พรีวิว realme C3 สมาร์ทโฟนน้องใหม่ราคาประหยัด แต่แบตจัดเต็ม 5000 mAh พร้อมชิปเกมมิ่ง Helio G70 รุ่นแรกในไทย และกล้องหลัง 3 ตัว บนบอดี้ Sunrise Design สวยสะดุดตา
หลังจากที่ realme เปิดตัวสมาร์ทโฟนตระกูล C Series รุ่นใหม่ล่าสุดอย่างrealme C3 ในต่างประเทศไปเมื่อไม่นานมานี้ จุดเด่นด้านคุณสมบัติที่ครบเครื่อง ทั้งจอใหญ่ถึง 6.5 นิ้ว และชิปเซ็ตเกมมิ่งตัวแรงรุ่นใหม่อย่าง Helio G70 ในราคาเปิดตัวที่อินเดียเริ่มต้นราว 3,000 บาทเท่านั้น ซึ่งล่าสุดก็มีข้อมูลออกมาว่าทาง realme ประเทศไทยจะนำ realme C3 เข้ามาวางจำหน่ายในบ้านเราเร็วๆ นี้ด้วย ซึ่งถือเป็นการสานต่อความสำเร็จของ realme C2 ได้เป็นอย่างดี
และเนื่องในโอกาสที่ทีมงาน Thaimobilecenter มีโอกาสได้ทดลองใช้งาน realme C3 เป็นกลุ่มแรกๆ จึงไม่พลาดที่จะนำจุดเด่นของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้มาบอกกล่าวให้แก่ผู้อ่านทุกท่านได้รับทราบกัน หากพร้อมแล้วไปติดตามกันเลยครับ
realme C3 โดดเด่นมาแต่ไกลด้วยกล่องบรรจุภัณฑ์สีเหลืองนวลตามสไตล์ของ realme ที่ด้านหน้าประทับชื่อรุ่น C3 ด้วยสีดำแบบเด่นชัด
ในกล่องผลิตภัณฑ์ประกอบไปด้วยคู่มือการใช้งาน, เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด, สายเชื่อมต่อแบบ microUSB และอแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่แบบ 5V/2A (10W)
มาดูที่ตัวเครื่องกันบ้าง realme C3 ยังคงมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลทรงหยดน้ำ (Mini-drop Fullscreen) คล้ายกับ realme รุ่นอื่นๆ โดยตัวหน้าจอเป็นแบบ LCD ขนาด 6.5 นิ้ว พื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่อง 89.8% ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 3 พร้อมความละเอียดระดับ HD+ ซึ่งแม้ความละเอียดอาจจะดูน้อยไปสักนิดเมื่อเทียบกับขนาดของหน้าจอ แต่เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ขนาดจุใจถึง 5000mAh ก็จะมีส่วนช่วยสำคัญที่ทำให้ใช้งานได้อย่างยาวนานมากยิ่งขึ้นตามที่ realme ระบุว่า สามารถสแตนบายด์ได้นานถึง 30 วัน
ที่ด้านบนของหน้าจอติดตั้งกล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 โครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์ นอกจากนี้ บริเวณขอบเครื่องยังเป็นพื้นที่สำหรับติดตั้งลำโพงสนทนา รวมถึงเซ็นเซอร์สำคัญต่างๆ ของตัวเครื่อง ซึ่งกล้องตัวนี้จะทำหน้าที่สำหรับสแกนใบหน้าผู้ใช้งานเพื่อปลดล็อกตัวเครื่องด้วย
ส่วนที่ด้านล่างของตัวเครื่องไม่มีปุ่มแบบ Physical ตามสไตล์มือถือยุคใหม่ มีเพียงแถบสัมผัสบนหน้าจอสำหรับควบคุมตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ปุ่ม Recent Apps สำหรับเรียกดูแอปพลิเคชันทั้งหมด, ปุ่ม Home สำหรับย้อนกลับไปหน้าโฮมสกรีน และปุ่ม Back สำหรับย้อนกลับ
ส่วนใครที่ต้องการใช้งานรูปแบบเต็มจออย่างแท้จริง ก็สามารถสลับไปใช้วิธีควบคุมแบบ Gesture ได้ด้วย
ที่ด้านบนไม่มีปุ่ม, เซ็นเซอร์ หรือโมดูลใดๆ ติดตั้งไว้
ที่ด้านซ้ายของตัวเครือ่งประกอบไปด้วย ถาดใส่ซิมการ์ด และปุ่มปรับระดับเสียง
สำหรับถาดใส่ซิมการ์ดของ realme C3 เป็นแบบ Triple-Slot รองรับการใช้งานได้พร้อมกันทั้งซิมการ์ดแบบ nanoSIM สองช่องและ microSD Card ความจุสูงสุด 256GB
ที่ด้านขวาของตัวเครื่องมีเพียงปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิด เครื่อง หรือล็อกหน้าจอแสดงผล
ส่วนที่ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบไปด้วย ช่องเสียบหูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มม., ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่หรือโอนถ่ายข้อมูล และลำโพงเสียงตัวหลัก
