ใครคือ นักฆ่ามือถือเรือธง คนต่อไป? หลัง OnePlus ผันตัวมาเป็นแบรนด์มือถือเรือธงระดับ Super Flagship
“นักฆ่ามือถือเรือธง” ฉายาที่หลายคนใช้เรียกสมาร์ทโฟนสเปกแรงในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนที่มีสเปกใกล้เคียงกันบนท้องตลาด โดยฉายา นักฆ่าเรือธง มักจะอยู่คู่กับสมาร์ทโฟนแบรนด์ OnePlus เป็นหลั ก เนื่องจากใน OnePlus รุ่นแรก หรือ OnePlus One ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2014 มาพร้อมกับสโลแกนอันโด่งดังอย่าง "2014 Flagship Killer" เนื่องจากจัดเต็มด้านสเปกด้วยชิป Snapdragon 801, กล้องหลัง 13 ล้าน และแบตเตอรี่ขนาด 3100mAh ในราคาเริ่มเพียง 299 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9,300 บาทเท่านั้น เมื่อเทียบกับคู่แข่งสเปกใกล้เคียงกัน และเปิดตัวในช่วงเวลาเดียวกันอย่าง Samsung Galaxy S5 ก็ถือว่า OnePlus One มีราคาวางจำหน่ายที่ถูกกว่าราวครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
OnePlus 7 Pro
นับตั้งแต่ OnePlus One เป็นต้นมา ทาง OnePlus ก็ได้ส่งมือถือสเปกแรงสมกับฉายา นักฆ่าเรือธง บุกตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่ในรุ่น OnePlus 7 Series ทาง OnePlus ได้ผันตัวเองเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเรือธงระดับ Super Flagship หรือสมาร์ทโฟนที่เหนือกว่ามือถือเรือธงทั่วๆ ไป ไม่ใช่นักฆ่าเรือธงอีกต่อไป ด้วยคุณสมบัติภายในที่โดดเด่นกว่าเรือธงบางรุ่นบนท้องตลาด และส่งผลให้ราคาวางจำหน่ายสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟน OnePlus รุ่นก่อนๆ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมือถือนักฆ่าเรือธง
อ่านมาถึงตรงนี้หลายท่านอาจจะกำลังสงสัยว่า แล้วใครจะก้าวขึ้นมาเป็น นักฆ่ามือถือเรือธง คนต่อไป? เราไปลองพิจารณามือถือแต่ละแบรนด์ที่เข้าข่ายนักฆ่าเรือธงในตอนนี้กันดีกว่าครับ
Xiaomi
Lei Jun ซีอีโอ Xiaomi
หากพูดถึงสมาร์ทโฟนที่ขึ้นชื่อด้านการผลิตสมาร์ทโฟนราคาประหยัด หลายท่านน่าจะนึกถึง Xiaomi เป็นลำดับแรกๆ โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนเรือธงตระกูล Mi Series ที่เขย่าตลาดสมาร์ทโฟนมาอย่างต่อเนื่องด้วยราคาที่เข้าถึงง่าย แต่กลับแฝงไปด้วยสเปกระดับไฮเอนด์รอบด้าน โดยรุ่นที่สร้างชื่อให้กับ Xiaomi ได้มากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น Xiaomi Mi 3 ที่จัดเต็มด้วยชิป Snapdragon 800 พร้อมจอ Full HD ในราคาไม่ถึงหมื่น ซึ่งหากเทียบสเปกในยุคนั้น Mi 3 ถือว่าแข่งกับมือถือสเปกระดับหมื่นกว่า ถึงหมื่นปลายได้อย่างสบายๆ
Xiaomi Mi 9 มือถือรุ่นสุดท้ายที่คงคอนเซ็ปท์มือถือสเปกแรงในราคาคุ้มค่า
