พรีวิว OPPO F11 Pro กับโฉมใหม่ด้วยจอไร้ขอบไร้รอยบาก พร้อมกล้องหน้าเด้งได้ ผสานกล้องหลัง 48 ล้าน พร้อมสเปกแบบครบเครื่อง บนบอดี้ไล่เฉดสีสะดุดตา
หลังจากที่ OPPO ได้จัดงานอีเวนท์เปิดตัวสมาร์ทโฟน F-Series รุ่นใหม่ล่าสุดในประเทศอินเดีย ภายใต้ชื่อรุ่น OPPO F11 Pro ซึ่งมาพร้อมกับความโดดเด่นด้านการปรับปรุงโฉมดีไซน์ให้เป็นแบบขอบจรดขอบ พร้อมสเปกแบบครบเครื่องทุกการใช้งาน และยังชูโรงด้านการถ่ายภาพด้วยกล้องหน้าแบบเลื่อนได้ในชื่อ Rising Camera พร้อมกล้องหลังความละเอียดจัดเต็มถึง 48 ล้านพิกเซล
ล่าสุดก็มีข่าวดีออกมาว่าทาง OPPO เตรียมนำ OPPO F11 Pro เข้ามาวางจำหน่ายในบ้านเราด้วย โดยเปิดราคาวางจำหน่ายเอาไว้ที่ 10,990 บาท แต่ก่อนจะถึงกำหนดการขายอย่างเป็นทางการ เราไปรับชมพรีวิวคร่าวๆ เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นกันสักเล็กน้อยครับ
เริ่มต้นที่กล่องแพ็กเกจกันก่อน สำหรับ OPPO F11 Pro ยังคงเลือกใช้แพ็กเกจสีขาวสะอาดตา มีการประทับชื่อ และภาพดีไซน์ตัวเครื่องเอาไว้ที่ด้านหน้าของกล่องบรรจุภัณฑ์
สำหรับอุปกรณ์ที่แถมมาให้ภายในกล่อง ประกอบไปด้วย เคสใส, คู่มือการรับประกัน, คู่มือการใช้งาน, อแดปเตอร์ชาร์จไฟ, สายเชื่อมต่อแบบ microUSB และหูฟังแบบ Earbuds
อแดปเตอร์จ่ายไฟของ OPPO F11 Pro รองรับการจ่ายไฟที่ระดับ 5V/4A (20W) โดยจะทำงานร่วมกับระบบชาร์จเร็วแบบใหม่อย่าง VOOC Flash Charge 3.0 ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาต่อยอดมาจาก VOOC Flash Charge เวอร์ชันปกติที่ใช้ในรุ่น OPPO F9 ซึ่งทาง OPPO เปิดเผยว่า จะช่วยให้ชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็มเร็วขึ้นถึง 20% โดยในรุ่น OPPO F11 Pro ที่มีแบตเตอรี่ขนาด 4000mAh จะใช้เวลาในการชาร์จจนเต็มประมาณ 80 นาทีเท่านั้น
ส่วนทางด้านเคสใส ถูกออกแบบมาให้มีความนูนออกมาจากหน้าจอ เพื่อช่วยปกป้องอุบัติเหตุจากการตกกระแทกได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีการเว้นช่องให้กลไกกล้องหน้าสามารถใช้งานได้โดยไม่ติดขัด
สำหรับ OPPO F11 Pro มาพร้อมกับดีไซน์หน้าจอแบบใหม่ในชื่อ Panoramic Screen ซึ่งเป็นหน้าจอแบบขอบจรดขอบทั้งสี่ด้าน ดีไซน์เดียวกันกับที่ใช้บนสมาร์ทโฟนรุ่นพี่อย่าง OPPO Find X นั่นเอง สำหรับหน้าจอของ OPPO F11 Pro เป็นแบบ TFT-LTPS บนขนาดใหญ่เต็มตาที่ 6.5 นิ้ว พร้อมความละเอียดระดับ Full HD+ ซึ่งเมื่อคิดออกมาเป็นสัดส่วนแล้ว OPPO F11 Pro จะมีพื้นที่ในการแสดงผลเมื่อเทียบกับตัวเครื่องสูงถึง 90.9% เลยทีเดียว
