หน้าแรกมือถือ > รวมข่าวมือถือ > หน้าบทความ ข่าวมือถือ
   
Date : 26/3/2562

สรุป 11 จุดเด่น OPPO F11 Pro มือถือกล้องหลังคู่ 48 ล้านสเปกครบเครื่อง บนดีไซน์จอไร้ขอบ Panoramic Screen ในราคา 10,990 บาท

 

เริ่มเปิดให้สั่งจองเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ OPPO F11 Pro สมาร์ทโฟน F-Series รุ่นใหม่ล่าสุดที่เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยที่ 10,990 บาท ซึ่ง OPPO F11 Pro ก็ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนอีกหนึ่งรุ่นที่มีกระแสตอบรับจากผู้ใช้งานไปในทิศทางที่ดีไม่ใช่น้อย เพราะสามารถทำยอดจองได้มากถึง 80% และยังทำยอดจองได้มากกว่า F-Series รุ่นก่อนอย่าง OPPO F9 ได้ถึง 2 เท่า

เชื่อว่าหลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า OPPO F11 Pro มีจุดเด่นอย่างไรบ้าง ทางทีมงาน Thaimobilecenter จึงได้รวบรวมฟีเจอร์เด่นของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้มาให้ทุกท่านได้รับชมกันเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ โดยจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามพร้อมกันเลยครับ

 

จอไร้ขอบ Panoramic ครั้งแรกของ OPPO F-Series

OPPO F11 Pro ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกจากตระกูล F-Series ที่ได้ใช้หน้าจอไร้ขอบไร้รอยบากแบบ Panoramic Screen ซึ่งเป็นดีไซน์เดียวกันกับที่ใช้บนรุ่นเรือธงอย่าง OPPO Find X โดยหน้าจอของ OPPO F11 Pro มีขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ พร้อมอัตราส่วนของการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องสูงถึง 90.9% ทำให้การรับชมคอนเทนต์ต่างๆ หรือการเล่มเกม เป็นไปอย่างเต็มตาเต็มอารมณ์

 

ฝาหลัง 3D เคลือบสีแบบ Triple-Color Gradient

ดีไซน์ด้านหลังตัวเครื่อง OPPO F11 Pro มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยคราวนี้มาพร้อมกับฝาหลังแบบ 3D ผิวสัมผัสมันวาวที่จับถือได้อย่างถนัดมือ พร้อมเคลือบสีด้วยกระบวนการไล่เฉดแบบ 3 สี (Triple-Color Gradient) โดยในสี Thunder Black จะไล่เฉดสีจากสีม่วงที่ขอบด้านข้าง ไปหาสีน้ำเงินที่อยู่อีกฝั่ง คั่นด้วยสีดำตรงกลางตัวเครื่อง ส่วนสี Aurora Green จะไล่เฉดจากสีเขียวเข้มไปหาสีน้ำเงิน อีกทั้ง ชุดกล้องคู่, ไฟแฟลช, ปุ่มสแกนลายนิ้วมือ และโลโก OPPO ยังจัดเรียงไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้ตัวเครื่องดูมีความสมมาตร

 

กล้องหลังคู่ 48 ล้าน พร้อมโหมด Portrait

จากเดิมในรุ่น OPPO F9 ที่ใช้ระบบกล้องหลังคู่เป็นครั้งแรกในตระกูล F-Series ล่าสุดในรุ่น OPPO F11 Pro ก็อัปเกรดไปอีกขั้นด้วยระบบกล้องคู่ชุดใหม่ โดยมาพร้อมกับกล้องตัวหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.79 พร้อมเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ขึ้นที่ 1/2.55 นิ้ว ช่วยให้กล้องสามารถรับแสงได้ดีขึ้น ตอบโจทย์การถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย ส่วนกล้องตัวที่สองมาพร้อมกับความละเอียด 5 ล้านพิกเซล สำหรับช่วยถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอในโหมด Portrait ที่สามารถตัดขอบ และเบลอฉากหลังได้อย่างเนียนตา

 

Ultra Night Mode ถ่ายกลางคืนคมชัด


ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยฟังก์ชัน Ultra Night Mode

นอกจาก Portrait Mode แล้ว OPPO F11 Pro ยังมาพร้อมกับ Ultra Night Mode ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ถูกออกแบบมาสำหรับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ หรือการถ่ายภาพ Portrait ในเวลากลางคืนโดยไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้อง และยังเป็นฟีเจอร์เดียวกันกับที่มีอยู่ในรุ่น OPPO R17 Pro

 