Xiaomi Mi Series สานต่อสเปกแรงในราคาคุ้มค่ามาอย่างต่อเนื่องจนถึง Mi 9 Series ซึ่งหลังจากนั้นทาง Xiaomi ก็ได้ออกรุ่น Mi 10 Series ให้ได้เห็นกัน โดยยังชูจุดเด่นด้านสเปกที่เร็วแรงเช่นเดิม พร้อมกล้องถ่ายภาพระดับไฮเอนด์ แต่ราคาวางจำหน่ายก็พุ่งสูงขึ้นด้วยที่ 3,999 หยวน หรือประมาณ 18,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่า Mi 9 รุ่นก่อนหน้าที่เปิดราคาในจีนที่ 2,999 หยวน หรือประมาณ 14,000 บาท และยังเป็นราคาที่สูงกว่า OnePlus 8 Series ในบางกลุ่มประเทศอีกด้วย โดยสาเหตุที่ราคาสูงขึ้นนั้นทาง CEO ของ Xiaomi ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า Xiaomi จะไม่ทำมือถือรุ่นราคาประหยัดอีกต่อไป มือถือรุ่นใหม่ๆ จะมีราคาขายที่สูงขึ้น ซึ่ง Mi 9 ถือว่าเป็นรุ่นสุดท้ายที่ Xiaomi ยังคงคอนเซ็ปท์มือถือเรือธงราคาประหยัดเอาไว้อยู่
แพลตฟอร์ม IoT ที่ทำให้มือถือ Xiaomi ดูแข็งแกร่ง
แม้ว่า มือถือ Xiaomi ตระกูล Mi Series ในปัจจุบัน ราคาวางขายอาจจะสูงกว่า หรือใกล้เคียงกับ OnePlus แต่การที่ Xiaomi จะก้าวขึ้นมาเป็นนักฆ่าเรือธงคนใหม่ ก็ดูมีความเป็นไปได้พอสมควร เพราะนอกจากการผลิตมือถือสเปกแรงในราคาที่เข้าถึงได้แล้ว ในปัจจุบัน Xiaomi ถือว่ามี Ecosystem ที่แข็งแกร่ง อุปกรณ์ IoT ในเครือ Xiaomi ต่างซัพพอร์ตกันและกัน รวมทั้งยังมี Community ที่แข็งแกร่งที่ต่างช่วยกันพัฒนา ROM เวอร์ชันใหม่ๆ ให้ได้ใช้งานกันแม้ว่าจะเป็นมือถือ Xiaomi รุ่นเก่าก็ตาม แต่การที่จะขึ้นเป็นนักฆ่าเรือธงได้นั้น ดูเหมือนว่า Xiaomi จะต้องเจอกับคู่แข่งรายสำคัญ ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นแบรนด์ลูกของตัวเองอย่าง Redmi และอดีตแบรนด์ลูกอย่าง Poco ครับ
Redmi / Poco
Redmi และ Poco ถือว่าเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์การผลิตสมาร์ทโฟนสเปกแรงราคาคุ้มค่าของ Xiaomi ในยุคก่อนเลยก็ว่าได้ เพราะในปัจจุบัน Redmi และ Poco มีการออกสมาร์ทโฟนสเปกแรงอย่าง Redmi K30 Pro และ Poco F2 Pro ที่มาพร้อมกับชิปเซ็ตระดับท็อปอย่าง Snapdragon 865 พร้อมหน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ไร้ขอบไร้รอยบาก และกล้องหลัง 4 ตัว 64 ล้านพิกเซล พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 4700mAh ในราคาวางขายในจีนเริ่มต้นที่ 2,999 หยวน หรือประมาณ 14,000 บาทเท่านั้น* (ราคาเริ่มต้นของ Redmi K30 Pro ในจีน)