ที่ด้านบนของหน้าจอไม่มีรอยบากเหมือนกับ OPPO F-Series รุ่นก่อนๆ เพราะทาง OPPO ได้ย้ายเซ็นเซอร์ต่างๆ ไปติดตั้งเอาไว้ที่บริเวณด้านบนของตัวเครื่อง พร้อมกับซ่อนลำโพงสนทนาเอาไว้ที่ขอบหน้าจออย่างแนบเนียน ส่วนทางด้านกล้องหน้าไม่ได้หายไปไหน เพราะ OPPO ได้ย้ายไปติดตั้งเอาไว้ในกลไกกล้องเลื่อนได้แบบ Rising Camera โดยมีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.0
สำหรับกล้องหน้าแบบ Rising Camera จะเลื่อนออกมาแบบอัตโนมัติเมื่อใช้งานแอปพลิเคชันกล้องถ่ายภาพ หรือเมื่อต้องการปลดล็อกเข้าใช้งานสมาร์ทโฟนด้วยระบบสแกนใบหน้า โดยทาง OPPO เปิดเผยว่ากลไกกล้องหน้า Rising Camera สามารถใช้งานได้นานถึง 6 ปี หากเราใช้วันละ 100 ครั้ง
นอกจากนี้ กล้องหน้าของ Rising Camera ยังมีระบบป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยหากกล้องหน้าไม่มีการใช้งานเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือในกรณีที่เราเปิดกล้องหน้าค้างไว้ แต่ทำเครื่องตก ระบบก็จะทำการเลื่อนเก็บไว้ให้แบบอัตโนมัติ
ที่ด้านบนของตัวเครื่องนอกเหนือจากจะมีกลไกกล้องหน้า Rising Camera แล้ว ยังมาพร้อมกับไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน
ที่ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ช่องเสียบหูฟังมาตรฐานขนาด 3.5 มม., ไมโครโฟนสำหรับสนทนา, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ microUSB และลำโพงเสียงภายนอก
ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มปรับระดับเสียงติดตั้งเอาไว้
ส่วนที่ด้านขวาของตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่ม Power สำหรับล็อกหน้าจอ หรือเปิด-ปิด เครื่อง และหากสังเกตจะพบว่า OPPO มีการเพิ่มสีฟ้าบนปุ่ม Power ด้วย ซึ่งช่วยทำให้มองเห็นได้ง่ายยิ่งขึ้น ถัดไปที่ด้านบนเป็นช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot รองรับการใช้งานซิมการ์ดแบบ nano-SIM ทั้งสองช่อง และสามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card ได้ที่ความจุสูงสุด 256GB
พลิกมาดูที่ด้านหลังของตัวเครื่องกันบ้าง สำหรับ OPPO F11 Pro ยังคงมาพร้อมกับความโดดเด่นด้านบอดี้ไล่เฉดสีที่มีความเงางามเช่นเดิม แต่ครั้งนี้มีการเพิ่มความโดดเด่นด้วยกระบวนการไล่เฉดแบบ 3 สี (Triple-Color Gradient) อย่างเช่นในสี Thunder Black ที่ได้รับมาทดลองใช้งานเบื้องต้นในวันนี้นั้น จะค่อยๆ ไล่สีจากสีม่วงที่ขอบด้านข้าง ไปหาสีน้ำเงินที่อยู่อีกด้านหนึ่ง และมีสีดำคั่นอยู่ตรงกลาง นอกจากนี้ หากลองสังเกตจะพบว่า ฝาหลังของ OPPO F11 Pro ยังมีการจัดเรียงข้อความ และโลโก OPPO ให้เรียงกันเป็นแนวตั้งเหมือนกับการจัดวางกล้อง และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ซึ่งต่างจากรุ่นอื่นๆ ที่จะวางโลโกเป็นแนวนอน และที่สำคัญ บอดี้ของ OPPO F11 Pro ยังเคลือบผิวด้วยกระบวนการ nano-printing ซึ่งข้อดีคือจะช่วยให้ตัวเครื่องดูเรียบเนียนเป็นชิ้นเดียวกัน ซึ่งหากเราลองนำน้ำไปหยดลงบนฝาหลัง น้ำก็จะจับตัวกันเป็นเม็ด ซึ่งช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
