การวิจัย และพัฒนานวัตกรรมด้านการแสดงผลบนหน้าจอของ สมาร์ทโฟน ตั้งแต่ยุคบุกเบิกของโทรศัพท์มือถือ จนถึงปัจจุบันนั้น ไม่เคยมีวันไหนที่หยุดนิ่ง จากยุคแรกที่จอภาพของ โทรศัพท์มือถือ เป็นเพียงจอแสดงผลแบบขาว-ดำ ที่ไร้ซึ่งสีสันใดๆ แต่ก็ถือว่าล้ำยุคมากแล้ว ณ สมัยนั้น และถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าจดจำของนวัตกรรมด้านการแสดงผลบน โทรศัพท์มือถือ จนมาถึงยุคปัจจุบัน รูปแบบของ โทรศัพท์มือถือ และพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคได้เปลี่ยนไปมาก โดยประเภทของ โทรศัพท์มือถือ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันก็คือ สมาร์ทโฟน นั่นเอง ซึ่ง สมาร์ทโฟน แทบทั้งหมดในตลาด ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ ต่างก็ใช้จอแสดงผลแบบสัมผัสกันทั้งสิ้น ดังนั้นเทคโนโลยีการด้านแสดงผลของ สมาร์ทโฟน แต่ละรุ่นจึงเป็นส่วนสำคัญอันดับต้นๆ ในการเลือกซื้อ สมาร์ทโฟน ของผู้บริโภค

ด้วยเหตุนี้ สมาร์ทโฟน ระดับไฮเอนด์ในตลาดปัจจุบัน จึงได้พยายามนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในสำหรับการแสดงผล มาไว้บนหน้าจอของตัวเอง อย่างเช่น Nokia Lumia 920 นั้น นอกจากจะโดดเด่นในเรื่องของเทคโนโลยีด้านการถ่ายภาพอย่าง PureView หรือระบบปฏิบัติการยุคใหม่อย่าง Windows Phone 8 แล้ว ก็ยังมีหน้าจอแสดงผลที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว หน้าจอของ Nokia Lumia 920 นั้นจะเป็นหน้าจอแบบ IPS LCD (In-Plane Switching Liquid Crystal Display) ซึ่งมีข้อดีหลายประการ เช่น สามารถแสดงรายละเอียดและสีสันได้ครบถ้วนในหลายมุมมอง, มีสีสันที่ดูเป็นธรรมชาติ, สามารถมองเห็นได้ดีเมื่อใช้งานกลางแจ้ง หรือมีระดับความสว่างมากเป็นพิเศษ เป็นต้น แต่ในวันนี้ เราคงจะไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดของ IPS LCD มากนัก เพราะเทคโนโลยีที่เราต้องการนำเสนอให้ทุกท่านได้รู้จักกันในวันนี้ก็คือเทคโนโลยี PureMotion HD+ ซึ่งอยู่ใน สมาร์ทโฟน ระดับไฮเอนด์อย่าง Nokia Lumia 920 นั่นเอง
คุณสมบัติที่โดดเด่นของจอแสดงผลบน Nokia Lumia 920
ก่อนที่เราจะไปติดตามรายละเอียดในเบื้องลึกของเทคโนโลยี PureMotion HD+ กันแบบเต็มๆ ทีมงานก็ขอนำคุณสมบัติที่โดดเด่นของจอแสดงผลบน Nokia Lumia 920 มาสรุปภาพรวมให้ทุกท่านได้ทราบกันก่อน โดยคุณสมบัติที่โดดเด่นดังกล่าว ก็จะมีดังต่อไปนี้
คุณสมบัติเด่นของจอแสดงผลบน Nokia Lumia 920 |
ขนาดของหน้าจอ |
4.5 นิ้ว |
ความหนาแน่นของจุดพิกเซล |
332 จุดพิกเซลต่อนิ้ว (332 PPI) |
ความละเอียด |
1280x768 พิกเซล (WXGA HD+) |
ตัวควบคุมความสว่าง |
8 bit (256 ระดับ) |
เวลาในการเปลี่ยนสถานะของพิกเซลสีเทาไปเป็นสีเทา |
9 มิลลิวินาที (โดยเฉลี่ย) |
ระบบสัมผัส |
Capacitive Super Sensitive Touch |
สถาปัตยกรรมการแสดงผล |
- IPS (In-Plane-Switching)
- Overdrive
- Backlight LED Driving พร้อมโหมด High Luminance
- อัลกอริทึมสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่าน หรือการมองเห็นกลางแสงอาทิตย์
- เทคโนโลยี ClearBlack |
ความสามารถ และสิ่งดีๆ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี PureMotion HD+
PureMotion HD+ นั้นเป็นนวัตกรรมล่าสุดจากทาง โนเกีย ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการแสดงผลได้เป็นอย่างมาก โดยเทคโนโลยีหลายๆ อย่างที่ผสานกันจนเป็น PureMotion HD+ นั้นทำให้มั่นใจได้ว่าหน้าจอแสดงผลของ Nokia Lumia 920 นั้นจะสามารถแสดงผลได้เร็วที่สุด, มีความสว่างมากที่สุด, มีการตอบสนองต่อการสัมผัสได้ดีที่สุด และมีความละเอียดในการแสดงผลสูงที่สุดอีกด้วย ซึ่งองค์ประกอบที่ช่วยให้ความสามารถเหล่านี้เกิดขึ้นจริงได้ ก็จะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
เพราะเหตุใด PureMotion จึงต้องพัฒนาให้มีการแสดงผลที่เร็วที่สุด
เทคโนโลยีของการแสดงผลทั้งหมดในปัจจุบันที่ใช้งานกันใน สมาร์ทโฟน รุ่นต่างๆ เช่น LCDs (Liquid Crystal Displays) และ OLED (Organic Light-Emitting Diode Displays) นั้นต้องประสบกับปัญหากับการที่ไม่สามารถให้คุณภาพในการแสดงผลภาพเคลื่อนไหว หรือภาพวิดีโอ บน สมาร์ทโฟน ได้ดีเพียงพอ ในขณะที่ด้านของฮาร์ดแวร์ และระบบปฏิบัติการนั้นสามารถส่งผ่านข้อมูลการเรนเดอร์ภาพที่ลื่นไหลได้ที่อัตรา 60 เฟรมต่อวินาที สำหรับการแสดงผลเนื้อหาส่วนใหญ่ และจะเห็นว่าเทคโนโลยีต่างๆ สำหรับการแสดงผลในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นยังคงถูกออกแบบมาให้มีอัตราการเรนเดอร์ที่ต่ำ เนื่องจากไม่จำเป็นที่จะต้องให้มีอัตราการตอบสนองของการแสดงผลที่เร็วมากนัก ดังนั้นในด้านของผู้ใช้งานก็จะพบกับปัญหาภาพเบลอขณะที่กำลังเลื่อนหน้า, การเข้าเมนู, การเล่นเกมส์ หรือขณะที่ใช้งานกล้องดิจิตอล เป็นต้น โดยเทคโนโลยี PureMotion ของ โนเกีย นั้นจะให้ความสำคัญในเรื่องของคุณภาพที่ไม่เพียงพอของการแสดงผลภาพเคลื่อนไหวบนจอภาพของ โทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถของการเรนเดอร์ความเร็วสูงของหน่วยประมวลผลกราฟฟิคได้อย่างเต็มที่
การตอบสนองที่รวดเร็วของ Liquid Crystal และสิ่งที่เรียกว่า Panel Overdrive
ตามแบบฉบับดั้งเดิมของจอภาพ LCD แบบ IPS (In-Plane Switching) ที่ใช้งานใน โทรศัพท์มือถือ เวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนพิกเซลนั้นมากกว่าระยะเวลาในการเรนเดอร์ภาพแต่ละเฟรม โดยจะใช้เวลา 16.7 มิลลิวินาที (16.7 ms) ซึ่งในทางปฏิบัติ เวลาที่พิกเซลมีการเปลี่ยนแปลงสถานะของตัวมันเอง จากระดับหนึ่ง ไปสู่ระดับอื่นๆ ก็จะเกิดการยืดระยะไปบนเฟรมอีกหลายเฟรม ดังนั้นก็จะทำให้เกิดการสร้างภาพที่เบลอขึ้นมา
