พรีวิว Samsung Galaxy Z Fold3 5G | Z Flip3 5G ตัวท็อปจอพับฉบับปรับปรุงใหม่ จัดใหญ่ให้สุดกว่าเดิม
สมาร์ทโฟนจอพับ (Foldable Phone) ดูจะไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวอีกต่อไป เพราะ 2-3 ปีหลังมานี้แบรนด์ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชั้นนำของโลกได้เข้ามาบุกเบิก และผลักดันผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้อย่างจริงจัง หนึ่งในชื่อแรก ๆ ที่เราต้องนึกถึงก็คือ Samsung ซึ่งพัฒนาสมาร์ทโฟนจอพับมาแล้วหลายต่อหลายรุ่น ตั้งแต่ Galaxy Fold, Galaxy Z Flip และ Galaxy Z Fold2 จนล่าสุดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2021 ที่ผ่านมา ก็ได้เปิดตัว Galaxy Z Fold3 5G กับ Galaxy Z Flip3 5G คู่หูสมาร์ทโฟนจอพับตัวท็อปรุ่นใหม่ล่าสุดของค่ายอย่างเป็นทางการ และถึงแม้ทั้ง 2 รุ่นนี้จะเป็นสมาร์ทโฟนจอพับที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกันอยู่พอสมควร แต่แท้จริงแล้วเกิดมาจาก DNA เดียวกัน เพียงแต่เน้นให้ตอบโจทย์ไปคนละแบบเท่านั้น
ซึ่งในตอนนี้ตัวจริงเสียงจริงของทั้ง Galaxy Z Fold3 5G กับ Galaxy Z Flip3 5G ก็มาอยู่ในมือของทีมงาน Thaimobilecenter เรียบร้อยแล้ว เรียกว่าทาง Samsung ส่งมาให้ลองใช้งานแบบด่วนทันใจ ภายในกล่องไซส์ยักษ์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ดังนั้นเดี่ยวเราจะนำมาพรีวิวแบบสั้น ๆ ให้ทุกท่านได้ชมกันก่อนว่าทั้ง 2 รุ่นนี้ถูกพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างไร, มีความแตกต่างกันแค่ไหน, เหมาะกับผู้ใช้แบบใด และมีราคาอยู่ที่เท่าไหร่ ไปติดตามกันได้เลยครับ
นวัตกรรมล่าสุด ครั้งแรกของโลก บนสมาร์ทโฟนจอพับได้ กับความแรงระดับท็อป
กล้องซ่อนใต้หน้าจอรุ่นแรกของค่าย
นวัตกรรมการซ่อนกล้องหน้าเอาไว้ใต้หน้าจอนั้นมีการพัฒนามาพักใหญ่แล้ว แต่ก่อนหน้านี้ก็ยังพัฒนายังไม่ถึงขึ้นที่จะนำมาทำตลาดอย่างจริงจัง จนในที่สุด Samsung ก็พร้อมที่จะนำมาใช้งานจริงแล้วใน Galaxy Z Fold3 5G เป็นรุ่นแรกของค่าย และนับเป็นรุ่นแรก ๆ ของโลกที่นำกล้องหน้าแบบ Under Display Camera มาใส่ไว้ แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่านี่คือการนำมาใช้จริงครั้งแรก แม้ดูเผิน ๆ อาจสังเกตไม่เห็นกล้องหน้า และแสดงผลได้สวยงามเต็มตาโดยที่ไม่มีรู, รอยบาก, ติ่ง หรือหยดน้ำ มาบดบังสายตา
อย่างไรก็ดีเมื่อเราเปิดใช้งานกล้องหน้า รูกล้องก็จะเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน เพราะอย่างไรก็จำเป็นต้องให้ชั้นหน้าของเลนส์กล้องมีความโปร่งใสมากที่สุด เพื่อให้แสงผ่านเข้าไปยังเซนเซอร์รับภาพได้ ด้วยการตัดวงจรการแสดงผลบริเวณนั้นออกไปชั่วคราว
