ทำไม Sony ถึงไม่ทำมือถือราคาประหยัด ?
ในขณะที่หลายแบรนด์ใหญ่ปรับกลยุทธ์ใหม่ หันมาตีตลาดมือถือ 5G ระดับกลาง เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งจะเห็นได้จาก Samsung ที่ตัดสินใจออก Galaxy A42 5G มือถือ 5G สเปกเกมเมอร์ในราคาหมื่นนิดๆ หรือจะเป็น Motorola ที่สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว Moto G 5G Plus มือถือชิปรองท็อป + จอ Refresh Rate สูง, รองรับ 5G และกล้องถ่ายภาพรวมแล้วถึง 6 ตัว ในราคาเพียง 9,990 บาท แต่กลับมีแบรนด์หนึ่งที่ยังไม่ปรับกลยุทธ์มาบุกตลาดมือถือ 5G ระดับกลางเหมือนแบรนด์อื่นๆ ด้วย นั่นก็แบรนด์อารยธรรมอย่าง Sony
หากเราเข้าไปดูที่เว็บไซต์ Sony ประเทศไทย จะพบว่า มือถือ Sony ราคาที่มีราคาถูกสุดที่วางจำหน่ายอยู่ ณ ตอนนี้ คือรุ่น Xperia 10 II ที่มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ OLED, กล้องหลัง 3 ตัว และชิปเซ็ตระดับกลาง Snapdragon 665 โดยทาง Sony เปิดราคาวางจำหน่ายเอาไว้ที่ 12,990 บาท
สเปกของ Xperia 10 II เรียกได้ว่าเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับมือถือในคลาสเดียวกันอย่างเช่น Vivo V20 SE ที่ใช้หน้าจอ AMOLED, ชิปเซ็ต Snapdragon 665 และกล้องหลัง 3 ตัว ในราคาเพียง 8,699 บาทเท่านั้น ซึ่งแม้ว่า Xperia 10 II จะมีคุณสมบัติบางอย่างที่เหนือกว่ามือถือในคลาสเดียวกันอย่าง คุณสมบัติกันน้ำระดับ IP65/68, หน้าจอกว้างแบบ 21:9 ไปจนถึงกระจกหน้าจอแบบ Gorilla Glass 6 แต่ผลตอบรับจากผู้ใช้หลายๆ ท่านกลับมองว่า สมาร์ทโฟนราคาประหยัดของ Sony ค่อนข้างที่จะแพงไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆ โดยเฉพาะฝั่งมือถือจีน ที่บางรุ่นให้ชิปเซ็ตรุ่นท็อปกว่า แถมยังได้ 5G ในเรทราคาเดียวกันกับ Xperia 10 II อย่างเช่น realme X50 5G ที่เปิดราคาวางจำหน่ายในจีนเริ่มต้น 2,499 หยวน หรือประมาณ 10,800 บาท
นับตั้งแต่รุ่น Xperia 10 II ที่เปิดตัวในไทยไปเมื่อกลางปี 2020 ที่ผ่านมา ทาง Sony ก็ไม่ได้เปิดตัวมือถือระดับกลางรุ่นใหม่ๆ ให้เห็นกันในบ้านเราอีกเลย แต่เพราะเหตุใด ทำไม Sony แบรนด์ที่มีทุกอย่างเพรียบพร้อมในมือ ถึงไม่หันมาตีตลาดมือถือ 5G ราคาประหยัดบ้าง? ไปหาคำตอบกันดีกว่าครับ
ยอดขายมือถือที่อาจไม่ได้เน้นเท่าไหร่
หากเราย้อนกลับไปดูรายงานผลประกอบการ จะพบว่า Sony ประสบปัญหากับยอดขายสมาร์ทโฟนที่ลดลงมาโดยตลอด โดยในปี 2019 ทาง Sony ทำยอดขายสมาร์ทโฟนเพียงเพียง 6.5 ล้านเยน และลดลงเหลือเพียง 3.2 ล้านเยนในปี 2020
แม้ว่ายอดขายมือถือจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ธุรกิจอื่นๆ ของ Sony กลับเติบโตสวนทาง อย่างเช่น ธุรกิจสตรีมมิ่งเพลง ที่ทำยอดขายได้ถึง 276,039 ล้านเยนในปี 2020 จากเดิม 227,513 ล้านเยนในปี 2019 หรือจะเป็นธุรกิจฝั่งซอฟท์แวร์เกม และคอนเทนต์พิเศษ ที่แม้ว่ายอดขายไม่ได้เพิ่มขึ้นจากปี 2019 ที่เคยทำได้ 1.1 พันล้านเยน แต่ในปี 2020 ก็ยังคงทำยอดขายให้กับบริษัทได้อย่างท่วมท้นที่ตัวเลข 1.01 พันล้านเยน ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้ว่า Sony อาจไม่ได้เน้นยอดขายกับธุรกิจฝั่งมือถือมากนัก เพราะทางบริษัทยังมีอีกหลายแผนกที่สามารถทำยอดขาย และกำไรให้กับ Sony มากกว่าธุรกิจมือถือนั่นเอง
ทำกำไรในตลาดมือถือได้ โดยไม่ต้องลงแข่ง
อย่างที่ทราบกันว่า Sony ไม่ได้ผลิตแค่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหนึ่งธุรกิจสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับ Sony มาโดยตลอด นั่นก็คือ Imaing & Sensing Solutions ที่รับหน้าที่ผลิต, วิจัย, ออกแบบ และวางจำหน่ายเซ็นเซอร์สำหรับกล้องถ่ายภาพ ซึ่งมีการนำไปใช้งานกับสมาร์ทโฟนด้วยนั่นเอง โดยสามารถกวาดยอดขายไปได้ทั้งหมด 985,259 ล้านเยนในปี 2020 เติบโตขึ้นจากปี 2019 ที่เคยทำได้ 770,622 ล้านเยน
