พรีวิว Samsung Galaxy A6 และ A6+ สมาร์ทโฟน A-Series ที่เป็นดั่ง S9 ย่อส่วน ด้วยกล้องคู่, จอ Infinity Display และฟีเจอร์ที่สืบทอดจากรุ่นใหญ่ ในราคาเริ่มเพียง 8,900 บาท จ่อขายไทยเร็วๆ นี้!
สำหรับ Samsung Galaxy A6 และ Galaxy A6+ นั้นได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่เกาหลี ไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา พร้อมชูจุดเด่นในเรื่องดีไซน์หน้าจอไร้ขอบแบบ Super AMOLED Infinity Display ในอัตราส่วน 18.5:9 พร้อมตัวเครื่องแบบ Full-Metal Unibody, รองรับระบบเสียง Dolby Atmos, มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ, ระบบสแกนใบหน้า, ไฟแฟลชแบบ 3-Step Lighting ที่กล้องดิจิทัลด้านหน้า ซึ่งสามารถปรับความสว่างได้ 3 ระดับ สำหรับถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย และผู้ช่วยอัจฉริยะนามว่า Bixby เรียกได้ว่า สมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่น่าสนใจไม่แพ้เรือธงรุ่นใหญ่จากค่ายเดียวกันเลยทีเดียว
แต่สำหรับ Samsung Galaxy A6+ รุ่นใหญ่จะพิเศษกว่ารุ่น Galaxy A6 ในหลายๆ ด้าน เริ่มตั้งแต่ ขนาดหน้าจอ กับความละเอียดหน้าจอ, ชิปเซ็ต, ขนาดหน่วยความจำแรม และแบตเตอรี่ ที่จะมีประสิทธิภาพเหนือกว่า ไม่เพียงเท่านั้น ทางด้านกล้องถ่ายภาพด้านหลังก็เป็นแบบคู่ (Dual Camera) พร้อมรองรับฟังก์ชัน Live Focus สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ อีกทั้งยังรองรับฟังก์ชัน Art Bokeh ซึ่งเป็นฟีเจอร์เดียวกันกับที่อยู่บนสมาร์ทโฟนเรือธงของค่ายอีกด้วย
และล่าสุด ซัมซุง (ประเทศไทย) ก็ได้ประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Samsung Galaxy A6 และ Samsung Galaxy A6+ ออกมาเรียบร้อยแล้ว โดยรุ่นเริ่มต้นอย่าง Samsung Galaxy A6 มีราคาอยู่ที่ 8,900 บาท ส่วนรุ่นใหญ่ที่มาพร้อมกับกล้องหลังคู่อย่าง Samsung Galaxy A6+ มีราคาอยู่ที่ 10,900 บาท ซึ่งราคาที่เปิดออกมานี้ถือว่าเป็นราคาที่เซอร์ไพรส์พอสมควรหากเทียบกับฟีเจอร์ และการที่เป็นผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ใหญ่อย่าง Samsung
ซึ่งจากข้อมูลที่กล่าวมาในข้างต้นจะเห็นได้ว่า Samsung Galaxy A6 และ Galaxy A6+ นั้นมีฟีเจอร์ หรือคุณสมบัติหลายอย่างที่สืบทอดมาจากสมาร์ทโฟนเรือธงของค่ายอย่าง Samsung Galaxy S9 เลยทีเดียว เรียกได้ว่า ทาง Samsung ตั้งใจที่จะส่งสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่นนี้มาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่มีงบประมาณไม่สูงนัก แต่ต้องการสมาร์ทโฟนระดับกลางที่มีความสามารถใกล้เคียงกับสมาร์ทโฟนระดับเรือธงในราคาที่ย่อมเยากว่านั่นเอง โดยล่าสุดสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น ก็มาอยู่ในกับทีมงานไทยโมบายเซ็นเตอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ทางทีมงานจึงได้นำสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่นนี้มาพรีวิวในเบื้องต้นให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน หากพร้อมแล้วเชิญไปชมพร้อมกันได้เลยครับ
สรุปคุณสมบัติตัวเครื่องในเบื้องต้นของ Samsung Galaxy A6
- ตัวเครื่องผลิตจากโลหะ (Full Metal)
- ตัวเครื่องมีขนาด 149.9x70.8x7.7 มิลลิเมตร
- หน้าจอแสดงผล Super AMOLED ขนาด 5.6 นิ้ว ไร้ขอบแบบ Infinity Display อัตราส่วน 18.5:9 ความละเอียดระดับ HD+ (720x1480 พิกเซล)