ส่วนขณะที่มีการใช้งานด้านอื่น ๆ แม้วงจรการแสดงผลจะทำงาน แต่เราก็ยังคงสามารถสังเกตเห็นรูกล้องได้ลาง ๆ ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็คือบริเวณนั้นยังไม่สามารถทำให้มีเม็ดพิกเซลที่ละเอียดคมชัดเท่ากับจอแสดงผลปกติได้นั่นเอง แต่นี่ก็คือการบุกเบิกนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว และในอนาคตน่าจะพัฒนาให้ดีขึ้นได้อีกอย่างแน่นอน
เปรียบเทียบภาพเซลฟี่จากกล้อง Under Display Camera กับกล้องหน้าปกติ
ประเด็นสำคัญที่ยังถูกตั้งข้อสงสัยกันอยู่ก็คือ ในเมื่อต้องมีชั้นของการแสดงผลเพิ่มเข้ามาที่หน้าเลนส์ของกล้องที่ซ่อนใต้หน้าจอ (Under Display Camera) ซึ่งอาจมีผลกับความสามารถของการรับแสง แล้วคุณภาพของภาพที่ถ่ายออกมาจะแตกต่างจากกล้องหน้าปกติของ Galaxy Z Fold3 5G เองขนาดไหน ในวันนี้เราก็ลองถ่ายภาพตัวอย่างมาให้ลองเปรียบเทียบกันดูครับ
จากภาพที่เห็น เรื่องความละเอียดคมชัดของภาพนั้นก็ต้องยอมรับว่ากล้องหน้าปกติที่มีความละเอียด 10 ล้านพิกเซล นั้นย่อมต้องดีกว่ากล้องหน้าแบบซ่อนใต้หน้าจอที่มีความละเอียดเพียง 4 ล้านพิกเซล แต่หากเราตัดเรื่องของความละเอียดออกไป ก็มีอยู่อีกจุดที่สังเกตได้ก็คือภาพเดิม ๆ ที่เห็นในช่วงเสี้ยววินาทีแรกหลังกดชัตเตอร์ ยังคงดูมีความฟุ้งอยู่บ้าง แต่พอในเสี้ยววินาทีต่อมา ดูเหมือนซอฟต์แวร์ของกล้อง Under Display Camera จะมีการประมวลผลต่ออีกขั้นหนึ่งด้วยความรวดเร็ว เพื่อปรับให้ภาพที่ยังดูฟุ้งนั้นมีความคมชัดมากขึ้น และระดับความเปรียบต่าง (Contrast) ที่ดีขึ้น จนเราได้ผลลัพธ์สุดท้ายดังภาพที่เห็น ซึ่งนี่ก็เป็นเทคนิคการปรับปรุงคุณภาพของรูปถ่ายอย่างหนึ่งที่ยังคงจำเป็นต้องนำมาใช้กับกล้องแบบซ่อนใต้หน้าจอ
สมาร์ทโฟนจอพับรุ่นแรกของโลก ที่ทนน้ำได้ตามมาตรฐาน IPX8
อีกหนึ่งไฮไลท์ก็คือ ตัวเครื่องของทั้ง Galaxy Z Fold3 5G กับ Z Flip3 5G นั้นมีคุณสมบัติของการทนน้ำตามมาตรฐาน IPX8 ซึ่งตามข้อมูลระบุว่าสามารถทนน้ำได้ลึก 1.5 เมตร นานสูงสุด 30 นาที ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนจอพับ 2 รุ่นแรกของโลกที่ทำได้ ดังนั้นจึงสามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจแบบไม่ต้องกลัวน้ำอีกต่อไป
ทนทานมากขึ้นด้วยโลหะ Armor Aluminum และ Ultra Thin Glass
เมื่อเกิดมาเป็นสมาร์ทโฟนจอพับ เรื่องกลไกของการพับก็จำเป็นต้องมีความทนทานสูง ซึ่งใน Galaxy Z Fold3 5G กับ Z Flip3 5G นั้นถูกอัปเกรดมาใช้โลหะ Armor Aluminum ที่ส่วนของบานพับ กับกรอบตัวเครื่อง ซึ่งช่วยให้มีความทนทานมากขึ้นกว่า 10% ประกอบกับกระจก Samsung Ultra Thin Glass ที่พัฒนามาเพื่อจอพับโดยเฉพาะ ซึ่งมีความทนทานมากกว่าเดิม 80% รวมแล้วจึงสามารถทนต่อการพับ และกางตัวเครื่องได้มากกว่า 200,000 ครั้ง
