Samsung Galaxy Note 8 จะปลอดภัยมั่นใจ ไม่ซ้ำรอย Galaxy Note7 หรือไม่ ? มาดูขั้นตอนตรวจสอบแบตเตอรี่ Note8 ก่อนออกมาวางขายกัน!
เปิดตัวกันไปอย่างเป็นทางการแล้วหลังจากที่แฟนๆ เฝ้ารอมาถึง 2 ปี เต็ม สำหรับสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล Galaxy Note Series ที่การกลับมาในครั้งนี้ได้ใช้ชื่อว่า Samsung Galaxy Note8 และมาพร้อมกับฟีเจอร์เด่นอย่างกล้องคู่ (Dual-Camera) ที่ได้ใช้งานเป็นรุ่นแรกของค่าย พร้อมทั้งเอกลักษณ์อย่าง ปากกา S Pen ที่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพการใช้งานที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากที่ Samsung เปิดตัว Galaxy Note 8 เรียบร้อยแล้ว คำถามที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้บางส่วนก็คือ "Galaxy Note8 จะใช้งานได้ปลอดภัยไร้ปัญหาใช่หรือไม่?"
อย่างที่ทราบกันดีกว่าในช่วงปลายปี 2016 ที่ผ่านมา Samsung ได้เจอกับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ในปัญหาของ Samsung Galaxy Note7 ที่เกิดเหตุลุกไหม้ เนื่องจากสาเหตุด้านแบตเตอรี่ ทำให้ Samsung ต้องรีบออกแถลงการณ์ยอมรับว่า Note 7 มีปัญหาจริง พร้อมทั้งเรียกคืนตัวเครื่องทั้งหมดทั่วโลก และเริ่มต้นการสืบสวนหาสาเหตุอย่างเข้มงวด ซึ่งวิกฤตของ Samsung ในขณะนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างหนักหนาเอาการทีเดียว เพราะการยกเลิกการวางจำหน่าย Galaxy Note7 ทำให้ Samsung สูญเสียเม็ดเงินลงทุนจำนวนหลายพันล้าน และปัญหาดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนทำให้หุ้นราคาตก อีกทั้งยังส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อผู้บริโภคที่สูญเสียความมั่นใจไปบางส่วนด้วย
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านไป ก็ทำให้ผู้คนทั่วโลกจับตามอง Samsung ทุกย่างก้าวว่า Samsung จะกลับมากู้ชื่อคืนด้วยการเปิดตัว Samsung Galaxy S8 ได้หรือไม่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ Galaxy S8 และ S8+ นับเป็นสมาร์ทโฟนที่ผู้ใช้ให้ความนิยมมากที่สุดรุ่นหนึ่งของปีเลยทีเดียว ด้วยนวัตกรรมหน้าจอไร้ขอบ Infinity Display และคุณสมบัติตัวเครื่องที่จัดมาให้แบบเต็มที่ พร้อมทั้งการเพิ่มมาตรการตรวจสอบมาตรฐานเรื่องแบตเตอรี่ที่่ผ่านการทดสอบมาเป็นอย่างดีถึง 8 ขั้นตอน (8-Point Battery Safety Check) ซึ่งการคุมเข้มเรื่องการทดสอบแบตเตอรี่นี้ก็ถูกนำมาใช้กับ Samsung Galaxy Note 8 ด้วยเช่นกัน โดยขั้นตอนการทดสอบแต่ละรูปแบบ จำแนกรายละเอียดได้เป็นวิธีการดังนี้
