พรีวิว (Preview) OPPO R17 Pro ที่สุดของมือถือ R-Series ด้วยกล้องหลัง 3 ตัว พร้อมชิปตัวแรง Snapdragon 710 ผสานระบบชาร์จเร็ว SuperVOOC และสแกนนิ้วใต้จอ บนบอดี้กระจกไล่เฉดสะดุดตา!
OPPO R-Series เป็นอีกหนึ่งไลน์ผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนของ OPPO ที่มีความน่าสนใจไม่แพ้ตระกูล F Series หรือ Find Series เนื่องจากสมาร์ทโฟนตระกูลดังกล่าวมักจะมาพร้อมกับจุดเด่นด้านดีไซน์ที่มีความสวยงามเรียบหรู สเปกที่ครบเครื่องพร้อมตอบโจทย์การใช้งานรอบด้าน รวมทั้งยังเป็นสมาร์ทโฟนตระกูลแรกๆ ที่มักได้ใช้งานนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ OPPO ได้พัฒนาขึ้น
สำหรับสมาร์ทโฟน R-Series มีการนำเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น OPPO R9s หรือ OPPO R15 Pro ล่าสุดก็มีข่าวดีออกมาว่า OPPO R17 Pro มือถือตัวท็อปรุ่นใหม่ล่าสุดแห่งตระกูล R Series ที่มาพร้อมกับสเปกเร็วแรง และกล้องหลังสำหรับถ่ายภาพถึง 3 ตัวภายใต้คอนเซ็ปท์ “Seize The Night” กำลังจะบุกตลาดบ้านเราในเร็วๆ นี้ด้วย ในวันนี้ทางทีมงาน Thaimobilecenter จึงไม่พลาดที่จะเก็บภาพตัวเครื่องจริงของ OPPO R17 Pro มาทำพรีวิวให้ทุกท่านได้รับชมกันแบบคร่าวๆ โดยตัวเครื่องจริงมีความสวยงามขนาดไหน และมีฟีเจอร์อะไรที่น่าสนใจบ้าง เราไปดูกันเลยครับ
เริ่มต้นที่แพ็กเกจกันก่อน สำหรับ OPPO R17 Pro มาพร้อมกับกล่องบรรจุภัณฑ์สีน้ำเงินแบบเรียบหรู พร้อมประทับชื่อรุ่น R17 Pro เอาไว้ตรงกลางกล่องให้เห็นแบบเด่นชัด โดยจะสังเกตเห็นได้ว่า ชื่อรุ่น R17 Pro ด้านหน้า รวมถึงด้านข้างกล่อง มีการไล่เฉดสีจากสีน้ำเงินอมม่วงไปหาสีฟ้าคล้ายกับสีสันแบบใหม่ของ R17 Pro
เมื่อเปิดกล่องออกมาจะพบกับพระเอกของเราในวันนี้อย่าง OPPO R17 Pro ถูกจัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ซึ่งหากสังเกตพลาสติกที่หุ้มตัวเครื่องไว้ จะพบกับไอคอนสแกนลายนิ้วมือบริเวณด้านล่างของหน้าจอ ซึ่งเป็นการสื่อถึงนวัตกรรมการฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเอาไว้ที่ด้านใต้หน้าจอของ OPPO R17 Pro นั่นเองครับ
อุปกรณ์ภายในกล่องก็ถือว่าครบครัน ประกอบไปด้วย เคสใส, สายเชื่อมต่อแบบ USB Type-C สำหรับโอนถ่ายข้อมูล และชาร์จแบตเตอรี่, หูฟังแบบ Earbuds และอแดปเตอร์สำหรับจ่ายไฟ
สำหรับอแดปเตอร์จ่ายไฟของ OPPO R17 Pro จะมีความพิเศษเล็กน้อย เนื่องจากมาพร้อมกับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบใหม่ของ OPPO ในชื่อ SuperVooc Flash Charge ที่จ่ายกระแสไฟได้สูงสุดที่ 50W ส่งผลให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-40% ได้ภายในเวลา 10 นาทีเท่านั้น ซึ่ง SuperVOOC Flash Charge บน OPPO R17 Pro เป็นเทคโนโลยีเดียวกันกับที่ใช้บนมือถือเรือธงสุดพรีเมียมอย่าง OPPO Find X Automobili Lamborghini Edition และนอกเหนือจากความเร็วแรงในการชาร์จแล้ว ยังมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยแบบ 5 ชั้น เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่า ตัวเครื่องจะมีความปลอดภัยระหว่างชารืจแบตเตอรี่ครับ (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบ SuperVooc และความปลอดภัยได้ที่นี่)
เคสใสที่แถมมาให้ภายในกล่อง สามารถปกป้องตัวเครื่องได้รอบด้าน ส่วนที่ด้านหลังเคสจะมีความนูนเล็กน้อยเพื่อช่วยปกป้องเลนส์กล้องทั้งสามตัวครับ
