พรีวิว realme X50 5G มือถือ 5G รุ่นแรกกับสเปกจัดเต็มด้วยจอใหญ่ 120Hz, ชิปตัวใหม่ Snapdragom 765G, กล้องหลัง 4 ตัว และชาร์จไว 30W ในราคาเปิดตัวหมื่นต้นๆ
เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับสำหรับ realme X50 5G สมาร์ทโฟนรองรับ 5G รุ่นแรกของ realme ที่มาพร้อมกับสเปกแบบจัดเต็มรอบด้านในราคาวางจำหน่ายที่จีนเริ่มต้นราวหนึ่งหมื่นบาทเท่านั้น และเนื่องมนโอกาสที่ทีมงาน Thaimobilecenter ได้เข้าร่วมงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จีน พร้อมได้เครื่อง realme X50 5G มาสัมผัสเป็นกลุ่มแรกๆ จึงไม่พลาดที่จะเก็บภาพมาทำพรีวิวเรียกน้ำย่อยให้ทุกท่านได้รับชมกัน หากพร้อมแล้ว ตามมากันเลยครับ
realme X50 5G มาพร้อมกับดีไซน์หน้าจอ LCD ขอบบางขนาด 6.57 นิ้ว ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5 บนความละเอียดระดับ Full HD+ และเนื่องจากใช้หน้าจอแบบเจาะรู จึงทำให้มีพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องสูงถึง 90.4%
ที่สำคัญยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีการแสดงผล Refresh Rate ระดับ 120Hz เทียบเท่ากับสมาร์ทโฟนเกมมิ่งในปัจจุบัน ส่งผลให้การทัชสกรีนระหว่างใช้งานจะดูไหลลื่นมากยิ่งขึ้น โดยเราสามารถเลือกสลับโหมดใช้งานได้เองระหว่าง 120Hz และ 60Hz
รวมทั้งยังรองรับการใช้งานร่วมกับ Dark Mode ที่จะปรับโทนสีต่างๆ ให้อยู่ในธีมสีดำ เพื่อช่วยให้ดูสบายตามากยิ่งขึ้น
ที่ด้านบนของหน้าจอติดตั้งกล้องหน้าคู่ (Dual Selfie Camera) แบ่งออกเป็นกล้องตัวหลักความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 ใช้เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX471 ส่วนกล้องอีกตัวเป็นกล้องเลนส์มุมกว้าง 105 องศา ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 นอกจากนี้ บริเวณขอบหน้าจอด้านบนจะมีการซ่อนลำโพงสนทนาเอาไว้ ซึ่งลำโพงตัวนี้จะทำหน้าที่เป็นลำโพงตัวที่สองคอยทำงานควบคู่กับลำโพงเสียงตัวหลักด้านล่าง
ที่ด้านล่างของหน้าจอแบบ Default จะไม่มีปุ่มกดแบบสัมผัสเหมือนกับ realme รุ่นก่อนๆ แล้ว อันเนื่องมาจากสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ได้เปลี่ยนไปใช้ Custom UI ที่ realme พัฒนาขึ้นมาเองภายใต้ชื่อ realme UI เป็นครั้งแรก
สำหรับ realme UI เป็นระบบปฏิบัติการที่ realme ได้พัฒนาต่อยอดมาจาก ColorOS ที่เคยใช้ในสมาร์ทโฟน realme รุ่นก่อนๆ โดยเน้นไปในเรื่องของ Simplify หรือความง่ายด้านการใช้งาน รวมไปถึงความสะอาดตา ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้จากไอคอนแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ถูกเปลี่ยนให้ดูมินิมอล และโมเดิร์นมากขึ้น
ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องติดตั้งปุ่มปรับระดับเสียงเอาไว้
ที่ด้านบนของตัวเครื่องมีไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน
ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่ม Power ที่มีการฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเอาไว้ด้านใต้ ซึ่งสามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดายสำหรับผู้ที่ถนัดขวา
ที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วย ถาดใส่ซิมการ์ด, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C, ไมโครโฟนสำหรับสนทนา และลำโพงเสียงตัวหลัก
ที่ด้านหลังของตัวเครื่องยังคงเอกลักษณ์ด้านงานออกแบบด้วยบอดี้ผิวสัมผัสเงาที่สามารถสะท้อนเฉดสีตามมุมแสงที่ตกกระทบ โดย realme X50 5G รุ่นมาตรฐานจะมีให้เลือกทั้งหมด 2 เฉดสี ได้แก่ สีน้ำเงิน Polar Blue ตามที่ทีมงานได้รับมา และสี Glacier Silver
สี Glacier Silver
ส่วนสีพิเศษก็คือ realme X50 5G Master Edition ที่ทางบริษัทได้จับมือพัฒนาร่วมกับ Naoto Fukasawa ดีไซน์เนอร์สาย Industrial ที่เคยฝากผลงานมากับรุ่น realme X2 Pro Master Edition มาแล้ว โดยรอบนี้เจ้าตัวได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Point (จุด) และ Line (เส้นสาย) ก่อให้เกิดสองสีใหม่ได้แก่ สีดำที่มีการเล่นผิวสัมผัสด้วยภาพโลหะทรงกลมวางเรียงกัน และสีเทาที่มีการใช้เส้นสายของโลหะวางเรียงเป็นเส้นตรง