การทดสอบความทนทาน
Samsung ทดสอบด้านความทนทานของแบตเตอรี่ด้วยการนำแบตไปทดสอบการชาร์จแบบ Overcharge, การอยู่ภายใต้อุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน และเพิ่มการทดสอบด้วยการนำตะปู หรือเหล็กปลายแหลม มาเจาะแบตเตอรี่ด้วยความเร็วระดับหนึ่ง ถ้าหากแบตเตอรี่ไม่เกิดอาการลัดวงจร หรือลุกไหม้ ก็เท่ากับว่าสอบผ่าน
ตรวจสอบทุกขั้นตอนการผลิต
ปกติแล้วเทคโนโลยีการผลิตส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะใช้เครื่องจักรเกือบทั้งหมด ซึ่งทาง Samsung ได้เพิ่มมาตรการการตรวจสอบด้วยการให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าไปตรวจสอบขั้นตอนต่างๆ ก่อนเริ่มการผลิตในทุกๆ กระบวนการ ทั้งตัวเครื่องจักร และตัวแบตเตอรี่ เพื่อค้นหาว่ามีจุดบกพร่องในด้านใดบ้างหรือไม่
การใช้รังสี X-Ray
สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้แบตเตอรี่ของ Note 7 ลุกไหม้นั้นเกิดจากปัญหาทางเทคนิคที่อยู่ภายในแบตเตอรี่ ซึ่งทางเดียวที่จะตรวจสอบได้ก็คือ ต้องนำแบตเตอรี่มาเอกซ์เรย์ดูว่าการจัดการกระแสไฟฟ้าภายแบตเตอรี่นั้นมีความสมดุล และไม่ก่อให้เกิดปัญหาดังเช่นก่อนหน้านี้ ดังนั้น Samsung จึงกำหนดมาตรฐานการตรวจสอบให้สูงขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าการเอกซ์เรย์จะสามารถตรวจหาข้อบกพร่องได้จริง
การทดสอบ Charge และ Discharge
วิธีการนี้เป็นวิธีใหม่ที่ Samsung เพิ่มเข้ามาหลังจากเกิดปัญหาของ Galaxy Note 7 โดย Samsung จะนำตัวเครื่องจำนวนกว่า 1 แสนเครื่อง มาทดสอบชาร์จพลังงานพร้อมกัน โดย Samsung ค้นพบว่าสาเหตุของการลุกไหม้บางส่วนเกิดจากแบตเตอรี่บางชิ้นมีพื้นที่ไม่มากพอที่จะทำให้กระแสไฟฟ้าไหลเวียนภายในแบตเตอรี่ได้อย่างคล่องตัว ทำให้กระแสไฟเกิดชนกัน และลุกไหม้ในที่สุด ซึ่งการ Charge และ Discharge อุปกรณ์จำนวนมากเช่นนี้ จะสามารถตรวจหาความผิดปกติได้ทันที
การทดสอบ TVOC
โดยปกติแล้วผู้ผลิตแบตเตอรี่จะใช้การทดสอบแบบ VOC (Volatile Organic Compounds) สำหรับการประกอบแบตเตอรี่ และป้องกันสารเคมีรั่วไหล ซึ่งการทดสอบแบบ TVOC ก็ยังคงเป็นลักษณะการตรวจสอบที่คล้ายกัน เพียงแต่ใหม่กว่าเท่านั้น ซึ่งการทดสอบ TVOC นี้จะใช้ในการประกอบแบตเตอรี่ และเป็นการตรวจหาสารเคมี หรือสารพิษที่รั่วไหลออกมานอกตัวแบตด้วย
การแยกชิ้นส่วนแบตเตอรี่
Samsung ได้เพิ่มมาตรการตรวจสอบแบตเตอรี่ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น ด้วยการนำตัวอย่างแบตเตอรี่มาทดสอบด้วยการแยกชิ้นส่วนภายในทั้งหมดว่า มีการประกอบอย่างถูกต้องครบถ้วนทุกประการหรือไม่ เพราะปัญหา Note 7 ส่วนหนึ่งเกิดจาก ชิ้นส่วนเทปฉนวนที่ป้องกันเรื่องกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ชนกันได้หายไป จึงทำให้แบตเตอรี่ลุกไหม้อย่างง่ายดาย