ข้ามมาดูกันที่ตัวเครื่องแบบชัดๆ กันบ้าง โดย OPPO R17 Pro มาพร้อมกับหน้าจอแบบ AMOLED ขนาดใหญ่เต็มตาที่ 6.4 นิ้ว พร้อมดีไซน์ทรงหยดน้ำอันเป็นเอกลักษณ์แบบ Waterdrop Screen ที่เป็นการลดพื้นที่ขอบให้น้อยลง พร้อมกับเว้นพื้นที่จอด้านบนเป็นทรงกลมคล้ายกับหยดน้ำ ทำให้มีพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องสูงถึง 91.5% นอกจากนี้ หน้าจอของ OPPO R17 Pro ยังมีการครอบทับด้วย Corning Gorilla Glass 6 กระจกสำหรับปกป้องหน้าจอสมาร์ทโฟนเวอร์ชันใหม่เป็นรุ่นแรกของโลก มีจุดเด่นความแข็งแแกร่งกว่ากระจก Gorilla Glass 5 ที่ใช้งานบนสมาร์ทโฟนปัจจุบันถึง 2 เท่าเลยทีเดียว
ด้านบนของหน้าจอมาพร้อมกับจอรอยบากที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหยดน้ำที่กำลังจะไหลลงสู่พื้นดิน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหว และความหยุดยิ่งของหยดน้ำ โดยตรงกลางของจอหยดน้ำติดตั้งกล้องหน้าความละเอียด 25 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้างที่ f/2.0 ที่มีเทคโนโลยี AI Beauty สำหรับปรับแต่งภาพถ่ายผู้ใช้ให้มีความสวยงามโดยเฉพาะ นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งเซ็นเซอร์สำคัญต่างๆ ซ่อนเอาไว้เป็นชิ้นเดียวกันกับหน้าจอ ซึ่งหากสังเกตที่ด้านบนจะพบว่าทาง OPPO ได้ติดตั้งลำโพงสนทนาเอาไว้บริเวณขอบจอด้านบนเอาไว้ด้วยครับ
ถัดลงมาที่ด้านล่างของหน้าจอจะไม่มีปุ่มควบคุมแบบ Physical ให้ใช้งานแต่อย่างใด ซึ่ง OPPO ก็ทดแทนด้วยปุ่มสัมผัสบนหน้าจอที่ประกอบไปด้วย ปุ่ม Recent Apps สำหรับเรียกดูแอปพลิเคชันทั้งหมดที่กำลังเปิดใช้งาน, ปุ่ม Home สำหรับกลับไปหน้าโฮมสกรีน และปุ่ม Back สำหรับย้อนกลับไปหน้าก่อนหน้านี้ ซึ่งหากใครที่ต้องการใช้พื้นที่หน้าจอแบบเต็มๆ ก็สามารถเข้าไปเปิดโหมด Gestures ซึ่งจะเป็นการซ่อนปุ่มควบคุมบนหน้าจอลง และเปลี่ยนวิธีควบคุมเป็นแบบการใช้นิ้วปัดขึ้นบริเวณด้านล่างของหน้าจอแทนครับ
อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ด้านต้นว่า OPPO R17 Pro มาพร้อมกับนวัตกรรมสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอด้วย และยังเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่มีความ Sensitive ที่สูง ทำให้เราสามารถวางนิ้วเพื่อปลดล็อกได้อย่างง่ายดาย และยังช่วยให้ตัวเครื่องมีดีไซน์สวยงามแบบไร้รอยต่ออีกด้วยครับ
นอกเหนือจากระบบสแกนลายนิ้วมือแล้ว OPPO R17 Pro ยังมาพร้อมกับระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าให้เลือกใช้งานด้วย
ที่ด้านบนของตัวเครื่องมาพร้อมกับไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน ซึ่งจะเห็นว่าบริเวณขอบของ OPPO R17 Pro ก็มีการไล่เฉดสีทั้งเครื่องเป็นโทนเดียวกับฝาหลังคล้ายกับรุ่น OPPO F9
ที่ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ลำโพงเสียงภายนอก, ไมโครโฟนสหำรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C และถาดใส่ซิมการ์ด ส่วนเส้นสีดำที่พาดขวางบริเวณด้านซ้าย และด้านขวา คือ เส้นเสารับสัญญาณ (Antenna)
สำหรับถาดใส่ซิมการ์ดของ OPPO R17 Pro เป็นแบบ Dual-Slot รองรับการใช้งานกับซิมการ์ดแบบ nanoSIM ทั้งสองช่อง แต่จะไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card ได้ แต่หากพิจารณาจากความจุของตัวเครื่องที่ให้มาที่ 128GB แล้ว ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปครับ
ด้านซ้ายของตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่มปรับระดับเสียง
ส่วนปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิด เครื่อง หรือล็อกหน้าจอ จะถูกติดตั้งเอาไว้ที่บริเวณด้านขวาของตัวเครื่อง
ข้ามมาที่ไฮไลท์เด่นของรุ่นนี้อย่างงานออกแบบด้านหลังตัวเครื่องกันบ้าง โดย OPPO R17 Pro มาพร้อมกับบอดี้กระจกขอบโค้งแบบ 3D Glass สามารถสะท้อนเล่นกับแสงได้ตามมุมแสงที่ตกกระทบ พร้อมตัวเครื่องที่มีการไล่เฉดจากสีจากด้านข้างตัวเครื่องทั้งสองด้าน มาประจบกันตรงกลางเกิดเป็นเส้นโค้งรูปตัว S ซึ่งสีที่ทีมงานได้รับมาพรีวิววันนี้คือสี Radiant Mist ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากควันหมอกที่ฟุ้งไปด้วยโทนสีม่วง และสีน้ำเงินเข้ม ส่งผลให้ตัวเครื่องดูมีความสวยงามไม่ใช่น้อยเลยครับ
นอกจากสี Radiant Mist แล้ว OPPO R17 Pro รุ่นที่เข้ามาวางขายในไทยยังมีอีกหนึ่งตัวเลือกสีอย่างสี Emerald Green หรือสีเขียวเข้ม ซึ่งแม้ว่าตัวเครื่องอาจไม่ได้มีการไล่เฉดจากสีหนึ่งไปหาอีกสีหนึ่งเหมือนกับสี Radiant Mist ซึ่งเมื่อลองพลิกเครื่องไปมาแล้ว เราจะพบกับลวดลายการไล่เฉดสีโค้งเป็นรูปตัว S เหมือนกันครับ
ตัวอย่างการไล่เฉดสี และการเล่นแสงของ OPPO R17 Pro สี Radiant Mist และสี Emerald Green
ที่ด้านบนมาพร้อมกับระบบกล้องหลังแบบ 3 ตัว (Triple Camera) ประกอบไปด้วย กล้อง TOF 3D Camera สำหรับตรวจจับความลึกตื้น และการสแกนวัตถุต่างๆ, กล้องตัวหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Smart Aperture ที่ช่วยสลับค่ารูรับแสงของกล้องถ่ายภาพระหว่าง f/1.5 และ f/2.4 แบบอัตโนมัติ เพื่อตอบโจทย์การถ่ายภาพทั้งกลางวัน และกลางคืน ส่วนกล้องตัวที่สามจะเป็นกล้องความละเอียด 20 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.6 สำหรับช่วยซูมภาพ 2 เท่า รวมไปถึงการทำหน้าชัดหลังเบลอ ถัดลงมาที่ด้านล่างของกล้องคือไฟแฟลช LED จำนวน 2 ดวง สำหรับช่วยถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย นอกจากนี้ กล้องของ OPPO R17 Pro ยังมาพร้อมกับระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS (Optical Image Stabilization) ในตัว เพื่อช่วยให้ภาพที่ได้มีความคมชัดในทุกๆ ชัตเตอร์
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก OPPO
นอกเหนือจากระบบกล้อง 3 ตัวแล้ว OPPO R17 Pro ยังมาพร้อมกับนวัตกรรมการถ่ายภาพแบบใหม่ในชื่อ Ultra Night Mode ที่ช่วยถ่ายภาพกลางคืนให้มีความคมชัดด้วยการถ่ายภาพหลายๆ ใบเป็นเวลาหลายวินาที จากนั้นจะนำมาซ้อนกันเพื่อให้ภาพที่ได้มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น โดยฟังก์ชัน Ultra Night Mode จะเป็นการทำงานร่วมกันของกล้องตัวหลักที่สามารถสลับค่ารูรับแสงได้อัตโนมัติ รวมไปถึงเทคโนโลยี AI Ultra-Clear Engine ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่จะคอยทำงานอัตโนมัติเมื่อตรวจจับได้ว่าภาพที่กำลังถ่ายอยู่เป็นภาพแสงน้อย ผลลัพธ์จะช่วยให้ภาพที่ออกมามีความสวยงามคมชัด และมองเห็นรายละเอียดต่างๆ ได้มากกว่าที่เคยตามคอนเซ็ปท์ของมือถือรุ่นนี้ “Seize The Night”
เปรียบเทียบดีไซน์ของ OPPO R17 Pro กับรุ่นก่อนหน้าอย่าง OPPO R15 Pro กันสักเล็กน้อย โดยทั้งสองรุ่นยังคงมีขนาดตัวเครื่อง และน้ำหนักที่ใกล้เคียงกัน แต่หากสังเกตจะเห็นว่า OPPO R17 Pro ดูจะมีพื้นที่ในการแสดงผลที่มากกว่าเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลมาจากดีไซน์จอทรงหยดน้ำที่มีขนาดของรอยบากเล็กกว่า รวมถึงการลดขอบด้านล่างให้บางลงยิ่งกว่าเดิมครับ