ที่ด้านหลังตัวเครื่องถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดจากรุ่น realme C2 โดยในครั้งนี้มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ Sunrise Design ตัวเครื่องมรเคลือบผิวสัมผัสให้สะท้อนแสงที่ตกกระทบกระจายเป็นแฉกๆ โดยสีแดง Blazing Red ที่ทีมงานได้รับมาทดลองใช้งานในวันนี้ ทาง realme ระบุว่า ได้รับแรงบันดาลใจมาจากพลัง และความหวังจากแสงแรกของดวงอาทิตย์ ส่วนอีกหนึ่งสีที่จะวางจำหน่ายควบคู่กันด้วยอย่าง สีน้ำเงิน Frozen Blue ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธารน้ำแข็งนั่นเองครับ
หากสังเกตดีๆ จะพบว่า ฝาหลังของ realme มีการแกะสลักเป็นริ้วขนาดเล็กเรียงต่อกัน ซึ่งนอกเหนือจะเพิ่มความสวยงามแล้ว ยังช่วยให้จับได้อย่างแน่นกระชับมือ นอกจากนี้ realme ยังใส่ใจในรายละเอียดด้านงานออกแบบด้านหลังเป็นพิเศษ เพราะฝาหลังมีการผสมผสานเทคโนโลยีขัดมัน, แกะสลักเรเดียว พร้อมเทคโนโลยีพ่นทราย เพื่อป้องกันลายนิ้วมือ และรอยขีดข่วน ที่สำคัญยังมีคุณสมบัติป้องกันน้ำกระเซ็นในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถนำไปจุ่มน้ำได้นะครับ
ที่ด้านบนติดตั้งชุดกล้องหลัง 3 ตัวแบ่งออกเป็น กล้องตัวหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.8, กล้อง Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 รองรับการโฟกัสภาพที่ระยะใกล้สุด 4 เซนติเมตร และกล้อง Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 ถัดมาตรงกลางตัวเครื่องจะเป็นพื้นที่สำหรับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ โดยสามารถปลดล็อกได้ในเวลาเพียง 0.27 วินาทีเท่านั้น
อย่างที่เรากล่าวไปตั้งแต่ต้นว่า realme C3 ให้แบตเตอรี่มาขนาดใหญ่เป็นพิเศษที่ 5000mAh ซึ่งทาง realme เปิดเผยให้ทราบว่า ด้วยแบตเตอรี่ความจุขนาดนี้จะทำให้ realme C3 สแตนด์บายได้นานถึง 727.7 ชั่วโมง หรือประมาณ 30 วัน, สนทนาได้นานต่อเนื่อง 43.99 ชั่วโมง, เล่น PUBG ได้นาน 10.6 ชั่วโมง, ฟังเพลงออนไลน์ได้ 19.4 ชั่วโมง และดูหนังออนไลน์ได้ 20.8 ชั่วโมง นอกจากนี้ ทาง realme ยังได้ใส่ลูกเล่นอย่าง Reverse Charging สำหรับแปลง realme C3 ให้เป็นพาวเวอร์แบงค์สำหรับชาร์จอุปกรณ์อื่นๆ ผ่านสายได้อีกด้วย โดยมีข้อแม้ก็คือเราต้องใช้สาย OTG เพื่อเชื่อมต่อเข้าหากับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นครับ
ในส่วนของงานประกอบถือว่าแน่นหนา ดูแข็งแรง โดยทาง realme ระบุว่า มีการทดสอบตัวเครื่องในสถานการณ์ต่างๆ มาแล้วนับไม่ถ้วนก่อนที่จะพัฒนาเพื่อนำมาวางจำหน่ายจริง ไม่ว่าจะเป็น การปล่อยเครื่องจากที่สูง (Drop Test) 10,000 ครั้ง, ทดสอบการเสียบ USB 10,000 ครั้ง และทดสอบปุ่มกดต่างๆ มากกว่า 100,000 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสินค้าจะมีคุณภาพอยู่ในระดับสูงที่ผู้ใช้มั่นใจได้
มาดูที่ตัวซอฟต์แวร์กันบ้างโดย realme C3 ถือว่าเป็นรุ่นแรกของค่ายที่ได้ใช้ Custom UI ตัวใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาภายใต้ชื่อ realme UIโดยเป็น UI ที่พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Android 10 ซึ่งทาง realme ให้ความสำคัญหลักๆ อยู่ 4 จุด นั่นก็คือ ระบบสี, ไอคอน, พื้นหลัง และภาพเคลื่อนไหวแอนิเมชัน