การทดสอบด้วยการใช้งานแบบหนักหน่วง
ขั้นตอนนี้จะเป็นการนำตัวเครื่องจำนวนมากมาทดสอบใช้งานในลักษณะของการใช้งานจริง แต่จะเร่งอัตราการใช้งานอย่างหนักหน่วงมากขึ้น โดย Samsung จะเซ็ตระบบให้ตัวเครื่องเร่งเวลาใช้งานที่ยาวนานประมาณ 2 สัปดาห์ให้เสร็จสิ้นภายใน 5 วัน พร้อมทั้งทำการ Charge และ Discharge ไปพร้อมๆ กันด้วย ซึ่งการทดสอบเช่นนี้จะสามารถตรวจสอบได้ทันทีว่า แบตเตอรี่ชิ้นไหนที่ใช้งานหนักๆ แล้วมีปัญหา ทาง Samsung ก็จะนำออกไปทันที
การทดสอบแบบ △OCV
การทดสอบแบบ △OCV หรือการทดสอบแรงดันไฟฟ้าวงจรเปิด ถือเป็นการทดสอบที่สำคัญมากที่สุด เพราะเป็นส่วนสุดท้ายก่อนที่จะนำแบตเตอรี่ไปประกอบรวมกับตัวเครื่อง ซึ่งการทดสอบนี้จะทดสอบ "ทุกชิ้น" ไม่ใช่การเลือกกลุ่มตัวอย่าง โดยแบตเตอรี่ที่ทดสอบจะต้องมีค่าแรงดันไฟฟ้าคงที่เมื่อไม่ได้เชื่อมต่อกับวงจร ถ้าหากทีมตรวจสอบพบความผิดปกติก็จะนำแบตเตอรี่ชิ้นนั้นออกไปทันที พร้อมทำเครื่องหมายกำกับว่า "มีปัญหา" ด้วย
จะเห็นว่าขั้นตอนการตรวจสอบแบตเตอรี่ทั้ง 8 วิธีการนั้นมีความละเอียด, เข้มงวด และพิถีพิถันมากที่สุดเท่าที่ Samsung จะทำได้ ซึ่งในระหว่างการผลิต Samsung Galaxy Note 8 ก็มีบริษัทเอกชนรายหนึ่งชื่อว่า UL Consumer ได้เข้ามาตรวจสอบแบตเตอรี่ที่จะใช้งานใน Galaxy Note 8 และทางด้านนาย Sajeev Jesudas ประธานบริษัท UL Consumer ก็ได้ให้สัมภาษณ์ว่า "ทาง UL Consumer ได้ร่วมงานกับ Samsung อย่างใกล้ชิดเพื่อตรวจสอบคุณภาพ และความปลอดภัยของสมาร์ทโฟนให้อยู่ในระดับสูงที่สุด ซึ่ง Samsung Galaxy Note 8 ทุกเครื่องที่จะวางจำหน่ายนั้นผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยทั้งหมด"
นอกจากนี้ ตั้งแต่ Samsung Galaxy S8 เปิดตัวมาในช่วงต้นปีจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ลุกไหม้แบบเดียวกับ Galaxy Note 7 แม้แต่น้อย ดังนั้นผู้ใช้ก็น่าจะมั่นใจกันได้แล้วว่า Samsung Galaxy Note 8 นั้นจะไม่เกิดปัญหาแบบเดียวกับ Galaxy Note7 รุ่นพี่อย่างแน่นอน ส่วนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย และราคาวางจำหน่ายนั้นอาจจะต้องอดใจรอกันอีกสักนิด หากมีรายละเอียดเพิ่มเติม ทางทีมงานจะรีบนำมาแจ้งให้ทราบทันทีครับ
สรุปข้อมูล สเปก, ฟีเจอร์, ราคา และวันวางจำหน่ายของ Samsung Galaxy Note 8
ที่มา : Samsung, DigitalTrends 1, 2, 3
วันที่ : 25/8/2560