สำหรับเซ็นเซอร์กล้องมือถือ Sony ในอุตสาหกรรม ถือว่าได้รับความนิยมจากแบรนด์ผู้ผลิตเป็นอย่างมาก โดยจากผลสำรวจของ Omdia บริษัทสัญชาติอังกฤษเมื่อปี 2019 เปิดเผยให้ทราบว่า เซ็นเซอร์รับภาพของแบรนด์ Sony มีส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) สูงถึง 53.5% ทิ้งห่างผู้ผลิตเซ็นเซอร์กล้องรายอื่นๆ อย่าง Samsung ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 18.1% เท่านั้น
หากเทียบกับส่วนแบ่งทางการตลาดระหว่างธุรกิจเซ็นเซอร์กล้อง และธุรกิจมือถือของ Sony จะเห็นได้ว่า เทียบกันไม่ติด เพราะหากเราไปดูผลสำรวจจากบริษัทวิจัยด้านการตลาดอย่าง Counterpoint รวมถึง IDC จะพบว่า 5 แบรนด์ใหญ่ที่เข้ามายึดส่วนแบ่งทางการตลาดของอุตสาหกรรมมือถือ คือ Samsung, Huawei, Xiaomi, Apple และ Vivo ส่วน Sony ถูกจัดรวมอยู่ในกลุ่มสมาร์ทโฟนรายอื่นๆ (Others) ที่มีส่วนแบ่งทางกรตลาดรวมกันแล้วน้อยกว่าเจ้าตลาดอย่าง Samsung
นอกจากนี้ การที่ Sony จะลงไปเล่นมือถือระดับกลาง ก็อาจจะเป็นเหมือนการเข้าไปแย่งลูกค้าของตนเอง ที่ต่างก็ใช้เซ็นเซอร์กล้องมือถือ Sony เป็นจุดขาย ดังนั้น กลยุทธ์ทำกำไรโดยที่ไม่ต้องเข้าไปลงเล่นในสนามให้เจ็บตัว ดูจะเป็นวิธีที่เวิร์คที่สุดสำหรับแบรนด์ Sony ที่มีธุรกิจในมือที่ต้องดูแลอีกหลายต่อหลายอย่าง
เน้นตลาดที่ยังไม่มีใครทำ
แม้ว่าธุรกิจมือถือของ Sony อาจจะไม่ได้ทำยอดขายเป็นกอบเป็นกำเหมือนกับธุรกิจอื่น แต่ก็ใช่ว่า Sony จะวางมือจากวงการนี้ เพราะในระยะเวลาที่ผ่านมา Sony แสดงให้เห็นแล้วว่า บริษัทต้องการพัฒนาสมาร์ทโฟนรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์การใช้งานเฉพาะกลุ่ม ซึ่งหากเราเข้าไปดูที่หน้าเว็บไซต์ Sony ตอนนี้จะเห็นว่า บริษัทมีการเพิ่มหมวด Professional Smartphone หรือสมาร์ทโฟนระดับมืออาชีพ โดยมือถือรุ่นแรกของหมวดนี้ก็คือ Sony Xperia Pro ที่มาพร้อมกับราคาสูงถึง 75,000 บาท
สำหรับ Xperia Pro ไม่ใช่มือถือทั่วไป เพราะมันคือมือถือที่ถูกออกแบบมาสำหรับนักข่าว, ช่างกล้อง และช่างวิดีโอภาคสนาม ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 5G Sub-6 และ mmWave พร้อมพอร์ต HDMI สำหรับเชื่อมต่อกับกล้องถ่ายภาพเพื่อแปลงมือถือเป็นจอมินิเตอร์ขนาดย่อมๆ และยังช่วยให้รายงานสถานการณ์สดจากกล้องใหญ่ได้โดยที่ไม่ต้องมีรถ OB Van ราคาแพง ไปจนถึงฟีเจอร์ที่ช่วยให้ทำงานร่วมกับกล้อง Alpha ของ Sony ได้อย่างง่ายๆ ซึ่งเป็นการลด Workflow ในการทำงานจริงให้น้อยลงไปอีกขั้น ซึ่งนับว่าเป็นมือถือที่แตกต่างออกไปจากมือถือเรือธงที่มีชื่อ Pro ต่อท้ายในท้องตลาดอย่างสิ้นเชิง (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Xperia Pro ได้ที่นี่)
ส่วนมือถือกลุ่มอื่นๆ Sony ก็เลือกที่จะเลือกเจาะไปที่มือถือเรือธงระดับพรีเมียมเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากมีการแข่งขันที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับตลาดระดับเริ่มต้น และตลาดระดับกลาง ที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดด้วยการมาถึงของมือถือแบรนด์จีนราคาประหยัด ซึ่งการลงเล่นในตลาดที่ Sony มีกลุ่มแฟนคลับโดยเฉพาะอยู่แล้ว และเน้นไปที่ฟีเจอร์บางอย่างเฉพาะตัวที่มือถือแบรนด์อื่นไม่มี อย่างเช่น หน้าจอ 4K HDR ไปจนถึงระบบเสียงคุณภาพสูง ก็อาจจะดูเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับธุรกิจสมาร์ทโฟนของ Sony ในตอนนี้
ข้อมูลอ้างอิง : Sony (1), (2), (3), Nikkei Asia
วันที่ : 5/3/2564