แข็งแกร่งทั่วร่างด้วยกระจก Gorilla Glass Victus
ที่ด้านหน้า และด้านหลังของทั้ง Galaxy Z Fold3 5G กับ Z Flip3 5G ต่างถูกอัปเกรดให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยการครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus ซึ่งเป็นกระจกนิรภัยรุ่นที่แข็งแกร่งที่สุดของบริษัท Corning ในขณะนี้ โดยทาง Samsung ระบุว่าสามารถทนต่อการตกหล่นจากที่สูงได้ 2 เมตร และทนต่อการขีดข่วนได้มากกว่า 4 เท่า เมื่อเทียบกับกระจกอะลูมิโนซิลิเกต
เร็วแรงขั้นสุดทุกการใช้งานด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 888
ด้วยการที่ทั้ง Galaxy Z Fold3 5G และ Z Flip3 5G เป็นผลิตภัณฑ์ระดับบนสุดของค่าย เรื่องการประมวลผลก็ย่อมจะต้องเลือกใช้ชิปเซ็ตที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเช่นเดียวกัน นั่นก็คือชิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง Snapdragon 888 จากค่าย Qualcomm ที่ใช้สถาปัตยกรรมการผลิตระดับ 5 nm ที่มากับหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Adreno 660 ผสานกับหน่วยความจำแรม (RAM) แบบ LPDDR5 ดังนั้นทุกการใช้งานจึงเร็วแรงลื่นไหลไม่มีสะดุด ทั้งความบันเทิง, การทำงาน หรือแม้กระทั่งเกมที่มีกราฟิกระดับสูงก็ตาม
สิ่งใหม่ และจุดขายของ Galaxy Z Fold3 5G
ตัวเล็กลง แต่ยังคงจอใหญ่เท่าเดิม เพิ่มเติมด้วยการลดน้ำหนัก
ผู้ใช้งาน Galaxy Fold หรือ Z Fold รุ่นก่อนหน้านี้ แม้ต่างจะเข้าใจดีว่าสมาร์ทโฟนจอพับสไตล์นี้ ตัวเครื่องย่อมต้องมีขนาดที่ใหญ่, มีน้ำหนักเยอะ และมีความหนาเป็นพิเศษขณะพับหน้าจอ อย่างไรก็ดีก็ยังหวังให้ Samsung พัฒนาให้มีความกะทัดรัดลงอีกสักนิด ซึ่งในที่สุด Samsung ก็ทำให้ตามคำขอแล้วใน Galaxy Z Fold3 5G รุ่นนี้ ด้วยขนาดหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่เท่าเดิมเมื่อเทียบกับ Galaxy Z Fold2 5G รุ่นพี่ ทั้งจอหลัก และจอด้านนอก ในขณะที่ตัวเครื่องมีขนาดที่ลดลงเล็กน้อย ทั้งขณะพับ และขณะกาง
ที่สังเกตได้ด้วยตาก็คือความหนาส่วนของแกนบานพับ ที่ถูกปรับให้ลดลงเหลือ 16.0 มิลลิเมตร จากเดิมที่หนา 16.8 มิลลิเมตร จึงพับจอได้ดูแนบสนิทมากขึ้น อีกทั้งน้ำหนักตัวยังลดลงเหลือ 271 กรัม จากเดิม 282 กรัม
ดีไซน์ปรับปรุงใหม่ ต่อยอดให้สวยลงตัวขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นพี่อย่าง Galaxy Z Fold2 หากดูที่ด้านหน้า โดยรวมแล้วแทบไม่มีความแตกต่างกัน ยกเว้นบางจุด แต่เมื่อพลิกมาที่ด้านหลังก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างชัดเจน นั่นคือดีไซน์ของกล้องถ่ายภาพที่เปลี่ยนจากแบบกรอบสี่เหลี่ยม มาเป็นกรอบวงรียาวที่มีการจัดเรียงกล้อง กับไฟแฟลชไว้ในแนวตั้งทั้งหมด พร้อมเลนส์กล้องขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งก็ดูสวยหรูไปคนละแบบ
ชุดสีตัวเครื่องใหม่ มีให้เลือก 3 สไตล์
เดิมทีใน Galaxy Z Fold2 นั้นมีตัวเครื่องให้เลือกเพียงแค่ 2 สี คือ Mystic Black กับ Mystic Bronze แต่พอมาใน Galaxy Z Fold3 จะมีสีสันของตัวเครื่องให้เลือกเพิ่มขึ้นเป็น 3 สี ได้แก่ สีดำ (Phantom Black), สีเขียว (Phantom Green) และสีเงิน (Phantom Silver)
ได้ความลื่นระดับ 120Hz ครบทั้งจอหลัก และจอด้านนอก
แต่เดิมใน Galaxy Z Fold2 5G จะมีเพียงจอแสดงผลหลักด้านในจอเดียวเท่านั้นที่มีอัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz ในขณะที่จอด้านนอกยังคงมีอัตราการรีเฟรชตามมาตรฐานที่ 60Hz แต่พอมาใน Galaxy Z Fold3 5G ทั้งจอแสดงผลหลักด้านใน และจอด้านนอก ต่างก็มีอัตราการรีเฟรชสูงสุดที่ 120Hz ดังนั้นไม่ว่าจะใช้งานจอไหน ก็มีความลื่นไหลเนียนตาด้วยกันทั้งคู่
รองรับปากกา S Pen ปีนี้ไม่มี Galaxy Note ก็ไม่ใช่ปัญหา
เป็นที่แน่นอนแล้วว่า Galaxy Note รุ่นใหม่ที่ควรจะเปิดตัวในปีนี้อย่าง Galaxy Note 21 Series จะยังไม่ได้มาตามนัดเหมือนกับปีก่อน ๆ แต่นั่นก็อาจจะไม่ใช่ปัญหา เพราะ Galaxy Z Fold3 5G รุ่นนี้เป็นสมาร์ทโฟนจอพับรุ่นแรกที่สามารถใช้งานร่วมกับปากกา S Pen เพื่อการขีดเขียนได้ด้วย แต่ด้วยคุณสมบัติของหน้าจอแบบพับได้ที่ไม่ได้มีความทนทานต่อการขีดเขียนเท่ากับหน้าจอปกติ ดังนั้นปากกา S Pen ที่นำมาใช้ก็ต้องเป็นรุ่นที่ออกแบบมาเฉพาะด้วยเช่นกัน ไม่สามารถนำปากกา S Pen ที่ใช้กับ Galaxy Note หรือ Galaxy S21 Ultra มาใช้งานได้
โดยปากกา S Pen ที่ใช้กับ Galaxy Z Fold3 5G ได้มีอยู่ 2 รุ่นก็คือปากกา S Pen Fold Edition (ไม่มี Bluetooth) และปากกา S Pen Pro (มี Bluetooth) ด้วยหัวปากกาที่มีความอ่อนนุ่มมากกว่า โดยรุ่น S Pen Pro นั้นจะเป็นรุ่นที่สูงกว่า มีขนาดใหญ่กว่า และมีฟีเจอร์ที่มากกว่า เช่นรองรับการสั่งงานด้วยท่าทางผ่านฟีเจอร์ Air Actions, หัวปากกาแบบ Pro tip, ไฟ LED แสดงสถานะการทำงาน, มีแบตเตอรี่ในตัว, ปุ่มสลับโหมดการทำงาน (โหมด S Pen กับโหมด Z Fold) และใช้งานได้กับทุกอุปกรณ์ที่รองรับ S Pen
เปิดใช้งาน 3 แอปพลิเคชันพร้อมกัน ใช้ได้ทุกแอปพลิเคชัน
