ซื้อ iPhone 12 ตอนนี้ หรือรอ iPhone 13 ดี? บทความนี้ มีคำตอบ!
เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ iPhone 12 ไอโฟนที่ทรงพลังที่สุดจาก Apple เท่าที่เคยมีมา โดยในปีนี้ไอโฟนรุ่นใหม่ถูกอัปเกรดหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ สเปก หรือกล้องถ่ายภาพ แต่หลายคนคงกำลังลังเลอยู่ว่า ควรจะซื้อ iPhone 12 ดีหรือไม่ หรือควรรอ iPhone 13 ดีกว่า? วันนี้ทางทีมงานรวบรวมข้อมูลมาให้ทุกท่านเพื่อประกอบการตัดสินใจเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ
iPhone 12 มีอะไรใหม่?
ก่อนอื่นเรามาดูถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ทาง Apple เพิ่มมาให้กับไอโฟนรุ่นล่าสุดกันก่อน โดย iPhone 12 เป็นไอโฟนรุ่นแรกที่ได้ใช้ชิปเซ็ต Apple A14 Bionic ซึ่งเป็นชิปเซ็ตระดับ 5 นาโนเมตร ต่างจากชิปเซ็ตมือถือรุ่นอื่นๆ ในปัจจุบันที่ยังคงใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 7 นาโนเมตรอยู่ โดยตามหลักทฏษฎีแล้ว ยิ่งชิปเซ็ตประมวลผลมีขนาดที่เล็กลง ก็จะช่วยให้ประหยัดการใช้พลังงาน รวมทั้งยังช่วยให้มีประสิทธิภาพการประมวลผลที่รวดเร็วมากขึ้นตามไปด้วย
ทาง Apple ยังได้มีการอัปเกรดกล้องถ่ายภาพใหม่เล็กน้อย โดย iPhone 12 ในปีนี้จะมาพร้อมกับกล้องหลังสูงสุดจำนวน 4 ตัวในรุ่น Pro และ Pro Max เพิ่มขึ้นจากรุ่น iPhone 11 Pro / Pro Max ที่มีกล้องหลัง 3 ตัว โดยกล้องตัวใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาบน iPhone 12 Pro | Pro Max ก็คือ กล้อง LiDar Scanner ซึ่งมีหน้าที่หลักๆ ในการตรวจจับระยะชัดตื้นของวัตถุ เพื่อนำมาช่วยทำ AR (Augmented Reality : การสร้างโลกเสมือนจริงบนโลกความเป็นจริง) รวมถึงยังช่วยในเรื่องของการโฟกัสภาพในตอนกลางคืนได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
อีกหนึ่งในสิ่งที่ Apple ใส่เข้ามาให้ด้วยก็คือ การรองรับ 5G เป็นครั้งแรกบนไอโฟน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อรูปแบบใหม่ที่ในปัจจุบันหลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย เริ่มให้บริการเครือข่าย 5G เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนทางด้านดีไซน์ แม้ว่า iPhone 12 จะยังคงใช้ดีไซน์คล้ายกับไอโฟนรุ่นก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็น iPhone 11 หรือ iPhone X ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2017 แต่มีการเพิ่มฟีเจอร์ MagSafe ที่ช่วยให้ iPhone สามารถประกบเข้ากับอุปกรณ์เสริมต่างๆ ได้อย่างแนบสนิท ไม่ว่าจะเป็น แท่นชาร์จไร้สาย, เคส หรือแท่นชาร์จติดรถ เป็นต้น
สิ่งใหม่ที่ iPhone 12 มี แต่ไอโฟนรุ่นอื่นไม่มี
- กล้องหลังสูงสุด 4 ตัวในรุ่น Pro / Pro Max
- มีกล้อง LiDAR Scanner สำหรับทำ AR ได้แม่นขึ้น และโฟกัสได้ไวขึ้น
- กล้องตัวหลักรูรับแสงกว้างกว่าเดิมที่ f/1.6
- ชิปเซ็ต Apple A14 Bionic ตัวใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นชิปเซ็ตมือถือรุ่นเดียวบนท้องตลาดที่ใช้สถาปัตยกรรมการผลิตระดับ 5 นาโนเมตร (อ้างอิง ณ วันที่เขียนบทความวันที่ 14 ต.ค.)
- มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่น
- แบตอึดขึ้น
- รองรับ 5G
- ไม่มีการแถมอแดปเตอร์ชาร์จไฟ + หูฟัง EarPods มาในกล่อง
- เซ็นเซอร์กล้องหลังขนาดใหญ่ขึ้น รองรับ Smart HDR 3
- หน้าจอแบบ Ceramic Shield แข็งแกร่งกว่ากระจกหน้าจอสมาร์ทโฟนทั่วไป 4 เท่า
- จอใหญ่ขึ้นในรุ่น Pro และ Pro Max
- MagSafe
- กล้อง Telephoto ซูม Optical ได้ 5 เท่าในรุ่น Pro Max
- Sensor-Shift OIS ระบบกันสั่นด้วยการขยับเซ็นเซอร์
- Night Mode ใช้ได้กับทุกกล้อง
- ถ่ายวิดีโอ 4K แบบ 10bit
สิ่งที่ iPhone 12 เหมือน / คล้าย กับไอโฟนรุ่นก่อน
- จอรอยบาก
- ดีไซน์ด้านหลัง
- ชาร์จไร้สาย
- กล้องหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- ชาร์จไวสูงสุด 18W
- ชุดกล้องหน้า TrueDepth ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้
- ระบบสแกนใบหน้า 3 มิติ FaceID
- กล้องหน้า-หลัง ถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K
- พอร์ต Lightning
- ตัวเครื่องกันน้ำกันฝุ่น IP68
ควรซื้อ iPhone 12 ตอนนี้ หรือรอ iPhone 13 ดี?