- กระจกหน้าจอ Gorilla Glass
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Exynos 7870
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 3 GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 32 GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 256 GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.7
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.9 พร้อมฟังก์ชัน 3-Step Lighting
- แบตเตอรี่ความจุ 3000 mAh
- ระบบปฏิบัติการ Android 8.0 Oreo
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- ระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition)
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n และ Bluetooth 4.2
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB 2.0
- ระบบเสียง Dolby Atmos สำหรับการใช้งานหูฟัง
- ผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby (Vision, Home,Reminder)
- ราคา 8,900 บาท (ประเทศไทย)
สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) และราคาของ Samsung Galaxy A6
สรุปคุณสมบัติตัวเครื่องในเบื้องต้นของ Samsung Galaxy A6+
- ตัวเครื่องผลิตจากโลหะ (Full Metal)
- ตัวเครื่องมีขนาด 160.2x75.7x7.9 มิลลิเมตร
- หน้าจอแสดงผล Super AMOLED ขนาด 6.0 นิ้ว ไร้ขอบแบบ Infinity Display อัตราส่วน 18.5:9 ความละเอียดระดับ Full HD+ (1080x2220 พิกเซล)
- กระจกหน้าจอ Gorilla Glass
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core Qualcomm Snapdragon 450
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4 GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 32 GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 400 GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 16+5 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.7+F/1.9, รองรับฟีเจอร์ Live Focus สำหรับถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ และฟังก์ชัน Art Bokeh
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 24 ล้านพิกเซล โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.9 พร้อมฟังก์ชัน 3-Step Lighting
- แบตเตอรี่ความจุ 3500 mAh
- ระบบปฏิบัติการ Android 8.0 Oreo
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- ระบบจดจำใบหน้า (Face Recognition)
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n และ Bluetooth 4.2
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB 2.0
- ระบบเสียง Dolby Atmos สำหรับการใช้งานหูฟัง
- ผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby (Vision, Home,Reminder)
- ราคา 10,900 บาท (ประเทศไทย)
สรุปคุณสมบัติโดยละเอียด (สเปก) และราคาของ Samsung Galaxy A6+
ดีไซน์ ตัวเครื่อง และการออกแบบ Samsung Galaxy A6 และ Galaxy A6+
เครื่องทางซ้าย คือ Samsung Galaxy A6+ ส่วนเครื่องทางขวา คือ Samsung Galaxy A6 ซึ่งจะเห็นได้ว่า Galaxy A6+ มีขนาดของตัวเครื่องที่ใหญ่กว่าอย่างชัดเจน
Samsung Galaxy A6+ มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลไร้ขอบแบบ Super AMOLED Infinity Display ความละเอียดระดับ Full HD+ (2960x1440 พิกเซล) ขนาด 6.0 นิ้ว ในอัตราส่วน 18.5:9 พร้อมครอบทับด้วยกระจกหน้าจอแบบ Corning Gorilla Glass โดยมีขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 160.2x75.7x7.9 มิลลิเมตร