พลิกมาดูที่ด้านหลังตัวเครื่องกันบ้าง ทั้งสองรุ่นยังคงมาพร้อมกับบอดี้กระจกที่มีความเงางามทั้งคู่ แต่จะมีความแตกต่างในเรื่องของเฉดสีที่ OPPO R17 Pro มาพร้อมกับตัวเครื่องไล่เฉด รวมถึงเซ็ตอัพกล้องที่ OPPO R17 Pro ได้ปรับไปใช้ระบบกล้องหลัง 3 ตัวจัดเรียงกันในแนวนอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีการย้ายเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไปฝังเอาไว้ใต้หน้าจอแสดงผล
สำหรับปุ่มต่างๆ ยังคงจัดวางไว้ในลักษณะเดียวกัน ประกอบไปด้วย ปุ่มปรับระดับเสียงที่อยู่ด้านซ้ายของตัวเครื่อง และปุ่ม Power ที่อยู่ด้านขวาของตัวเครื่อง
ด้านบนของตัวเครื่องมาพร้อมกับไมโครโฟนตัดเสียงเหมือนกันทั้งคู่ แต่ OPPO R17 Pro จะมีการไล่เฉดสีบริเวณขอบ พร้อมเส้นเสารับสัญญาณที่พาดยาวมาถึงด้านบน
ส่วนที่ด้านล่างของตัวเครื่องก็มีความแตกต่างเช่นเดียวกัน โดย OPPO R17 Pro ได้ปรับเปลี่ยนไปใช้พอร์ตการเชื่อมต่อแบบใหม่อย่าง USB Type-C ที่สามารถเสียบสายได้ทั้งสองด้าน พร้อมกับตัดช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ออกไป แต่ก็ทดแทนด้วยการแถมหูฟังที่มีพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C มาให้ภายในกล่อง
ข้ามมาดูซอฟท์แวร์ภายในตัวเครื่องกันบ้าง สำหรับ OPPO R17 Pro ขับเคลื่อนการทำงานด้วยขุมพลังระดับกลางตัวท็อปจากค่าย Qualcomm อย่าง Snapdragon 710 จับคู่กับหน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB พร้อมหน่วยความจำภายในแบบ UFS 2.1 ความจุ 128GB ที่สามารถอ่านเขียนได้อย่างรวดเร็ว โดยจะทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo ครอบทับด้วย ColorOS 5.2 ที่มีลูกเล่นให้เลือกใช้งานมากมาย
ทางด้านปุ่มสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ สามารถปรับเปลี่ยนอนิเมชันระหว่างการสแกนนิ้วได้ทั้งหมด 5 รูปแบบ
ด้านโหมดถ่ายภาพของกล้องหน้า มีเทคโนโลยี AI Beauty ที่เป็นการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยปรับแต่งใบหน้าให้มีความสวยงามแบบอัตโนมัติ และที่สำคัญ ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันใหม่ที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งส่วนต่างๆ ของใบหน้าได้เอง ไม่ว่าจะเป็น สกินโทน, กราม, คาง, ดวงตา หรือจมูก
ส่วนทางด้านกล้องหลังก็มีเทคโนโลยี AI Beauty ให้ใช้งานเช่นเดียวกัน พร้อมลูกเล่นใหม่อย่าง PI Color ที่จะเข้ามาช่วยเร่งสีสันของภาพถ่ายให้มีความสดใสมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี AI Scene Recognition สำหรับตรวจจับฉาก และวัตถุที่อยู่ในเฟรม เพื่อตั้งค่าการถ่ายภาพให้อัตโนมัติ
สำหรับโหมดถ่ายภาพยังคงครบครันเช่นเดียว ไม่ว่าจะเป็น โหมด Expert ที่สามารถตั้งค่ากล้องได้เอง รวมถึงโหมด Portrait สำหรับถ่ายภาพบุคคลแบบหน้าชัดหลังเบลอ และยังสามารถเลือกรูปแบบการจัดแสงได้ทั้งหมด 6 รูปแบบ ประกอบไปด้วย Natural Light, Film Light, Mono-Tone Light, Bi-Color Light, Canvas Light และ Shake Light
เปรียบเทียบภาพถ่ายจากกล้องหน้าพร้อมเปิดฟังก์ชัน AI Beauty ของ OPPO R17 Pro และ OPPO R15 Pro
เปรียบเทียบภาพถ่ายจากกล้องหลังในโหมด Portrait ของ OPPO R17 Pro และ OPPO R15 Pro