โดยจากหน้าโฮมสกรีนจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน เพราะไอคอนทั้งหมดถูกปรับดีไซน์ให้ดูเรียบง่ายขึ้นด้วยรูปทรงแบบกลม และมีการใช้สีสันที่มีความโดดเด่นสะดุดตา ส่วนใครที่ไม่ชอบไอคอนทรงกลมก็สามารถไปปรับเป็น Material Style หรือ Pebble ได้ในการตั้งค่า ซึ่งจะมีการปรับไอคอนให้อยู่ในรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า และทรงสี่เหลี่ยมขอบมนนั่นเองครับ
realme UI ยังมีการเพิ่มลูกเล่นใหม่ๆ มาให้ด้วย โดยฟีเจอร์เด่นก็มีตั้งแต่ Dark Mode สำหรับปรับ UI เป็นโทนสีดำ ซึ่งหากเป็นหน้าจอประเภท OLED จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่มากยิ่งขึ้น เพราะบริเวณส่วนสีดำจำไม่มีการเปล่งแสงหน้าจออกมา ส่วนหากเป็นหน้าจอ LCD แบบนี้ หรือแบบอื่นๆ ก็จะทำให้ดูสบายตามากขึ้น ตอบโจทย์การใช้งานในเวลากลางคืนครับ
หรือ Focus Mode ที่ช่วยตัดผู้ใช้ออกจากโลกภายนอก โดยระบบจะทำการเปิดเพลงสบายๆ และเปิดโหมดห้ามรบกวน (Do Not Disturb) เพื่อปิดการแจ้งเตือนต่างๆ ตอบโจทย์เวลาที่ผู้ใช้ต้องการสมาธิ หรือเข้านอนนั่นเอง
มาต่อกันที่คุณสมบัติพื้นฐานกันบ้าง realme C3 ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกในไทยที่ได้ใช้ชิปเซ็ต MediaTek Helio G70 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Gaming ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การเล่นเกมโดยเฉพาะ ตัวชิปเซ็ตเป็นแบบ 8 แกนประมวลผล (Octa-Core Processor) ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมระดับ 12 นาโนเมตร และยังมีเทคโนโลยี HyperEngine ที่เข้ามาช่วยรีดประสิทธิภาพการเล่นเกมให้ดีขึ้นไปอีกขั้น
จากที่ลองทดสอบความแรงของชิปเซ็ตตัวนี้ด้วยแอปพลิเคชันยอดนิยมอย่าง AnTuTu Benchmark พบว่า ทำคะแนนได้ทั้งหมด 181882 คะแนน
ลองนำไปทดสอบประสิทธิภาพด้านการประมวลผลกราฟิกกันบ้าง โดย GPU ที่ติดมากับ Helio G70 ก็คือ Mali-G52 ที่มีความเร็ว 820Hz ซึ่งเมื่อลองนำไปทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน 3DMark พบว่า ทำคะแนนทดสอบแบบ OpenGL ES 3.1 ได้ทั้งหมด 1200 คะแนน และทำคะแนน Vulkan ได้ทั้งหมด 1201 คะแนนด้วยกัน
เมื่อลองนำไปทดสอบการใช้งานในสถานการณ์จริงด้วยการเล่นเกมสามมิติหนักๆ ที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ ก็พบว่าเล่นได้ค่อนข้างลื่นไหลพอตัว แม้ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนที่อยู่ในซีรีส์เริ่มต้นก็ตาม
เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับพรีวิวตัวเครื่องเบื้องต้นของ realme C3 ซึ่งจะเห็นได้ว่าแม้จะเป็นสมาร์ทโฟนที่อยู่ในซีรีส์ระดับเริ่มต้น แต่สำหรับสเปก และฟีเจอร์ต่างๆ แล้ว ถือว่าจัดเต็มมากเลยทีเดียว
สำหรับ realme C3 มีตัวเลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ Frozen Blue และ Blazing Red กับราคาทางการในไทยที่ 3,999 บาท โดยจะเริ่มวางจำหน่ายผ่านช่องทางไลน์ที่ Lazada และ Shopee ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งผู้ที่สั่งซื้อออเดอร์ลำดับที่ 1 - 3 รับฟรี realme PowerBank และออเดอร์ลำดับที่ 4 - 100 รับฟรีหูฟัง Buds 1 (รับฟรี microSD Card ความจุ 32GB ทุกออเดอร์สั่งซื้อ จนกว่าสินค้าจะหมด)
ร้านตัวแทนเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป พร้อมโปรโมชั่นราคาพิเศษเริ่มเพียง 1,499 บาท เมื่อสั่งซื้อผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 รายใหญ่ (AIS และ TrueMove H เริ่มวางจำหน่ายวันที่ 3 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป) สำหรับรีวิวฉบับเต็มรอติดตามจากทีมงาน Thaimobilecenter ได้ในเร็วๆ นี้ครับ
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 19/2/2563
