พรีวิว (Preview) Samsung Galaxy S10 และ S10+ สองสมาร์ทโฟนเรือธงล่าสุด กับดีไซน์ใหม่ด้วยจอ Infinity-O Display, ชิปทรงพลัง Exynos 9820 และกล้องหลัง 3 ตัวผสานเลนส์ Ultra Wide บนบอดี้กระจกพรีเมียมเงางาม!
เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ Samsung Galaxy S10, Galaxy S10+ และ Galaxy S10e สมาร์ทโฟนระดับเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุด โดยในปีนี้ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแบบใหม่, กล้องหลังที่มากขึ้น, ชิปตัวใหม่ที่แรงยิ่งขึ้น รวมไปถึงฟีเจอร์ต่างๆ ที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้ครอบคลุมมากกว่าเดิม และเนื่องในโอกาสที่ทีมงาน Thaimobilecenter ได้มีโอกาสได้สัมผัส และทดลองใช้งาน Galaxy S10 และ Galaxy S10+ เป็นระยะเวลาสั้นๆ จึงไม่พลาดที่จะเก็บภาพมาทำพรีวิวเพื่อเป็นข้อมูลให้แก่ทุกท่านได้รับชมกัน โดยตัวเครื่องจริงของทั้งสองรุ่นจะมีความสวยงามขนาดไหน และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลยครับ
Samsung Galaxy S10 และ Galaxy 10+ มาพร้อมกับการดีไซน์หน้าจอแบบใหม่ในชื่อ Infinity-O Display ซึ่งเป็นหน้าจอไร้ขอบไร้ปุ่มโฮม ที่มีการติดตั้งกล้องเอาไว้ที่บริเวณมุมขวาบนของตัวเครื่อง โดย Galaxy S10 มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ส่วนทางด้าน Galaxy S10+ มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.4 นิ้ว นอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังปรับไปใช้แพนแนลจอแบบใหม่ในชื่อ Dynamic AMOLED Display ที่รองรับการเทคโนโลยีการแสดงภาพแบบ HDR10+ พร้อมกับเทคโนโลยี Dynamic Tone Mapping เป็นรุ่นแรกของโลก โดยข้อดีของ HDR10+ นั่นก็คือ การแสดงรายละเอียดต่างๆ ทั้งในเรื่องของแสงเงา และสีสันที่ดีกว่าเดิม ซึ่งในปัจจุบันคอนเทนต์แบบ HDR10+ ก็เริ่มแพร่หลายแล้วในบริการสตรีมมิ่งชั้นนำหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Youtube หรือ Amazon Prime
นอกจากนี้ หน้าจอของ Galaxy S10 และ Galaxy S10+ ยังมาพร้อมกับค่า JNCD (Just Noticable Color Difference) หรือค่าความแตกต่างของสีที่อยู่ในระดับ 0.4 เท่านั้น โดยค่า JNCD เป็นค่าที่ใช้สำหรับวัดความผิดเพี้ยนของการแสดงสีสัน ซึ่งยิ่งเข้าใกล้เลข 0 มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งหมายความว่าสมาร์ทโฟนสามารถแสดงสีสันได้ใกล้เคียงกับที่ตาเห็นมากเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า หน้าจอของ Galaxy S10 และ Galaxy S10+ จะแสดงสีได้อย่างเที่ยงตรง เหมาะแก่การนำไปรับชมความบันเทิงอย่างเต็มอรรถรสนั่นเอง
มาดูที่ด้านบนกันบ้าง โดยจะเห็นได้ว่า Galaxy S10 และ Galaxy S10+ มีการซ่อนเซ็นเซอร์ต่างๆ เอาไว้ใต้หน้าจออย่างแนบเนียน พร้อมกับปรับลำโพงสนทนาให้ขนาดพอดีกับขอบตัวเครื่อง ซึ่งลำโพงสนทนาตัวนี้จะใช้เป็นลำโพงตัวที่สองของตัวเครื่องด้วย แต่สิ่งที่แตกต่างกันของทั้งสองรุ่นคือ จำนวนกล้องหน้าเซลฟี่ โดย Galaxy S10 มาพร้อมกับกล้องตัวหลักความละเอียด 10 ล้านพิกเซล อัปเกรดขึ้นจากรุ่นที่แล้วที่ใช้กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล ส่วนทางด้าน Galaxy S10+ มาพร้อมกับกล้องหน้าจำนวน 2 ตัว ประกอบด้วย กล้องตัวหลักความละเอียด 10 ล้านพิกเซล และกล้องแบบ Depth Sensor ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล สำหรับตรวจจับข้อมูลด้านระยะชัดตื้นได้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยกล้องหน้าของทั้ง Galaxy S10 และ Galaxy S10+ สามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอผ่านฟังก์ชัน Live Focus ได้ทั้งคู่
นอกจากนี้ กล้องหน้าของ Galaxy S10 และ S10+ สามารถ่ายได้สองระยะ ได้แก่ ระยะกว้าง สำหรับถ่ายเซลฟี่แบบกลุ่ม และระยะแคบ สำหรับถ่ายภาพเซลฟี่แบบเดียว โดยวิธีการสลับแต่ละระยะก็ไม่ยุ่งยากเพียงแค่แตะที่ไอคอนด้านล่าง
ที่ด้านล่างของหน้าจอจะสังเกตเห็นได้ว่า ทั้งสองรุ่นมีการขยายพื้นที่ในการแสดงผลให้ชิดกับขอบมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังมีการติดตั้งระบบสแกนลายนิ้วมือแบบ Ultrasonic เอาไว้ที่ด้านใต้ของหน้าจอด้วย ทำให้สามารถวางนิ้วเพื่อปลดล็อกได้โดยทันที โดยระบบ Ultrasonic ถือว่าต่างกับระบบสแกนลายนิ้วมือฝังใต้หน้าจอแบบ Optical ที่ใช้กันอยู่ทั่วๆ ไป เพราะจะเป็นการบันทึก และอ่านค่าลายนิ้วมือแบบ 3 มิติ ต่างจาก Optical ที่เป็นการอ่านค่าลายนิ้วมือแบบ 2 มิติผ่านการบันทึกภาพลายนิ้วมือผู้ใช้งาน และนำมาเปรียบเทียบว่าตรงกันหรือไม่เท่านั้น ซึ่งทำให้สแกนลายนิ้วมือแบบ Optical สามารถถูกปลอมแปลงได้ง่ายกว่า รวมทั้งข้อดีของเซ็นเซอร์ Ultrasonic ยังสามารถสแกนได้แม้ว่านิ้วมือจะมีคราบเปื้อนก็ตาม ซึ่งจากที่ลองทดสอบดูเบื้องต้นก็พบว่า สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องออกแรงกด ซึ่งใกล้เคียงกับระบบสแกนลายนิ้วมือแบบปุ่มเลยทีเดียวครับ
ที่ด้านบนของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ถาดใส่ซิมการ์ด และไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน
ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย พอร์ตเชื่อมต่อแบบ 3.5 มม. พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา และลำโพงเสียงภายนอก
ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ปุ่ม Bixby และปุ่มปรับระดับเสียง
ส่วนที่ด้านขวาของตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่ม Power
พลิกมาดูที่ด้านหลัง จะพบกับบอดี้กระจก Gorilla Glass 5 ที่มีความเงางาม ผสานเฟรมอะลูมิเนียมซีรีส์ 7000 ที่ด้านข้างของตัวเครื่อง ซึ่งตัวเครื่องของ Samsung Galaxy S10 และ Galaxy S10+ ยังรองรับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นที่ระดับ IP68 เช่นเดียวกับรุ่นเดิม โดยสามารถกันน้ำได้ลึก 1.5 เมตร เป็นเวลานาน 30 นาที นอกจากนี้ ด้วยความเป็นบอดี้กระจกทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายได้
ภายในของ Galaxy S10 และ Galaxy S10+ มีความแตกต่างกันเล็กน้อย โดย Galaxy S10 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 3400mAh ส่วนทางด้าน Galaxy S10+ มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่าที่ 4100mAh นอกจากนี้ ในรุ่น Galaxy S10+ ยังมีความพิเศษอีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือ ระบบ Vapor Chammber หรือระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว สำหรับถ่ายเทอุณหภูมิออกจากตัวเครื่องเมื่อมีการประมวลผลหนักๆ ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการเล่นเกม หรือถ่ายภาพ และวิดีโอเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นระบบระบายความร้อนแบบเดียวกับที่ใช้บนสมาร์ทโฟนเกมมิ่งอย่าง ASUS ROG Phone นั่นเองครับ
สิ่งใหม่ที่ Samsung เพิ่มเข้ามาคือ ฟีเจอร์ Wireless PowerShare สำหรับปล่อยกระแสไฟจาก Galaxy S10 และ Galaxy S10+ เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์อื่นๆ อย่างเช่น หูฟัง, นาฬิกา หรือสมาร์ทโฟนเครื่องอื่นได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้น ยังสามารถเสียบชาร์จแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนในขณะที่ใช้ฟีเจอร์ Wireless PowerShare ได้ด้วย ซึ่งตอบโจทย์ผู้ที่เดินทางบ่อยๆ หรือไม่ชอบพกสายชาร์จไปเยอะๆ พอสมควร เพราะเพียงเราเสียบชาร์จสมาร์ทโฟนทิ้งไว้ข้ามคืน และวางอุปกรณ์เสริมเอาไว้บนตัวเครื่อง ตื่นเช้ามาอุปกรณ์ทั้งสองอย่างนี้ก็จะแบตเต็มพร้อมกันนั่นเองครับ
ส่วนทางด้านการถา่ยภาพด้วยกล้องหลัง ปรับไปใช้ระบบกล้องแบบ 3 ตัว จากเดิมในรุ่น S9 Series ที่มีกล้องเพียง 1 - 2 ตัว โดยเซ็ตอัพกล้องแบบใหม่ของ Galaxy S10 และ S10+ ประกอบไปด้วย
- กล้องตัวที่หนึ่งเลนส์ Teleptoho ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 พร้อมเทคโนโลยีป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS และระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ Autofocus
- กล้องตัวที่สองเลนส์ Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.5 เทคโนโลยี Dual Aperture สำหรับสลับค่ารูรับแสงให้อัตโนมัติ, เทคโนโลยีโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ Dual Pixel และระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS
- กล้องตัวที่สามเลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 เลนส์มุมกว้าง 123 องศา
ซึ่งจะเห็นได้ว่า กล้องที่ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่นั่นก็คือเลนส์มุมกว้างพิเศษแบบ Ultra Wide นั่นเอง โดยประโยชน์ของเลนส์ Ultra Wide นั่นก็คือ องศาการรับภาพที่กว้างกว่ากล้องเลนส์ปกติ ทำให้สามารถเก็บภาพวิวทิวทัศน์ได้อย่างครบถ้วน โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเดินถอยออกห่าง นอกจากนี้ กล้องเลนส์ Ultra Wide ของ Galaxy S10 และ Galaxy S10+ ยังมาพร้อมกับฟังก์ชัน Super Steady หรือฟังก์ชันป้องกันการสั่นไหว โดยเมื่อถ่ายภาพด้วยโหมดนี้ สมาร์ทโฟนจะถ่ายด้วยกล้องเลนส์ Ultra Wide ที่มีจุดเด่นด้านความกว้างของภาพ ซึ่งเมื่อประกอบกับระบบ Super Steady แล้ว จะทำให้มือถือของเราคล้ายกับกล้อง Action Camera เลยทีเดียว
กล้องของ Galaxy S10 และ S10+ ยังได้รับการยกเครื่องด้านซอฟท์แวร์แบบใหม่สำหรับช่วยถ่ายภาพโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น Scene Optimizer ที่เพิ่มการจำแนกซีนเป็น 30 ซีน, ฟังก์ชัน Shot Suggestion สำหรับจัดวางองค์ประกอบของภาพให้เหมาะสมโดยใช้ AI และ Machine Learning ที่ผ่านการเรียนรู้ภาพถ่ายมาแล้วกว่า 100,000,000 ภาพ รวมถึงฟังกืชัน Bright Night ที่เป็นการถ่ายภาพ 7 ช็อตพร้อมกัน แล้วนำมาประกอบรวมกันเป็นภาพเดียวเพื่อเก็บรายละเอียด และทำให้ภาพคมชัดมากขึ้น ตอบโจทย์การถ่ายภาพในเวลากลางคืน อีกทั้ง ยังรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Super Slow-Mo ที่ระดับ 960fps และยังสามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ได้นานขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า
นอกจากนี้ Samsung ยังเพิ่มฟีเจอร์ในการรองรับการบันทึกไฟล์ภาพแบบ HEIF เป็นครั้งแรกของค่าย โดย HEIF จะเป็นรูปแบบการบันทึกไฟล์ที่ประหยัดพื้นที่มากกว่าไฟล์ JPEG ทั่วๆ ไป นอกจากนี้ ยังรองรับการถ่ายภาพแบบ RAW แต่จะสามารถบันทึกได้ต่อเมื่อถ่ายภาพด้วยโหมด Pro เท่านั้น
รวมไปถึงฟีเจอร์ Live Focus หรือการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้จากทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง โดย Galaxy S10 จะใช้กล้องเดี่ยวผสานกับซอฟท์แวร์เพื่อช่วยตัดขอบตัวแบบออกจากฉากหลัง ส่วน Galaxy S10+ ใช้กล้องหน้าตัวหลัก กับกล้อง Depth ตัวที่สองทำงานร่วมกันเพื่อตัดขอบให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Live Focus มีเอฟเฟ็กต์ใหม่ ได้แก่ เอฟเฟ็ก Blur ซึ่งเป็นการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอทั่วไป, Spin โบเก้หมุน, Zoom หน้าชัดหลังเบลอ พร้อมเอฟเฟ็กต์แบบซูมๆ จากด้านข้าง เข้ามาหาตรงกลาง และ Color Point โดยจะคงสีของตัวแบบ พร้อมกับปรับเอฟเฟ็กต์ฉากหลังให้เป็นขาวดำ
มาดูสเปกภายในกันบ้าง โดยครั้งนี้ Galaxy S10 และ Galaxy S10+ ปรับไปใช้ชิปเซ็ตประมวลผลตัวใหม่ในชื่อ Exynos 9820 ซึ่งมีความแรงขึ้นจาก Exynos 9810 ที่ใช้บน Galaxy S9 และ Note 9 รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น CPU ที่แรงขึ้น 19%, GPU ที่แรงขึ้น 37% ในขณะที่ใช้พลังงานน้อยลงกว่าเดิมถึง 15% โดย Exynos 9820 จะทำงานควบคู่กับหน่วยความจำ RAM เริ่มต้นที่ขนาด 6GB และหน่วยความจำภายเริ่มต้นที่ความจุ 128GB โดยผู้ใช้สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอกได้อีก 512GB นอกจากนี้ Galaxy S10+ จะมีรุ่นพิเศษแบบ Ceramic Edition ที่ฝาหลังผลิตจากวัสดุประเภทเซรามิกสุดแกร่ง และมีการอัปเกรด RAM มากขึ้นเป็น 12GB และความจุภายในจัดเต็มถึง 1TB ซึ่งถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมกับ RAM และ ROM มากขนาดนี้เลยทีเดียว
นอกเหนือจากสเปกที่แรงขึ้นแล้ว Galaxy S10 และ Galaxy S10+ ยังมาพร้อมกับการยกเครื่องด้านการเล่นเกมใหม่ ด้วยการเป็น World 1st Unity Optimization Mobile Device หรือสมาร์ทโฟนที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับการเล่นเกมที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเอนจิน Unity โดยเฉพาะ โดย Unity ถือว่าเป็นเอนจินที่ถูกใช้งานบนเกมมือถืออย่างแพร่หลาย คิดเป็นสัดส่วนราว 40% ด้วยกัน ซึ่งการที่ Samsung ปรับแต่ง Galaxy S10 ให้ตอบรับกับเอนจินตัวนี้ ทำให้ผู้ใช้ได้ว่าเกมส่วนมากจะเล่นได้อย่างลื่นไหลแน่นอน รวมทั้งยังมาพร้อมกับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos ที่เล่นเสียงได้แบบเซอร์ราวด์ 3 มิติ ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบความบันเทิง หรือผู้ที่ชื่นชอบการเล่นเกมจากสมาร์ทโฟนเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ยังมี Bixby Routine สำหรับทางลัดสำหรับตั้งค่าต่างๆ ภายในตัวเครื่องให้ทำงานอัตโนมัติ ตามเงื่อนไข และเวลาที่เรากำหนดไว้ แบบ If-Then ยกตัวอย่างเช่น ในตอนเช้า เราเดินทางไปถึงที่ทำงานในช่วง 8-9 โมง สามารถตั้งค่าให้ระบบปิดเสียงการแจ้งเตือนอัตโนมัติ และเชื่อมต่อเข้ากับ Wi-Fi ของบริษัท เป็นต้น
สำหรับ Galaxy S10 และ Galaxy S10+ จะขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ครอบทับด้วย One UI 1.1 ซึ่งเป็น UI รุ่นใหม่ที่ทาง Samsung พัฒนาขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่หน้าตาที่สามารถใช้งานได้ง่ายด้วยมือเดียว ไม่ว่าจะเป็น การขยายไอคอนไอคอนให้มีขนาดใหญ่ขึ้น รวมไปถึงการขยายส่วนติดต่อผู้ใช้งานให้ควบคุมได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ One UI ยังมีการปรับปรุงในเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานให้ลื่นไหลขึ้นอีกด้วย
Samsung Galaxy S10 และ Galaxy S10+ จะเปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยเริ่มต้นที่ 31,900 บาท พรีออเดอร์ได้ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 4 มีนาคม 2019 ส่วนกำหนดการวางจำหน่ายจริงจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2019 เป็นต้นไป
บทความที่เกี่ยวข้อง
วันที่ : 21/2/2562
