รีวิว (Review) Samsung Galaxy A8 และ A8+ (2018)
สมาร์ทโฟนกล้องหน้าคู่ (Dual Front Camera) รุ่นแรกของค่าย พร้อมจอ Full Display Super AMOLED ไร้กรอบไร้ปุ่มโฮมที่กว้างเต็มตากว่าที่เคย, กล้อง PDAF 16 ล้านพิกเซล (f/1.7) ที่ถ่ายสวยทุกสภาพแสง, ชิปเซ็ต Exynos 7885, RAM สูงสุด 6GB, ROM สูงสุด 64GB, ผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby, รองรับ Samsung Pay และระบบสแกนใบหน้า บนบอดี้ Metal Glass กันน้ำโค้งมนสวยเฉียบ จัดเต็มไม่แพ้เรือธงรุ่นใหญ่ ในราคาที่ย่อมเยากว่า!
Review
Date (12-มกราคม 2561)

หลังจากที่ห่างหายกันไปถึง 2 ปี กว่าๆ ทาง Samsung ก็ได้นำสมาร์ทโฟน A8-Series มาเปิดตัวอีกครั้งเมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคม 2017 ที่ผ่านมา โดยแบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อยด้วยกัน คือ Samsung Galaxy A8+ (2018) กับ Samsung Galaxy A8 (2018) ซึ่งสมาร์ทโฟน 2 รุ่นนี้ ถือเป็นสมาร์ทโฟนในระดับกลางที่มีการพัฒนาในหลายๆ ด้านให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังมีการปรับดีไซน์ใหม่หมดจดให้เป็นแบบ Metal-Glass
พร้อมรองรับคุณสมบัติกันน้ำ-กันฝุ่นในระดับ IP68 (รุ่นเดิมไม่รองรับ) อีกทั้งยังมาพร้อมกับหน้าจอไร้กรอบไร้ปุ่มโฮมแบบ Full Display ในอัตราส่วน 18.5:9 ซึ่งก่อนหน้านี้ ดีไซน์ กับหน้าจอแบบนี้จะมีเฉพาะในตระกูลเรือธงรุ่นท็อปอย่าง Samsung Galaxy S8, Galaxy S8+ และ Galaxy Note 8 เท่านั้น
อีกหนึ่งความน่าสนใจบน Samsung Galaxy A8+ (2018) กับ Samsung Galaxy A8 (2018) คือ มาพร้อมกับกล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบคู่ (Dual-Camera) รุ่นแรกของแบรนด์ Samsung รวมถึงมีฟีเจอร์ Live Focus ในการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอแบบ Bokeh ให้ใช้งานกันอีกด้วย และล่าสุดทาง Samsung ประเทศไทย ก็ได้ประกาศเริ่มวางจำหน่าย Samsung Galaxy A8+ (2018) กับ Samsung Galaxy A8 (2018) อย่างเป็นทางการในวันที่ 12 มกราคม 2561 หรือวันนี้นั่นเอง
โดย Samsung Galaxy A8+ (2018) จะวางจำหน่ายในราคา 18,990 บาท (รุ่นแรม 6 GB กับรอม 64 GB) ส่วน Samsung Galaxy A8 จะวางจำหน่ายในราคา 15,990 บาท (รุ่นแรม 4 GB กับรอม 32 GB)
ซึ่ง ณ ตอนนี้ Samsung Galaxy A8+ (2018) กับ Samsung Galaxy A8 ก็อยู่ในมือของทีมงานไทยโมบายเซ็นเตอร์ดอมคอมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่นนั้นมีความแตกต่างกันเพียงบางส่วนเท่านั้น คือ ขนาดของหน้าจอแสดงผล, ความบางของตัวเครื่อง, ความจุของแบตเตอรี่, หน่วยความจำแรม กับหน่วยความจำรอม และราคาวางจำหน่าย โดยในวันนี้ทางทีมงานจะขอนำเอารุ่นใหญ่อย่าง Samsung Galaxy A8+ (2018) มากล่าวถึงเป็นหลักครับ
สำหรับ Samsung Galaxy A8+ (2018) มีจุดเด่นที่น่าสนใจอยู่หลายส่วนด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ ตัวเครื่องใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Metal-Glass ซึ่งเป็นกระจกขอบโค้งแบบ Corning Gorilla Glass ผสานกรอบโลหะอะลูมิเนียมบางเฉียบที่ด้านข้างของตัวเครื่อง พร้อมรองรับคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68, หน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ความละเอียด 2220x1080 พิกเซล ขนาด 6 นิ้ว ในแบบ
Full Display อัตราส่วน 18.5:9, รองรับฟังก์ชันการถนอมสายตาด้วยการลดแสงสีฟ้า, รองรับฟังก์ชัน Always On Display, มีฟังก์ชัน Secure Folder บวกกับฟังก์ชัน Dual Messenger รวมแล้วจึงสามารถใช้งานแอปพลิเคชัน Line หรือแอปพลิเคชันอีกหลายตัวที่รองรับ ได้พร้อมกันถึง 3 แอคเคานท์ในเครื่องเดียวกัน, รองรับฟังก์ชัน Multi-Windows สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 แอปพลิเคชัน กับ Pop up Windows สำหรับใช้งานพร้อมกัน
5 แอปพลิเคชัน, รองรับการสั่งงานด้วยท่าทาง, มีระบบสแกนใบหน้า กับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ, รองรับฟีเจอร์ผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby, สำรองข้อมูลผ่านฟังก์ชัน Samsung Cloud ได้สูงสุด 15 GB, รองรับการใช้บริการ Samsung Pay ผ่าน NFC หรือ MST, รองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด พร้อมช่องแยกสำหรับเพิ่มการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD, รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ 4G LTE กับ 3G, รองรับเทคโนโลยีการสื่อสารทางเสียงผ่านโครงข่าย 4G (Voice over LTE), มีฟังก์ชัน
Adapter WiFi สำหรับเปิด-ปิด การเชื่อมต่อ WiFi แบบอัตโนมัติ และแบตเตอรี่ขนาด 3500 mAh พร้อมรองรับการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง
ในส่วนของกล้องถ่ายภาพก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดขายของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 16+8 ล้านพิกเซล ซึ่งมีรูรับแสงกว้างสูงสุดขนาด f/1.9 ส่วนกล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซ็นเซอร์รับภาพขนาด 1/2.8 นิ้ว ที่มีมุมมองกว้าง 78 องศา, รูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.7, ระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF,
มีเม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน พร้อมไฟแฟลช LED
ทางด้านคุณสมบัติด้านการประมวลผลนั้นจัดอยู่ในระดับกลาง ไม่ว่าจะเป็น ชิปเซ็ต Octa-Core 64-bit Exynos 7885 ที่มีความเร็วในการประมวลผล 2.2 GHz, หน่วยประมวลผลกราฟิกแบบ Mali-G71, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6 GB, หน่วยความภายในขนาด 64 GB และขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 7.1.1 Nougatพร้อมรองรับการอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 8.0 Oreo ได้ในอนาคต
ซึ่งจากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า Samsung Galaxy A8+ (2018) นั้นมีความน่าสนใจอยู่หลายส่วนด้วยกัน ทั้งในเรื่องของการออกแบบไซน์ที่ดูสวยงามพรีเมียมมากขึ้น พร้อมหน้าจอไร้ขอบขนาดใหญ่เต็มตา กับความละเอียดคมชัดสีสันสดใส, ฟีเจอร์การใช้งานที่ครบเครื่องมากขึ้น และกล้องถ่ายภาพที่ดีกว่าเดิม ซึ่งเมื่อเทียบกับราคา 18,990 บาท ก็ถือว่ามีความคุ้มค่าอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ดีไซน์ตัวเครื่องจะสวยงามขนาดไหน กล้องดิจิทัลจะถ่ายภาพได้คมชัดสมคำร่ำลือหรือไม่
และฟีเจอร์ที่มีอยู่จะตอบสนองต่อการใช้งานได้ดีเพียงใด ขอเชิญทุกท่านรับชมรีวิว Samsung Galaxy A8+ (2018) พร้อมกันต่อได้เลยครับ
**หมายเหตุ : เนื่องจากเครื่อง Samsung Galaxy A8+ (2018) กับ Samsung Galaxy A8 (2018) ที่ทีมงานได้รับมารีวิวทั้ง 2 เครื่องนี้ ยังเป็นเพียงเครื่องต้นแบบ หรือเครื่องทดสอบ คุณสมบัติบางส่วนจึงอาจยังไม่ตรงกับเครื่องที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เช่น ขนาดของหน่วยความจำแรม หรือขนาดของหน่วยความจำรอม ดังนั้นทางทีมงานจึงขอข้ามส่วนของการทดสอบผลคะแนนประสิทธิภาพในด้านต่างๆ ไปก่อนครับ**
รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่อง และการออกแบบดีไซน์ของ Samsung Galaxy A8 และ Galaxy A8+