Samsung Galaxy A6 มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED Infinity Display ความละเอียดระดับ HD+ (1480x720 พิกเซล) ขนาด 5.6 นิ้ว ในอัตราส่วน 18.5:9 พร้อมครอบทับด้วยกระจกหน้าจอแบบ Corning Gorilla Glass โดยมีขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 149.9x70.8x7.7 มิลลิเมตร
เครื่องทางซ้าย คือ Samsung Galaxy A6+ ส่วนเครื่องทางขวา คือ Samsung Galaxy A6
ด้านหน้าส่วนบนของ Samsung Galaxy A6+ มีกล้องดิจิทัลความละเอียด 24 ล้านพิกเซล ซึ่งมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.9, ไฟแฟลชในตัว (LED Flash) พร้อมฟังก์ชัน 3-Step Lighting สำหรับช่วยปรับแสงของไฟแฟลชได้ทั้งหมด 3 ระดับ, รองรับโหมดถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ (Selfie Focus), ลำโพงสำหรับฟังขณะทพการสนทนา, เซ็นเซอร์ Accelerometer ที่ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้ และเซ็นเซอร์ Proximity สำหรับการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน
ด้านหน้าส่วนบนของ Samsung Galaxy A6 มีกล้องดิจิทัลความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ซึ่งมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.9, ไฟแฟลชในตัว (LED Flash) พร้อมฟังก์ชัน 3-Step Lighting สำหรับช่วยปรับแสงของไฟแฟลชได้ทั้งหมด 3 ระดับ, รองรับโหมดถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ (Selfie Focus), ลำโพงสำหรับฟังขณะทพการสนทนา, เซ็นเซอร์ Accelerometer ที่ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้ และเซ็นเซอร์ Proximity สำหรับการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน
เครื่องทางซ้าย คือ Samsung Galaxy A6+ ส่วนเครื่องทางขวา คือ Samsung Galaxy A6 และจะเห็นได้ว่าสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่นนั้นมีดีไซน์แบบไร้ปุ่มโฮมเช่นเดียวกับ Galaxy A8-Series และด้านหน้าส่วนล่างของทั้ง 2 รุ่น มีปุ่มการสั่งงานแบบ On Screen ซึ่งประกอบไปด้วยปุ่ม Recent Apps, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ
สำหรับด้านบนของสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น จะไม่มีปุ่มกด หรือพอร์ตเชื่อมต่อใดๆ ให้ใช้งาน
ด้านล่างของสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น มีช่องเชื่อมต่อกับสาย microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ หรือโอนถ่ายข้อมูล, ไมโครโฟน และช่องเชื่อมต่อกับหูฟังแบบมาตรฐานขนาด 3.5 มิลลิเมตร
ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่มเปิด-ปิด เครื่อง หรือล็อกหน้าจอ และลำโพงเสียงภายนอก
ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียง, ถาดสำหรับใส่ซิมการ์ดที่ 1 และถาดสำหรับใส่ซิมการ์ดที่ 2 กับเพิ่มการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD (จะเห็นว่าไม่มีปุ่มสำหรับเรียกใช้งาน Bixby)
ด้านหลังของ Samsung Galaxy A6+ มาพร้อมกับกล้องดิจิทัลแบบคู่ (Dual Camera) ความละเอียด 16+5 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED อีกทั้งยังรองรับรองรับฟังก์ชัน Art Bokeh สำหรับแก้ไขรูปแบบของโบเก้ พร้อมเอฟเฟ็กต์การละลายฉากหลัง และมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