ที่ด้านบนมาพร้อมกับระบบกล้องคู่ (Dual Camera) พร้อมกับไฟแฟลชแบบ LED ที่จัดเรียงไว้เป็นแนวตั้ง โดยเซ็คอัพกล้องคู่ของ OPPO F11 Pro ประกอบไปด้วย กล้องตัวหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล โครงสร้าง 6 ชิ้นเลนส์ ที่มีขนาดของเซ็นเซอร์รับภาพที่ 1 /2.25 นิ้ว พร้อมเม็ดพิกเซลขนาด 0.8 ไมครอน และรูรับแสงกว้าง f/1.79 ส่วนกล้องตัวที่สองมีความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 ถัดลงมาที่ด้านล่างคือเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
มาดูที่ประสิทธิภาพกันสักเล็กน้อย สำหรับ OPPO F11 Pro ขับเคลื่อนการทำงานด้วยชิปเซ็ตตัวใหม่ล่าสุดอย่าง MediaTek Helio P70 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตประมวลผลแบบ 8 แกน โดยจะจับคู่การทำงานร่วมกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 6GB และหน่วยความจำภายในความจุ 64GB และรันด้วยระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ครอบทับด้วย UI เวอร์ชันใหม่ล่าสุดจากทาง OPPO อย่าง Color OS 6 นอกจากนี้ ยังมีระบบ Hyper Boost สำหรับเร่งประสิทธิภาพการทำงานให้เร็วยิ่งขึ้น ได้แก่ เกม, แอปพลิเคชัน และระบบ
ในส่วนของ Color OS 6 ก็ถือว่าน่าสนใจเช่นเดียวกัน เพราะมีการปรับหน้าตาให้ดูมีความสะอาดตามากยิ่งขึ้น ส่วนปุ่มควบคุม และปุ่มคีย์ลัดต่างๆ ก็ปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้น ตอบโจทย์สมาร์ทโฟนในยุคปัจจุบันที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ ทำให้สามารถใช้งานได้มือเดียวอย่างสะดวก
โดยเมื่อปัดไปที่ด้านขวาก็จะพบกับ Smart Assistant ที่รวบรวมการ์ดแสดงข้อมูลจากแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น การนับก้าว, ปฏิทิน และสภาพอากาศ เป็นต้น ส่วนแถบ Smart Sidebar หรือแถบคีย์ลัดเข้าถึงแอปพลิเคชัน และการตั้งค่าต่างๆ แบบเร่งด่วน ก็ยังคงมีให้ใช้งานเช่นเดิม ส่วนการเปิดใช้งานก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ลากแถบสีเทาจากบริเวณด้านขวาตัวเครื่องมายังตรงกลางของหน้าจอ
ส่วนเมนูกล้องในส่วนของกล้องหลังนั้น มีการเพิ่มโหมดถ่ายภาพกลางคืนโดยไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้องแบบ Ultra Night Mode คล้ายกับที่มีอยู่บน OPPO R17 Pro โดยฟังก์ชัน Ultra Night Mode จะทำงานร่วมกับเทคโนโลยี AI Ultra-clear Engine ที่มีอยู่ในตัวเครื่อง ซึ่งเริ่มแรก AI จะทำการตรวจจับซีนก่อนว่าเป็นซีนอะไร เพื่อปรับแต่งการตั้งค่ากล้องให้เหมาะสม จากนั้น ระบบจะทำการถ่ายภาพจำนวน 7 ใบ และใช้เทคนิค MFNR (Multi-frame Noise Reduction) ประกอบกับ HDR เพื่อประมวลผลภาพรวมกันเป็นภาพเดียว เพื่อช่วยลดจุดรบกวนใบภาพให้น้อยลง และยังทำให้ภาพที่ออกมามีความสว่างอยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมปรับสกินโทนของบุคคลที่อยู่ในภาพให้มีความสวยงาม