Ultra Night Mode จะทำงานร่วมกับ AI Ultra-clear Engine ซึ่งประกอบไปด้วยเอนจินท์สำคัญทั้งหมด 3 อย่าง ได้แก่  AI Engine, Ultra-Clear Engine และ Color Engine โดยในขั้นแรก AI Engine จะทำการตรวจจับซีนต่างๆ ก่อน เพื่อปรับการตั้งค่ากล้องให้มีความเหมาะสมต่อการถ่ายภาพในสถานการณ์นั้นๆ ต่อมาเมื่อผู้ใช้ทำการบันทึกภาพ ระบบจะใช้เทคนิคการถ่ายภาพแบบ MFNR (Multi-frame Noise Reduction) และ HDR ถ่ายภาพประมาณ 7 ใบในหลากหลายสภาวะแสง เพื่อนำมาประมวลผลรวมกันเป็นภาพเดียว ทำให้ภาพถ่ายกลางคืนที่ออกมามีความสว่างอยู่ในระดับที่เหมาะสม และช่วยลด Noise ที่เกิดขึ้นบนภาพให้เหลือน้อยลง และในขั้นสุดท้าย Ultra-Clear Engine ก็จะเข้ามาช่วยปรับสกินโทนให้แก่บุคคลภายในแบบให้มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น

 

เติมสีสันด้วย Dazzle Mode

AI Ultra-clear Engine ของ OPPO F11 Pro ยังถูกนำไปประยุกต์ใช้กับฟีเจอร์ถ่ายภาพรูปแบบใหม่ที่มีชื่อว่า Dazzle Mode ที่จะเข้ามาช่วยปรับแต่งสีสันของภาพถ่ายให้เหมาะสมโดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องนำไปแก้ไขในแอปพลิเคชันอื่นๆ เพิ่ม โดย Dazzle Mode จะใช้ AI Engine ในการตรวจจับซีน เพื่อปรับแต่งการตั้งค่ากล้องให้แบบอัตโนมัติ จากนั้นจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ Color Engine ในการปรับแต่งภาพถ่ายให้มีความสว่าง และเติมสีสันเข้าไปเพื่อช่วยให้ภาพที่ออกมามีความสดใสมากขึ้น

 

กล้อง Rising Camera เลื่อนอัตโนมัติ

เนื่องจาก OPPO F11 Pro ใช้หน้าจอแบบไร้ขอบไร้รอยบาก ทำให้ชุดกล้องหน้าถูกเปลี่ยนใหม่ไปใช้แบบกลไกกล้องเลื่อนได้ในชื่อ Rising Camera โดยตัวกล้องมาพร้อมกับความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 สามารถเลื่อนออกมาได้อัตโนมัติเมื่อผู้ใช้เปิดใช้งานแอปพลิเคชันกล้อง หรือทำการสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกเข้าเครื่อง นอกจากนี้ กล้อง Rising Camera ยังมาพร้อมกับระบบป้องกันความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นกับกลไกกล้องสไลด์ เช่น หากกล้องหน้าไม่มีการใช้งานเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือผู้ใช้ทำเครื่องตกจากที่สูง กล้องหน้าก็จะถูกเลื่อนเก็บเข้าไปในตัวเครื่องให้แบบอัตโนมัติ

 

AI Beauty แบบใหม่

โหมดถ่ายภาพหน้าสวยอย่าง AI Beauty ก็ยกเครื่องใหม่เป็น AI Beutification เวอร์ชัน 2.1 โดยสามารถปรับแต่งใบหน้าผู้ใช้งานผ่านการวิเคราะห์จุดต่างๆ ได้มากกว่า 137 จุด นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถเลือกปรับแต่งส่วนต่างๆ ของใบหน้าได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็น ความเรียบเนียนของผิว, ขนาดคาง, ขนาดของจมูก หรือปรับแต่งขนาดของดวงตา เป็นต้น จากเดิมใน AI Beauty เวอร์ชันก่อนที่จะไม่สามารถเลือกปรับส่วนต่างๆ ของใบหน้าได้

 

แรงด้วย Helio P70 ผสาน RAM 6GB

อีกหนึ่งสิ่งที่ได้รับการอัปเกรดในรุ่น OPPO F11 Pro คือ ประสิทธิภาพการทำงาน โดยมาพร้อมกับขุมพลังระดับกลางตัวท็อปจากค่าย MediaTek อย่าง Helio P70 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตแบบ 8 แกนประมวลผล (Octa-Core Processor) ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Helio P60 ซึ่งถูกใช้ใน OPPO F9 โดยปรับไปใช้สถาปัตยกรรมการผลิตระดับ 12nm FinFET ช่วยให้ประหยัดพลังงานมากขึ้นกว่าเดิมราว 15% พร้อมทั้งยังมีหน่วยประมวลผลแยกแบบ Multi-threaded AI Processor ที่ช่วยให้ประมวลผลงานต่างๆ เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ได้มีประสิทธิภาพขึ้นราว 10-30% ซึ่ง AI ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์สำคัญใน OPPO F11 Pro ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ หรือการตรวจจับซีนต่างๆ

