พรีวิว Samsung Galaxy Note 9 ครั้งแรกในไทย มีอะไรใหม่ ดีกว่าเดิมแค่ไหน ปากกา S Pen ล้ำขึ้นอย่างไร?
[คลิกเพื่อชมวิดีโอพรีวิว Samsung Galaxy Note 9]
สวัสดีครับ เมื่อช่วงดึกของวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา Samsung Galaxy Note 9 สมาร์ทโฟนเรือธงตัวท็อปที่ดีที่สุดในปีนี้ของ Samsung ก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และข่าวดีก็คือ ในขณะนี้ผมก็มีเครื่อง Galaxy Note 9 ตัวจริงเสียงจริงเครื่องแรกๆ ในประเทศไทยอยู่ในมือแล้วเช่นกัน ดังนั้นเดี่ยวผมจะพาทุกท่านไปแกะกล่องลองสัมผัสกับ Galaxy Note 9 กันแบบด่วนๆ ก่อนเลยครับว่า สมาร์ทโฟนเครื่องนี้ดีกว่ารุ่นเดิมอย่างไร และมีอะไรใหม่ๆ มาให้เราได้ใช้งานกันบ้าง
เมื่อเปิดกล่องออกมา นอกจากตัวเครื่องแล้ว ก็จะมี Soft Case แบบใส, เข็ม SIM Door Key, หูฟัง AKG, จุกยางสำรอง, หัวปากกาสำรอง, อะแดปเตอร์ USB-A to USB-C, อะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่แบบ Adaptive Fast Charging, สาย USB Type-C และคู่มือการใช้งาน
เมื่อเทียบรูปลักษณ์ภายนอกกับรุ่นพี่อย่าง Galaxy Note 8 ก็พบว่ามีดีไซน์โดยรวมที่แทบจะถอดแบบกันมาครับ บนบอดี้โลหะที่ประกบด้วยกระจกที่ด้านหน้า-ด้านหลังแบบ Metal-Glass ที่สามารถป้องกันน้ำ-ป้องกันฝุ่นได้ในระดับ IP68 เช่นเดิม
แต่ Galaxy Note 9 จะมีหน้าจอ Infinity Display Super AMOLED QHD+ ในสัดส่วนแบบ 18.5:9 ที่ใหญ่ขึ้นเป็นขนาด 6.4 นิ้ว เรียกว่าใหญ่ที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟน Samsung ตอนนี้เลยทีเดียว
ซึ่งแม้จะมีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น แต่เมื่อจับดูแล้วกลับรู้สึกว่ามีขนาดพอๆ กับรุ่นเดิม พร้อมถูกปรับขนาดของขอบสีดำด้านบน-ด้านล่างให้เล็กลง
ที่ด้านหลังมีการจัดวางกล้องคู่ในแนวนอนเช่นเดิมครับ แต่คราวนี้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือถูกแยกออกมาไว้ที่ด้านล่างแทนเพื่อแก้ปัญหาที่นิ้วมักจะไปโดนเลนส์กล้อง
ส่วนกล้องคู่ หากสังเกตดูจะเห็นว่ามีขนาดของเลนส์ที่ไม่เท่ากันเหมือนเดิม นั่นก็เพราะ Galaxy Note 9 เลือกใช้โมดูลกล้องเดียวกันกับ Galaxy S9+ ซึ่งประกอบด้วยกล้อง Wide Angle ที่สามารถปรับรูรับแสงได้ที่ขนาด f/1.5 กับ f/2.4 กับกล้อง Telephoto ที่มีรูรับแสงขนาด f/2.4 พร้อมระบบป้องกันการสั่นแบบ Dual OIS ดังนั้นเรื่องการถ่ายภาพจึงยอดเยี่ยมไม่แพ้ Galaxy S9+ อย่างแน่นอน
ลำโพงเสียงจากเดิมที่มีเพียงแค่ตัวเดียว แต่คราวนี้ใส่ลำโพงมาให้ถึง 2 ตัว พร้อมการปรับจูนเสียงโดย AKG และรองรับระบบเสียงรอบทิศทางแบบ Dolby Atmos
สำหรับถาดใส่ซิมการ์ดก็ยังคงเป็นแบบ Hybrid Slot เหมือนเดิม
จุดขายสำคัญอันดับแรกๆ ที่ต้องพูดถึงก็คือการใช้งานปากกา S Pen นั่นเองครับ โดยในคราวนี้ปากกา S Pen ของ Galaxy Note 9 นั้นได้ถูกพัฒนาให้กลายเป็นปากกา Bluetooth ไปเรียบร้อยแล้วครับ ด้วยเทคโนโลยี Bluetooth Low Energy ที่ใช้พลังงานต่ำเพียง 0.5 mAh, ไม่ต้องจับคู่ หรือ Pair ให้ยุ่งยาก และทำงานได้ในระยะสูงสุด 10 เมตร