ส่วนด้านหลังของ Samsung Galaxy A6 มาพร้อมกับกล้องดิจิทัลความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ซึ่งมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด f/1.7, ไฟแฟลชในตัว (LED Flash) และมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
Samsung Galaxy A6+
โดยกล้องตัวที่หนึ่งมีความละเอียดระดับ 16 ล้านพิกเซล พร้อมขนาดของรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/1.7 ส่วนกล้องตัวที่สองมีความละเอียดระดับ 5 ล้านพิกเซล พร้อมขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/1.9
นอกจากนี้ ตัวเครื่องของสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น นั้นใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Full-Metal Unibody โดยใช้โลหะอะลูมิเนียมขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน จึงทำให้ตัวเครื่องมีความเรียบหรู และแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ
ในส่วนของแบตเตอรี่ Samsung Samsung Galaxy A6+ จะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 3500 mAh ส่วน Samsung Galaxy A6 จะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 3000 mAh แต่ก็น่าเสียดายเล็กน้อยที่สมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น ไม่รองรับการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูง
ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติของ Samsung Galaxy A6+ และ Galaxy A6
จากตารางข้างต้นจะเห็นได้ว่า Samsung Galaxy A6+ และ Galaxy A6 มีความแตกต่างกันอยู่หลายจุด โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือขนาดของตัวเครื่อง, ขนาดหน้าจอ กับความละเอียดหน้าจอ, ชิปเซ็ต, ขนาดหน่วยความจำแรม, แบตเตอรี่ และกล้องถ่ายภาพ โดย Samsung Galaxy A6+ มาพร้อมหน้าจอแสดงผลขนาด 6 นิ้ว กับความละเอียดระดับ Full HD+, ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 450 พร้อมหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาดใหญ่กว่าที่ 4 GB รวมไปถึงแบตเตอรี่ความจุมากกว่าที่ 3500 mAh อีกทั้งยังสามารถเพิ่มการ์ดหน่วยความจำภายนอกได้เยอะกว่า ส่วนทางด้านกล้องถ่ายภาพ Samsung Galaxy A6+ ก็มีภาษีที่ดีกว่า เนื่องด้วยกล้องถ่ายภาพด้านหลังเป็นแบบ Dual Camera ที่มีความละเอียด 16+5 ล้านพิกเซล พร้อมรองรับฟังก์ชันการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Live Focus) อีกทั้งยังมาพร้อมกับกล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 24 ล้านพิกเซล อีกด้วย
เปิดเครื่อง พร้อมทดสอบการใช้งานด้านซอฟต์แวร์ในเบื้องต้น
“โดยในส่วนของซอฟต์แวร์ทั้ง Samsung Galaxy A6+ กับ Galaxy A6 จะเหมือนกันแทบทั้งสิ้น แต่ซึ่งทางทีมงานจะใช้ Samsung Galaxy A6+ เป็นหลักในการแนะนำตรงส่วนนี้ครับ” โดย Samsung Galaxy A6+ นั้นขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 8.0.0 Oreo พร้อมรองรับการใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิมการ์ด และสามารถรองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ 4G LTE กับ 3G ได้ รวมถึงรองรับการสนทนาผ่านระบบ VoLTE
สามารถปรับโหมดหน้าจอให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละประเภทได้ ไม่ว่าจะเป็น Adaptive Display, AMOLED Cinema, AMOLED Photo และ Basic นอกจากนี้ ยังสามารถเปิดใช้งานฟังก์ชัน Always On Display ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกรูปแบบ สำหรับแสดงรายละเอียดต่างๆ ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังรองรับฟังก์ชัน Multi-Windows สำหรับใช้งานพร้อมกันสองแอปพลิเคชันบนสองหน้าต่าง และยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby ให้ใช้งานด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังสามารถเปิดใช้งานโหมดประหยัดพลังงานขั้นสูงได้
สำหรับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบน Samsung Galaxy A6+ สามารถตั้งค่าการใช้งานได้ ซึ่งการเปิดใช้งานระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ ผู้ใช้งานจะต้องทำการลงทะเบียนลายนิ้วมือให้เรียบร้อยเสียก่อน และจากการทดสอบตัวเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือก็ตอบสนองต่อการใช้งานได้รวดเร็วแม่นยำ นอกเหนือไปจากระบบสแกนลายนิ้วมือแล้ว สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ ยังรองรับระบบสแกนใบหน้าด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นการยกระดับความปลอดภัยในการเข้าใช้งานเครื่องขึ้นไปอีกขั้น
ทางด้านฟังก์ชัน Smart Manager นั้นสามารถจัดการส่วนต่างๆ ภายในเครื่องได้อย่างดีเยี่ยมเหมือนเช่นเคย ได้แก่ การเคลียร์แรม และการตรวจสอบหน่วยความจำภายในว่ายังสามารถใช้งานได้อีกเท่าไหร่
อีกหนึ่งในความพิเศษของ Samsung Galaxy A6+ คือ ความสามารถในการโคลนนิ่งแอปพลิเคชัน Line, Facebook และ Skype ได้ด้วยฟีเจอร์ Dual Messenger ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถล็อกอินเข้าใช้งานแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้พร้อมกัน 2 แอคเคานท์
สำหรับแอปพลิเคชัน Secure Folder ก็มีให้ใช้งานบน Samsung Galaxy A6+ ด้วยเช่นกัน จึงทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน Line หรือ Facebook ได้พร้อมๆ กันถึง 2 แอคเคานท์นั่นเอง และถ้ารวมกับแอปพลิเค Line ที่ถูกโคลนนิ่งออกมา ก็จะทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าใช้งาน Line หรือ Facebook ได้พร้อมๆ กันถึง 3 แอคเคานท์ เลยทีเดียว
สามารถเปิดเล่นไฟล์วิดีโอความละเอียดสูงระดับ Full HD (1080p) ได้อย่างไหลลื่น และสามารถแสดงรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างคมชัด สมจริง และที่พิเศษไปกว่านั้น คือ ด้วยความที่มีหน้าจอแบบ Infinity Display ในอัตราส่วน 18.5:9 จึงทำให้ผู้ใช้สามารถรับชมภาพยนตร์ที่ชื่นชอบได้อย่างเต็มตามากยิ่งขึ้น
Samsung Galaxy A6+ ยังมาพร้อมกับระบบเสียง Dolby Atmos อีกด้วย (ใช้ร่วมงานกับหูฟังเท่านั้น)
Samsung Galaxy A6+ มาพร้อมกับชิปเซ็ต Octa-Core Qualcomm Snapdragon 450 ที่มีความเร็วในการประมวลผล 2.2 GHz, หน่วยประมวลผลกราฟิกแบบ Adreno 506, หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 4 GB, หน่วยความภายในขนาด 32 GB และขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 8.0 Oreo
ถึงแม้ว่าจะมีคุณสมบัติการประมวลผลในระดับกลาง แต่ก็สามารถตอบโจทย์ด้านการเล่นเกมที่มีกราฟิกแบบสามมิติได้อย่างไหลลื่น อีกทั้งยังสามารถแสดงรายละเอียดบนตัวเกมได้ดี และยังไม่มีอาการสะสมความร้อนที่ตัวเครื่องขณะที่เล่นเกมอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
และเมื่อนำ Samsung Galaxy A6+ มาทดสอบผ่านแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark พบว่าได้คะแนนอยู่ที่ 68112 คะแนน ส่วนการทดสอบผ่านแอปพลิเคชัน Geekbench 4 พบว่าได้คะแนนอยู่ที่ 718 คะแนน สำหรับการประมวลผลแบบ Single-Core และ 3519 คะแนน สำหรับการประมวลผลแบบ Multi-Core
ทดสอบกล้องถ่ายภาพ และถ่ายวิดีโอ ในเบื้องต้นของ Samsung Galaxy A6+
สำหรับ Interface กล้องถ่ายภาพนั้นมีหน้าตาที่ใช้งานได้ง่าย พร้อมแสดงไอคอนฟังก์ชันเอาไว้ให้เลือกใช้งานได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น การเลือกสัดส่วนของภาพถ่าย, การใช้งานไฟแฟลช LED, โหมดถ่ายภาพ Live Focus และเอฟเฟกต์ Stickers และมีโหมดถ่ายภาพให้เลือกใช้งานหลากหลาย เช่น โหมดถ่ายภาพกลางคืน หรือโหมดถ่ายภาพอาหาร
สำหรับโหมดถ่ายภาพ Live Focus นั้นสามารถปรับระดับการเบลอฉากหลังได้ และที่พิเศษไปกว่านั้นคือ กล้องดิจิทัลด้านหลังของ Samsung Galaxy A6+ มีฟังก์ชัน Art Bokeh สำหรับแก้ไขรูปแบบของโบเก้ และเอฟเฟ็กต์การละลายฉากหลังให้ใช้งาน โดยผู้ใช้สามารถปรับค่าต่างๆ ได้หลังจากถ่ายภาพผ่านโหมดถ่ายภาพ Live Focus (ซึ่งฟังก์ชันนี้มีให้ใช้งานเฉพาะบน Galaxy S9 Plus เท่านั้น)
อีกทั้งยังมีเอฟเฟกต์สติ๊กเกอร์ให้ใช้งานหลายรูปแบบ ส่วนทางด้านเอฟเฟกต์สำหรับถ่ายภาพก็มีให้ใช้งานด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ Bixby Vision ระบบวิเคราะห์เนื้อหาด้วยภาพ เพื่อหาข้อมูลต่างๆ ที่เราอยากรู้ เช่นการใช้กล้องถ่ายภาพ แล้วค้นหาข้อมูลของสิ่งนั้นๆ โดยอาจเป็นสินค้า, สิ่งของ, สถานที่, บุคคล, อาหาร หรือ QR Code รวมทั้งสามารถช่วยแปลตัวหนังสือให้เราได้
สำหรับ Interface กล้องถ่ายภาพด้านหน้านั้นก็มีหน้าตาไม่ต่างกัน ซึ่งก็ใช้งานได้ง่าย พร้อมทั้งแสดงไอคอนฟังก์ชันต่างๆ ไว้ให้เลือกใช้งานได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น การสลับใช้งานกล้องด้านหน้า-ด้านหลัง, การปรับสัดส่วนหน้าจอ, การเปิดใช้งานฟังก์ชัน 3-Step Lighting และยังมีโหมดถ่ายภาพให้เลือกใช้งานหลากหลาย เช่น โหมดถ่ายภาพหน้าสวย หรือโหมดถ่ายภาพเซลฟี่แบบกลุ่ม
สำหรับความพิเศษของกล้องดิจิทัลด้านหน้าคือ ตัวไฟแฟลช LED มาพร้อมฟังก์ชัน 3-Step Lighting สำหรับช่วยปรับแสงของไฟแฟลชได้ทั้งหมด 3 ระดับ ซึ่งช่วยให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น ส่วนฟังก์ชัน Selfie Focus นั้นทำการเบลอฉากหลังให้แบบอัตโนมัติ ทางด้านโหมดถ่ายภาพหน้าสวยก็สามารถปรับค่าผิวเนียนได้มากถึง 8 ระดับ
อีกทั้งยังมีเอฟเฟกต์สติ๊กเกอร์ให้ใช้งานหลายรูปแบบ ส่วนทางด้านเอฟเฟกต์สำหรับถ่ายภาพก็มีให้ใช้งานด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่าการใช้งานส่วนอื่นๆ เพิ่มเติมได้ เริ่มตั้งแต่ การเลือกความละเอียดของกล้องถ่ายภาพด้านหลัง ที่สามารถเลือกความละเอียดได้สูงสุดที่ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล, สามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD (1080p), การเปิดใช้งานฟังก์ชัน HDR และการตั้งเวลาเพื่อถ่ายภาพ
การเลือกความละเอียดของกล้องถ่ายภาพด้านหน้า ที่สามารถเลือกความละเอียดได้สูงสุดที่ความละเอียด 24 ล้านพิกเซล, สามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD (1080p), การเปิดใช้งานฟังก์ชัน HDR, การตั้งเวลาเพื่อถ่ายภาพ และการเปิดใช้งานฟังก์ชันการสั่งงานถ่ายภาพด้วยท่าทาง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหลังแบบ Dual Camera ความละเอียด 16+5 ของ Samsung Galaxy A6+
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายผ่านโหมดถ่ายภาพหน้าสวยระดับ 4 พร้อมเปิดใช้งานฟังก์ชัน Live Focus ระดับกลาง
ตัวอย่างภาพถ่ายผ่านโหมดถ่ายภาพหน้าสวยระดับ 4 พร้อมเปิดใช้งานฟังก์ชัน Live Focus ระดับสูงสุด
ภาพซ้าย คือ ตัวอย่างภาพถ่ายผ่านโหมดถ่ายภาพหน้าสวยระดับ 4 พร้อมเปิดใช้งานฟังก์ชัน Live Focus ระดับสูงสุด ส่วนภาพซ้ายคือ ตัวอย่างภาพถ่ายผ่านโหมดถ่ายภาพหน้าสวยระดับ 4 พร้อมเปิดใช้งานฟังก์ชัน Live Focus และใช้งานฟังก์ชัน Art Bokeh เพื่อปรับโบเก้ให้เป็นรูปดาว
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 24 ล้านพิกเซล ของ Samsung Galaxy A6
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยโหมดถ่ายภาพปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายที่ถ่ายผ่านโหมดถ่ายภาพหน้าสวย พร้อมปรับค่าผิวเนียนระดับ 4
ตัวอย่างภาพถ่ายที่ถ่ายผ่านโหมดถ่ายภาพหน้าสวย พร้อมปรับค่าผิวเนียนระดับ 8
ตัวอย่างภาพถ่ายผ่านเอฟเฟกต์ Stickers
ตัวอย่างภาพถ่ายผ่านโหมดถ่ายภาพปกติ พร้อมเปิดใช้งานฟังก์ชัน 3-Step Lighting
เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับการพรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดจากทาง Samsung อย่าง Samsung Galaxy A6 และ Galaxy A6+ และนับว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่น่าสนใจเป็นอย่างมากในตระกูล A-Series ซึ่งจะเห็นได้จากการยกคุณสมบัติเด่นหลายๆ อย่างบนสมาร์ทโฟนเรือธงของค่ายอย่าง Samsung Galaxy S9 มาไว้ในสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น เช่น หน้าจอไร้ขอบแบบ Infinity Display ในอัตราส่วน 18.5:9, กล้องถ่ายภาพแบบ Dual Camera พร้อมรองรับฟังก์ชัน Live Focus กับฟังก์ชัน Art Bokeh อีกทั้งยังมีไฟแฟลช LED ที่สามารถปรับระดับความสว่าง สำหรับถ่ายภาพในที่แสงน้อยอีกด้วย
โดยจากการทดสอบในเบื้องต้นก็พบว่าสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น นั้นสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การเล่นเกม หรือการชมภาพยนตร์ เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางที่มีความสามารถ และคุณสมบัติเด่นที่หลากหลายที่สืบทอดมาจากรุ่นใหญ่ แต่วางจำหน่ายในราคาที่ย่อมเยากว่าที่ 8,900 บาท และ 10,900 บาท ตามลำดับ ซึ่งนับเป็นราคาที่คุ้มค่าหากเทียบกับความสามารถโดยรวม และเหมาะกับผู้ใช้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่สเปกดีบวกฟีเจอร์ครบเครื่องในราคาที่จับต้องได้ไม่ยาก
แต่อย่างไรก็ดี ที่ได้ชมกันไปก็เป็นเพียงการทดสอบใช้งานในเบื้องต้นเท่านั้น นอกจากนี้ สมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่นก็ยังมีจุดเด่นที่น่าสนใจอีกหลายส่วนด้วยกัน ซึ่งทางทีมงานไทยโมบายเซ็นเตอร์จะมานำเสนอให้เพื่อนๆ ได้รับชมอีกครั้งในรีวิวฉบับเต็ม โดย Samsung Galaxy A6 และ Galaxy A6+ จะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยเร็วๆ นี้ ซึ่งหากทีมงานมีข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องกำหนดการวางจำหน่ายเมื่อใด ก็จะนำมารายงานให้ทุกท่านได้ทราบกันอีกครั้งหนึ่ง
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 19/5/2561