ในอีกด้านหนึ่ง Galaxy Z Fold3 5G นั้นก็เป็นเหมือนกับแท็บเล็ตขนาดย่อม ๆ เพราะเมื่อกางออกจะมีหน้าจอที่ใหญ่ถึง 7.6 นิ้ว ดังนั้นจึงมีฟีเจอร์หลายอย่างที่นำมาประยุกต์ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เช่นการเปิดใช้งานพร้อมกันสูงสุด 3 หน้าต่าง ด้วย Multi Window พร้อมรองรับการใช้งานทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน เรียกว่าสามารถทำงานไปพร้อม ๆ กับดูหนัง และเล่นโซเชียล ได้แบบสบาย ๆ และไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถใช้ได้กับทุกแอปพลิเคชัน แม้แอปพลิเคชันนั้นจะไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้กับ Multi Window ก็ตาม โดยต้องมีการตั้งค่าเล็กน้อยที่ Settings > Advanced Features > Labs แล้วเปิดตัวเลือก Multi Window for All Apps แต่แอปพลิเคชันบางตัวที่ไม่ได้ออกแบบมาให้รองรับกับ Multi Window ก็อาจจะทำงานได้ไม่สมบูรณ์ 100%
จุดสังเกตอื่น ๆ ของ Galaxy Z Fold3 5G
ยังคงเห็นรอยพับอยู่
สำหรับ Galaxy Z Fold3 5G ก็เป็นเช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง Galaxy Fold หรือ Galaxy Z Fold2 คือเมื่อกางหน้าจอออก เราก็ยังคงสามารถสังเกตเห็นรอยพับบริเวณกึ่งกลางของหน้าจอ ที่เป็นจุดของบานพับได้อยู่ ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่เลี่ยงได้ยาก และในอนาคตไม่แน่ว่าจะพัฒนาให้รอยพับหายไปได้หรือไม่ หรือรูปแบบของการขยายหน้าจออาจจะต้องเปลี่ยนไปเป็นแบบอื่น เราก็ต้องติดตามกันต่อไป
กล้องอื่นยังเหมือนเดิม
แม้จะมีการใส่สุดยอดนวัตกรรมกล้องหน้าซ่อนใต้หน้าจอ (Under Display Camera) มาให้ แต่สำหรับกล้องตัวอื่น ๆ ที่เหลือของ Galaxy Z Fold3 5G นั้นยังคงใช้ชุดเดียวกับกล้องบน Galaxy Z Fold2 5G เช่นเดิม นั่นคือกล้องตัวหลัก 3 ตัว ประกอบไปด้วยกล้อง Wide Angle 12MP + Ultra Wide 12MP + Telephoto 12MP และกล้องหน้าที่ด้านนอกฝาพับ (Cover Camera) ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล
เมื่อกางจอออกแล้วเปิดกล้อง ก็จะสามารถเปิดฟังก์ชัน Capture View ขึ้นมาใช้งานได้ โดยจอด้านขวาจะเป็นกล้องถ่ายภาพตามปกติ ส่วนที่จอด้านซ้ายจะมีตัวอย่างของรูปภาพที่ถ่ายล่าสุด
>>> สรุปคุณสมบัติ (สเปก) โดยละเอียดของ Samsung Galaxy Z Fold3 5G 12GB+256GB <<<
>>> สรุปคุณสมบัติ (สเปก) โดยละเอียดของ Samsung Galaxy Z Fold3 5G 12GB+512GB <<<
สิ่งใหม่ และจุดขายของ Galaxy Z Flip3 5G
เดิมว่าตัวเล็กแล้ว ก็ยังเล็กลงได้อีก