ที่ด้านบนของตัวเครื่องติดตั้งชุดกล้องหลัง 4 ตัว (Quad Camera) แบ่งออกเป็น กล้องตัวหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์รับภาพ Samsung GW1 รูรับแสงกว้าง f/1.8, กล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.5 รองรับการซูมภาพไกลสุด 20 เท่า, กล้อง Ultra Wide มุมกว้าง 119 องศา ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.3 และกล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 รองรับการถ่ายภาพในระยะใกล้สุด 4 เซนติเมตร
ในส่วนของซอฟท์แวร์การถ่ายภาพนั้น ทาง realme ได้ปรับปรุงฟังก์ชัน Nightscape เป็นเวอร์ชัน 3 เพื่อช่วยเก็บแสง, สีสัน และดีเทลให้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังรองรับการถ่ายภาพเป็นไฟล์ RAW ผ่านโหมด Pro เพื่อนำไปปรับแต่งในโปรแกรมอื่นๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ในส่วนของวิดีโอ ทาง realme ได้ใส่ฟีเจอร์กันสั่นแบบใหม่เข้ามาในชื่อ UIS Max มาให้ใช้งานกัน
มาดูในส่วนของประสิทธิภาพกันบ้าง realme X50 5G เลือกใช้ขุมพลังตัวใหม่อย่าง Qualcomm Snapdragon 765G ซึ่งเป็นชิปที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมระดับ 7 นาโนเมตร เทียบเท่ากับชิปเรือธง ซึ่งจะทำงานควบคู่กับหน่วยความจำ RAM สูงสุดขนาด 12GB และหน่วยความจำภายในความจุสูงสุด 256GB พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 4200mAh ที่รองรับระบบชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge 4.0 ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-100% ได้ในเวลาเพียง 60 นาที นอกจากนี้ ทาง realme ยังให้ความสำคัญในเรื่องของอุณหภูมิภายในตัวเครื่องด้วยการติดตั้งระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber มาให้ด้วย แต่อย่างไรก็ดี น่าเสียดายที่เครื่องที่ทีมงานได้รับมาเป็นเครื่องทดสอบ และยังคงเป็นรอมเวอร์ชันจีน จึงทำให้ไม่สามารถดาวน์โหลดแอปฯ เพื่อทดสอบความแรงของชิป Snapdragon 765G ให้ทุกท่านได้รับชมได้
ในส่วนของ 5G นั้น realme ระบุว่า realme X50 5G จะรองรับทั้งเทคโนโลยี SA (Standalone : ใช้ 5G จากเสาสัญญาณใหม่) และ NSA (Non-standalone : ใช้ 5G บนเครือข่าย 4G เดิม) ต่างจากมือถือบางรุ่นที่รองรับแค่อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
ตัวอย่างภาพถ่าย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าเลนส์มุมกว้าง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Macro
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องตัวหลัก
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Night Mode 3
เปรียบเทียบระยะภาพถ่ายจากกล้องเลนส์มุมกว้างไปจนถึงระบบซูม 20 เท่า
realme X50 พร้อมวางจำหน่ายในประเทศจีนตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2563 เป็นต้นไป โดยแบ่งออกเป็น 3 รุ่น ดังนี้
- รุ่น 8GB + 128GB ราคา 2,499 หยวน (ประมาณ 10,800 บาท)
- รุ่น 6GB + 256GB ราคา 2,699 หยวน (ประมาณ 11,700 บาท)
- รุ่น 12GB + 256GB ราคา 2,999 หยวน (ประมาณ 13,000 บาท)
สำหรับ realme X50 Master Edition นั้นวางจำหน่ายพิเศษเฉพาะรุ่นความจุ 12GB+ 256GB ในราคา 3,099 หยวน (ประมาณ 13,500 บาท)
ในขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่า realme X50 5G จะนำเข้ามาขายในประเทศไทยนอกเหนือจากจีนหรือไม่ แต่ทาง realme ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวกับสื่อต่างประเทศเอาไว้ว่า หากประเทศนั้นๆ มีความพร้อมเรื่องเครือข่าย 5G ก็อาจตัดสินใจนำเข้าไปวางจำหน่าย ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าสำหรับแผนการตลาดในประเทศไทยจะเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งหากทีมงานมีข้อมูลเพิ่มเติมจะรีบนำมาอัปเดตให้ทุกท่านได้ทราบอีกที
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 7/1/2563