โดยส่วนใหญ่ของจอภาพ LCD การเปลี่ยนจากสีขาวไปเป็นสีดำ และการเปลี่ยนจากสีดำไปเป็นสีขาว นั้นมีความเร็วที่มากกว่าการเปลี่ยนระดับที่มีความเกี่ยวข้องกันของสีเทาไปเป็นสีเทา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีนี้ก็จะเกิดกับ Liquid Crystals (LCs) แบบ TN (Twisted Nematic) และ VA (Vertically Aligned) แต่ในทางกลับกัน จอภาพ LCD แบบ IPS จะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้น้อยกว่าเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนข้ามผ่านระหว่างระดับชั้นต่างๆ ของสีเทา โดยการเปลี่ยนจากสีเทาเป็นสีเทานั้น ความต่างศักย์ไฟฟ้าที่ไปกระตุ้น Crystal (แรงดันไฟฟ้าที่ไฟกระตุ้นพิกเซล) ระหว่างสถานะเริ่มแรก กับสถานะเป้าหมาย จะอยู่นำหน้าการพลิกตัวของโมเลกุล Liquid Crystal ที่ช้ากว่าอยู่เล็กน้อย ซึ่งจะช้ากว่าอยู่เสมอ ณ อุณหภูมิที่ต่ำกว่า
หนทางที่จะเอาชนะปัญหานี้ก็คือการใช้ความต่างศักย์ไฟฟ้าที่สูงขึ้นเป็นการชั่วคราว เพื่อไฟกระตุ้นพิกเซลของ Liquid Crystal โดยตัวอย่างของกระบวนการนี้นั่นก็คือเทคนิค Overdrive ซึ่งนำไปสู่เทคโนโลยี PureMotionHD ที่มีคุณภาพของการแสดงผลภาพเคลื่อนไหว หรือภาพวิดีโอที่ดีที่สุด
 ภาพตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงหลักการของเทคนิค Overdrive โดยทางด้านซ้ายจะเป็นเทคนิคการกระตุ้นแบบปกติ ส่วนทางด้านขวาจะเป็นเทคนิคการกระตุ้นแบบ Overdrive
ผลสุดท้ายที่ได้มา เทคนิค Overdrive นั้นจะช่วยให้เกิดทั้งการลดระยะเวลาในการตอบสนองของ Liquid Crystal และช่วยเพิ่มความคงเส้นคงวาของการเปลี่ยนสถานะได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเห็นได้จากข้อมูลการวัดผลที่จะเห็นดังต่อไปนี้ โดยความสูงของแท่งกราฟนั้น จะแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนสถานะ
 กราฟทางด้านบนแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเปลี่ยนสถานะของจอภาพแบบ IPS LCD ทั่วไป ซึ่งใช้เวลาเฉลี่ย 23 มิลลิวินาที ส่วนกราฟทางด้านล่างแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการเปลี่ยนสถานะของจอภาพใน Nokia Lumia 920 ซึ่งใช้เทคนิค Overdrive โดยจะใช้เวลาเฉลี่ยที่น้อยกว่า 9 มิลลิวินาที ซึ่งเร็วกว่ามาก
เพื่อที่จะให้สามารถแสดงภาพกราฟฟิคใดๆ ให้มีคุณภาพในการเคลื่อนไหวที่ดี บนความเร็วระดับ 60 เฟรมต่อวินาที (60 fps) ตัวของ Liquid Crystal นั้นจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนสถานะให้เสร็จสิ้นจากเฟรมก่อนหน้า ก่อนที่การเปลี่ยนสถานะใหม่ จะเริ่มขึ้นในเฟรมถัดไป ในทางปฏิบัติก็หมายความว่าเวลาที่มีการเปลี่ยนสถานะของ Liquid Crystal นั้น จะต้องอยู่ภายใต้เวลาส่วนหนึ่งของแต่ละเฟรม ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนสถานะใดๆ ก็ตาม เนื่องจากมันต้องอาศัยเวลาบางส่วนในการเขียนภาพกราฟฟิคลงไปบนจอแสดงผล ซึ่งเวลาดังกล่าวนั้นจะเรียกว่า Panel Addressing Time
 จอแสดงผลแบบ PureMotion HD+ จะใช้การอัพเดทอยู่ที่ชั้นบนของภาพ และข้อมูลหลังจากการอัพเดท ก็จะอยู่ที่ชั้นล่างของภาพ ซึ่งจะเห็นว่าด้วยเวลาในการตอบสนองของ Liquid Crystal จะใช้เพียง 9 มิลลิวินาที จึงไม่ทำให้ภาพเกิดการซ้อนทับกัน
ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองด้วยเทคนิค Overdrive การแสดงผลด้วยเทคโนโลยี PureMotion จึงสามารถแสดงพิกเซลจากการเปลี่ยนสถานะทั้งหลายนั้นได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ก่อนที่การอัพเดทเฟรมถัดไปสำหรับจุดพิกเซลใดๆ จะต้องเริ่มขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือภาพกราฟฟิคที่เบลอน้อยกว่า
 การแสดงผลด้วยเทคโนโลยี IPS แบบดั้งเดิมนั้นจะมีการอัพเดทด้วยเวลาในการตอบสนองพิกเซลที่ช้า โดยจะใช้เวลากว่า 23 มิลลิวินาที ซึ่งมากกว่าเวลาที่ใช้ในแต่ละเฟรม (16.7 มิลลิวินาที) จึงนำไปสู่การเกิดภาพซ้อน หรือเงาซ้อนขึ้นมาจากเฟรมก่อนหน้า
ในจอ LCD แบบ IPS แบบทั่วไป โดยปกติแล้วจะใช้เวลาในการตอบสนองมากกว่า 23 มิลลิวินาที ซึ่งส่งผลให้การอัพเดทของเฟรมก่อนหน้าจะยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ในขณะที่พิกเซลต่างๆ นั้นพร้อมที่จะอัพเดทอีกครั้งในรอบใหม่แล้ว ในทางปฏิบัติ สิ่งนี้ก็หมายความว่า ในระหว่างที่เกิดภาพเคลื่อนไหวนั้นอยู่ หลายๆ พิกเซลก็จะไม่มีทางที่จะไปถึงค่าเป้าหมายที่ตั้งใจเอาไว้ ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือภาพที่เบลอ หรือภาพที่พร่ามัวมากกว่า และยิ่งไปกว่านั้นก็จะเกิดการสูญเสียการแสดงสีสันไปบางส่วนอีกด้วย
ให้หน้าจอแสดงผลมีความสว่างมากที่สุดด้วยเทคโนโลยี PureMotion
สำหรับการใช้งาน สมาร์ทโฟน ในปัจจุบันนั้น สามารถจัดการงานทุกอย่าง ทุกรูปแบบ ได้อย่างสมบูรณ์ผ่านทางหน้าจอแบบสัมผัส แต่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้งานท่ามกลางแสงแดด หน้าจอแสดงผลส่วนใหญ่กลับไม่สามารถจะไม่สามารถมองเห็นรายละเอียด และไม่สามารถใช้งานใดๆ ได้ ซึ่งแทบจะเป็นไม่ได้ที่จะอ่านข้อความ หรือเปิดดูเว็บไซต์ หรือแม้แต่การโทรออกนั้น ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ยากไปโดยทันที สำหรับผู้บริโภคจำนวนมาก นี่คือปัญหาสำคัญอันดับต้นๆ ในการใช้งานเลยทีเดียว แต่ด้วยเทคโนโลยี PureMotion เราก็กำลังจะเห็นว่านวัตกรรมที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ มีความสามารถอย่างไร

ด้วยการพัฒนาอยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยี ClearBlack เทคโนโลยี PureMotion ได้นำเสนอนวัตกรรมล่าสุดสำหรับประสบการณ์ในการมองเห็นในพื้นที่กลางแจ้ง บนหน้าจอแสดงผลของ โทรศัพท์มือถือ และยังเพิ่มเติมคุณสมบัติที่ช่วยให้เกิดแสงสะท้อนที่น้อยมาก พร้อมประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากของการเรนเดอร์ภาพโทนมืด ท่ามกลางแสงสว่างรอบๆ ตัว เทคโนโลยี PureMotion ได้เพิ่มโหมดที่เรียกว่า High Luminance สำหรับการกระตุ้น Backlight LED และการเพิ่มประสิทธิภาพของค่าความเปรียบต่าง (Contrast) บนภาพกราฟฟิค โดยทั้งหมดนี้ก็มารวมอยู่บนการออกแบบที่ยอดเยี่ยมของชั้นกระจกต่างๆ ที่ซ้อนกันอยู่บนหน้าจอแสดงผล ซึ่งการที่ได้รวมสิ่งเหล่านี้เข้าไว้ด้วยกัน ก็จะข่วยเพิ่มความสามารถโดยรวมของค่าความเปรียบต่าง, ความสว่าง และการมองเห็นท่ามกลางแสงแดด
ในสภาพแวดล้อมที่มีความสว่างจ้ามากเป็นพิเศษ จอแสดงผล PureMotion บน Nokia Lumia 920 จะกักเก็บความสว่างของไฟ Backlight เอาไว้ และกลายเป็นหน้าจอแสดงผลบน สมาร์ทโฟน ความละเอียดระดับ WXGA (1280x768 พิกเซล) ที่มาพร้อมกับความสว่างที่มากที่สุด สำหรับผู้ใช้งานแล้ว โหมด High Luminance นั้นเป็นระบบอัตโนมัติโดยสมบูรณ์ ซึ่งจะทำงานอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่มาจากเซนเซอร์ตรวจจับความสว่าง (Ambient Light Sensor)

การดัดแปลงการเพิ่มความสามารถของค่าความเปรียบต่างในการแสดงผล นั้นจะช่วยชดเชยค่าความเปรียบต่างที่หายไป อันเนื่องมาจากแสงจ้าที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสะท้อนออกมาจากด้านในของชั้นกระจกบนหน้าจอแสดงผลแบบสัมผัส โดยจะเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น ด้วยการปรับแต่งสีสันในส่วนติดต่อผู้ใช้ (User Interface) และการคำนวณค่าความเปรียบต่าง รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบ และเงื่อนไขต่างๆ ของการมองเห็นในสถานการณ์ที่มีแสงจ้า โดยการเพิ่มความสามารถในการมองเห็นท่ามกลางแสงแดดเหล่านี้นั้น จะทำงานด้วยระบบอัตโนมัติอย่างสมบูรณ์ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องมาคอยจัดการด้วยตัวเอง

 ภาพแสดงตัวอย่างของ โทรศัพท์มือถือ ที่โดนแสงแดดส่องลงมาบนหน้าจอแบบตรงๆ โดยเครื่องที่อยู่ทางด้านบนก็คือ Nokia Lumia 900 ซึ่งแต่เดิมก็ได้รับการยอมรับว่าสามารถมองเห็นรายละเอียดในที่กลางแจ้งได้ดีมากอยู่แล้ว ส่วนเครื่องที่อยู่ทางด้านล่างก็คือ Nokia Lumia 920 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์จากการเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นท่ามกลางแสงแดด และจะเห็นว่าสามารถมองเห็นรายละเอียดของภาพในส่วนมืดได้ดีกว่า พร้อมกับระดับความสว่างของหน้าจอที่สูง ในขณะที่หน้าจอของ Nokia Lumia 900 นั้นไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดในส่วนเดียวกันนี้ได้
จุดพิกเซลที่มากที่สุด กับความละเอียดที่มากสุด บนเทคโนโลยี PureMotion HD+
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการเป็น สมาร์ทโฟน ที่แสดงผลภาพเคลื่อนไหวได้ดีที่สุดในตลาดมือถือ หน้าจอแสดงผล PureMotion รุ่นแรกจึงมาพร้อมกับความละเอียดของหน้าจอที่สูงถึง 1280x768 พิกเซล หรืออาจจะเรียกอีกอย่างว่าเป็นความละเอียดระดับ WXGA โดยคำว่า HD+ นั้นเป็นการบ่งบอกถึงข้อเท็จจริงทางเทคนิค โดยความละเอียดระดับ WXGA นั้นจะมีจุดพิกเซลที่มากกว่าความละเอียดระดับ 720p อยู่ 7% และมีอัตราส่วนของจอภาพแบบ 15:9 และหากเทียบกับความละเอียดระดับ DVGA (960x640 พิกเซล) ก็จะมีความละเอียดที่มากกว่า 60% และยังรวมไปถึงอัตราการตอบสนองที่รวดเร็ว เพียงพอที่จะแสดงผลภาพเคลื่อนไหวที่รวดเร็วระดับ 60 เฟรมต่อวินาที ได้อย่างราบรื่นเนียนตาต่อเนื่อง ปราศจากอาการเบลอ หรือพร่ามัว
ความละเอียดแบบ HD+ นั้นจะช่วยให้เกิดความสมดุลมากที่สุดสำหรับการเปิดดูเนื้อหา และการใช้งานส่วนติดต่อผู้ใช้ (User Interface) บนหน้าหน้าจอแบบสัมผัส เมื่อใดที่ทำการเปิดดูหน้าเว็บไซต์, เปิดดูรูปภาพ, เปิดดูวิดีโอ และเปิดดูเนื้อหาประเภทอื่นๆ เราก็จะสามารถเห็นรายละเอียดได้มากกว่าภายในหน้าเดียว และสำหรับอัตราส่วนของจอภาพแบบ 15:9 นั้น จะช่วยให้เราสามารถใช้งานได้ดีกว่า ง่ายกว่า คล่องตัวกว่า เมื่อเทียบกับหน้าจอที่มีอัตราส่วนแบบ 16:9 เนื่องจากองค์ประกอบต่างๆ บนส่วนติดต่อผู้ใช้ ซึ่งอยู่บริเวณขอบด้านบนสุดของหน้าจอแสดงผล จะอยู่ใกล้กับนิ้วมือของผู้ใช้มากกว่า ดังนั้นผู้ใช้จึงสามารถเลื่อนนิ้วมือไปยังบริเวณดังกล่าวได้ง่ายกว่านั่นเอง
 ภาพตัวอย่างที่แสดงการเปรียบเทียบขนาดของเนื้อหาที่สามารถแสดงผลได้บนหน้าจอซึ่งมีความละเอียดระดับ WXGA HD+, 720p และ DVGA ซึ่งจะเห็นว่ารูปภาพรูปเดียวกันนั้น หากนำมาแสดงผลบนหน้าจอความละเอียดระดับ WXGA HD+ ก็จะสามารถมองเห็นรายละเอียดได้มากที่สุด
หน้าจอที่สามารถตอบสนองต่อการสัมผัสได้ดีที่สุด
ผู้ใช้หลายๆ คนซึ่งมีเล็บมือที่ยาว จะไม่สามารถสัมผัสบนหน้าจอด้วยลักษณะ หรือวิธีการตามธรรมชาติเช่นเดียวกับการสัมผัสด้วยนิ้วมือเปล่าๆ ได้ ทำให้ผู้ใช้เหล่านั้นจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้วิธีการใหม่ๆ เพื่อสัมผัสบนหน้าจอด้วยการบิด หรือดัดนิ้วของตนเองในทุกรูปแบบของท่าทางการสั่งงาน ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะทำให้การใช้งาน สมาร์ทโฟน นั้นเกิดความยุ่งยากมากขึ้น และไม่ง่ายอย่างที่ควรจะเป็น และในอีกสถานการณ์หนึ่ง เมื่อเราต้องการสวมถุงมือขณะใช้งานก็จะไม่สามารถใช้งานได้เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ในสภาพอากาศที่หนาวเย็น เราคงจะต้องการจะสวมถุงมือไว้ตลอด แทนที่จะต้องถอดถุงมือเพื่อให้สามารถรับสายที่โทรเข้ามาได้ และไม่แน่ว่าด้วยสถานการณ์แบบนี้ เรื่องขำๆ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่นอาจจะมีผู้ใช้หลายๆ คนที่เรียนรู้วิธีที่แหวกแนวกว่า โดยการกดรับสายที่โทรเข้ามาด้วยการใช้จมูกของตัวเองสัมผัสกับหน้าจอ ซึ่งหากสามารถทำเช่นนี้ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องถอดถุงมือแต่อย่างใด
เทคโนโลยี Super Sensitive Touch ใน Nokia Lumia 920 ได้เข้ามาสร้างประสบการณ์ใหม่สำหรับหน้าจอสัมผัส นับตั้งแต่มีการเปิดตัวระบบสัมผัสแบบ Capacitive อย่างเป็นทางการในตลาด สมาร์ทโฟน ในปี ค.ศ.2007 รวมไปถึงยุคแรกๆ ที่เริ่มมีเทคโนโลยี Multi-touch และการใช้งานอุปกรณ์ด้วยนิ้วมือเปล่าๆ หรือปากกา Stylus แต่ ณ เวลานี้ สิ่งต่างๆ เหล่านั้น ในที่สุดก็จะถูกนำมาปรับปรุงแก้ไขประสบการณ์ในการใช้งานของผู้ใช้ให้ดีขึ้น โดย โนเกีย นั้นเป็นผู้ผลิต สมาร์ทโฟน รายแรกที่ได้นำเอาเทคโนโลยี Super Sensitive และระบบสัมผัสที่ดีที่สุด เข้ามาสู่ตลาดโทรศัพท์มือถือ
ระบบสัมผัสใน Nokia Lumia 920 นั้นมีการตอบสนองที่ดีกว่าหน้าจอสัมผัสอื่นๆ ทำให้การปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องอาศัยนิ้วมือเปล่าๆ เท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับถุงมือ, เล็บมือยาวๆ และยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถเกิดขึ้นได้กับปากกาที่ใช้งานกันทั่วๆ ไปบางชนิดอีกด้วย โดยเทคโนโลยีนี้ได้มีการปรับความไวในการตอบสนองไปตามวิธีการที่ผู้ใช้ป้อนข้อมูล ทำให้การใช้งานระบบสัมผัสมีความรวดเร็วกว่า, มีความเป็นธรรมชาติมากกว่า และมีความแม่นยำมากกว่า
 รูปแสดงการเปรียบเทียบระหว่างระบบสัมผัสแบบทั่วไป กับระบบสัมผัสแบบ Super Sensitive Touch
สรุปส่งท้ายกับเทคโนโลยี PureMotion HD+
หากไม่ได้ลองศีกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม ผู้เขียนก็คงจะไม่ทราบเหมือนกันว่า หน้าจอแสดงผลที่มาพร้อมเทคโนโลยี PureMotion HD+ ของ Nokia Lumia 920 นั้น จะมีรายละเอียดเบื้องลึก เบื้องหลัง ที่มากมาย และน่าสนใจถึงเพียงนี้ และอดไม่ได้ที่จะแวะมาแจกแจงให้ผู้อ่านได้เข้าใจรายละเอียดทางเทคนิคกันแบบยาวๆ โดยภาพรวมแล้ว PureMotion HD+ ก็เป็นนวัตกรรมด้านการแสดงผลบน Nokia Lumia 920 ที่พัฒนาต่อยอดอยู่บนพื้นฐานของหน้าจอ LCD แบบ IPS ซึ่งได้รวบรวมเทคโนโลยี หรือฟีเจอร์เด่นๆ เอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอัตราการตอบสนองที่รวดเร็ว โดยสามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวระดับ 60 เฟรมต่อวินาทีได้อย่างราบรื่น ไร้ซึ่งอาการเบลอ หรือพร่ามัว ความสว่างของหน้าจอที่มากเสียจนสามารถมองเห็นรายละเอียดได้ดี แม้กระทั่งการใช้งานท่ามกลางแสงแดด ความละเอียดของหน้าจอที่สูงระดับ WXGA (1280x768 พิกเซล) ซึ่งช่วยให้สามารถแสดงรายละเอียดของภาพได้มากกว่าภายในหน้าเดียว อัตราส่วนของหน้าจอแบบ 15:9 ซึ่งช่วยให้การสัมผัสด้วยนิ้วมือขณะถือเครื่องด้วยมือข้างเดียวมีความสะดวกคล่องตัวมากขึ้น และอีกอย่างที่ลืมไม่ได้ก็คือระบบสัมผัสแบบ Super Sensitive Touch ที่มีการตอบสนองที่ดีเป็นพิเศษ สามารถใช้งานระบบสัมผัสได้ทั้งนิ้วมือเปล่าๆ ใช้งานขณะสวมถุงมือ ใช้งานด้วยเล็บมือ หรือแม้กระทั่งการใช้งานด้วยปากกาบางประเภท ซึ่งสรุปแล้วเทคโนโลยี PureMotion HD+ ก็เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีลำดับต้นๆ ที่ช่วยให้ Nokia Lumia 920 ได้เปรียบ สมาร์ทโฟน คู่แข่งรุ่นอื่นๆ ในตลาดปัจจุบัน และแน่นอนว่า Nokia Lumia 920 ก็ยังมีนวัตกรรมเด่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเราก็จะแวะมานำเสนอให้ทุกท่านได้ติดตามกันอีกครั้งอย่างแน่นอน ส่วนวันนี้ก็ขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม
- ข้อมูลเพิ่มเติม : มือถือ Nokia Lumia 920
- ข้อมูลเพิ่มเติม : รีวิว (Review) Nokia Lumia 920
- ข้อมูลเพิ่มเติม : พรีวิว (Preview) Nokia Lumia 920
- ข้อมูลเพิ่มเติม : มือถือ Nokia Lumia 820
Thaimobilecenter.com
วันที่ : 3/12/55
|