เช่นเดียวกับรุ่นที่เปิดตัวมาพร้อมกันอย่าง Galaxy Z Fold3 5G สำหรับ Galaxy Z Flip3 5G ก็ถูกปรับลดขนาดลงเล็กน้อย ให้มีความกะทะรัดลงอีกนิดเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง Galaxy Z Flip ตั้งแต่ความหนาตรงส่วนของบานพับที่ลดลงเหลือ 17.1 มิลลิเมตร จากเดิม 17.4 มิลลิเมตร, ความหนาสูงสุดขณะกางที่ลดลงเหลือ 6.9 มิลลิเมตร จากเดิมสูงสุด 7.2 มิลลิเมตร, ความกว้างของตัวเครื่องที่ลดลงเหลือ 72.2 มิลลิเมตร จากเดิม 73.6 มิลลิเมตร, ความสูงขณะพับจอที่ลดลงเหลือ 86.4 มิลลิเมตร จากเดิม 87.4 มิลลิเมตร และความสูงขณะกางจอที่ลดลงเหลือ 166 มิลลิเมตร จากเดิม 167.3 มิลลิเมตร อย่างไรก็ดีน้ำหนักตัวนั้นยังคงเท่าเดิมที่ 183 กรัม
ดีไซน์ใหม่เพื่อการใช้งานที่ดีขึ้น
หากมาดูที่ดีไซน์โดยรวมเมื่อเทียบ Galaxy Z Flip รุ่นแรก ก็จะพบว่า Galaxy Z Flip3 มีการเน้นเหลี่ยมมุมมากขึ้น มีความโค้งมนน้อยลงกว่าเดิม โดยที่ด้านหน้าของ Galaxy Z Flip3 จะพบว่าขอบของหน้าจอมีความบางเฉียบลงกว่าเดิม พร้อมรูหูฟังด้านบนที่ปรับมาเป็นดีไซน์แบบ 3 รู เนื่องจากใช้เป็นลำโพงเสียงตัวที่สองด้วย และแกนบานพับที่ดูเรียบเนียนกลมกลืนไปกับตัวเครื่องมากกว่าเดิม
ส่วนที่ด้านหลังมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการเล่นสีแบบทูโทน โดยในส่วนของกล้องคู่จะอยู่บนแถบพื้นหลังสีดำสนิท ซึ่งตรงนี้คือหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้นเป็น 1.9 นิ้ว รองรับการใช้งานได้ดีขึ้น กับขนาดของเลนส์กล้องที่ใหญ่ขึ้น และมีการเรียงตัวในแนวตั้งแทน ทั้งเลนส์กล้อง กับไฟแฟลช
จอด้านนอกใหญ่ขึ้น 4 เท่า ช่วยงานเราได้ แบบไม่ต้องเปิดฝา
เดิมหน้าจอแบบ Super AMOLED ด้านนอกของ Galaxy Z Flip รุ่นแรกนั้นมีขนาดเพียง 1.1 นิ้ว ที่ความละเอียด 300x122 พิกเซล แต่พอมาใน Galaxy Z Flip3 นั้นถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นถึง 4 เท่า เป็นขนาด 1.9 นิ้ว ที่ความละเอียด 512x260 พิกเซล ซึ่งนอกจากจะช่วยให้การแสดงผลดูชัดเจนเต็มตามากขึ้นแล้ว ยังรองรับการแสดงผลการแจ้งเตือนต่าง ๆ พร้อมโต้ตอบกับการแจ้งเตือน และรองรับการเปลี่ยนสไตล์ กับภาพพื้นหลังได้อีกด้วย
จอหลักด้านในแบบ 120Hz สุดลื่นไหล และอัปเกรดมาใช้ Dynamic AMOLED 2X
จอหลักด้านในของ Galaxy Z Flip3 นั้นมีขนาดอยู่ที่ 6.7 นิ้วเท่าเดิม แต่ถูกอัปเกรดเพิ่มเติมความสามารถเข้ามา อย่างแรกคือรองรับอัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) สูงสุดที่ 120Hz และอย่างที่สองคือเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีการแสดงผลที่ดีขึ้นอย่าง Dynamic AMOLED 2X Infinity Flex Display ดังนั้นการใช้งานจึงลื่นไหลเนียนตากว่า และแสดงผลได้สวยงามมากขึ้นกว่าเดิม
ถ่ายรูปไม่ต้องถือเครื่องในแบบ Hands-free ด้วย Flex Mode