ชิปเซ็ต Helio P70 บน OPPO F11 Pro จะทำงานควบคู่กับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการในชีวิตประจำวัน เช่น การเปิดใช้งานหลายแอปพลิเคชันพร้อมกัน หรือการสลับหน้าแอปพลิเคชันที่ทำได้อย่างรวดเร็ว เป็นต้น  

 

ชาร์จไว VOOC Flash Charge 3.0 ผสานแบตจุใจ 4000mAh

หลังจากที่ OPPO เริ่มนำเอาเทคโนโลยีชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge มาใช้บนตระกูล F-Series เป็นครั้งแรกในรุ่น OPPO F9 ล่าสุดในรุ่น OPPO F11 Pro ก็พัฒนาไปอีกขั้นด้วยระบบชาร์จเร็วแบบ VOOC Flash Charge 3.0 ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วกว่า VOOC Flash Charge เวอร์ชันก่อนราว 20% ด้วยกัน โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่ขนาด 4000mAh ของ OPPO F11 Pro จาก 0-100% ได้ในเวลาประมาณ 80 นาทีเท่านั้น ช่วยย่นระยะเวลาในการชาร์จให้เหลือน้อยลงยิ่งกว่าเดิม

 

Hyper Boost เทคโนโลยีช่วยรีดประสิทธิภาพ

Hyper Boost เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยจัดสรรประสิทธิภาพภายในตัวเครื่องเพื่อตอบโจทย์การใช้งานหนักๆ เช่น การเล่นเกม เป็นต้น ไม่เพียงเท่านั้น Hyper Boost ยังสามารถช่วยเร่งประสิทธิภาพของแอปพลิเคชัน รวมถึงระบบการทำงานให้รวดเร็วขึ้นได้อีกด้วย นอกจากนี้ เพื่อตอบสนองการใช้งานที่หนักขึ้น OPPO ได้มีการติดตั้งแผ่นอะลูมิเนียมอัลลอยด์เอาไว้ด้านล่างของหน้าจอเพื่อช่วยถ่ายเทความร้อน รวมทั้งยังมีการทา Thermal Gel เอาไว้ที่บริเวณ CPU เพื่อป้องกันอาการ Overheat และยังช่วยให้ CPU ทำงานได้อย่างลื่นไหลต่อเนื่อง

 

ColorOS 6.0

ColorOS 6.0 บน OPPO F11 Pro เป็น UI เวอร์ชันใหม่ล่าสุดที่ OPPO ได้พัฒนาขึ้นจากพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ใหม่ล่าสุด โดยมาพร้อมกับการเปลี่ยนโฉมหน้าตาใหม่หมดจดให้เหมาะสมกับสมาร์ทโฟนจอไร้ขอบในยุคปัจจุบัน รวมทั้งยังเพิ่มลูกเล่นต่างๆ ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น Smart Assistant หรือศูนย์รวมข้อมูลจากแอปพลิเคชันต่างๆ ในหน้าเดียว, แถบไอคอนที่มีขนาดใหญ่ สามารถควบคุมได้ด้วยมือเดียว, Navigation Gesture การสั่งงานภายในตัวเครื่องโดยใช้นิ้วลาก ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีปุ่มควบคุมที่ด้านล่าง หรือ Riding Mode ฟีเจอร์ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ขับขี่จักรยานยนตร์โดยเฉพาะ ซึ่งจะเป็นการปิดเสียงการแจ้งเตือนจากทุกแอปพลิเคชัน และปฏิเสธสายเรียกเข้าพร้อมส่งข้อความกลับ เพื่อให้ผู้ใช้มีสมาธิจดจ่ออยู่บนท้องถนนนั่นเอง

 

จากจุดเด่นทั้งหมดจะเห็นได้ว่า OPPO F11 Pro เป็นสมาร์ทโฟนในช่วงราคา 10,000 บาทที่มีความน่าสนใจอีกรุ่นหนึ่งเลยทีเดียว โดยสำหรับใครที่สนใจก็สามารถสั่งจองแบบ Pre-order ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 27 มีนาคม 2562 พร้อมรับฟรี Smart Bag กับ VIP Card รวมมูลค่ากว่า 6,590 บาท โดยเริ่มรับสินค้าได้ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2562 หรือสามารถแวะเวียนเข้าไปทดลองใช้งานเบื้องต้นก่อนได้ที่ OPPO Brand Shop และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
*บทความนี้เป็น Advertorial

 


วันที่ : 26/3/2562

Tags :
  

Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy