รวมมือถือเรือธงรุ่นเด่นที่เปิดตัวในปี 2017 รุ่นไหนจะจัดเต็มกันมากน้อยเพียงใด มาดูกัน!
เรียกได้ว่าในปี 2017 นี้ แบรนด์ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนหลายต่อหลายค่ายต่างก็พากันส่งมือถือระดับ "เรือธง"เข้ามาแข่งขันบนท้องตลาดอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งเรือธงแต่ละรุ่นนั้นก็จะมีนวัตกรรม และจุดแข็งต่างกันออกไป และในวันนี้เราลองมาย้อนกันดูกันหน่อยดีกว่าว่า ตลอดปี 2017 ที่ผ่านมา มีสมาร์ทโฟนระดับเรือธงจากค่ายไหนเปิดตัวให้เห็นบ้าง และแต่ละรุ่นจะมีฟีเจอร์เด่นชูโรงในด้านใด หากพร้อมแล้ว เราไปติดตามพร้อมกันเลยดีกว่าครับ
Samsung Galaxy S8
หลังจากที่ค่าย Samsung ได้นำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้งานกับสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy S Series เป็นรุ่แรกๆ ของค่ายมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอขอบโค้งทั้งสองด้านบน Galaxy S6 และ S6 edge หรือเทคโนโลยีโฟกัสภาพแบบ Dual Pixel บนรุ่น Galaxy S7 และ S7 edge ซึ่งในรุ่นสานต่ออย่าง Galaxy S8 และ S8+ นั้นก็ได้มีการนำดีไซน์หน้าจอแบบใหม่ในชื่อ Infinity Display มาใช้งานกับสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวเป็นรุ่นแรกของค่ายด้วย โดยมาพร้อมกับจุดเด่นด้านการลดพื้นที่ขอบทั้งสี่ด้านให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการแสดงผลให้ใหญ่เต็มตา พร้อมตัดปุ่มโฮมแบบ Physical ที่ด้านล่างออก และหันไปใช้งานปุ่มโฮมแบบแยกแยะแรงสัมผัสบนหน้าจอ หรือ Pressure Sensitive แทน
สำหรับคุณสมบัติด้านอื่นๆ ของ Galaxy S8 ก็ถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนด้วยขุมพลังตัวท็อป Exynos 8895 ที่มีจุดเด่นด้านการประหยัดพลังงาน, หน่วยความจำ RAM 4GB, เซ็นเซอร์สแกนม่านตา Iris Scanner, เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ รวมไปถึงการรองรับการทำงานร่วมกับอุปกรณ์เสริม Samsung DeX สำหรับแปลงร่าง Galaxy S8 และ S8+ ให้อยู่ในโหมดเดสก์ท็อป เพื่อใช้งานราวกับคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งเลยทีเดียว โดย Galaxy S8 มาพร้อมกับคุณสมบัติเด่นดังต่อไปนี้
- ตัวเครื่องมีขนาด 148.9x68.1x8.0 มิลลิเมตร น้ำหนัก 155 กรัม
- หน้าจอแสดงผลขอบโค้งแบบไร้ขอบ Super AMOLED ขนาด 5.8 นิ้ว ความละเอียด 2960 x 1440 พิกเซล ความหนาแน่นของเม็ดพิกเซล 570 ppi และฟีเจอร์ Always-On Display
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 835 หรือ Samsung Exynos 8895
- หน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR4 ขนาด 4GB
- หน่วยความจำภายในแบบ UFS 2.1 ขนาด 64GB
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ขนาดพิกเซล 1.22 ไมครอน, ขนาดเซ็นเซอร์ 1/3.6", ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/1.7 พร้อมระบบ Autofocus
- กล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, ขนาดพิกเซล 1.4 ไมครอน, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/1.7, พร้อมเทคโนโลยี Dual Pixel และระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS
- ฟีเจอร์ป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68
- Bixby AI Assistant ฟีเจอร์ผู้ช่วยอัจฉริยะ
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint)
- เซ็นเซอร์สแกนม่านตา (Iris Scanner)
- ฟีเจอร์จดจำใบหน้าผู้ใช้งาน (Facial Recognition)
- ชิปประมวลผลเสียง Richer UHQ Audio 32-bit
- หูฟัง Hybrid PureSound AKG
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนเครือข่าย 4G LTE
- รองรับการใช้งาน Samsung Pay
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.0, NFC และ USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 3000 mAh รองรับระบบ Fast Charge และการชาร์จแบบไร้สาย (Wireless Charging)
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat
LG G6
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา แบรนด์สมาร์ทโฟนจากค่ายเกาหลีใต้อย่าง LG ได้สร้างเสียงฮือฮาด้วยการเปิดตัว LG G6 สมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปที่มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลเต็มพื้นที่แบบ FullVision พร้อมรองรับเทคโนโลยี Dolby Vision เหมือนกับที่ใช้บนโทรทัศน์ เพื่อช่วยให้การแสดงผลเป็นไปอย่างคมชัด และมีสีสันสดใส ส่วนจุดเด่นอีกหย่างหนึ่งของ LG G6 คือการเลือกใช้ระบบกล้องคู่เลนส์มุมมองกว้างถึง 125 องศา ใกล้เคียงกับกล้อง GoPro ทำให้ภาพที่ได้จาก LG G6 ดูมีความโดดเด่นแปลกตาพอสมควร โดย LG G6 มาพร้อมกับคุณสมบัติเด่นดังต่อไปนี้
- ตัวเครื่องมีขนาด 148.9x71.9x7.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 163 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบไร้ขอบ IPS LCD FullVision 2K Quad HD ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียด 1440x2880 พิกเซล, กระจกป้องกันหน้าจอ Corning Gorilla Glass 3, รองรับเทคโนโลยี Dolby Vision และ HDR 10
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 821
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 64GB รองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD สูงสุด 2TB
- กล้องด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) โดยกล้องตัวแรกมีความละเอียด 13 ล้านพิกเซล, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8 และระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ 3 แกน (3-axis OIS) ส่วนกล้องตัวที่สองมีความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.4, ไฟแฟลชแบบ Dual-LED, ขนาดเซ็นเซอร์รับภาพ 1/3" และรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 4K UHD 30fps
- กล้องด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.2
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- ฟีเจอร์ป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- รองรับระบบเสียง Hi-Fi Quad DAC
- รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนเครือข่าย 4G LTE
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 4.2 และ USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 3300 mAh พร้อมรองรับฟีเจอร์ Fast Charge ที่สามารถชาร์จพลังงานได้ถึง 50% ในเวลา 30 นาที
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat
Huawei P10
หลังจากที่ค่าย Huawei ประสบความสำเร็จกับ Huawei P9 สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับความโดดเด่นด้านระบบกล้องหลังเลนส์คู่ที่พัฒนาร่วมกับ Leica ซึ่งเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา Huawei ก็ได้สานต่อความสำเร็จครั้งนี้บน Huawei P10 เรือธงรุ่นใหม่ ที่อัปเกรดกล้องถ่ายภาพให้มีความยอดเยี่ยมขึ้น ด้วยการติดตั้งกล้องที่พัฒนาร่วมกับ Leica มาให้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเป็นรุ่นแรกของโลก นอกจากนี้ ยังได้มีการไปจับมือกับ Pantone เพื่อออกแบบสีสันตัวเครื่องแบบใหม่ให้อีกด้วย โดย Huawei P10 มาพร้อมกับคุณสมบัติดังต่อไปนี้
- ตัวเครื่องมีขนาด 145.3x69.3x6.98 มิลลิเมตร น้ำหนัก 145 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ IPS-NEO LCD Full HD 1080p ขนาด 5.1 นิ้ว ความละเอียด 1920x1080 พิกเซล ความหนาแน่นของเม็ดพิกเซล 431 ppi และกระจกป้องกันหน้าจอ 2.5D Corning Gorilla Glass 5
- ชิปเซ็ตประมวลผล 64-bit octa-core Hisilicon Kirin 960
- หน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-G71 MP8
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 64GB พร้อมรองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD สูงสุด 256GB
- กล้องด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) จาก Leica โดยกล้องตัวแรกความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องตัวที่สองความละเอียด 20 ล้านพิกเซล, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.2 และระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS)
- กล้องด้านหน้าจาก Leica ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.9
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 4.2, USB Type-C และ NFC
- แบตเตอรี่ความจุ 3200 mAh
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat
Sony Xperia XZ Premium
Sony ในปีนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่น่าสนใจพอสมควร เนื่องจากได้มีการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใส่บนสมาร์ทโฟนเอาไว้อย่างหลากหลาย ซึ่งในรุ่น Sony Xperia XZ Premium ก็มาพร้อมกับฟีเจอร์เด็ดหลายด้านทั้ง หน้าจอแสดงผล 4K HDR, กล้อง SuperSlow Motion ที่ระดับ 960fps รวมไปถึงระบบลำโพงหน้าคู่แบบ S-Force Front Surround โดย Sony Xperia XZ Premium มาพร้อมกับคุณสมบัติเด่นดังต่อไปนี้
- ตัวเครื่องมีขนาด 156x77x7.9 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 191 กรัม
- หน้าจอแสดงผลขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ 4K HDR (2160x3840 พิกเซล) พร้อมเทคโนโลยี TRILUMINOS Display และมีค่า sRGB Spectrum 138% เมื่อเทียบกับวิดีโอมาตรฐาน และครอบทับด้วยกระจก Grilla Glass 5
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 835
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 256GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 19 ล้านพิกเซล พร้อมฟีเจอร์ Motion Eye โดยมีเซ็นเซอร์ขนาด 1/2.3 นิ้ว, มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.0, ระบบป้องการสั่นแบบ SteadyShot ด้วยโหมด Intelligent Active (5-Axis Stablization) และรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K Ultra HD (2160x3840 พิกเซล) รวมถึงฟีเจอร์ Super Slow Motion ที่ความเร็ว 960 fps
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์ขนาด 1/3.06 นิ้ว, มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.0 และรองรับระบบป้องการสั่นแบบ SteadyShot ด้วยโหมด Intelligent Active (5-Axis Stablization)
- แบตเตอรี่ความจุ 3230 mAh พร้อมเทคโนโลยี Quick Charge 3.0
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.1 Nougat
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- รองรับระบบเสียง Hi-Res Audio
- รองรับการใช้งานสองซิมการ์ดพร้อมกันภายในเครื่องเดียว (Dual Nano SIM)
- ตัวเครื่องมีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP65/68- รองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อข้อมูลไร้สายระยะใกล้แบบ NFC (Near Field Communication)
Xiaomi Mi 6
สำหรับ Xiaomi เป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์สมาร์ทโฟนที่มีจุดเด่นด้านการผลิตมือถือสเปกแรงในราคาประหยัด ซึ่งในมือถือเรือธงรุ่นล่าสุดอย่าง Xiaomi Mi 6 ก็ยังคงคอนเซ็ปท์เดิมเอาไว้ โดยมาพร้อมกับขุมพลังตัวแรง Snapdragon 835 จับคู่ RAM 6GB พร้อมระบบกล้องคู่ที่รองรับการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ บนบอดี้กระจกแบบงางามพอดีมือ ซึ่งเปิดราคาวางจำหน่ายเริ่มต้นเอาไว้ที่ 15,990 บาทเท่านั้น โดย Xiaomi Mi 6 มาพร้อมกับคุณสมบัติเด่นดังต่อไปนี้
- ตัวเครื่องมีขนาด 145.17x70.49x7.45 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 168 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ Full HD 1080p ขนาด 5.15 นิ้ว ความละเอียด 1080x1920 พิกเซล พร้อมฟีเจอร์1nit ultra-dark night display สำหรับปรับลดความสว่างหน้าจอให้น้อยลงมากกว่าปกติถึง 4 เท่า เพื่อถนอมสายตาสำหรับการใช้งานในสภาวะที่มีแสงน้อย
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 835
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 540
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB และ 128GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบคู่ (Dual-Tone LED), รองรับเทคโนโลยีซูมภาพด้วยเลนส์แบบ Optical Zoom, การซูมแบบดิจิทัล 10 เท่า (X10 Digital Zoom), ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS ทั้งหมด 4 แกน (4-axis OIS), ระบบการโฟกัสภาพแบบ PDAF (Phase Detection Autofocus) และรองรับการถ่ายภาพในฟังก์ชัน Bokeh
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ความจุ 3350 mAh พร้อมเทคโนโลยี Quick Charge 4.0
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.1.1 Nougat
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ Under-Glass Fingerprint Scanner
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM) บนเทคโนโลยี Full Netcom 4.0
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ 2x2 Dual Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.0 และ NFC
OnePlus 5T
ค่ายเจ้าของนักฆ่าเรือธงอย่าง OnePlus ได้ทำการเปิดตัวมือถือเรือธงในปีนี้ถึง 2 รุ่น ได้แก่ OnePlus 5 และสมาร์ทโฟนรุ่นอัปเกรดใหม่หมดจดอย่าง OnePlus 5T ที่มาพร้อมกับจุดเด่นด้านหน้าจอแสดงผลเต็มพื้นที่แบบ 18:9 พร้อมขับเคลื่อนการทำงานด้วยชิปเซ็ตประมวลผลตัวท็อป Snapdragon 835 และหน่วยความจำ RAM จุใจถึง 6GB นอกจากนี้ OnePlus 5T ยังมาพร้อมกับระบบกล้องคู่เลนส์มุมมองกว้าง ซึ่งสามารถถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ ผ่านโหมด Portrait ได้อีกด้วย โดย OnePlus 5T มาพร้อมกับคุณสมบัติเด่นดังต่อไปนี้
- ตัวเครื่องมีขนาด 156.1x75.73 มม. น้ำหนักรวม 162 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 6.01 นิ้ว ความละอียด 1080x2160 พิกเซล (Full HD) ความหนาแน่นพิกเซล 401 ppi สัดส่วนจอกว้างแบบ 18:9 ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งจากการตก หรือกระแทก
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 835 แบบ Octa-Core Processor ความเร็ว 2.45GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 540
- หน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4X ขนาด 6GB / 8GB
- หน่วยความจำภายในแบบ UFS2.1 ความจุ 64GB / 128GB
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX397 เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน พร้อมรูรับแสงกว้างสูงสุด f/2.0
- กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) โดนแบ่งออกเป็น กล้องตัวหลักเลนส์ Wide-Angle ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล, เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX398, เม็ดพิกเซล 1.12 ไมครอน, รูรับแสงกว้าง f/1.7 ส่วนกล้องตัวที่สองเลนส์ Wide-Angle ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล, เซ็นเซอร์รับภาพ IMX376K, เม็ดพิกเซลขนาด 1.0 ไมครอน, รูรับแสงกว้าง f/1.7 พร้อมไฟแฟลชแบบ Dual LED รองรับการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอผ่านฟีเจอร์ Portrait Mode และรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K @ 30fps
-เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง สามารถปลดล็อกได้ภายในเวลาเพียง 0.2 วินาที
- ไมโครโฟนทั้งหมด 3 ตัว พร้อมระบบตัดเสียงภายในตัว
- รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด
- รองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G LTE Cat 12, Bluetooth 5.0, NFC และ Wi-Fi Dual Band
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.
- แบตเตอรี่ความจุ 3,300mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Dash Carge (5V/4A)
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.1.1 Nougat ครอบทับด้วย OxygenOS
Xiaomi Mi Mix 2
หลังจากที่ Xiaomi ได้เผยโฉม Mi Mix มือถือที่มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบไร้ขอบ พร้อมเสปกจัดเต็ม ในปี 2017 ที่ผ่านมา Mi Mix 2 มือถือจอไร้ขอบรุ่นใหม่ก็ได้รับการสานต่ออีกครั้ง โดยคราวนี้ปรับลดขนาดหน้าให้หยิบจับถนัดมือมากขึ้น พร้อมลดพื้นที่ขอบลงให้เหลือน้อยลงกว่ารุ่นก่อนราว 12% นอกจากนี้ Mi Mix 2 ยังมาพร้อมกับความโดดเด่นด้านงานออกแบบ ด้วยตัวเครื่องที่ผลิตมาจากวัสดุระดับพรีเมียมอย่างเฟรมโลหะผสานเข้ากับบอดี้เซรามิกที่ด้านหลังเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง โดย Xiaomi Mi Mix 2 มาพร้อมกับคุณสมบัติตัวเครื่องดังต่อไปนี้
- ตัวเครื่องมีขนาด 151.8x75.5x7.7 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 185 กรัม
- หน้าจอแสดงผลขนาด 5.99 นิ้วแบบไร้ขอบ ในอัตราส่วน 18 : 9 ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2160 พิกเซล)
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 835 ที่มีความเร็ว 2.45 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 540
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB และ 8GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) มาตรฐาน UFS 2.1 ขนาด 64GB, 128GB และ 256GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมตัดขอบวงแหวนกล้องด้วยทองคำ 18K โดยใช้เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX386 แบบเดียวกับ Mi6, พิกเซลขนาด 1.25 ไมครอน, ไฟแฟลชแบบคู่ (Dual-Tone LED), มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.0, ระบบการโฟกัสภาพแบบ PDAF (Phase Detection Autofocus) และระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS ทั้งหมด 4 แกน (4-axis OIS)
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ความจุ 3400 mAh พร้อมเทคโนโลยี Quick Charge 3.0
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android Nougat ซึ่งถูกครอบด้วย MIUI 9
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE
- รับสัญญาณได้ถึง 43 Bands
- รองรับการใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM) บนเทคโนโลยี Full Netcom 4.0
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.0 และ NFC
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
HTC U11+
หลังจากที่แบรนด์สมาร์ทโฟนจากประเทศไต้หวันอย่าง HTC ได้ทำการเปิดตัวเรือธงรุ่นเด่นอย่าง HTC U11 ไปเมื่อช่วงต้นปี เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา HTC ได้นำมือถือรุ่นดังกล่าวมาทำการยกเครื่องใหม่อีกครั้ง พร้อมกับตั้งชื่อโมเดลว่า HTC U11+ โดยสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวปรับโฉมดีไซน์ใหม่ด้วยหน้าจอแสดงผลเต็มพื้นที่ตามเทรนด์สมัยนิยม พร้อมอัปเกรดกล้องถ่ายภาพที่เคยได้รับคะแนนทดสอบจาก DxOMark สูงที่สุด ให้ก้าวล้ำขึ้นไปอีกครั้ง รวมทั้งยังมาพร้อมความโดดเด่นด้วยบอดี้กระจกแบบ Liquid Surface ที่มีความเงาสะท้อนเล่นกับแสง ทำให้ตัวเครื่องดูมีความเงางามดุจกับผิวน้ำ โดย HTC U11+ มาพร้อมกับคุณสมบัติเด่นดังต่อไปนี้
- ตัวเครื่องมีขนาด 158.5x74.9x8.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 188 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ SuperLCD 2K Quad HD+ ขนาด 6.0 นิ้ว ความละเอียด 2880x1440 พิกเซล ในสัดส่วน 18:9 พร้อมการแสดงผลแบบ HDR
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core 64-bit Qualcomm Snapdragon 835
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB และ 6GB (ตามประเทศที่วางจำหน่าย)
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB และ 128GB (ตามประเทศที่วางจำหน่าย) รองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD สูงสุด 2TB
- กล้องด้านหลัง UltraPixel 3 ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, ขนาดเม็ดพิกเซล 1.4 ไมครอน, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.7, ระบบโฟกัสภาพแบบ UltraSpeed Autofocus และระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS)
- กล้องด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที F/2.0 และใช้งานเลนส์รับภาพมุมกว้าง 85 องศา
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- ฟีเจอร์ป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
- รองรับระบบเสียง Hi-Res Audio, ระบบตัดเสียงรบกวน HTC USonic, ลำโพง HTC BoomSound Hi-Fi และรองรับการเล่นไฟล์เสียง Hi-Fi แบบไร้สายด้วยเทคโนโลยี aptX HD และ LDAC 24-bit
- ฟีเจอร์ Edge Sense
- รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนเครือข่าย 4G LTE
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11ac Dual-Band, Bluetooth 5.0, NFC และ USB 3.1 Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 3930 mAh พร้อมระบบ Quick Charge 3.0
LG V30
หลังจากที่เปิดตัว LG G6 ไปเมื่อช่วงต้นปี ในช่วงท้ายปีที่ผ่านมา ทาง LG ก็ได้เปิดตัวมือถือเรือธงอีกหนึ่งตระกูลนั่นก็คือ LG V30 โดยมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลเต็มพื้นที่ขอบโค้งไซส์ใหญ่เต็มตาถึง 6 นิ้ว พร้อมบอดี้กันน้ำกันฝุ่นสุดแกร่งที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความทนทาน MIL STD-810G และระบบกล้องคู่เลนส์ที่มีขนาดรูรับแสงกว้างสุดในโลกที่ f/1.6 โดย LG V30 มาพร้อมกับคุณสมบัติเด่นดังต่อไปนี้
- ตัวเครื่องมีขนาด 151.7x75.4x7.3 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 158 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ OLED ไร้ขอบขนาด 6.0 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยี FullVision ในอัตราส่วน 18 : 9 ความละเอียดระดับ QHD+ (1440x2880 พิกเซล)
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 835
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 540
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB และ 128GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 2TB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.6 และกล้องตัวที่สองความละเอียด 13 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง และมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.9 พร้อมกับไฟแฟลช Dual-Tone LED และระบบการป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS (Optical image stabilization) ซึ่งรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดระดับ 4K Ultra HD (2160x3840 พิกเซล)
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์มุมกว้าง 90 องศา
- แบตเตอรี่ความจุ 3300 mAh พร้อมรองรับ Quick Charge 3.0 และเทคโนโลยีชาร์จไร้สาย Fast Wireless Charging ที่สามารถชาร์จถึงระดับ 50% ได้ภายในเวลา 55 นาที
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE
- รองรับการใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.0 และ NFC
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- รองรับคุณสมบัติการป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
- รองรับบริการ LG Pay
- รองรับระบบเสียง Hi-Fi Audio Quad DAC พร้อมชิปประมวลผลเสียง ESS ES9218P
Google Pixel 2
หลังจากที่เมื่อปีที่แล้ว แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Google ได้ลงมาเล่นบนตลาดสมาร์ทโฟนด้วยตัวเอง พร้อมกับได้ส่ง Pixel และ Pixel XL บุกตลาดเป็นครั้งแรก ซึ่งในปีนี้ Google ก็ได้ทำการเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่ภายใต้ชื่อ Pixel 2 และ Pixel 2 XL ซึ่งมาพร้อมกับจุดเด่นด้านกล้องถ่ายภาพที่ได้รับคะแนนทดสอบจาก DxOMark สูงที่สุดในโลก ณ ชั่วโมงนี้ แม้ว่าจะใช้กล้องหลังเพียงแค่ตัวเดียวก็ตาม รวมทั้งยังมาพร้อมกับคุณสมบัติเด่นแบบจัดเต็มรอบด้าน โดย Pixel 2 มาพร้อมกับจุดเด่นดังต่อไปนี้
- หน้าจอแสดงผลแบบ OLED ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD 1080p (1080x1920 พิกเซล) พร้อมฟีเจอร์ Always-On Display
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 835
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB และ 128GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช Dual-LED, พิกเซลขนาด 1.4 ไมครอน, มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8, ระบบการโฟกัสภาพแบบ Laser Autofocus และ Dual Pixel Phase Detection, ระบบป้องกันภาพสั่นไหว Optical + Electronic Image Stabilization และรองรับการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K Ultra HD (2160x3840 พิกเซล)
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ความจุ 2700 mAh
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 8.0 Oreo
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 และ NFC
- ฟีเจอร์ Active Edge
Samsung Galaxy Note 8
อีกหนึ่งสมาร์ทโฟนเรือธงอีกหนึ่งตระกูลของ Samsung นั่นก็คือ Galaxy Note ที่มาพร้อมกับจุดเด่นด้านปากกา S Pen สำหรับขีดเขียนบนหน้าจอนั่นเอง โดยในปีนี้ทาง Samsung ก็ได้ทำการเปิดตัว Samsung Galaxy Note 8 มือถือเรือธงพร้อมปากกา S Pen รุ่นล่าสุด ที่มาพร้อมกับหน้าจอไร้กรอบ ไร้ปุ่มโฮม Infinity Display ไซส์ใหญ่เต็มตา พร้อมชูจุดเด่นด้านการถ่ายภาพด้วยระบบกล้องคู่ (Dual-Camera) เป็นรุ่นแรกของค่าย โดย Samsung Galaxy Note 8 มาพร้อมกับคุณสมบัติเด่นดังต่อไปนี้
- ตัวเครื่องมีขนาด 162.5x74.8x8.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 195 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ 2K WQHD+ Super AMOLED ไร้ขอบ Inifinity Display ขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด 2960x1440 พิกเซล, ฟีเจอร์ Always-On Display, พื้นที่ใช้งานมากถึง 83.3% และกระจกป้องกันหน้าจอ Corning Gorilla Glass 5
- ชิปเซ็ตประมวลผล Samsung Exynos 8895
- ชิปเซ็ตประมวลผลภาพกราฟิก (GPU) Mali-G71
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB รองรับหน่วยความเสริมแบบ microSD สูงสุด 256GB
- กล้องด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 12+12 ล้านพิกเซล, ระบบโฟกัสภาพแบบ Dual-Pixel, ใช้เลนส์รับภาพ 2 แบบ คือ Telephoto ขนาดรูรับแสง F/2.4 และ Wide ขนาดรูรับแสง F/1.7, ระบบซูมภาพแบบ Optical Zoom 2x, ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS) ทั้งสองเลนส์, ฟีเจอร์ Live Focus สำหรับการถ่ายหน้าชัด-หลังเบลอ และฟังก์ชัน Dual Capture ถ่ายภาพครั้งเดียวได้สองมุม คือ ภาพมุมกว้าง และภาพ Portrait
- กล้องด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.7 และระบบโฟกัสภาพแบบ Autofocus
- ปากกา S Pen ที่รองรับแรงกดได้มากถึง 4,096 ระดับ และป้องกันน้ำในระดับ IP68 ด้วย
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- เซ็นเซอร์สแกนม่านตา (Iris Scanner)
- ฟีเจอร์ป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
- ใช้งานโมเด็ม LTE Cat.16 และเทคโนโลยี 4CA (Carrier Aggregation)
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนเครือข่าย 4G LTE
- รองรับการใช้งาน Samsung Pay
- รองรับการใช้งาน Secure Folder สามารถใช้งาน LINE ได้ 2 แอคเคานท์
- รองรับการใช้งานร่วมกับ Samsung DeX
- ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ (AI) Bixby
- รองรับการเชื่อมต่อ USB Type-C และ Bluetooth 5.0
- แบตเตอรี่ความจุ 3300 mAh พร้อมรองรับฟีเจอร์ Wireless Charge
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.1.1 Nougat
Huawei Mate 10 Pro
Huawei ก็เป็นอีกค่ายที่ทำการเปิดตัวมือถือเรือธง 2 ตระกูลในปีเดียวเช่นกัน โดยเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทางค่าย Huawei ได้ทำการเปิดตัว Huawei Mate 10 Pro มือถือเรือธงรุ่นเด็ดที่มาพร้อมกับหน้าจอ Full Screen แบบเต็มพื้นที่ พร้อมกล้องคู่ Leica และชิปเซ็ต Kirin 970 ที่มีหน่วยประมวลผลแยกสำหรับงานปัญญาประดิษฐ์ (A.I.) โดยเฉพาะ โดยใน Huawei Mate 10 Series นั้น ได้มีการนำ A.I. มาใช้ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การแปลภาษาโดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต รวมไปถึงการนำ A.I. ไปช่วยประมวลผลวัตถุ และฉากด้านหน้า เพื่อปรับแต่งค่ากล้องถ่ายภาพให้เหมาะสมที่สุดกับช่วงเวลานั้น โดย Huawei Mate 10 Pro มาพร้อมกับคุณสมบัติเด่นดังต่อไปนี้
- ตัวเครื่องมีขนาด 154.2x74.5x7.9 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 178 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ FullView Display ขนาด 6 นิ้ว อัตราส่วน 18 : 9 ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2160 พิกเซล)
- ชิปเซ็ตประมวลผล Kirin 970 + Mobile AI
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G72 (12-Core)
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) จาก Leica ความละเอียด 12+20 ล้านพิกเซล (RGB+Monochrome) พร้อมระบบการโฟกัสภาพแบบ 4 in 1 Hybrid Focus, ระบบ Huawei Hybrid Zoom และระบบการโฟกัสภาพแบบ OIS โดยที่มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.6 ทั้งสองเลนส์
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อม AI Selfie และมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.0
- แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh พร้อมเทคโนโลยี Huawei Super Charge
- ระบบปฏิบัติการ Android 8.0 Oreo ซึ่งถูกครอบทับด้วย EMUI 8.0
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และ Bluetooth 4.2
- คุณสมบัติการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67
- รองรับการใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM) แบบ Dual 4G Dual VoLTE เป็นรุ่นแรกของโลก
Razer Phone
หลังจากที่สร้างชื่อบนตลาดเกมมิ่งเกียร์มาเป็นระยะเวลาพอสมควร ค่ายงูเขียวอย่าง Razer ก็หันมาเล่นบนตลาดสมาร์ทโฟนด้วย หลังได้ทำการเปิดตัว Razer Phone มือถือเกมมิ่งสำหรับเกมเมอร์ตัวจริง โดยสเปกที่จัดวางมาให้ถือว่าจัดเต็มเลยทีเดียว อย่างเช่น RAM จุใจถึง 8GB, ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังตัวแรง Snapdragon 835 หรือหน้าจอแสดงผลแบบ 120Hz โดย Razer Phone มาพร้อมกับคุณสมบัติเด่นดังต่อไปนี้
- หน้าจอแสดงผลแบบ IGZO LCD ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียด 2560x1440 พิกเซล ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 3 พร้อมเทคโนโลยี 120Hz UltraMotion
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 835 แบบ Octa-Core Processor
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB แบบ LPDDR4
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB แบบ UFS พร้อมรองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD Card ความจุสูงสุด 2TB
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0
- กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) โดยแบ่งออกเป็น กล้องเลนส์มุมมองกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.75 และกล้องเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.6 พร้อมระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติแบบ Dual PDAF และไฟแฟลชแบบ Dual Tone LED
Nubia Z17s
nubia ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ได้เปิดตัวมือถือให้เห็นกันหลายต่อหลายรุ่นในปีนี้ โดยหนึ่งในรุ่นที่น่าสนใจคือ nubia Z17s มือถือเรือธงที่มาพร้อมหน้าจอไร้ขอบ พร้อม RAM 8GB และชูจุดเด่นด้านการถ่ายภาพด้วยกล้องคู่ 23+12 ล้านพิกเซล ซึ่ง nubia Z17s ก็ได้มีการนำเข้าไปวางจำหน่ายในหลายกลุ่มประเทศ รวมไปถึงประเทศไทยด้วย โดย nubia Z17s มาพร้อมกับจุดเด่นดังต่อไปนี้
- ตัวเครื่องมีขนาด 147.46x72.68x8.5 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 170 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ Full Screen LTPS TFT ไร้ขอบขนาด 5.73 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2040 พิกเซล)
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 835
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 540
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลัง NeoVision 7.0 แบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 12+23 ล้านพิกเซล (เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX362 และ IMX318) พร้อมไฟแฟลช Dual-Tone LED และมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8+F/2.0
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 5+5 ล้านพิกเซล และมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.2
- แบตเตอรี่ความจุ 3100 mAh พร้อมเทคโนโลยี Fast Charge
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.1 Nougat ซึ่งถูกครอบทับด้วย nubia UI 5.1
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 4.1 และ NFC
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
Nokia 8
แบรนด์ Nokia กลับมารุกตลาดอีกครั้งในปี 2017 แต่คราวนี้หันไปตั้งเป้ากับสมาร์ทโฟนสายพันธุ์ Android เป็นหลัก ซึ่งเรือธงของ Nokia ในปีนี้นั่นก็คือ Nokia 8 มือถือตัวท็อปที่มาพร้อมกับกล้องคู่เลนส์ ZEISS ในตำนาน พร้อมลูกเล่นที่น่าสนใจอย่าง Bothie ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถ Live สดผ่านกล้องหน้าและกล้องหลังไปพร้อมๆ กันได้อีกด้วย โดย Nokia 8 มาพร้อมกับคุณสมบัติเด่นดังต่อไปนี้
ตัวเครื่องมีขนาด 151.5x73.7x7.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 160 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ 2K Quad HD IPS LCD ขนาด 5.3 นิ้ว ความละเอียด 1440x2560 พิกเซล ความหนาแน่นของเม็ดพิกเซล 554 ppi พร้อมกระจกป้องกันหน้าจอ Corning Gorilla Glass 5 ขอบนูนแบบ 2.5D
- ชิปเซ็ตประมวลผล Qualcomm Snapdragon 835
- ชิปเซ็ตประมวลผลภาพกราฟิก (GPU) Adreno 540
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB และ 6GB (เฉพาะรุ่น Polished Blue)
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB และ 128GB (เฉพาะรุ่น Polished Blue) รองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD สูงสุด 256GB (ทุกรุ่น)
- กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์รับภาพ Carl Zeiss, ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS) กับกล้องตัวแรก, ใช้เซ็นเซอร์รับภาพแบบ Color และ Monochrome, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.0, เลนส์รับภาพมุมกว้าง 76.9 องศา และรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K Ultra HD
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์รับภาพจาก Carl Zeiss, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.0 และเลนส์รับภาพมุมกว้าง 78.4 องศา
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- ตัวเครื่องป้องกันน้ำกระเซ็นตามมาตรฐาน IP54
- ระบบเสียง Ozo Audio
- รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนเครือข่าย 4G LTE
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.0, NFC และ USB Type-C
- แบตเตอรี่ความจุ 3090 mAh
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.1 Nougat
Moto Z2 Force
หลังจากที่ค่าย Moto ได้เปิดตัวเรือธงที่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม Moto Mods อย่างตระกูล Z Series ไปก่อนหน้านี้ ในปี 2017 ที่ผ่านมา Moto ก็ได้เปิดตัว Moto Z2 Series ออกมาให้เห็นกัน โดยหนึ่งในรุ่นที่น่าสนใจคือเรือธงอย่าง Moto Z2 Force ที่มาพร้อมกับขุมพลังตัวท็อป Snapdragon 835 พร้อมตัวเครื่องโลหะแบบไร้รอยต่อ และหน้าจอ ShatterShiled ที่ช่วยป้องกันการแตกร้าวของหน้าจอจากการตกจากที่สูง หรือการกระแทก โดย Moto Z2 Force มาพร้อมกับคุณสมบัติดังต่อไปนี้
- ตัวเครื่องมีขนาด 155.8x76x6.1 มิลลิเมตร และมีน้ำหนัก 143 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ 2K Quad HD (1440x2560 พิกเซล) พร้อมเทคโนโลยี ShatterShield สำหรับป้องกันการแตกร้าวของหน้าจอ
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 835 ที่มีความเร็ว 2.35 GHz
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Areno 540
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 2TB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX386 โดยมีพิกเซลขนาด 1.25 ไมครอน, ไฟแฟลช Dual-Tone LED, มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.0, รองรับโหมดการใช้งานแบบ Zero Shutter Lag (ZSL), ระบบการโฟกัสภาพแบบ PDAF (Phase Detection Autofocus) และ Laser Autofocus รวมถึงรองรับฟังก์ชันการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ (Bokeh) และการบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K Ultra HD (2160x3840 พิกเซล)
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์มุมกว้าง 85 องศา โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.2 และมีไฟแฟลช Dual-Tone LED ที่ด้านหน้า
- แบตเตอรี่ความจุ 2730 mAh พร้อมเทคโนโลยี TurboPower
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.1.1 Nougat และจะได้อัปเกรดขึ้นเป็น Android O ในอนาคต
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- รองรับการใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual-Nano SIM)
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 4.2 (หลังจากอัปเดตเป็น Android O จะอัปเกรดขึ้นเป็นเวอร์ชัน 5.0) และ NFC
- มีคุณสมบัติป้องกันน้ำกระเซ็นด้วยเทคโนโลยี Water repellent nano-coating
- รองรับการใช้งานร่วมกับ Moto Mods
iPhone X
ปีนี้ค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Apple ได้ทำการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ด้วยกันถึง 3 รุ่น แต่รุ่นที่เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ใช้งานมากที่สุดคงหนีไม่พ้น iPhone X มือถือรุ่นพิเศษที่ยกเครื่องใหม่หมดจดอย่างแน่นอน โดย iPhone X ถือว่ามีดีไซน์ที่แตกต่างจาก iPhone รุ่นก่อนๆ พอสมควร ทั้งการหันไปใช้งานหน้าจอชิดขอบ, ตัดปุ่มโฮมที่ด้านล่างออก พร้อมติดตั้งระบบสแกนใบหน้า Face ID เข้ามาทดแทนปุ่มสแกนลายนื้วมือ Touch ID ที่หายไป ส่วนที่ด้านหลังก็มาพร้อมกับบอดี้กระจกกันน้ำเงางาม ที่รองรับการชาร์จแบบไร้สาย Wireless Charging และติดตั้งระบบกล้องคู่ในแนวตั้งมาให้ด้วย โดย iPhone X มาพร้อมกับคุณสมบัติเด่นดังต่อไปนี้
- ตัวเครื่องมีขนาด 143.6x70.9x7.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 174 กรัม
- หน้าจอแสดงผลแบบ OLED Super Retina HD แบบไร้ขอบ ขนาด 5.8 นิ้ว ความละเอียด 2436x1125 พิกเซล ความหนาแน่นของเม็ดพิกเซล 458 ppi
- ชิปเซ็ตประมวลผล 64-bit Hexa-Core Apple A11
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 64GB และ 256GB
- กล้องด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, ใช้งานเลนส์ Wide และ Telephoto, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8 และ F/2.4, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบคู่ (Dual-OIS),ไฟแฟลชแบบ Quad-LED, Optical Zoom, ถ่ายวิดีโอ Slow Motion ได้ในความละเอียดสูงสุดที่ 1080p 240fps
- กล้องด้านหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซล, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.2 และบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด Full HD
- ฟีเจอร์กันน้ำ IP67
- ฟีเจอร์จดจำใบหน้า (Face ID)
วันที่ : 31/12/2560