นับเป็นฟีเจอร์ที่เหมาะกับการพับหน้าจอของ Galaxy Z Flip3 เป็นอย่างยิ่ง นั่นคือการใช้งานโดยไม่ต้องถือเครื่องไว้ในแบบ Hands-free ด้วยฟีเจอร์ Flex Mode เช่นการตั้งจอวางไว้เพื่อถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหน้า, ตั้งไว้เพื่อถ่ายวิดีโอแบบ Hyperlapse ด้วยกล้องหลัง หรือตั้งไว้เพื่อการสนทนาแบบวิดีโอผ่าน Google Duo ซึ่งเราสามารถปรับมุม หรือองศาของการพับได้ตามใจชอบ และอีกอย่างที่น่าสนใจก็คือเราสามารถใช้หน้าจอ Cover Screen ที่ด้านนอกสำหรับการพรีวิวรูปภาพก่อนถ่ายด้วยกล้องหลังได้ ซึ่งช่วยให้เราได้ภาพที่ต้องการโดยไม่มีใครหลุดจากเฟรม
ชุดสีตัวเครื่องใหม่ หลากหลายกว่าเดิม
เดิมทีใน Galaxy Z Flip นั้นมีสีตัวเครื่องให้เลือกเพียง 3 สี คือ Mirror Purple, Mirror Black และ Mirror Gold แต่พอมาใน Galaxy Z Flip3 จะมีสีสันให้เลือกมากขึ้นรวมถึง 7 สีด้วยกัน ทั้ง 4 สีมาตรฐาน ได้แก่สี Cream, Green, Lavender และ Phantom Black กับอีก 3 สีพิเศษแบบ Exclusive ที่จำหน่ายเฉพาะใน Samsung.com ได้แก่สี Gray, White และ Pink
มีตัวเลือกรุ่นความจุ 128GB
รุ่นก่อนหน้านี้อย่าง Galaxy Z Flip มีรุ่นความจุ 256GB ให้เลือกเพียงรุ่นเดียว ซึ่งทำให้ราคาอาจสูงเกินเอื้อมสำหรับบางคน แต่พอมาใน Galaxy Z Flip3 ทาง Samsung ได้เพิ่มรุ่นความจุ 128GB เข้ามาให้เลือก ทำให้หลายคนที่ต้องการสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่จากสมาร์ทโฟนจอพับ สามารถตัดสินใจจับจองเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น
จุดสังเกตอื่น ๆ ของ Galaxy Z Flip3 5G
ข้ามชื่อรุ่นมาเป็น Galaxy Z Flip3
สิ่งแรกที่เราสังเกตได้ทันทีก็คือชื่อรุ่น เพราะแทนที่จะเลือกใช้ลำดับตัวเลขต่อจากรุ่นที่แล้วอย่าง Galaxy Z Flip ให้มาเป็น Galaxy Z Flip2 แต่ทาง Samsung ได้ตัดสินใจข้ามลำดับตัวเลขมาเป็น Galaxy Z Flip3 แทน ซึ่งเหตุผลก็คือทาง Samsung ต้องการให้สมาร์ทโฟนจอพับในตระกูล Galaxy Z Series ทั้งหมดมีลำดับตัวเลขที่เท่ากัน เพื่อป้องกันการสับสนเรื่องความใหม่ความเก่า เช่นหากการเปิดตัวครั้งนี้เลือกใช้ชื่อรุ่นเป็น Galaxy Z Flip2 แทน พอนานไปบางคนก็อาจจะนึกว่า Galaxy Z Flip2 นั้นเก่ากว่า Galaxy Z Fold3 ที่เปิดตัวออกมาพร้อมกันก็เป็นได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ตัวเลขเดียวกันนั่นเอง
ยังคงเห็นรอยพับอยู่
เช่นเดียวกับ Galaxy Z Fold3 5G คือเรายังคงสามารถเห็นรอยพับที่บริเวณกึ่งกลางของหน้าจอหลักด้านในได้อยู่ โดยเฉพาะเวลาที่ปิดหน้าจอ แต่เมื่อเราเปิดหน้าจอเพื่อใช้งาน รอยพับดังกล่าวก็แทบจะถูกกลืนไปกับคอนเทนต์ต่าง ๆ บนหน้าจอ เมื่อใช้งานไประยะหนึ่งจนเคยชิน ในบางครั้งก็อาจจะเผลอลืมว่าเคยมีรอยพับอยู่ตรงนั้น
กล้องยังเหมือนเดิมทั้งหมด
ด้วยกล้องที่ใช้งานได้ดีอยู่แล้วใน Galaxy Z Flip รุ่นแรก ทาง Samsung น่าจะเห็นว่ายังไม่จำเป็นต้องอัปเกรดกล้องในตอนนี้ และอย่างไรก็ไม่ใช่สมาร์ทโฟนซีรีส์ที่เน้นเรื่องการถ่ายภาพเป็นหลัก ดังนั้นใน Galaxy Z Flip3 จึงยกชุดกล้องเดิมมาจาก Galaxy Z Flip ทั้งหมด ทั้งกล้องตัวหลักแบบคู่ (Dual Camera) ซึ่งประกอบด้วยกล้อง Wide Angle 12MP+Ultra Wide 12MP และกล้องหน้าความละเอียด 10 ล้านพิกเซล
>>> สรุปคุณสมบัติ (สเปก) โดยละเอียดของ Samsung Galaxy Z Flip3 5G 8GB+128GB <<<
>>> สรุปคุณสมบัติ (สเปก) โดยละเอียดของ Samsung Galaxy Z Flip3 5G 8GB+256GB <<<
ตัวอย่างภาพถ่ายในเบื้องต้นจากกล้องของ Galaxy Z Fold3 5G
สรุปส่งท้าย และสรุปราคาของ Samsung Galaxy Z Fold3 5G | Z Flip3 5G
และที่ผ่านไปข้างต้นก็เป็นเพียงแค่รายละเอียดส่วนหนึ่งของ Samsung Galaxy Z Fold3 5G กับ Galaxy Z Flip3 5G เท่านั้น ยังมีสิ่งที่น่าสนใจให้พูดถึงอีกมากมาย ซึ่งเราจะมาลงรายละเอียดกันอีกครั้งในรีวิวฉบับเต็ม สุดท้ายก่อนจากกันไป เรามาดูข้อมูลราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย และโปรโมชั่นการสั่งจองล่วงหน้าของสมาร์ทโฟนจอพับทั้ง 2 รุ่นนี้กันครับ
Galaxy Z Fold3 5G มีตัวเลือก 3 สี ได้แก่ สีดำ Phantom Black, สีเขียว Phantom Green และสีเงิน Phantom Silver โดยมีราคาดังนี้
- Samsung Galaxy Z Fold3 5G รุ่น RAM 12GB+ROM 256GB ราคา 57,900 บาท
- Samsung Galaxy Z Fold3 5G รุ่น RAM 12GB+ROM 512GB ราคา 61,900 บาท
- Samsung Galaxy Z Fold3 Thom Browne Edition ราคา 111,000 บาท
Galaxy Z Flip3 5G มีตัวเลือก 4 สี ได้แก่ สีครีม (Cream), สีเขียว (Green), สีม่วงลาเวนเดอร์ (Lavender) และสีดำ Phantom Black โดยมีราคาดังนี้
- Samsung Galaxy Z Flip3 5G รุ่น RAM 8GB+ROM 128GB ราคา 34,900 บาท
- Samsung Galaxy Z Flip3 5G รุ่น RAM 8GB+ROM 256GB ราคา 36,900 บาท
- Samsung Galaxy Z Flip3 Thom Browne Edition ราคา 76,000 บาท
สำหรับ Galaxy Z Fold3 5G และ Galaxy Z Flip3 5G เปิดให้สั่งจองได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 22 สิงหาคม 2564 พร้อมรับคูปองเงินสดมูลค่าสูงสุด 9,000 บาท และบริการ Samsung Care+ 1 ปี มูลค่า 7,089 บาท โดยผู้ที่สั่งจองจะได้รับเครื่อง Galaxy Z Fold3 5G และ Galaxy Z Flip3 5G เป็นกลุ่มแรกของประเทศไทยในวันที่ 2 กันยายน 2021 เป็นต้นไป
ลงทะเบียนร่วมแคมเปญได้ที่ First to Unfold ได้ที่ https://www.samsung.com/th/unpacked/
พรีวิวโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 14/8/2564