เครื่องทางซ้าย คือ Samsung Galaxy A8 ส่วนเครื่องทางขวา คือ Samsung Galaxy A8+ ซึ่งจะเห็นได้ว่า Galaxy A8+ มีขนาดของตัวเครื่องที่ใหญ่กว่าอย่างชัดเจน
Samsung Galaxy A8+ (2018) มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ความละเอียด 2220x1080 พิกเซล ขนาด 6 นิ้ว ในแบบ Full Display อัตราส่วน 18.5:9 พร้อมครอบทับด้วยกระจกหน้าจอแบบ Corning Gorilla Glass โดยมีขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 159.9x75.7x8.3 มิลลิเมตร กับน้ำหนัก 191 กรัม
Samsung Galaxy A8 (2018) มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ความละเอียด 2220x1080 พิกเซล ขนาด 5.6 นิ้ว ในแบบ Full Display อัตราส่วน 18.5:9 พร้อมครอบทับด้วยกระจกหน้าจอแบบ Corning Gorilla Glass โดยมีขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 149.2x70.6x8.4 มิลลิเมตร กับน้ำหนัก 172 กรัม

ด้านหน้าส่วนบนของสมาร์ทโฟนที่ 2 รุ่น ประกอบไปด้วย กล้องดิจิทัลแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 16+8 ล้านพิกเซล, ลำโพงสำหรับฟังขณะทำการสนทนา, เซ็นเซอร์ Accelerometer ที่ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้ และเซ็นเซอร์ Proximity สำหรับการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน

ก็นับว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกล้องถ่ายภาพแบบคู่ (Dual-Camera) รุ่นแรกของแบรนด์ Samsung เลยก็ว่าได้ครับ โดยกล้องดิจิทัลด้านซ้ายนั้นมีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซ็นเซอร์รับภาพขนาด 1/4.0 นิ้ว ที่มีมุมมองกว้าง 85 องศา, รูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.9 และมีเม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน ส่วนกล้องดิจิทัลด้านขวานั้นมีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซ็นเซอร์รับภาพขนาด 1/3.1 นิ้ว ที่มีมุมมองกว้าง 76 องศา, รูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.9 และมีเม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน

จากภาพจะเห็นได้ว่าสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น นั้นมีดีไซน์ที่ไร้ปุ่มโฮมเช่นเดียวกับรุ่นเรือธงของค่ายอย่าง Samsung Galaxy S8
ด้านหน้าส่วนล่างมีปุ่มการสั่งงานแบบ On Screen ได้แก่ ปุ่ม Recent Apps, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ ซึ่งจะเห็นได้ว่า Samsung Galaxy A8+ (2018) และ Galaxy A8 นั้นเป็นดีไซน์แบบใหม่ที่ไม่มีปุ่มโฮมให้ใช้งานอีกต่อไป


ด้านบนตัวเครื่องของสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น มีไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวนขณะบันทึกวิดีโอ หรือบันทึกเสียง และถาดสำหรับใส่ซิมการ์ดที่ 2 และช่องเพิ่มการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ซึ่งรองรับการเพิ่มได้สูงสุดที่ 256 GB

ด้านล่างตัวเครื่องของสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น มีช่องเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, ไมโครโฟน และช่องเชื่อมต่อกับหูฟังแบบมาตรฐานขนาด 3.5 มิลลิเมตร

ด้านขวาตัวเครื่องของสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น มีปุ่มเปิด-ปิด เครื่อง หรือล็อกหน้าจอ และลำโพงเสียงภายนอก


ด้านซ้ายตัวเครื่องของสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น มีปุ่มเพิ่ม-ลด ระดับเสียง และถาดสำหรับใส่ซิมการ์ดที่ 1 ซึ่งจะเห็นได้ว่าตรงจุดนี้ไม่มีปุ่มสำหรับเรียกงาน Bixby เหมือนกับบน Samsung Galaxy S8 หรือ Galaxy S8+