สิ่งใหม่ที่ปากกา S Pen ทำได้ก็คือ สามารถใช้งานเป็นรีโมทคอนโทรลเพื่อควบคุมการทำงานต่างๆ ของ Galaxy Note 9 ได้นั่นเองครับ ทั้งการถ่ายภาพ, การฟังเพลง, การบันทึกเสียง, การดูรูป, การนำเสนอ และอื่นๆ
เช่นกดหนึ่งครั้งเพื่อสั่งถ่ายภาพ, เล่นเพลง, บันทึกเสียง หรือดูรูปถัดไป
กดสองครั้งเพื่อสลับกล้องหน้า-กล้องหลัง, เล่นเพลงถัดไป หรือเลื่อนหน้า PowerPoint
รวมทั้งการกดค้างไว้เพื่อเรียกใช้งานแอปพลิเคชัน เรียกว่าไม่ต้องหยิบตัวเครื่องขึ้นมาก็สามารถสั่งงานได้แบบสบายๆ แล้วครับ
ซึ่งการกดปุ่ม S Pen ทั้งกดครั้งเดียว, กดสองครั้ง และกดค้างนี้ เราสามารถกำหนดได้เองว่าจะให้เป็นการเรียกใช้ฟังก์ชันใด หรือแอปพลิเคชันใด
ส่วนถ้าถามว่าหากกดบ่อยๆ แล้วปุ่มจะเสียไวหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าไม่เสียง่ายๆ แน่นอนครับ เพราะผ่านการทดสอบมาแล้วเป็นหลักแสนครั้ง
โดยปากกา S Pen ของ Galaxy Note 9 นั้นมีแบตเตอรี่แบบ Super Capacitor อยู่ภายใน ซึ่งชาร์จได้เร็วกว่าแบตเตอรี่แบบ Lithium นั่นคือเสียบไว้ในเครื่องเพียง 40 วินาที ก็สามารถใช้งานได้นานถึง 30 นาที หรือกดได้ 200 ครั้ง
และไม่ต้องกลัวปากกาหาย เพราะมีระบบแจ้งเตือนเมื่อปากกาอยู่ห่างจากตัวเครื่อง
ทางด้านฟังก์ชันยอดนิยมอย่าง Screen Off Memo ก็ถูกปรับปรุงใหม่ จากเดิมที่หมึกมีเพียงแค่สีขาว แต่คราวนี้หมึกจะเป็นสีเดียวกับปากกา เช่นหากเป็นปากกาสีทอง หมึกก็จะออกเป็นสีเหลืองดังที่เห็นนี้ แต่ก็น่าเสียดายเล็กน้อยที่สีของหมึกนั้นขึ้นอยู่กับสีของปากกา ไม่สามารถเปลี่ยนได้ นอกจากซื้อปากกาสีอื่นเพิ่ม
มีแอปพลิเคชัน PENUP ให้ใช้งาน ซึ่งผู้ใช้งานที่เพิ่งหัดวาดรูปน่าจะชอบครับ เพราะสามารถทำเหมือนเป็นกระดาษลอกลาย แล้ววาดตามรูปที่มีอยู่แล้วได้
และที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ เราสามารถเขียนข้อความแบบ Live Message ลงไปบนสติกเกอร์ AR Emoji ได้ด้วยครับ
กล้องถ่ายภาพแบบคู่ด้านหลัง แม้จะใช้โมดูลเดียวกันกับ Galaxy S9+ คือกล้อง Super Speed Dual Pixel ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล แต่ใน Galaxy Note 9 ได้ใส่ระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เพิ่มเข้ามา ที่เรียกว่า Scene Optimizer ซึ่งเรียนรู้ได้เองว่ากำลังถ่ายรูปแบบไหนอยู่ แล้วปรับตั้งค่ากล้องให้โดยอัตโนมัติ รวม 20 รูปแบบ เช่น ดอกไม้, คน, อาหาร, สัตว์, ท้องฟ้า, พระอาทิตย์, ต้นไม้, กลางคืน และอื่นๆ โดยขณะถ่ายจะโชว์ไอคอนให้เห็นว่าเป็นรูปภาพประเภทใด
มีระบบ Flaw Detection ซึ่งจะเตือนว่ามีข้อบกพร่องในภาพ เช่นมีคนกะพริบตา, ภาพเบลอ, เลนส์สกปรก หรือย้อนแสง
ฟังก์ชัน AR Emoji ถูกพัฒนาให้มีรายละเอียดที่ดีขึ้นสวยขึ้น ทั้งผิว, ผม, ดวงตา และอื่นๆ
โดยสติกเกอร์ AR Emoji จากเดิมใน Galaxy S9+ ที่สร้างให้ได้อัตโนมัติ 36 รูปแบบ พอมาใน Galaxy Note 9 ถูกพัฒนาให้สร้างได้เพิ่มขึ้นเป็น 54 รูปแบบ แต่ก็ต้องรอการอัปเดตก่อนนะครับ
นอกจากนั้นก็จะเป็นฟีเจอร์ที่คล้ายกับ Galaxy S9+ ครับ เริ่มตั้งแต่การปรับค่ารูรับแสงได้ที่ขนาด f/1.5 และ f/2.4
ระบบป้องกันการสั่นแบบ Dual OIS
ระบบซูมภาพด้วยเลนส์ หรือ Optical Zoom สูงสุด 2 เท่า
ถ่ายวิดีโอแบบ Slow Motion ได้ที่ความเร็วสูงสุด 960 เฟรมต่อวินาที
ถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอด้วยฟังก์ชัน Live Focus
ส่วนกล้องด้านหน้าก็ยังคงใช้โมดูลเดิม คือเป็นกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/1.7 และระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ
ชิปเซ็ตจากเดิมที่เป็น Exynos 8895 ก็อัปเกรดมาเป็นชิปเซ็ตตัวท็อปรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Exynos 9810 ซึ่งแน่นอนว่าประสิทธิภาพของการประมวลผลย่อมเร็วแรงขึ้นกว่าเดิม
โดยเมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการทำงานโดยรวมด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ก็พบว่าได้ผลทดสอบที่ 241080 คะแนน
เมื่อทดสอบประสิทธิภาพของการประมวลผลด้วยแอปพลิเคชัน Geekbench ก็พบว่าได้ผลทดสอบในส่วนของ Single-Core ที่ 3718 คะแนน และในส่วนของ Multi-Core ที่ 9037 คะแนน
และด้วยระบบระบายความร้อนใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า Water Carbon Cooling System จึงช่วยลดอุณหภูมิที่เกิดขึ้นขณะต้องประมวลผลหนักๆ ได้เป็นอย่างดี
หน่วยความจำภายใน หรือ ROM จากเดิมที่มีเพียง 64GB แต่คราวนี้เพิ่มขึ้น 2 เท่า เป็นขนาด 128GB พร้อมรองรับการ์ด microSD ได้สูงสุดที่ขนาด 512GB ซึ่งเมื่อทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยความจำด้วยแอปพลิเคชัน AndroBench ก็พบว่ามีความเร็วในส่วนของ Sequential Read ที่ 817.62 MB/s และมีความเร็วในส่วนของ Sequential Write ที่ 195.76 MB/s ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าเป็นหน่วยความจำแบบ UFS 2.1 นั่นเอง
ส่วนหน่วยความจำ RAM ก็ยังคงมีขนาดอยู่ที่ 6 GB และเป็นแบบ LPDDR4 เช่นเดิม และจริงๆ ยังมีรุ่นพิเศษอีกรุ่นที่มาพร้อม ROM 512GB กับ RAM 8GB ด้วยนะครับ ซึ่งก็จะวางจำหน่ายในบ้านเราด้วยเช่นกัน
ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือแบตเตอรี่จากเดิมที่มีมาให้เพียง 3300 mAh แต่คราวนี้ใส่มาให้ถึง 4000 mAh ซึ่งมากกว่าเดิม 21% พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย กับเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง
ด้านระบบเครือข่ายก็ถูกอัปเกรดให้ดีขึ้นกว่าเดิม ทั้ง LTE Cat.18 ที่มีความเร็วสูงสุด 1.2 Gbps พร้อมเทคโนโลยี Dual 4G LTE, 5CA, 4x4 MIMO, LAA และ 256QAM
นอกจากนี้ก็ยังมาพร้อมกับ Bixby 2.0 ผู้ช่วยอัจฉริยะเวอร์ชันใหม่ที่ฉลาดขึ้น และทำงานได้ดีขึ้น พร้อมปุ่มเรียกใช้งาน Bixby โดยเฉพาะ
ทางด้านระบบความปลอดภัยก็ยังคงมาพร้อมกับระบบสแกนม่านตา, ระบบสแกนลายนิ้วมือ, ระบบสแกนใบหน้า และฟังก์ชัน Intelligence Scan เช่นเดิม
รองรับการใช้งานบริการ Samsung Pay ผ่านทั้งระบบ NFC และ MST
และทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo ที่ถูกครอบทับด้วย Samsung Experience 9.5
สรุปในเบื้องต้นกับ Samsung Galaxy Note 9
ก็คงพอจะได้เห็นภาพรวมของ Samsung Galaxy Note 9 กันแล้วนะครับว่าเป็นอย่างไร สรุปในเบื้องต้นสำหรับ Galaxy Note 9 รุ่นนี้ ก็เหมือนกับเป็นการรวมเอาจุดเด่นของเรือธงรุ่นพี่ที่แทบจะสมบูรณ์แบบอยู่แล้วอย่าง Galaxy Note 8 กับ S9+ มาพัฒนาเติมเต็มให้สมบูรณ์แบบ และชาญฉลาดขึ้นไปอีกขั้น ทั้งในเรื่องของดีไซน์, ปากกา S Pen, กล้องถ่ายภาพ, การประมวลผล, ระบบ AI, หน่วยความจำ, แบตเตอรี่, การเชื่อมต่อ และอื่นๆ
ส่วนราคาของ Galaxy Note 9 ในบ้านเราก็อยู่ที่ 33,900 บาท และเริ่มเปิดจองแล้วตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 21 สิงหาคม ทั้งที่ Samsung Brand Shop, Lazada, Shopee และผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 ค่าย พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ที่สั่งจองล่วงหน้าเท่านั้น สำหรับวันนี้ก็ขอพรีวิวแบบคร่าวๆ ไปก่อนนะครับ ส่วนรีวิวเวอร์ชันเต็มจะตามมาในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน รอติดตามกันได้อีกครั้ง สวัสดีครับ
เปรียบเทียบคุณสมบัติของ Samsung Galaxy Note 9 กับ Galaxy Note 8
สรุปโปรโมชั่นสั่งจองล่วงหน้าของ Samsung Galaxy Note 9
Samsung Galaxy Note 9 มีราคาอยู่ที่ 33,900 บาท (รุ่นความจุ 128 GB) มีวางจำหน่าย 3 ได้แก่ สีโอเชี่ยนบลู (Ocean Blue) ที่มาพร้อมกับ S Pen สีเหลือง, สีเมทัลลิก คอปเปอร์ (Metallic Copper) และสีมิดไนท์ แบล็ค (Midnight Black)
โดยสามารถสั่งจองล่วงหน้า (Pre Booking) ตั้งแต่วันที่ 10-21 สิงหาคมนี้ พร้อมเลือกรับสิทธิพิเศษมากมาย ผ่าน 3 ช่องทางหลักดังนี้
Samsung Brand Shop กับร้านค้าที่ร่วมรายการ เลือกรับของกำนัลมูลค่า 6,000 บาท และรับ S Pen Limited Edition สี Lavender Purple มูลค่า 850 บาท ฟรี พร้อมสิทธิรับประกันหน้าจอแตกนาน 1 ปี ในกรณี ตก แตก ร้าว
ร้านค้าออนไลน์ เฉพาะ Lazada และ Shopee รับสิทธิ์อัปเกรด เพิ่มความจุเป็น 512 GB จาก 128 GB ได้ในราคาปกติ (33,900 บาท) และรับประกันหน้าจอแตกนาน 1 ปี ในกรณีตก, แตก หรือร้าว
ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ทั้ง AIS, dtac และ TrueMove H รับส่วนลดกว่า 12,000 บาท โดยเป็นไปตามเงื่อนไขของผู้ให้บริการแต่ละราย
โดยลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้า จะได้รับสินค้าระหว่างวันที่ 22-24 สิงหาคม 2561 โดยจะต้องไปรับสินค้าในวัน และเวลาที่เลือกไว้ ท่านใดสนใจสามารถติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมได้ที่ www.samsung.com/th/note9
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 11/8/2561