หากพิจารณาจากฟีเจอร์ใหม่ของ iPhone 12 แล้ว จะเห็นได้ว่าการอัปเกรดใหม่ไอโฟนครั้งนี้ยังไม่ใช่การอัปเกรดใหญ่แบบ Major Change หรือก็คือยังไม่ถึงรอบ Super Cycle ที่ไอโฟนจะได้รับการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ เนื่องจาก iPhone 12 ยังคงมีเจอร์โดยรวมที่คล้ายคลึงกับไอโฟนรุ่นก่อน รวมไปถึงดีไซน์ที่ยังใข้จอรอยบากที่ถือว่าใช้งานมาเป็นเวลานานกว่า 4 ปีแล้วนับตั้งแต่รุ่น iPhone X ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2017 ทำให้ในปี 2021 อาจเป็นเวลาอันสมควรที่ไอโฟนจะได้รับการเปลี่ยนโฉมใหม่ก็เป็นได้
ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ ที่เพิ่มมาบน iPhone 12 ก็ถือเป็นการอัปเกรดเล็กๆ น้อยๆ แบบ Minor Change เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น เพิ่มกล้อง LiDAR Scanner แบบเดียวกับ iPad Pro, การเลือกใส่ชิปเซ็ต Apple A14 เหมือนกับ iPad Air 4 หรือการรองรับคลื่น 5G เป็นต้น โดยแม้ว่า iPhone 12 จะสามารถใช้งาน 5G ได้แล้ว แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า 5G ยังคงเป็นเทคโนโลยีที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น รวมทั้ง 5G ในประเทศไทย ณ ตอนนี้มีผู้ให้บริการเพียง 2 เครือข่าย ได้แก่ TrueMove H และ AIS ที่สำคัญ 5G ในไทยตอนนี้ถือว่ายังไม่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ และยังมีคลื่นที่ยังไม่ถูกประมูลอีก ซึ่งหากที่ต้องการซื้อ iPhone 12 เพื่อใช้ 5G ในบ้านเราแบบจริงจังในตอนนี้ ก็อาจไม่ตอบโจทย์มากนัก
ซึ่งหากผู้ใช้ต้องการซื้อ iPhone 12 เพื่อถือใช้งานยาวๆ และรอใช้งาน 5G แบบเต็มรูปแบบในอนาคต ก็ถือว่าค่อนข้างตอบโจทย์เลยทีเดียว เพราะตัวชิปเซ็ต A14 Bionic ของ iPhone 12 เลือกใช้ชิปเซ็ตแบบ 5 นาโนเมตร ซึ่งถือว่าเป็นชิปเซ็ตสำหรับสมาร์ทโฟนที่เล็กที่สุดบนท้องตลาด ณ ชั่วโมงนี้ และกว่าที่ชิปเซ็ตสมาร์ทโฟนจะเปลี่ยนไปใช้สถาปัตยกรรมเล็กลง ก็อาจต้องใช้เวลาพอสมควร เนื่องจาก iPhone เองก็ได้ใช้ชิปเซ็ต 7 นาโนเมตรมาเป็นเวลากว่า 2 ปี (A12 Bionic บน iPhone Xs และ A13 Bionic บน iPhone 11) ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นชิปเซ็ต 5 นาโนเมตร ซึ่งหมายความว่า iPhone 13 ที่เปิดตัวในปีหน้า ก็อาจยังคงใช้ชิปเซ็ตที่มีเทคโนโลยีเดียวกันกับ iPhone 12 นั่นเอง
และที่สำคัญ Apple เป็นอีกหนึ่งในแบรนด์ที่มีระยะเวลาซัพพอร์ตด้านซอฟท์แวร์ และระบบปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง ทำให้ iPhone 12 เป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างน่าจับตามองสำหรับผู้ที่ใช้ไอโฟนรุ่นเก่าๆ ที่ใกล้หมดระยะเวลาซัพพอร์ตจาก Apple แล้ว อย่าง iPhone 6s หรือ iPhone 7 เป็นต้น
แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง การข้าม iPhone 12 เพื่อรอ iPhone 13 ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เนื่องจากยังมีฟีเจอร์หลายอย่างบนสมาร์ทโฟนยุคใหม่ที่ทาง Apple ยังไม่ใส่มาให้กับ iPhone 12 ไม่ว่าจะเป็น ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแสดงผล, หน้าจอไร้ขอบไร้รอยบาก, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C เหมือนกับ iPad Pro, ฟีเจอร์ Reverse Charging สำหรับชาร์จไร้สายให้กับอุปกรณ์อื่น หรือกล้องหลังความละเอียดสูง ซึ่งไม่แน่ว่าฟีเจอร์ทั้งหมดนี้อาจจัดเต็มมาให้กับ iPhone 13 ที่คาดว่าจะเป็นรุ่นอัปเกรดแบบ Major Change ก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี การเลือกซื้อสมาร์ทโฟนแต่ละครั้ง ทางทีมงานอยากให้ทุกท่านได้ลองสัมผัสตัวจริง และทดลองใช้งานก่อน ซึ่งหากได้ทดลองเล่นแล้วถูกใจ และสมาร์ทโฟนรุ่นนั้นๆ มีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว ก็ถือว่าน่าจับจองเป็นเจ้าของแล้วครับ
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 13/10/2563