มือถือกล้อง 108 ล้าน มีกล้องที่ดีกว่ามือถือกล้อง 12 ล้าน จริงหรือ?
เมื่อไม่นานมานี้ DxOMark ผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบกล้อง และเซ็นเซอร์ชั้นนำระดับโลก มีการประกาศคะแนนทดสอบกล้องถ่ายของ Mi 10T Pro มือถือกล้อง 108 ล้านจาก Xiaomi ที่ทำคะแนนรวมไปได้ทั้งหมด 118 คะแนน ซึ่งแม้ว่าจะดูเป็นตัวเลขที่สูง แต่คะแนนกลับน้อยกว่า iPhone 11 ที่มีกล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่านั้น จึงทำให้หลายคนเริ่มเกิดความสงสัย และสับสนว่า มือถือกล้อง 108 ล้านพิกเซล ดีกว่ามือถือกล้อง 12 ล้านพิกเซล จริงหรือ? ไปหาคำตอบกันดีกว่าครับ
ความละเอียดกล้อง ยิ่งเยอะ ยิ่งดี จริงหรือ?
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ความละเอียดกล้อง ≠ คุณภาพของภาพถ่าย เสมอไป ความละเอียดของพิกเซลถูกคำนวนจำนวนจุดรับภาพที่อยู่ในเซ็นเซอร์กล้องถ่ายภาพ หรือขนาดของภาพถ่ายที่มือถือรุ่นนั้นๆ ถ่ายได้ ยกตัวอย่างเช่น 4000x3000 พิกเซล คือ 12 ล้านพิกเซล หรือ เป็นต้น
ข้อดีของกล้องมือถือความละเอียดสูง คือ ไฟล์ภาพที่สามารถถ่ายได้ใหญ่ เหมาะแก่การนำไปคร็อปภาพเฉพาะส่วน หรือการนำไปปรินท์รูปขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีประโยชน์ในเรื่องของ Pixel-Bining ในการรวม 4 พิกเซลเล็กๆ ให้เป็นพิกเซลใหญ่ เพื่อช่วยรับแสงได้ดีมากขึ้น (เซ็นเซอร์กล้องบางรุ่นรวม 9 พิกเซลเล็กเป็น 1 พิกเซลใหญ่) ส่งผลให้ขนาดภาพในขั้นตอนสุดท้ายจะถูกหาร 4 เช่น กล้องความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ก็จะสามารถถ่ายภาพออกมาได้ที่ 12 ล้านพิกเซล เป็นต้น (เพราะใช้ Pixel-Bining รวมพิกเซลไปแล้ว) แต่อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ด้านต้นว่า จำนวนพิกเซลที่เยอะ ไม่ได้การันตีถึงคุณภาพของภาพถ่ายที่ดีขึ้นตามไปด้วย เพราะยังมีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญนั่นก็คือ "ขนาดของเซ็นเซอร์รับภาพ"
ตามหลักแล้ว ยิ่งเซ็นเซอร์มีขนาดใหญ่เท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีพื้นที่ในการรับข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับภาพถ่ายได้มากขึ้นเท่านั้น หากเราลองดูกล้อง Full Frame จะเห็นได้ว่า เซ็นเซอร์รับภาพ (สี่เหลี่ยมสีตรงๆ กล้อง) มีขนาดที่ใหญ่กว่ากล้องถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟนมากเลยทีเดียว แต่กล้องถ่ายภาพแบบ Full Frame กลับมีความละเอียดที่น้อยกว่ามือถือในยุคปัจจุบันมาก อย่างเช่น Sony A7s III กล้อง Mirrorless Full-Frame ราคาหลักแสน ก็มีความละเอียด 12.1 ล้านพิกเซลเท่านั้น
