สรุปฟีเจอร์เด่นของ Nokia 7 Plus, Nokia 6 (2018) Nokia 1 มือถือใหม่ล่าสุดจาก Nokia ที่มาพร้อมกับสเปกแบบครบเครื่อง และราคาที่เข้าถึงได้ ก่อนวางขายในไทย เม.ย. นี้!
ในที่สุดทาง Nokia ก็ได้นำมือถือรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆ นี้อย่าง Nokia 7 Plus, Nokia 6 (2016) และ Nokia 1 เข้ามาเตรียมวางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งแต่ละรุ่นมาพร้อมกับจุดเด่นในเรื่องของราคาที่เข้าถึงได้ รวมไปถึงคุณสมบัติภายในแบบครบเครื่อง แต่สำหรับใครที่ยังไม่ทราบว่าแต่ละรุ่นมีคุณสมบัติน่าใช้งานอย่างไร และควรเลือกรุ่นไหนดี ในวันนี้ทางทีมงานจึงได้ทำการสรุปฟีเจอร์เด่นของทั้งสามรุ่นเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้แก่ทุกท่านครับ
Nokia 7 Plus ราคา 13,900 บาท
เริ่มต้นที่รุ่นท็อปกันก่อน โดย Nokia 7 Plus มาพร้อมกับความโดดเด่นด้านงานออกแบบ ด้วยหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่เต็มตาถึง 6 นิ้ว ความละเอียดคมชัดระดับ Full HD+ บนอัตราส่วนแบบ 18:9 ตามเทรนด์สมาร์ทโฟนช่วงนี้ พร้อมดีไซน์ตัวเครื่องปราศจากเสาสัญญาณท พร้อมกระบวนการผลิตแบบ Metal Unibody ที่ตัวบอดี้จะถูกขึ้นรูปมาจากอะลูมิเนียมซีรีส์ 6000 แบบไร้รอยต่อ ประกอบกับการเคลือบผิวสัมผัสแบบเซรามิค ให้ความรู้สึกเรียบหรูในตัว
สำหรับสเปกภายในถือว่าตอบโจทย์รอบด้าน ทั้งการใช้งานทั่วไป และการเล่นเกม ด้วยการติดตั้งขุมพลังตัวท็อปในซีรีส์ระดับกลางอย่าง Snapdragon 660 แบบ 8 แกนประมวลผลมาให้ ซึ่งมีึความแรงด้านการประมวลผลเป็นรองตัวท็อปอย่าง Snapdragon 821 เลยทีเดียว พร้อมทั้งยังจัดวางหน่วยความจำแรม (RAM) มาให้อย่างเหมาะสมที่ขนาด 4GB พร้อมหน่วยความจำภายในให้เก็บข้อมูลอีก 64GB ซึ่งเรายังสามารถขยายหน่วยความจำเพิ่มได้อีกถึง 256GB ผ่านทาง microSD Card พร้อมแบตเตอรี่จุใจถึง 3800mAh รองรับการใช้งานนานถึง 2 วัน แถมยังมีระบบบันทึกเสียงรอบทิศทางแบบ Nokia OZO Audio ซึ่งจะเป็นการทำงานร่วมกับไมโครโฟนทั้งหมด 3 ตัวที่ติดตั้งอยู่บนตัวเครื่องนั่นเอง
นอกเหนือจากเรื่องสเปกแบบครบเครื่องแล้ว Nokia 7 Plus ยังมีจุดเด่นด้านการถ่ายภาพ ด้วยระบบกล้องหลังคู่ (Dual-Camera) ที่เลือกใช้เลนส์จาก ZEISS ที่เคยสร้างชื่อให้กับมือถือ Nokia ยุคก่อนๆ มาแล้ว โดยมีความละเอียดทั้งหมด 13 + 12 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมกับโหมดโปร ทำให้เราสามารถปรับการตั้งค่าต่างๆ ได้เอง ส่วนด้านกล้องหน้าเซลฟี่ก็เป็นเลนส์ ZEISS เช่นเดียวกัน โดยมาพร้อมกับความละเอียดสูงถึง 16 ล้านพิกเซลเลยทีเดียว
แต่จุดที่น่าสนใจที่สุดของ Nokia 7 Plus คือการที่เป็นสมาร์ทโฟนในโครงการ Android One ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างแบรนด์ผู้ผลิตกับ Google เพื่อผลิตสมาร์ทโฟนสายพันธุ์ Pure Android ที่จะไม่มีการปรุงแต่งใดๆ ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล รวมทั้งยังได้รับการการันตีอัปเดตซอฟท์แวร์ Android เป็นเวลายาวนานถึง 2 ปี ทำให้ผู้ใช้จะได้ใช้งานฟีเจอร์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
Nokia 6 (2018) ราคา 9,990 บาท
ข้ามมาที่รุ่นน้องอย่าง Nokia 6 (2018) กันบ้าง ซึ่งมือถือรุ่นดังกล่าวได้รับการอัปเกรดต่อยอดมาจาก Nokia 6 ที่เคยมีการนำเข้ามาวางขายในบ้านเราเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา โดยยังยึดดีไซน์รียบหรูคล้ายคลึงกับ Nokia 6 รุ่นก่อน ด้วยหน้าจอขนาดพอดีมือที่ 5.5 นิ้ว บนความคมชัดระดับ Full HD เสริมแกร่งด้วยกระจก Gorilla Glass 3 พร้อมบอดี้อะลูมิเนียมซีรีส์ 6000 ที่ถูกขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน แต่ภายในมีการยกเครื่องให้แรงขึ้น ด้วยชิปตัวใหม่อย่าง Snapdragon 630 พร้อมหน่วยความจำ RAM ขนาด 3GB จับคู่หน่วยความจำภายในความจุ 32GB ที่สามารถเพิ่มความจุผ่านทาง microSD Card ได้อีก 128GB แถมยังเป็นมือถือในโครงการ Android One เหมือนกับรุ่น Nokia 7 Plus ทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้รับการอัปเดตอย่างต่อเนื่อง
ส่วนคุณสมบัติด้านอื่นก็ถือว่าจัดวางมาให้แบบครบครัน ทั้งกล้องหลังเลนส์ ZEISS ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชสองสีแบบ Dual-Tone LED, กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, ไมโครโฟนสองตัวสำหรับอัดเสียง พร้อมระบบเสียง Nokia OZO Audio, สแกนลายนิ้วมือด้านหลังที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึงการรองรับ NFC และพอร์ตเชื่อมต่อมาตรฐานใหม่อย่าง USB Type-C
Nokia 1 ราคา 2,740 บาท
ปิดท้ายด้วยรุ่นเล็กสุดอย่าง Nokia 1 ซึ่งแม้ว่าสเปกอาจดูน้อยกว่ารุ่นอื่นๆ ด้วยหน้าจอขนาดกะทัดรัดที่ 4.5 นิ้ว, หน่วความจำ RAM เพียง 1GB หรือหน่วยความจำภายในความจุ 8GB แต่จุดที่ทำให้รุ่นนี้มีความน่าสนใจคือการรันด้วยระบปฏิบัติการแบบใหม่ล่าสุดในชื่อ Android 8.1 Oreo (Go Edition) หรือ Android Go นั่นเอง โดย
สำหรับ Android Go นั้น เป็นระบบที่ทาง Google ได้ถอดแบบการทำงานมาจากระบบ Android Oreo เวอร์ชันปกติที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แต่มีการปรับแต่งความเสถียร และประสิทธิภาพการทำงานด้านต่างๆ ให้เหมาะสมกับมือถือที่มีสเปกไม่แรงมากนัก ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล ตัดปัญหาจาก Android เวอร์ชันปกติ ที่อาจเปิดปัญหาเครื่องอืดเมื่อถูกนำมาติดตั้งกับมือถือรุ่นเล็กๆ นอกจากนี้ Android Go ยังมีแอปพลิเคชันจาก Google ที่ถูกปรับแต่งมาให้มือถือรุ่นเล็กๆ โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น แอปแผนที่ Google Maps Go, แอปอีเมล Gmail Go, แอปจัดการไฟล์ File Go ที่สามารถจัดสรรทรัพยากรตัวเครื่องให้มีพื้นที่ในการใช้งานตลอด รวมไปถึง Play Store ทำให้ไม่กินพื้นที่ภายในตัวเครื่องมากนักนั่นเอง (สามารถอ่านข้อมูลเกี่ยวกับ Android Go ได้ที่นี่)
ส่วนคุณสมบัติด้านอื่นๆ ก็พร้อมตอบโจทย์การใช้งานพื้นฐาน ทั้ง กล้องหลัง 5 ล้านพิกเซล, กล้องหน้า 2 ล้านพิกเซล, รองรับ 2 ซิมการ์ด หรือการเล่นอินเทอร์เน็ตบนเครือข่าย 4G LTE ได้ นอกจากนี้ ฝาหลังของ Nokia 1 ยังเป็นแบบ Xpress-on ซึ่งเราสามารถถอดเปลี่ยนเองได้ แถมมีสีสันให้เลือกหลายแบบตามความชอบของแต่ละคนน ซึ่งหากใครที่กำลังมองหาเครื่องสำรอง หรือซื้อให้กับผู้อื่นที่ไม่ต้องการใช้ฟังก์ชันต่างๆ มากนัก Nokia 1 ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีทั้งในเรื่องสเปก และราคาวางจำหน่ายครับ
อย่างไรก็ดี สมาร์ทโฟนแต่ละรุ่นก็มีจุดเด่นแตกต่างกันออกไป ซึ่งหากจะตัดสินว่ารุ่นใดดีกว่ากันคงเป็นไปได้ยาก หากลองใช้แล้วรู้สึกพึงพอใจ ก็ถือได้ว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนั้นคุ้มค่าแก่การจับจองเป็นเจ้าของแล้วครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม
สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ Nokia 7 Plus
สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ Nokia 6 (2018)
สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ Nokia 1
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 22/3/2561
