครึ่งแรกของปี 2019 แนะนำว่าควรเป็น Helio P60 ขึ้นไป เพราะนอกจากเรื่องการประมวลผลที่เร็วแล้ว ยังมีหน่วยประมวลผลสำหรับงานปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในตัว ช่วยแบ่งเบาการประมวลผลของ CPU ได้เป็นอย่างดี ส่วนชิปเซ็ต Helio P70 เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าจับตามองในปีนี้ เพราะเริ่มมีสมาร์ทโฟนที่ใช้ชิปนี้แล้วนั่นก็คือ Realme U1 ส่วนชิประดับกึ่งท็อปอย่าง Helio P90 เพิ่งได้รับการเปิดตัวไปอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานมานี้ และในปัจจุบันยังไม่มีมือถือที่ใช้ชิปรุ่นดังกล่าวบนท้องตลาดแต่อย่างใด

ด้านหน่วยความจำ RAM ของมือถือระดับกลาง แนะนำว่าอย่างน้อยควรมีขนาด 4GB ขึ้นไป ส่วนหน่วยความจำภายในควรอยู่ที่ความจุ 64GB ขึ้นไป และควรเพิ่มหน่วยความจำเสริมแบบ microSD Card ได้ ส่วนลูกเล่นอื่นๆ ที่ควรมีนั่นก็คือ ระบบสแกนลายนิ้วมือ และระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า รวมทั้งควรรองรับการแสตนด์บายบนเครือข่าย 4G ทั้งสองซิมการ์ด 

สำหรับสมาร์ทโฟนระดับกลางบนท้องตลาดที่วางขายอยู่ ณ ปัจจุบัน ก็มีให้เลือกตั้งแต่ราคา 5,000 บาท ไปจนถึงหมื่นปลาย ขึ้นอยู่กับแบรนด์ และฟีเจอร์
 

 

สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกซื้อสมาร์ทโฟน Android ระดับเริ่มต้น

 

หน้าจอแสดงผล

  • การแสดงผลควรมีความคมชัดอย่างน้อยในระดับ HD หรือ HD+

 

CPU

  • ชิปเซ็ตค่าย Snapdragon : Snapdragon 429, 439, 450
  • ชิปเซ็ตค่าย MediaTek : MT6739, Helio A22

 

RAM

  • ควรมีขนาดอย่างน้อย 2GB ขึ้นไป

 

ROM

  • ควรมีความจุอย่างน้อย 16GB ขึ้นไป และต้องเพิ่ม microSD Card ได้

 

ระบบความปลอดภัย

  • ควรมีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างน้อยหนึ่งรูปแบบ เช่น สแกนลายนิ้วมือ หรือสแกนใบหน้า

 

ระบบการเชื่อมต่อ

  • ควรรองรับ 4G
  • ควรรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 b/g/n ความถี่ 2.4GHz
  • ควรรองรับ Bluetooth 4.0 ขึ้นไป


 

ฟีเจอร์อื่นๆ สำหรับการพิจารณาเพิ่มเติม

  • อุปกรณ์เสริม เช่น เคส หรือฟิล์มกันรอย ควรหาซื้อได้ง่าย
  • กล้องหลังมากกว่าหนึ่งตัว
  • ราคาควรอยู่ในช่วงไม่เกิน 5,000 บาท

 

ใครเหมาะกับมือถือระดับเริ่มต้นบ้าง?

  • ผู้ที่มองหาสมาร์ทโฟนเครื่องสำรอง แต่ต้องการใช้งานฟังก์ชันพื้นฐาน เช่น โทรศัพท์, ส่งไลน์, ส่งข้อความ, ดูเว็บไซต์ ตั้งนาฬิกาปลุก ฯลฯ
  • ผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนเอาไว้แชร์อินเทอร์เน็ตให้กับอุปกรณ์อื่นๆ
  • ผู้ที่อยากทดลองใช้ระบบปฏิบัติการ Android

 

สำหรับสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้น แนะนำให้มองหามือถือที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 429 ขึ้นไป หรืออาจมองไปที่รุ่นท็อปสุดของซีรีส์นี้อย่าง Snapdragon 450 ส่วนทางฝั่งของค่าย MediaTek แนะนำเป็นชิป Helio A22 เนื่องจากสามารถตอบโจทย์การใช้งานพื้นฐานได้อย่างรอบด้านด้วยกันทั้งคู่