หลายท่านอาจจะมองว่า “กล้อง Sony A7s III ความละเอียดเท่ากับกล้อง iPhone เลยนี่นา” ใช่ครับ ความละเอียดกล้องแม้จะเท่ากันที่ 12 ล้านพิกเซล แต่คุณภาพไม่เท่ากัน เนื่องจากขนาดเซ็นเซอร์กล้อง Full Frame และกล้องมือถือที่มีความแตกต่างกันหลายเท่า
ลองนึกภาพตามว่า เราเปิดน้ำก๊อก เพื่อรินน้ำใส่แก้วน้ำทั้งหมด 12 ใบ ที่ถูกวางไว้เต็มพื้นที่ถาดวางแก้ว โดยแก้ว คือ จำนวนพิกเซล ส่วนถาดวางแก้ว คือ เซ็นเซอร์รับภาพ ซึ่งหากเซ็นเซอร์มีขนาดใหญ่ แก้วน้ำทั้ง 12 ใบก็อาจต้องมีขนาดใหญ่เหมือนแก้วไวน์เพื่อให้วางได้เต็มพื้นที่ถาด ส่งผลให้สามารถรับน้ำที่รินมาจากก๊อกได้มากกว่า แต่หากถาดมีขนาดเล็ก แก้วน้ำทั้ง 12 ใบ ก็จำเป็นต้องมีขนาดเล็กเหมือนกับแก้วช็อต ส่งผลให้รับน้ำได้น้อยกว่า ซึ่งแม้ว่าทั้งถาดทั้ง 2 ใบนี้จะมีแก้วเท่ากันที่ 12 ใบก็จริง แต่ปริมาณน้ำที่ได้รับมาไม่เท่ากัน ก็เปรียบเสมือนเซ็นเซอร์รับภาพกล้องมือถือ และกล้องถ่ายภาพ ที่แม้ว่าความละเอียดเท่ากัน แต่ข้อมูลภาพ แสง สี ต่างๆ ก็รับมาได้ไม่เท่ากันเช่นเดียวกัน
ส่วนในวงการมือถือนั้น แม้ว่าเซ็นเซอร์รุ่นใหม่ๆ จะมีขนาดที่ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังถือว่ามีขนาดเล็กกว่าเซ็นเซอร์ร์กล้อง Compact หลายๆ รุ่น รวมทั้งยังเล็กกว่ากล้อง Micro 4/3 จึงทำให้คุณภาพของกล้องมือถือโดยรวมอาจไม่ได้มีความแตกต่างกันเหมือนกับกล้องมือถือ vs กล้องโปร
อะไรที่ทำให้กล้อง 108 MP กับกล้อง 12 MP ต่างกัน?
หากไม่นับเรื่องขนาดเซ็นเซอร์ และจำนวนพิกเซล ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้กล้อง 108 MP หรือ 12 MP มีคุณภาพที่ต่างกันก็คือ เลนส์, ซอฟท์แวร์ประมวลผลภาพ และ ISP
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Samsung Galaxy Note8 ด้วยแอปฯ กล้องติดเครื่อง (ซ้าย) vs Gcam
โครงสร้างชิ้นเลนส์ที่แตกต่างกัน, จำนวนชิ้นเลนส์ที่ไม่เท่ากัน รวมถึงเทคโนโลยีการเคลือบผิวหน้าเลนส์ที่ไม่เหมือนกัน ก็ส่งผลให้คุณภาพของภาพถ่ายมีความแตกต่างตามไปด้วย ในส่วนของซอฟท์แวร์ประมวลผลภาพ แม้ว่าไม่ได้เกี่ยวกับฮาร์ดแวร์โดยตรง แต่ก็มีส่วนสำคัญในการรีดประสิทธิภาพฮาร์ดแวร์ออกมาได้ในระดับขีดสุด ซึ่งเราจะเห็นได้จากกรณีที่หลายท่านใช้ GCam (แอปฯ กล้อง Google ที่ถูก Port มาจากมือถือ Pixel) ภาพที่ได้มีความแตกต่างจากแอปฯ กล้องติดมือถือเดิมๆ พอสมควร
ส่วน ISP (Image Signal Processing Unit : หน่วยประมวลผลสัญญาณภาพ) ที่แตกต่างกันก็ส่งผลไปถึงคุณภาพของภาพถ่ายด้วย โดยทาง DxOMark ได้ทำการทดสอบ Samsung Galaxy Note20 Ultra รุ่นที่ใช้ชิปเซ็ต Exynos 990 และรุ่นที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 865 ซึ่งก็พบว่า Galaxy Note20 Ultra รุ่นที่ใช้ชิป Exynos 990 สามารถทำคะแนนโดยรวมได้สูงกว่ารุ่นที่ใช้ชิป Snapdragon 865 ด้วยจุดเด่นในการการเก็บรายละเอียด ไปจนถึงการถ่ายภาพกลางคืนที่ทำได้ดีกว่า ซึ่งหมายความว่า แม้มือถือจะใช้เซ็นเซอร์รับภาพตัวเดียวกัน แต่หากมีซอฟท์แวร์ประมวลผลภาพ, โครงสร้างชิ้นเลนส์ หรือ ISP ที่ไม่เหมือนกัน ก็อาจส่งผลให้คุณภาพมีความแตกต่างกันได้ และในอีกมุมหนึ่ง แม้ว่ามือถือรุ่นนั้นๆ จะมีความละเอียดกล้องที่น้อยกว่า แต่หากมีการออกแบบซอฟท์แวร์ประมวลผลที่ดี และสามารถรีดประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์ออกมาได้ในระดับสูงสุด ก็อาจทำให้คุณภาพของภาพถ่ายออกมาดีกว่ามือถือที่มีกล้องความละเอียดสูงก็เป็นได้
ซื้อมือถือเพื่อถ่ายรูป ควรดูที่อะไร?
อ่านมาถึงตรงนี้หลายท่านอาจกำลังสงสัยแล้วว่า หากต้องการซื้อมือถือเพื่อเน้นการถ่ายภาพโดยเฉพาะควรดูที่จุดไหน? ซึ่งประเด็นนี้ทีมงานอยากให้ทุกท่านตัดเรื่องความละเอียดออกไปก่อน แล้วพิจารณาว่ามือถือรุ่นนั้นๆ มีฟังก์ชันการถ่ายภาพที่ตอบโจทย์ผู้ใช้หรือไม่ เช่น ผู้ที่ชอบถ่ายภาพเซลฟี่เป็นพิเศษ ก็อาจต้องลองพิจารณามือถือที่มีระบบ Autofocus เพื่อช่วยโฟกัสภาพใบหน้าได้อย่างแม่นยำ ทำให้ภาพเซลฟี่ไม่เบลอ, ผู้ที่ชอบถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ ก็อาจต้องมองหามือถือที่มีเลนส์มุมกว้างพิเศษเพื่อเก็บภาพถ่ายได้อย่างครบถ้วน หรือผู้ที่ชื่นชอบการถ่าย Portrait ก็ควรหามือถือที่มีกล้องเลนส์ซูมหลายระยะ เพื่อเข้าใกล้ตัวแบบได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ควรพิจารณาตัวอย่างภาพถ่ายจากรีวิวต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ เนื่องจากกล้องถ่ายภาพมือถือแต่ละรุ่นจะมีคาแรคเตอร์ที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งส่งผลไปถึงความชื่นชอบส่วนบุคคลด้วย โดยบางแบรนด์อาจมาพร้อมกับโทนสีที่เน้นไปในด้าน Contrast จัด เหมาะแก่การถ่ายภาพ Landscape, บางแบรนด์อาจมาพร้อมกับโทนสีสว่างสดใส เหมาะแก่การถ่ายคน หรือบางแบรนด์เน้นการถ่ายภาพที่ถ่ายทอดสีสันได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะแก่การนำไปปรับแต่งต่อ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี กล้องถ่ายภาพก็เป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนเท่านั้น เพราะสมาร์ทโฟนหนึ่งเครื่องยังมีฟีเจอร์อื่นที่ควรนำมาประกอบการพิจารณาด้วย ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอ, ชิปเซ็ตประมวลผล, แบตเตอรี่, ระบบชาร์จ, Ecosystem ไปจนถึงซอฟท์แวร์การใช้งาน ซึ่งหากสมาร์ทโฟนรุ่นนั้นๆ มีฟีเจอร์ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว ก็ถือว่าน่าจับจองเป็นเจ้าของแล้วครับ
ข้อมูลอ้างอิง : DxOMark, facweb, gadgetstouse
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 25/12/2563