นอกจากนี้ กล้องหลังของ OPPO F11 Pro ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันถ่ายภาพรูปแบบใหม่ในชื่อ Dazzle Color Mode ที่จะเข้ามาช่วยปรับแต่งสีสันของภาพให้มีความสดใสมากขึ้น ผ่านการทำงานร่วมกันระหว่าง AI Engine และ Color Engine ที่สามารถตรวจจับซีนต่างๆ ที่อยู่บนภาพเพื่อปรับแต่งการตั้งค่ากล้องเองได้ รวมทั้งยังสามารถเกรดสีให้ภาพมีความสว่าง และสีสันที่คมชัดจัดจ้านได้อีกด้วย
ส่วนโหมดถ่ายภาพอื่นๆ ของกล้องหลังก็ยังคงครบครัน ไม่ว่าจะเป็น โหมดถ่ายภาพบุคคลแบบหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) ที่ผู้ใช้สามารถเลือกรูปแบบการจัดแสงภายในภาพได้เอง, โหมด Expert สำหรับปรับแต่งการตั้งค่าต่างๆ ของกล้อง ตอบโจทย์ผู้ใช้ระดับมือโปร รวมไปถึงฟังก์ชันซูมภาพ 2 เท่า เพียงแค่แตะที่ไอคอน 2x รวมไปถึงเทคโนโลยี AI Scene Recognition ที่สามารถตรวจจับซีน และวัตถุที่อยู่ภายในเฟรม เพื่อปรับแต่งการตั้งค่าให้แบบอัตโนมัติ
ส่วนทางด้านกล้องหน้าก็ยังคงมาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพหน้าสวยแบบ Beauty เช่นเดิม แต่ OPPO ได้มีการเพิ่มลูกเล่นใหม่นั่นก็คือ ระบบปรับแต่งโครงหน้าเฉพาะส่วน เช่น คาง, ดวงตา, จมูก หรือความสดใส เป็นต้น
ทั้งนี้ การพรีวิวครั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่ข้อมูลคร่าวๆ เท่านั้น ส่วนการทดสอบระบบต่างๆ ภาพในตัวเครื่อง, กล้องถ่ายภาพ รวมไปถึงรีวิวฉบับเต็ม สามารถรอติดตามได้ในเร็วๆ นี้ สำหรับ OPPO F11 Pro เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยเอาไว้ที่ 10,990 บาท มีให้เลือกทั้งหมด 2 เฉดสี ได้แก่ สี Thunder Black และสี Aurora Green โดยจะเริ่มเปิดให้สั่งจองผ่านร้านค้าตัวแทนจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม เป็นต้นไป โดยผู้ที่สั่งจองล่วงหน้าจะได้รับของแถมเป็น กระเป๋า Smart Bag และบัตร VIP Card นอกจากนี้ OPPO ยังมีการจับมือกับ Lazada พร้อมจัดโปรโมชันพิเศษ เปิดขายก่อนใครในวันที่ 15 มีนาคม โดยผู้ที่ซื้อในวันดังกล่าวจะได้รับของแถมเป็นกระเป๋า Smart Bag, บัตร VIP Card และตั๋วเครื่องบินในประเทศฟรี โดยผู้ที่ซื้อผ่าน Lazada จะได้รับของวันที่ 16 มี.ค. นี้ ส่วนผู้ที่สั่งจองผ่านช่องทางอื่นจะได้รับของช่วงสิ้นเดือนมีนาคม
นำเสนอบทความโดย: thaimobilecenter.com
วันที่ : 12/3/2562