หากเปรียบเทียบสเปกที่ Redmi K30 Pro และ Poco F2 Pro ให้มาก็ถือว่า ใกล้เคียงกับสมาร์ทโฟนเรือธงระดับพรีเมียมที่ราคาขายเกิน 20,000 บาทเลยทีเดียว รวมทั้งสมาร์ทโฟนแบรนด์ Redmi และ Poco ต่างก็มี Community ที่แข็งแกร่งไม่แพ้ Xiaomi และมีของเล่นสำหรับสายซนให้เลือกใช้งานพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น Bootloader ที่สามารถปลดล็อกได้เองแบบง่ายๆ, ROM โมทั้งแบบ MIUI และ AOSP หรือ Kernel แบบต่างๆ ให้กลิ่นอายแบบ OnePlus OnePlus ที่อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถย้ายสลับรอม หรือโมรอม ได้แบบเต็มที่ ดังนั้นการที่ Redmi และ Poco จะก้าวมาเป็นนักฆ่าเรือธงคนใหม่ ก็อาจดูเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างเหมาะสม หากบริษัทยังสามารถคงราคาขายที่เข้าถึงง่าย และสเปกแบบจัดเต็มในสมาร์ทโฟนรุ่นต่อๆ ไป
realme
Realme เป็นสมาร์ทโฟนอีกหนึ่งแบรนด์ที่เน้นพัฒนาสมาร์ทโฟนสเปกแรงในราคาที่เข้าถึงง่าย ซึ่งในปัจจุบันก็มีสมาร์ทโฟนที่น่าสนใจอย่าง realme X50 Pro Player Edition ที่มาพร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon 865 พร้อมหน้าจอ Super AMOLED Refresh Rate 90Hz, RAM แบบ LPDDR5 และระบบชาร์จเร็ว SuperDart 65W ในราคาเริ่มต้นเพียง 2,699 หยวน หรือประมาณ 12,000 บาทเท่านั้น ซึ่งหากดูจากสเปกแล้วจะเห็นว่า realme X50 Pro Player Edition มีราคาขายที่ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนที่มีสเปกใกล้เคียงกันอย่างเช่น Redmi K30 Pro หรือแม้แต่รุ่นพี่ในแบรนด์ตัวเองอย่าง realme X50 Pro 5G ที่เปิดราคาขายเริ่มต้นที่ 44,999 รูปี หรือประมาณ 17,000 บาท จึงทำให้ realme ถือเป็นอีกหนึ่งว่าที่นักฆ่าเรือธงคนใหม่ที่น่าจับตามอง
iQOO
แม้ว่าจะเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนที่เน้นผลิตมือถือเกมมิ่งที่โดยปกติแล้วราคาจะค่อนข้างสูง แต่สำหรับ iQOO ถือว่าต่างออกไป เพราะสมาร์ทโฟนเกมมิ่งสเปกแรงที่เปิดตัวออกมาแต่ละครั้งมีราคาเริ่มต้นอยู่ในช่วงหมื่นต้นๆ เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น iQOO Neo3 5G ที่มาพร้อมกับจอ 144Hz พร้อมชิปเซ็ต Snapdragon 865 รวมถึงลำโพงคู่ Hi-Res และระบบชาร์จเร็ว 44W ในราคาเริ่มต้นเพียง 2,698 หยวน หรือประมาณ 12,000 บาทเท่านั้น ซึ่งจะเห็นว่าเป็นสเปกที่ใกล้เคียงกับคู่แข่งในเรทราคาเดียวกันอย่าง realme X50 Pro Player Edition พอสมควร
นอกเหนือจากมือถือตระกูล Neo แล้ว iQOO ก็ยังมีจุดแข็งด้วยมือถือตระกูล Z Series ที่เลือกใช้ชิปเซ็ตจากแบรนด์ MediaTek ทำให้ราคาวางจำหน่ายถูกลงกว่ามือถือเรือธงฝั่ง Qualcomm อย่างเช่น iQOO Z1 ที่มาพร้อมกับหน้าจอ 144Hz พร้อมชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 1000+ ที่มักจะถูกนำไปเทียบความแรงคู่กับ Snapdragon 855+ และ 865 รวมถึงระบบชาร์จไว 44W โดยสเปกทั้งหมดนี้ iQOO เปิดราคาขายเริ่มต้นแค่ 2,198 หยวน หรือประมาณ 9,900 บาทเท่านั้น ซึ่งฉายานักฆ่าเรือธงกับแบรนด์ iQOO ก็ดูเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ค่อนข้างสมเหตุสมผล
ASUS
แม้ว่าในช่วงนี้เราจะเห็นชื่อของ ASUS กับสมาร์ทโฟนเกมมิ่งอย่าง ROG Phone เป็นหลัก แต่ำหรับมือถือเรือธงตระกูล ZenFone ถือว่าค่อนข้างน่าสนใจ เพราะมักจะจัดเต็มทางด้านสเปกสมกับสมาร์ทโฟนในปีที่เปิดตัว และเปิดราคาขายที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ยกตัวอย่างในรุ่น Zenfone 6 ที่เปิดตัวในปี 2019 ซึ่งมาพร้อมกับนวัตกรรมกล้องหมุนได้, ชิปเซ็ตตัวท็อป Snapdragon 855 และแบตเตอรี่ไซส์ใหญ่ถึง 5000mAh ในราคายุโรปเริ่มต้นเพียง 499 ยูโร หรือประมาณ 17,700 บาทเท่านั้น ดังนั้น ASUS ZenFone ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และคงราคาวางจำหน่ายให้เข้าถึงได้ง่าย ก็ดูจะเป็นม้ามืดในวงการนักฆ่าเรือธงอีกหนึ่งรายที่น่าจับตามอง
หรือ OnePlus จะส่งมือถือมาฆ่าเรือธงตัวเอง?
ไม่แน่ว่า OnePlus อาจจะกลับมาเป็นนักฆ่ามือถือเรือธงอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ในนามของ OnePlus โดยตรง แต่อาจเป็น OnePlus Nord มือถือซีรีส์ใหม่ที่ OnePlus ตั้งใจพัฒนาใหม่ตั้งแต่ต้นโดยยึดคอนเซ็ปท์ราคาวางจำหน่ายที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ให้ประสบการณ์การใช้งานในระดับเรือธง โดย OnePlus Nord ตามสเปกที่หลุดออกมาแม้ว่าจะใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 765G ซึ่งยังไม่ใช่ชิปเซ็ตระดับเรือธง แต่ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวออกมาว่า นอกจาก OnePlus Nord แล้ว OnePlus แอบพัฒนาสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อีกหนึ่งรุ่นซึ่งมาพร้อมกับสเปกในระดับกลาง ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางที่ต่างออกไปเพราะโดยปกติแล้ว OnePlus จะเน้นผลิตสมาร์ทโฟนเรือธงระดับพรีเมียมเท่านั้น ซึ่งก็ไม่แน่ว่า OnePlus Nord อาจมีรุ่นที่สเปกแรงระดับเรือธงเทียบชั้น OnePlus รุ่นพี่ แต่ปรับลดคุณสมบัติบางส่วนเพื่อให้ราคาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นก็เป็นได้
แม้ว่าในตอนนี้อาจจะยังเห็นภาพไม่ชัดว่า ใครเหมาะสมจะกับตำแหน่ง "นักฆ่าเรือธง" แต่สิ่งที่เราเห็นในวงการสมาร์ทโฟนปัจจุบันก็คือ สมาร์ทโฟนเรือธงราคาประหยัดนั้นมีตัวเลือกมากขึ้น และราคาวางจำหน่ายของมือถือเรือธงเหล่านี้ก็ดูจะมีการแข่งขันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ซึ่งผลดีก็ตกอยู่กับผู้บริโภคที่สามารถเข้าถึงมือถือเรือธงในราคาสบายกระเป๋ามากขึ้น แล้วคุณผู้อ่านคิดว่ามือถือแบรนด์ไหนจะก้าวขึ้นมาเป็น "นักฆ่าเรือธงคนใหม่" กันครับ :)
ที่มา : Android Authority
วันที่ : 13/7/2563