ส่วนทางด้านหน่วยความจำ RAM แนะนำเป็นขนาด 2GB ขึ้นไป และควรมีหน่วยความจำภายในความจุ 16GB ขึ้นไป ส่วนสมาร์ทโฟนรุ่นใดที่มีหน่วยความจำ RAM น้อยกว่า 2GB ควรรันด้วยระบบปฏิบัติการ Android Go เนื่องจากเป็นระบบปฏิบัติการที่ Google ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับสมาร์ทโฟนที่มีสเปกไม่แรงนักได้อย่างลื่นไหล ในขณะที่ฟีเจอร์สำคัญส่วนใหญ่ยังคงเหมือนกับ Android เวอร์ชันปกติ (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Android Go ได้ที่นี่) ส่วนคุณสมบัติด้านอื่นๆ แนะนำว่าควรรองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G อย่างน้อย 1 ซิมการ์ด และควรมีระบบยืนยันตัวตนแบบ Biometric อย่างน้อยหนึ่งรูปแบบ

สำหรับสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นที่วางขายอยู่ ณ ปัจจุบัน มีราคาอยู่ในช่วงไม่เกิน 5,000 บาท ขึ้นอยู่กับแบรนด์ และฟีเจอร์

 

iPhone ล่ะ เลือกซื้อรุ่นไหนดี?

สำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจเลือกซื้อ iPhone ในช่วงครึ่งแรกของปี 2019 ทางทีมงานแนะนำว่า อย่างน้อยควรเป็น iPhone 7 ขึ้นไป เนื่องจากหากเราลองย้อนกลับไปดูระยะเวลาซัพพอร์ตด้านซอฟท์แวร์แล้ว ปกติ Apple จะปล่อยอัปเดตให้ iPhone เป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปี โดยจะเห็นได้จากรุ่น iPhone 5 ที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปลายปี 2012 และมาพร้อมกับ iOS เวอร์ชัน 6 ทาง Apple ก็ให้อัปเดตระบบปฏิบัติการ iOS ได้จนถึงเวอร์ชัน 10.3.3 ที่ถูกปล่อยออกมาให้อัปเดตกันเมื่อกลางปี 2017 ดังนั้นการเลือกซื้อ iPhone 6 ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2014 ก็มีความเป็นไปได้ว่า ปี 2019 อาจจะเป็นปีสุดท้ายที่ได้รับการอัปเดตซอฟท์แวร์ หรือ iPhone 6s / 6s Plus ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2015 เท่ากับว่าเราจะใช้ได้ยาวถึงแค่ปี 2020 จึงดูไม่คุ้มค่าที่จะซื้อ iPhone รุ่นดังกล่าวมากนัก

อีกหนึ่งสิ่งที่ควรนำมาพิจารณาก็คือ ระบบปฏิบัติการ iOS เวอร์ชันใหม่ๆ รวมถึงแอปพลิเคชันใหม่ๆ ต่างก็ต้องการคุณสมบัติของตัวเครื่องของ iPhone ที่แรงตามขึ้นไปด้วย ส่งผลให้เครื่องเก่าๆ อาจเกิดอาการหน่วงได้ และที่สำคัญบนหน้าเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Apple ก็ขึ้นโฆษณาแนะนำ iPhone เริ่มต้นที่ iPhone 7 / iPhone 7 Plus แล้ว 

 

iPhone รุ่นที่น่าซื้อประจำปี 2019

 

  • iPhone 7, iPhone 7 Plus
  • iPhone 8, iPhone 8 Plus
  • iPhone X (ขึ้นอยู่กับว่าสต็อกของร้านค้าตัวแทนจำหน่าย หรืออาจพิจารณาเครื่องมือสองสภาพดี เนื่องจาก Apple ได้ยกเลิกการผลิต iPhone รุ่นดังกล่าวแล้ว)
  • iPhone XS
  • iPhone XS Max
  • iPhone XR

 