ด้านหลังตัวเครื่องของสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น มีกล้องดิจิทัลความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซ็นเซอร์รับภาพขนาด 1/2.8 นิ้ว ที่มีมุมมองกว้าง 78 องศา, รูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.7, ระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF, มีเม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน พร้อมไฟแฟลช LED และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ

สำหรับ Samsung Galaxy A8+ (2018) และ Galaxy A8 (2018) นั้นจะได้รับการจัดวางกล้องถ่ายภาพด้านหลัง กับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือให้อยู่ในแนวตั้ง ซึ่งช่วยให้ใช้งานได้สะดวก และไม่ต้องกังวลเรื่องนิ้วมือไปโดนกล้องถ่ายภาพอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น การจัดวางในรูปแบบของแนวตั้งจะถือเป็นเทรนใหม่ของ Samsung ในปีนี้อีกด้วย และแน่นอนว่าทาง Samsung จะใช้การจัดวางนี้บน Samsung Galaxy S9 ด้วยเช่นกัน

ในส่วนของตัวเครื่องบน Samsung Galaxy A8+ (2018) กับ Galaxy A8 (2018) นั้นใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Metal-Glass ขอบโค้ง ผสานกรอบโลหะอะลูมิเนียมบางเฉียบที่ด้านข้างของตัวเครื่อง อีกทั้งตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 เช่นเดียวกับ Samsung Galaxy S8 หรือ Galaxy S8+ อีกด้วย นอกจากนี้ จุดแตกต่างที่เห็นได้ชัดของสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น คือ กรอบตัวเครื่องของ Samsung Galaxy A8+ (2018) เป็นพื้นผิวแบบด้าน ส่วน Samsung Galaxy A8 (2018) นั้นเป็นพื้นผิวแบบมันวาว

นอกจากนี้ Samsung Galaxy A8+ (2018) ยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 3500 mAh ส่วน Samsung Galaxy A8 (2018) มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 3000 mAh และที่พิเศษไปกว่านั้น คือ สมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่นนี้ รองรับเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง (Fast Charging)
ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติของ Samsung Galaxy A8 (2018) และ Galaxy A8+ (2018)

จากตารางข้างต้นจะเห็นได้ว่า Samsung Galaxy A8+ และ A8 (2018) มีความแตกต่างกันเพียงบางจุด โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือขนาดของตัวเครื่อง, น้ำหนัก, ขนาดหน้าจอ, ขนาดหน่วยความจำ และราคา เช่น Galaxy A8+ (2018) จะมีหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาดใหญ่กว่าที่ 6 GB, หน่วยความจำรอมขนาดใหญ่กว่าที่ 64 GB ซึ่งสามารถเก็บบันทึกข้อมูลต่างๆ ได้มากกว่าเท่าตัว และแบตเตอรี่ความจุมากกว่าที่ 3500 mAh นอกเหนือจากนั้นเรียกว่ามาในพิมพ์เดียวกัน เริ่มตั้งแต่ การใช้ชิปเซ็ตประมวลผล Exynos 7885, หน่วยประมวลผลกราฟิกแบบ
Mali-G71, รองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD, กล้องถ่ายภาพด้านหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมกล้องถ่ายภาพหน้าแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 16+8 ล้านพิกเซล, รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, Bluetooth 5.0 และทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.1.1 Nougat (พร้อมรองรับการอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 8.0 Oreo ได้ในอนาคต) รวมถึงการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
เปิดเครื่อง พร้อมทดสอบการใช้งานด้านซอฟต์แวร์
 
โดยในส่วนของซอฟตแวร์ทั้ง Samsung Galaxy A8+ (2018) กับ Galaxy A8 (2018) จะเหมือนกันแทบทั้งสิ้น ซึ่งทางทีมงานจะใช้ Samsung Galaxy A8+ (2018) เป็นหลักในการแนะนำตรงส่วนนี้ครับ สำหรับ Samsung Galaxy A8+ (2018) นั้นขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 7.1.1 Nougat พร้อมรองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด และสามารถรองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ 4G LTE กับ 3G ได้ รวมถึงรองรับการสนทนาผ่านระบบ VoLTE
 
อีกทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อไร้สายแบบ NFC และยังมีฟังก์ชัน Tap and Pay ให้ใช้งาน โดยผู้ใช้งานสามารถชำระเงินผ่านมือถือด้วยบริการ Samsung Pay ผ่านเทคโนโลยี NFC หรือ MST ได้ อีกทั้งยังรองรับเทคโนโลยีการสื่อสารทางเสียงผ่านโครงข่าย 4G (Voice over LTE)
 
นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชันการแจ้งเตือนให้ใช้งาน พร้อมทั้งสามารถเปิด-ปิด ฟังก์ชันลัดได้หลากหลาย เช่น การเชื่อมต่อ WiFi, บลูทูธ, โหมดประหยัดพลังงาน และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
 
 
ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าจอโอมสกรีนได้ ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนภาพวอลเปเปอร์, การเปลี่ยนธีม, การเปลี่ยนรูปแบบไอคอนแอปพลิเคชัน หรือการนำวิดเจ็ตที่ต้องการใช้งานมาไว้ที่หน้าจอโฮมสกรีน
 
ทางด้านฟังก์ชันโทรศัพท์ก็มีหน้าตาที่สามารถใช้งานได้ง่าย พร้อมทั้งสามารถเข้าดูรายชื่อโทรศัพท์ทั้งหมดได้ทันที
 
ในส่วนของบริการต่างๆ จากทาง Google ก็มีให้ใช้งานอย่างครบครัน เช่น Google Maps หรือ Gmail
 
สามารถปรับโหมดหน้าจอให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละประเภทได้ ไม่ว่าจะเป็น Adaptive Display, AMOLED Cinema, AMOLED Photo และ Basic

ไม่เพียงเท่านั้น สำหรับฟังก์ชันการถนอมสายตาด้วยการลดแสงสีฟ้า กับฟังก์ชัน Recent Apps ก็มีให้ใช้งานบน Samsung Galaxy A8+ (2018) ด้วยเช่นกัน

สามารถเปิดใช้งานฟังก์ชัน Always On Display ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกรูปแบบ สำหรับแสดงรายละเอียดต่างๆ ได้อีกด้วย
 
นอกจากนี้ Samsung Galaxy A8+ (2018) ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby ด้วยเช่นกัน เพียงแต่จะไม่มีปุ่มกดเรียกเหมือนรุ่นเรือธง โดยในหน้า Bixby Home เป็นหน้า Dashboard ที่รวมเอากิจกรรมทุกอย่างที่เราทำเป็นประจำ รวมถึงกิจกรรมที่หน้าสนใจมารวมไว้ในหน้าเดียวกัน
 
ในส่วนของแอปพลิเคชันอัลบั้มภาพถ่าย จะสามารถแสดงภาพถ่ายได้หลักๆ 2 แบบ คือ แสดงแบบรวมภาพถ่ายทั้งหมด กับแสดงแบบแยกอัลบั้ม
 
อีกทั้งยังสามารถค้นหาภาพถ่ายที่ได้การได้ผ่านไอคอนแว่นขยาย ซึ่งเมื่อกดเลือกที่ไอคอนแว่นขยายตัวแอปพลิเคชันอัลบั้มภาพถ่ายจะทำการแยกหมวดหมู่ภาพถ่ายให้แบบอัตโนมัติ เช่น ประเภทของภาพถ่าย, บุคคลในภาพถ่าย, ภาพถ่ายเอกสาร หรือภาพถ่ายอาหาร นอกจานี้ ผู้ใช้ยังสามารถค้นหาภาพถ่ายที่ต้องการได้ เช่น พิมพ์คำว่า Food ตัวแอปพลิเคชันก็จะรวบรวมภาพถ่ายที่เกี่ยวข้องกับอาหารมาให้ทันที เรียกได้ว่า สะดวกสบายในการหาภาพถ่ายที่ต้องการเป็นอย่างมาก

อีกทั้งยังสามารถเปิดใช้งานโหมดประหยัดพลังงานขั้นสูงได้อีกด้วย
 
อีกหนึ่งในความพิเศษของ Samsung Galaxy A8+ (2018) คือ ความสามารถในการโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน Line, Facebook และ Skype ได้ด้วยฟีเจอร์ Dual Messenger ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินเข้าใช้งานแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์

และที่พิเศษไปกว่านั้นคือ Samsung Galaxy A8+ (2018) นั้นมีแอปพลิเคชัน Secure Folder ซึ่งแอปพลิเคชัน Secure Folder นั้นมีหน้าที่ในการล็อค หรือตั้งรหัสผ่านสำหรับเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน Secure Folder นั่นหมายความว่า หากผู้อื่นจะเข้ามาใช้งานในส่วนนี้ก็จำเป็นต้องปลดรหัสผ่านเสียก่อน

ซึ่งความสามารถของแอปพลิเคชัน Secure Folder คือ การมีพื้นที่หน่วยความจำแยกที่ถูกเข้ารหัสเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้โดยเฉพาะ พร้อมทั้งผู้ใช้ยังสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันอื่นๆ มาใช้งานได้ อีกทั้งยังช่วยให้สามารถเข้าใช้งาน Line หรือ Facebook ได้อีก 1 แอคเคานท์ เรียกได้ว่า ผู้ใช้งานสามารถเข้าใช้งาน Line หรือ Facebook ได้พร้อมๆ กันถึง 2 แอคเคานท์นั่นเอง และถ้ารวมกับแอปพลิเค Line ที่ถูกโคลนนิ่งออกมา ก็จะทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าใช้งาน Line หรือ Facebook ได้พร้อมๆ
กันถึง 3 แอคเคานท์ เลยทีเดียว
 
นอกจากนี้ ยังรองรับฟังก์ชัน Multi-Windows สำหรับใช้งานพร้อมกันสองแอปพลิเคชันบนสองหน้าต่าง พร้อมทั้งรองรับฟังชัน Pop up Windows ซึ่งผู้ใช้สามารถเปิดหน้าต่างแอปพลิเคชันเพื่อใช้งานได้พร้อมกันสูงสุดถึง 5 แอปพลิเคชันด้วยกัน
 
ไม่เพียงเท่านั้น ทาง Samsung ยังได้ติดตั้งแอปพลิเคชันจากทาง Microsoft เอาไว้ให้ใช้งานบน Samsung Galaxy A8+ (2018) อีกด้วย ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเปิดอ่านไฟล์เอกสารได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Word, Excel หรือ PowerPoint
 
สำหรับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบน Samsung Galaxy A8+ (2018) สามารถตั้งค่าการใช้งานได้ ซึ่งการเปิดใช้งานระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ ผู้ใช้งานจะต้องทำการลงทะเบียนลายนิ้วมือให้เรียบร้อยเสียก่อน และจากการทดสอบตัวเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือก็ตอบสนองต่อการใช้งานได้รวดเร็วแม่นยำ

นอกเหนือไปจากระบบสแกนลายนิ้วมือแล้ว สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ ยังรองรับระบบสแกนใบหน้าด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นการยกระดับความปลอดภัยในการเข้าใช้งานเครื่องขึ้นไปอีกขั้น

อีกหนึ่งความน่าสนใจคือ มีบริการสำรองข้อมูลต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ, วิดีโอ และรายชื่อผู้ติดต่อทั้งหมด ผ่านฟังก์ชัน Samsung Cloud ซึ่งผู้ใช้สามารถใช้พื้นที่สำหรับสำรองข้อมูลได้มากถึง 15 GB เลยทีเดียว

นอกจากนี้ Samsung Galaxy A8+ (2018) ยังมาพร้อมกับฟังก์ชัน Adapter WiFi โดยตัวฟังก์ชันจะช่วยในเรื่องของการเชื่อมต่อ WiFi ที่เคยใช้งานให้แบบอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้อยู่ในระยะของสัญญาณ และจะทำการปิดการเชื่อมต่อเมื่อผู้ใช้อยู่นอกระยะของสัญญาณ ซึ่งช่วยเพื่อความสะดวดสบาย และยังช่วยประหยัดพลังงานไปในตัวอีกด้วย
 
ไม่เพียงเท่านั้น ทาง Samsung ยังได้ติดตั้งแอปพลิเคชันจากทาง Microsoft เอาไว้ให้ใช้งานอีกด้วย ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเปิดอ่านไฟล์เอกสารได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Word, Excel หรือ PowerPoint
 
ในส่วนของเว็บเบราว์เซอร์ก็ตอบสนองต่อการใช้งานได้ดี และสามารถแสดงรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน

ทางด้านฟังก์ชัน Smart Manager นั้นมีหน้าตาเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย แต่ก็สามารถจัดการส่วนต่างๆ ภายในเครื่องได้อย่างดีเยี่ยมเหมือนเช่นเคย ได้แก่ การเคลียร์แรม และการตรวจสอบหน่วยความจำภายในว่ายังสามารถใช้งานได้อีกเท่าไหร่
 
นอกจากนี้ ยังรองรับแอปพลิเคชันสำหรับฟังเพลง พร้อมทั้งสามารถปรับอีควอไลเซอร์ได้หลากหลาย เช่น Pop หรือ Rock
 
ส่วนทางด้านแอปพลิเคชันสำหรับฟังวิทยุ FM ก็มีให้ใช้งานด้วยเช่นกัน พร้อมทั้งสามารถบันทึกเสียงรายการวิทยุที่ชื่นชอบเอาไว้ฟังในภายหลังได้อีกด้วย

สามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดสูงระดับ Full HD (1080p) ได้อย่างไหลลื่น และสามารถแสดงรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างคมชัด สมจริง

อีกทั้งยังมีฟังก์ชัน Popup Play ให้ใช้งาน

Samsung Galaxy S8+ มาพร้อมกับชิปเซ็ต Octa-Core 64-bit Exynos 7885 ที่มีความเร็วในการประมวลผล 2.2 GHz, หน่วยประมวลผลกราฟิกแบบ Mali-G71, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6 GB, หน่วยความภายในขนาด 64 GB และขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 7.1.1 Nougat


ถึงแม้ว่าจะมีคุณสมบัติการประมวลผลในระดับกลาง แต่ก็สามารถตอบโจทย์ด้านการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสามมิติได้อย่างไหลลื่น อีกทั้งยังสามารถแสดงรายละเอียดบนตัวเกมได้ดีเนียนตา และยังไม่มีอาการสะสมความร้อนที่ตัวเครื่องขณะที่เล่นเกมต่อเนื่องอีกด้วย นอกจากนี้ ด้วยความที่ Samsung Galaxy S8+ ใช้หน้าจอแสดงผลแบบ Full Display อัตราส่วน 18.5:9 ขนาด 6 นิ้ว นั้นช่วยให้เล่นเกมได้เพลิดเพลิน และเต็มตาเป็นอย่างมาก

สามารถรองรับการสัมผัสได้พร้อมกันสูงสุด 10 จุด
 
และสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันอื่นๆ มาใช้งานเพิ่มเติมได้ผ่านแอปพลิเคชัน Galaxy Apps และ Google Play Store
กล้องดิจิทัล การถ่ายภาพนิ่ง และภาพวิดีโอ
 
 
มาต่อการในเรื่องของกล้องถ่ายภาพกันบ้าง ซึ่งในบทความนี้จะขอเริ่มจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบคู่ (Dual Camera) ที่เป็นหนึ่งในจุดเด่นของ Samsung Galaxy A8+ (2018) กันก่อน สำหรับ Interface กล้องถ่ายภาพด้านหน้านั้นก็มีหน้าตาไม่ต่าง Interface บน A-Series รุ่นก่อนหน้านี้แต่อย่างใด ซึ่งก็ใช้งานได้ง่าย พร้อมทั้งแสดงไอคอนฟังก์ชันต่างๆ ไว้ให้เลือกใช้งานได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น การสลับใช้งานกล้องด้านหน้า-ด้านหลัง, การปรับสัดส่วนหน้าจอ, การใช้งานไฟแฟลชที่ใช้แสงสว่างจากหน้าจอแสดงผล
หรือการปรับมุมมองของเลนส์ให้กว้างมากขึ้น และยังมีโหมดถ่ายภาพให้เลือกใช้งานหลากหลาย
 
สำหรับโหมดถ่ายภาพหน้าสวย ผู้ใช้สามารถปรับค่าผิวเนียน และสีผิวให้อมแดง หรืออมเหลืองได้หลายระดับ
 
อีกทั้งยังมีเอฟเฟกต์สติ๊กเกอร์ให้ใช้งานหลายรูปแบบ ส่วนทางด้านเอฟเฟกต์สำหรับถ่ายภาพก็มีให้ใช้งานด้วยเช่นกัน
 
และที่พิเศษไปกว่านั้นคือ มีฟังก์ชัน Live Focus สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอให้ใช้งาน ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกระดับการเบลอของฉากหลังได้หลายระดับ หรือแม้แต่ปรับให้ชัดทั้งภาพสำหรับถ่ายภาพวิว หรือทิวทัศน์ต่างๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน
 

ในส่วนของกล้องถ่ายภาพด้านหลังก็มี Interface ที่สามารถใช้งานได้ง่ายเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งแสดงไอคอนฟังก์ชันต่างๆ ไว้ให้เลือกใช้งานได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น การสลับใช้งานกล้องด้านหน้า-ด้านหลัง, การปรับสัดส่วนหน้าจอ, การใช้งานไฟแฟลชที่ใช้แสงสว่างจากหน้าจอแสดงผล หรือการปรับมุมมองของเลนส์ให้กว้างมากขึ้น และยังมีโหมดถ่ายภาพให้เลือกใช้งานหลากหลาย เช่น โหมดถ่ายภาพโปร, โหมดถ่ายภาพพาโนราม่า, โหมดถ่ายภาพอาหาร และโหมดถ่ายภาพกลางคืน

นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ Bixby Vistion ระบบวิเคราะห์เนื้อหาด้วยภาพ เพื่อหาข้อมูลต่างๆ ที่เราอยากรู้ เช่นการใช้กล้องถ่ายภาพ แล้วค้นหาข้อมูลของสิ่งนั้นๆ โดยอาจเป็นสินค้า, สิ่งของ, สถานที่, บุคคล, อาหาร หรือ QR Code รวมทั้งสามารถช่วยแปลตัวหนังสือให้เราได้
 
มีเอฟเฟกต์สติ๊กเกอร์ให้ใช้งานหลายรูปแบบ ส่วนทางด้านเอฟเฟกต์สำหรับถ่ายภาพก็มีให้ใช้งานด้วยเช่นกัน
 
นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่าการใช้งานส่วนอื่นๆ เพิ่มเติมได้ เริ่มตั้งแต่ การเลือกความละเอียดของกล้องถ่ายภาพด้านหลัง ที่สามารถเลือกความละเอียดได้สูงสุดที่ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล, สามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD (1080p), การเปิดใช้งานฟังก์ชัน HDR และการตั้งเวลาเพื่อถ่ายภาพ
 
การเลือกความละเอียดของกล้องถ่ายภาพด้านหน้า ที่สามารถเลือกความละเอียดได้สูงสุดที่ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล, สามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD (1080p), การเปิดใช้งานฟังก์ชัน HDR, การตั้งเวลาเพื่อถ่ายภาพ และการเปิดใช้งานฟังก์ชันการสั่งงานถ่ายภาพด้วยท่าทาง
 
สามารถเปิดใช้งานตารางเก้าช่อง, การแท็กสถานที่บนภาพถ่าย, ตรวจสอบภาพถ่าย, การเปิดใช้งานกล้องถ่ายภาพแบบด่วนด้วยการดับเบิ้ลคลิกที่ปุ่มโฮม และการสั่งงานด้วยเสียง ได้
 
สามารถเพิ่มความสามารถให้กับปุ่มลดระดับเสียงได้ 3 แบบ ได้แก่ ถ่ายภาพ, ถ่ายวิดีโอ หรือลดระดับเสียง และสามารถคืนการตั้งค่าทั้งหมดได้
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลตัวหลักที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ของ Samsung Galaxy A8+ (2018)

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพกลางคืน

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพกลางคืน

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพกลางคืน

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพกลางคืน

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพอาหาร

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพอาหาร

ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพอาหาร
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 16+8 ล้านพิกเซล ผ่านโหมดถ่ายภาพหน้าสวย และ Live Focus ของ Samsung Galaxy A8+ (2018)
 
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ
 
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวย พร้อมปรับค่าระดับ 4
 
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวย พร้อมปรับค่าระดับ 8
 
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวย พร้อมปรับค่าระดับ 4 พร้อมเปิดใช้งานฟังก์ชัน Live Focus พร้อมปรับค่าการเบลอฉากหลังระดับกลาง
 
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพหน้าสวย พร้อมปรับค่าระดับ 4 พร้อมเปิดใช้งานฟังก์ชัน Live Focus พร้อมปรับค่าการเบลอฉากหลังระดับสูงสุด
สรุปผลการทดสอบของ Samsung Galaxy A8+ (2018)

จบลงไปแล้วนะครับสำหรับการรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นต่อยอดใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับกล้องถ่ายภาพด้านหน้าแบบคู่ (Dual-Camera) รุ่นแรกของค่าย ซึ่งจากการที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับ Samsung Galaxy A8+ (2018) เป็นระยะเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ ก็พอที่จะกล่าวได้ว่า Samsung Galaxy A8+ (2018) คือ สมาร์ทโฟนอีกหนึ่งรุ่นที่มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ที่เหนือกว่าสมาร์ทโฟนเรือธงของค่ายอย่าง กล้องถ่ายภาพด้านหน้าแบบคู่ (Dual-Camera) ซึ่งมีความสามารถในการละลายฉากหลังผ่านฟังก์ชัน
Live Focus นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังได้รับการปรับดีไซน์ใหม่หมดจดให้มีความหรูหราพรีเมียมเวลาจับถือใช้งานด้วยเช่นกัน
และแน่นอนว่าจุดเด่นที่น่าสนใจที่สุดเป็นอันดับแรกของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นในเรื่องของกล้องถ่ายภาพ โดยเฉพาะกล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบคู่ (Dual-Camera) รุ่นแรกของค่าย ที่มาพร้อมกับความละเอียด 16+8 ล้านพิกเซล ซึ่งมีรูรับแสงกว้างสูงสุดขนาด f/1.9 โดยจากการทดสอบในการถ่ายภาพหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายภาพในสภาวะแสงปกติ หรือในสภาวะแสงน้อย ก็ยังสามารถถ่ายภาพออกมาได้อย่างคมชัด สีสันสดใสสมจริง นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ Live
Focus สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอเพื่อให้ตัวแบบดูโดดเด่นมากขึ้นได้ ซึ่งรวมถึงโหมดถ่ายภาพหน้าสวยก็สามารถถ่ายภาพออกมาได้เนียนสวยดูดีไม่แพ้กัน บอกได้เลยว่า กล้องถ่ายภาพด้านหน้าของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้จะทำให้ผู้ใช้สนุกกับการถ่ายภาพเซลฟี่ได้อย่างแน่นอน
ส่วนทางด้านกล้องถ่ายภาพด้านหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซ็นเซอร์รับภาพขนาด 1/2.8 นิ้ว ที่มีมุมมองกว้าง 78 องศา, รูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.7, ระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF, มีเม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน พร้อมไฟแฟลช LED ก็ตอบโจทย์ด้านการถ่ายภาพได้ดีไม่แพ้กัน และด้วยความที่มีรูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.7 จึงทำให้กล้องถ่ายภาพด้านหลังนั้นสามารถถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยได้ดีเป็นอย่างมาก
ซึ่งจากภาพถ่ายตัวอย่างจะเห็นได้ว่า ภาพถ่ายที่นั้นมีความคมชัด สีสันสมจริง และมี Noise บนภาพถ่ายน้อยมาก
ซึ่งนอกจากในเรื่องของกล้องถ่ายภาพแล้ว ทางด้านการออกแบบดีไซน์ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Metal-Glass ซึ่งเป็นกระจกขอบโค้งแบบ Corning Gorilla Glass ผสานกรอบโลหะอะลูมิเนียมบางเฉียบที่ด้านข้างของตัวเครื่อง จึงช่วยให้ Samsung Galaxy A8+ (2018) มีความสวยงามพรีเมียมดูน่าใช้งานเป็นอย่างมาก ไม่เพียงเท่านั้น ตัวเครื่องของ Samsung Galaxy A8+ (2018) ยังมาพร้อมกับ คุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน
IP68 นั่นหมายความว่า ต่อให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ตกน้ำ, โดนน้ำกระเซ็น หรือไปเลอะสิ่งสกปรกอื่นๆ ผู้ใช้ก็สามารถหยิบเครื่องขึ้นมาเช็ดทำความสะอาด และใช้งานต่อได้อย่างสบายๆ

อีกหนึ่งความน่าสนใจของบนสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือในเรื่องของหน้าจอแสดงผลไร้ขอบแบบ Super AMOLED ความละเอียด 2220x1080 พิกเซล ขนาด 6 นิ้ว ในแบบ Full Display อัตราส่วน 18.5:9 พร้อมครอบทับด้วยกระจกหน้าจอแบบ Corning Gorilla Glass ซึ่งประโยชน์ของหน้าจอแบบ Full Display คือช่วยให้ Samsung Galaxy A8+ (2018) นั้นมีพื้นที่หน้าจอแสดงผลเพิ่มมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดของตัวเครื่อง
จึงทำให้ผู้ใช้สามารถรับชมคอนเทนท์ต่างๆ ได้อย่างเต็มตา เช่น ภาพยนตร์ หรือเล่นเกม
ทางด้านคุณสมบัติเด่นอื่นๆ ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับราคาค่าตัว เริ่มตั้งแต่ รองรับฟังก์ชันการถนอมสายตาด้วยการลดแสงสีฟ้า, รองรับฟังก์ชัน Always On Display, มีฟังก์ชัน Secure Folder บวกกับฟังก์ชัน Dual Messenger รวมแล้วจึงสามารถใช้งานแอปพลิเคชัน Line หรือแอปพลิเคชันอีกหลายตัวที่รองรับ ได้พร้อมกันถึง 3 แอคเคานท์ในเครื่องเดียวกัน, รองรับฟังก์ชัน Multi-Windows สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 แอปพลิเคชัน กับ Pop up
Windows สำหรับใช้งานพร้อมกัน 5 แอปพลิเคชัน, รองรับการสั่งงานด้วยท่าทาง, มีระบบสแกนใบหน้า กับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ, รองรับฟีเจอร์ผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby, สำรองข้อมูลผ่านฟังก์ชัน Samsung Cloud ได้สูงสุด 15 GB, รองรับการใช้บริการ Samsung Pay ผ่าน NFC หรือ MST, รองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด พร้อมช่องแยกสำหรับเพิ่มการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD, รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ 4G LTE กับ 3G, รองรับเทคโนโลยีการสื่อสารทางเสียงผ่านโครงข่าย 4G
(Voice over LTE), มีฟังก์ชัน Adapter WiFi สำหรับเปิด-ปิด การเชื่อมต่อ WiFi แบบอัตโนมัติ และแบตเตอรี่ขนาด 3500 mAh พร้อมรองรับการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง
ในส่วนของคุณสมบัติด้านการประมวลผล ไม่ว่าจะเป็น ชิปเซ็ต Octa-Core 64-bit Exynos 7885 ที่มีความเร็วในการประมวลผล 2.2 GHz, หน่วยประมวลผลกราฟิกแบบ Mali-G71, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6 GB, หน่วยความภายในขนาด 64 GB และขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 7.1.1 Nougat ถึงแม้ว่าจะเป็นสเปกเครื่องที่จัดอยู่ในระดับกลาง แต่จากการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่มีกราฟิกสามมิติ Samsung Galaxy
A8+ ก็ตอบโจทย์ด้านการเล่นเกมได้ดี และไหลลื่นไม่แพ้สมาร์ทโฟนเรือธงเลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังไม่มีการสะสมความร้อนที่ตัวเครื่องอีกด้วย ซึ่งตรงจุดนี้น่าจะได้อานิสงส์มาจากการที่มีหน่วยความจำแรมที่เยอะ บวกกับหน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-G71 จึงส่งผลให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้สามารถเล่นเกมได้ดีนั่นเอง
หากจะสรุปในภาพรวมแล้ว Samsung Galaxy A8+ ถือเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางที่มีคุณสมบัติตัวเครื่องครอบคลุมในทุกการใช้งาน ตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับสูง อีกทั้งยังมีความโดดเด่นในเรื่องของกล้องถ่ายภาพด้านหน้าแบบคู่ (Dual-Camera) ที่สามารถถ่ายภาพหน้าชัด-หลังเบลอได้ นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ให้ใช้งานอย่างครบครันที่เรียกได้ว่ามีให้ใช้งานได้เทียบเท่าสมาร์ทโฟนเรือธงของค่ายอย่าง Samsung Galaxy S8 เลยก็ว่าได้ ซึ่งก็น่าจะเหมาะกับผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่สามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้แบบสมาร์ทโฟนเรือธง
พร้อมกล้องถ่ายภาพสวยคมชัดทั้งด้านหน้า-ด้านหลัง ในราคาไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่ง Samsung Galaxy A8+ ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ตรงจุดเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

สำหรับท่านใดที่สนใจ Samsung Galaxy A8+ ก็สามารถไปหาซื้อได้ที่ Samsung Brand Shop หรือร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศในราคาเพียง 18,990 บาท ซึ่งนอกจาก Samsung Galaxy A8+ แล้วทาง Samsung ยังได้วางจำหน่าย Samsung Galaxy A8 อีกหนึ่งรุ่นด้วย ซึ่งคุณบัติต่างๆ หรือปรรสิทธิภาพในการใช้งาน ก็ไม่ได้เป็นรอง Samsung Galaxy A8+ เลยก็ว่าได้ แต่จะมีขนาดตัวเครื่องที่เล็กลง รวมถึงหน่วยความจำแรม, หน่วยความจำภายใน และแบตเตอรี่ที่น้อยกว่ารุ่นพี่ พร้อมวางจำหน่ายในราคาเพียง
15,990 บาท เท่านั้น!
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Samsung ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งเครื่อง Samsung Galaxy A8+ กับ Samsung Galaxy A8 มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ
จุดเด่นของ Samsung Galaxy A8 กับ A8+ (2018)
- ตัวเครื่องที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Metal-Glass ซึ่งเป็นกระจกขอบโค้งแบบ Corning Gorilla Glass ผสานกรอบโลหะอะลูมิเนียมบางเฉียบที่ด้านข้างของตัวเครื่อง พร้อมรองรับคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
- รองรับระบบ สแกนใบหน้า กับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Sensor) สำหรับตรวจสอบสิทธิ์ของการเข้าใช้งานเครื่อง และการเข้าถึงข้อมูลภายใน
- จอแสดงผลไร้ขอบแบบ Super AMOLED Capacitive Touchscreen 16,700,000 สี ความละเอียด 2220x1080 Pixels ขนาด 5.6 นิ้ว (A8) หรือ 6 นิ้ว (A8+) ในแบบ Full Display อัตราส่วน 18.5:9 พร้อมครอบทับด้วยกระจกขอบนูนแบบ Corning Gorilla Glass
- ฟังก์ชันถนอมสายตาด้วยการลดแสงสีฟ้า พร้อมรองรับฟังก์ชัน Always-On Display
- รองรับฟังก์ชัน Multi-Windows สำหรับใช้งานพร้อมกัน 2 แอปพลิเคชัน กับ Pop up Windows สำหรับใช้งานพร้อมกัน 5 แอปพลิเคชัน
- รองรับฟีเจอร์ผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby
- ประมวลผลการทำงานด้วยชิปเซ็ต Octa-Core 64-bit Exynos 7885 ความเร็วในการประมวลผล 2.2 GHz
- หน่วยประมวลผลภาพกราฟิกโดยเฉพาะ (GPU : Graphics Processing Unit) แบบ Mali-G71
- ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 7.1.1 Nougat พร้อมรองรับการอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 8.0 Oreo ได้ในอนาคต
- หน่วยความจำ RAM ขนาด 4 GB (A8) หรือ 6 GB (A8+)
- หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 32 GB (A8) หรือ 64 GB (A8+) และรองรับการ์ดหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card (TransFlash) ได้สูงสุดขนาด 256 GB
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 16+8 ล้านพิกเซล ที่มีรูรับแสงกว้างสูงสุด F/1.9 พร้อมรองรับฟังก์ชัน Live Focus กับโหมดถ่ายภาพหน้าสวย และรองรับการถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD (1080p)
- กล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซ็นเซอร์รับภาพขนาด 1/2.8 นิ้ว ที่มีมุมมองกว้าง 78 องศา พร้อมรูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.7, ระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF, มีเม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน, ไฟแฟลช LED และรองรับการถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD (1080p)
- รองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual SIM)
- สามารถใส่ใช้งานได้พร้อมกันทั้งซิมการ์ดที่หนึ่ง, ซิมการ์ดที่สอง และการ์ดหน่วยความจำแบบ microSD
- รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบ 4G LTE, 3G, EDGE และ GPRS
- รองรับเทคโนโลยีการสื่อสารทางเสียงผ่านโครงข่าย 4G (Voice over LTE)
- มีฟังก์ชัน Adapter WiFi สำหรับเปิด-ปิด การเชื่อมต่อ WiFi แบบอัตโนมัติ
- ระบบ GPS+A-GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง)
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และ Bluetooth 5.0
- แบตเตอรี่แบบ Li-Ion Polymer 3000 mAh (A8) หรือ 3500 mAh (A8+) พร้อมรองรับการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง
- รองรับบริการ Samsung Pay, รองรับการเชื่อมต่อไร้สายแบบ NFC หรือ MST และรองรับฟังก์ชัน Tap and Pay
- ระบบเสียง UHQ 24-bit (Ultra High Quality Audio Playback)
- สำรองข้อมูลผ่านฟังก์ชัน Samsung Cloud ได้สูงสุด 15 GB
- แอปพลิเคชัน Secure Folder กับฟังก์ชัน Dual Messengerพร้อมรองรับการใช้งาน Line/Facebook ได้ 3 แอคเคานท์พร้อมกันภายในเครื่องเดียว
- Samsung Galaxy A8 ราคา 15,990 บาท ส่วน Samsung Galaxy A8+ ราคา 18,990 บาท โดยมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีดำ (Black), สีทอง (Gold) และสีม่วง (Orchid Gray)

จุดที่อาจจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมของ Samsung Galaxy A8+ (2018)
- แม้จะเป็นจอ Full Display เหมือนกับ Galaxy S8, S8+ หรือ Note 8 แต่ขอบด้านข้างดูหนากว่าเล็กน้อย และมีความโค้งน้อยกว่า
- เนื่องจากเป็นดีไซน์แบบ Metal-Glass ที่ไม่มีฝาหลัง จึงไม่สามารถถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่เองได้
- พื้นผิวรอบเครื่องเป็นกระจก จึงอาจเกิดคราบเปื้อน หรือรอยนิ้วมือได้ง่าย
- ไม่มีปุ่มเรียกใช้งาน Bixby โดยเฉพาะ
โปรโมชั่นพิเศษของ Samsung Galaxy A8 และ A8+ (2018)

Samsung Galaxy A8 และ A8+ (2018) มาพร้อม Welcome Pack มูลค่ารวมกว่า 1,000 บาท เพื่อใช้เป็นส่วนลดร้านค้าชั้นนำ ผ่านทาง Galaxy Gift และ Samsung Pay ได้แก่การใช้บริการ หรือซื้อสินค้าผ่าน Grab, 11-street, Starbuck, Sizzler และอื่นๆ

โปรโมชั่นนำสมาร์ทโฟนเครื่องเก่า มาแลกรับส่วนลด เพื่อซื้อ Samsung Galaxy A8 ในราคาเพียง 8,990 บาท* (*ประเมินมูลค่าจากการนำเครื่องเก่ารุ่น Samsung Galaxy A9 Pro มาแลกรับส่วนลดซื้อเครื่องใหม่ ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด) หรือจะนำสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นมาใช้สิทธิ์ก็ได้เช่นกัน โดยตรวจสอบรายละเอียดได้ที่ http://xchangemobile.com/Thailand/imthpublic ถึงวันที่ 31 มกราคมนี
โปรดทราบ
* โทรศัพท์มือถือที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทางศูนย์ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติบางอย่างอาจมีความแตกต่างจากเครื่องที่วางจำหน่ายจริงบ้างไม่มากก็น้อย รวมถึงจุดด้อยบางประการที่พบในเครื่องทดสอบ อาจจะถูกแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในเครื่องที่วางจำหน่ายจริง ดังนั้นหากท่านสนใจซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ ควรตรวจสอบหรือทดลองใช้งานสินค้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง *
สรุปคุณสมบัติเครื่อง
ท่านสามารถตรวจสอบคุณสมบัติโดยละเอียดของ Samsung Galaxy A8+ (2018) กับ Samsung Galaxy A8 (2018) ได้โดยการคลิกที่ลิงก์ด้านล่างนี้
สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ Samsung Galaxy A8 (2018)
สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ Samsung Galaxy A8+ (2018)
เปรียบเทียบ Samsung Galaxy A8 และ A8+ (2018)

:: ไปหน้าแรกเว็บไซต์ Thaimobilecenter
| ไปหน้าแรก
Mobile Focus ::
|