สรุปคุณสมบัติเบื้องต้นของ OPPO R17 Pro
- หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ดีไซน์ทรงหยดน้ำ Waterdrop Screen ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียด 2340x1080 พิกเซล (Full HD+) อัตราส่วนในการแสดงผลแบบ 19.5:9 ความหนาแน่นพิกเซล 402ppi พร้อมครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 6
- ชิปเซ็ตประมวลผล (CPU) แบบ Qualcomm Snapdragon 710 Octa-Core Processor
- หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ Adreno 616
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 8GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ความจุ 128GB
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 25 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 พร้อมเทคโนโลยี AI Beauty
- กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) โดยแบ่งออกเป็น กล้องตัวหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี Smart Aperture สำหรับสลับค่ารูรับแสงอัตโนมัติระหว่าง f/1.5 และ f/2.4, กล้องตัวที่สองความละเอียด 20 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.6 สำหรับทำภาพหน้าชัดหลังเบลอ และกล้องตัวที่สามแบบ TOF 3D Camera พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS, เทคโนโลยี AI Scene Recognition และฟังก์ชัน Ultra Night Mode
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ
- ระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า
- รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด (4G Dual SIM : Dual Standby)
- รองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G LTE, Wi-Fi 2.4/5.1/5.8 GHz และ Bluetooth 5.0
- รองรับการใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน OTG
- รองรับการใช้งานร่วมกับ NFC
- พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
- แบตเตอรี่สองก้อน (Bi-Cell Battery) ความจุ 1850+1850mAh (3700mAh) พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ SuperVooc Flash Charge
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo ครอบทับด้วย ColorOS 5.2
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับพรีวิวแบบคร่าวๆ ของ OPPO R17 Pro ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนของ OPPO ที่มีความสวยงามน่าสนใจมากเลยทีเดียว โดย OPPO R17 Pro เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยเอาไว้ที่ 24,990 บาท มีให้เลือกทั้งหมด 2 เฉดสี ได้แก่ สี Radiant Mist และสี Emerald Green โดยจะเริ่มเปิดให้พรีออเดอร์ระหว่างวันที่ 17 - 30 พ.ย. ปี 2018 ซึ่งผู้ที่สั่งจอง OPPO R17 Pro ในช่วงเวลาดังกล่าวจะได้รับของสมนาคุณมูลค่ากว่า 9,200 บาท ประกอบไปด้วย OPPO VIP Card สำหรับประกันหน้าจอแตก และ ขาตั้งกล้อง OPPO Tripod นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชันพิเศษร่วมกับผู้ให้บริการด้านเครือข่าย ในประเทศไทย โดยสามารถซื้อ OPPO R17 Pro ได้ในราคาสุดพิเศษเพียง 9,990 บาทเท่านั้น (เมื่อสมัครแพ็กเกจที่กำหนด) สำหรับบทความรีวิว และบทความทดสอบต่างๆ เกี่ยวกับ OPPO R17 Pro สามารถรอติดตามเพิ่มเติมได้ผ่านเว็บไซต์ Thaimobilecenter นะครับ
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 13/11/2561