ฟีเจอร์อื่นๆ สำหรับการพิจารณาเพิ่มเติม

  • iPhone 7 และ iPhone 8 ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอในโหมด Portrait ไม่ได้
  • iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ไม่รองรับชาร์จไร้สายเหมือนกับ iPhone รุ่นอื่นๆ
  • iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ฝาหลังเป็นอะลูมิเนียม ส่วนรุ่นอื่นเป็นกระจก
  • iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ราคาเริ่มต้นถูกที่สุดในบรรดา iPhone ทั้งหมดในลิสต์นี้ (iPhone 7 เริ่มต้นที่ 17,500 บาท อ้างอิงราคาจากเว็บไซต์ Apple)
  • iPhone 7, iPhone 7 Plus, iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มีปุ่มโฮม Touch ID แต่ไม่มีสแกนหน้า 3 มิติ Face ID เหมือนกับรุ่นอื่น
  • iPhone XS และ iPhone XS Max มีมาตรฐานกันน้ำสูงที่สุดที่ระดับ IP68 (กันน้ำได้ลึก 2 เมตร เป็นเวลา 30 นาที และสามารถกันของเหลวอื่นๆ อย่างเช่น เบียร์, น้ำผลไม้ หรือ ชา ได้ ตามข้อมูลจาก Apple แต่เงื่อนไขการรับประกันไม่ครอบคลุมกรณีความเสียหายที่เกิดจากความชื้น)
  • iPhone XR ไม่มีรองรับฟีเจอร์ 3D Touch แต่มีฟีเจอร์ Haptic Feedback ให้ใช้งาน

 

ใครเหมาะกับ iPhone บ้าง

  • ผู้ที่อยากลองใช้ระบบปฏิบัติการ iOS
  • ผู้ที่ต้องการอัปเดตซอฟท์แวร์อย่างเป็นประจำสม่ำเสมอ
  • ผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Apple อยู่แล้ว เช่น Mac, iPad, MacBook เนื่องจากสามารถซิงค์ไฟล์หากันได้อย่างง่ายดาย
  • ผู้ที่ใช้อุปกรณ์เสริมของ Apple อยู่แล้ว เช่น AirPods, Apple Watch เพราะสามารถเชื่อมต่อเข้ากับ iPhone ได้ง่าย และใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ

 

กล้อง, หน้าจอ และดีไซน์

สาเหตุที่ทางทีมงานไม่ได้ทำ Guideline สำหรับฟีเจอร์อื่นๆ ของสมาร์ทโฟนอย่าง กล้องถ่ายภาพ ดีไซน์ตัวเครื่อง และขนาดของหน้าจอ เนื่องจากฟีเจอร์เหล่านี้ส่วนหนึ่งต้องขึ้นอยู่กับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้ใช้งานด้วย เพราะกล้องถ่ายภาพของสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่นต่างก็มีคาแรคเตอร์กล้อง และลูกเล่นที่แตกต่างกันออกไป บางรุ่นให้ภาพไปในโทนสว่างสดใส ขณะที่บางรุ่นถ่ายทอดภาพสมจริงอย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนดีไซน์แต่ละเครื่องต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงขนาดหน้าจอก็มีหลากหลายขนาด ทั้งขนาดเล็กกะทัดรัดเหมาะกับการจับถือ หรือจอขนาดใหญ่เป็นพิเศษ เพื่อความบันเทิงโดยฉเพาะ ดังนั้นทางทีมงานแนะนำว่า ให้ลองใช้ Guideline ด้านต้นเพื่อลิสต์มือถือที่สนใจ แล้วลองไปทดสอบใช้งานจริงที่ศูนย์บริการ และร้านค้าตัวแทนจำหน่าย จะช่วยให้เราสามารถเลือกมือถือที่ตรงกับงบประมาณที่ตั้งไว้

อย่างไรก็ตาม Guideline นี้ เป็นคู่มือในการประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อสมาร์ทโฟนช่วง ครึ่งแรก ของปี 2019 แบบเบื้องต้นเท่านั้น สมาร์ทโฟนรุ่นใดจะดีที่สุดทางทีมงานคงไม่สามารถให้คำตอบได้ เพราะส่วนหนึ่งต้องขึ้นอยู่กับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้ใช้งานด้วย หากทดลองเล่นรุ่นไหนแล้วถูกใจ ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป และมีราคาวางจำหน่ายที่สามารถจับจองได้ สมาร์ทโฟนรุ่นนั้นก็ถือว่าน่าซื้อเป็นเจ้าของแล้วครับ 

 

นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com


วันที่ : 7/1/2562

Tags :
  

Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy